หลีหนิงหนิงสังเกตเห็นใบหน้าไม่ดีของซ่งเสวี่ยน บุรุษหนุ่มเอาแต่มีท่าทีเคร่งขรึมพูดไม่จาแม้แต่สักครึ่งคำ ทั้งที่ซ่งเสวี่ยนเขาร้ายกาจเพียงนี้เป็นเพราะบิดาทั้งสิ้น ในยามนี้ใบหน้าหล่อเหล่าข้างหนึ่งที่เริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อจากการโดนตบด้วยแรงบุรุษมองดูแล้วย่อมเจ็บไม่น้อย หลีหนิงหนิงปวดใจ หากแต่จะเอ่ยถามยามนี้เกรงว่าซ่งเสวี่ยนคงบอกไม่เป็นอันใดหาใช่เรื่องใหญ่ แต่นางเป็นห่วงเขาเหลือ อย่างไรแล้วมีเพียงนางที่เข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของซ่งเสวี่ยน “เพียงพริบตาเดียวก็กลายเป็นยาจกเสียแล้ว” นางเอ่ยขึ้นมาเยาะเย้ย ลอบมองทีท่าขบุรุษที่นั่งตรงกันข้าม ยามที่สบตามองนัยน์ตาเย็นเยือกคู่นั้น หลีหนิงหนิงพลันรู้สึกหนาวเย็นอย่างบอกไม่ถูกทั้งที่อากาศวันนี้ร้อนยิ่งนัก…แต่เพราะเหตุใดกันโชคชะตาของเขาถึงเจ็บปวดและโดดเดี่ยวปานนี้หรือเพียงว่าเขาคือพระรองงั้นหรือ… สตรีตรงหน้ามองเขาอย่างไม่กระพริบตา สุดท้ายแล้ว ซ่งเสวี่ยนจึงหัวเราะเย้ยยันเล็กน้อย “เพราะเจ้าอวดดี” มันดูน่าสมเพชไม่น้อย ทั้งน้ำเสียงและประโยคที่ได้ฟัง “ใช่มันเป็นเพราะข้าที่อวดดี” หลีหนิงหนิงเอ่ยเสริม “เพราะอย่างน้อยตลอดเวลาต่อจากนี้จะมีแค่ข้
หลีหนิงหนิงใช้เวลาอยู่นานหลายวันกว่าจะทำใจยอมรับได้ว่าจวนหลังนี้ไม่มีผีอย่างที่คิดไว้ถึงแม้นั่นไม่ว่าซ่งเสวี่ยนไปที่ใด ย่อมมักจะเห็นนางติดอยู่ข้างกายไปด้วยทุกที่ “เจ้าจะเลิกทำตัววุ่นวายเมื่อไหร่หลีหนิงหนิง” ซ่งเสวี่ยนเอ่ยแฝงความรำคาญใจเล็กน้อย ว่ากันตามตรงแล้วนางสมควรจะหวาดกลัวเขามากกว่า ใบหน้าคนงามขมวดมุ่น “ไม่ให้ข้าเกาะติดสามีแล้วจะให้ข้าไปเกาะติดบุรุษผู้อื่นเช่นนั้นหรือไร” หลีหนิงหนิงเปรียบเทียบ ซ่งเสวี่ยนปรายตามอง พลางถอนหายใจ หลังจากย้ายเข้ามาอยู่จวนหลังใหม่ในไม่นาน ไม่ว่าจะข้าวของเครื่องใช้อันใดล้วนต้องจับจ่ายใช้สอยซ้ำยังต้องปัดกว้างเช็ดถูกทำความสะอาดจวนหลังใหม่ให้อยู่มากขึ้น หากเป็นยามกลางวันแน่นอนว่าหลีหยิงหนิงคงอยู่ตัวคนเดียวได้ทว่านี้เป็นเวลาพลบค่ำเสียแล้ว บุรุษผู้นี้ก็เอาแต่ซ่อมศาลากลางน้ำไม่เสร็จเสียที หรือแท้จริงแล้วเขาจงใจจะกลั่นแกล้งนางหรือ “ซ่งเสวี่ยน” นางเอ่ยเรียกชายหนุ่ม หาตามองจับ น้ำเสียงนิ่ง ๆ จริงจังเป็นอันใดเขาต้องเหลียวตัวกลับ มามอง ซ่งเสวี่ยนเลิกคิ้วขึ้นประหนึ่งเชิงเป็นคำถามว่ามีอันใด หลีหนิงหนิงถามสิ่งที่ค้างคาใจ “ท่านหาเงินมาได้อย่างไร”
โรงเตี๊ยมหลังใหญ่แห่งนี้ไม่ว่าจะมองดูอย่างไรแล้วกับคุ้นนัก ใบหน้าของหลีหนิงหนิงในตอนนี้ขมวดคิ้วเต็มไปด้วยสงสัย พลางลองย้อนนึกไปถึงเมื่อหลายวันก่อนที่ผ่านพ้นมา ต้องจริงแน่! ที่นี้คือสถานที่ที่แม่ดอกบัวขาวและซ่งเสวี่ยนชอบแอบมาพลอดรักกันมิใช่หรือ! เหตุใดซ่งเสวี่ยนถึงพานางมาที่นี้ หลีหนิงหนิงเร่มรู้สึกไม่พอใจทันที ตั้งแต่กลับมาจากจวนหลีวันนั้นซ่งเสวี่ยนหาได้แอบลักลอบมาพบแม่ดอกบัวขาวอีกเลย เมื่อเป็นเช่นนั้นนางจึงวางใจวันนี้เขากลับมายังที่นี้อีกแล้ว! ซ่งเสวี่ยนรับรู้ได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่เพ่งมองตนอย่างกดดัน บรรยากาศเช่นนี้ราวกับว่าเขากำลังทำเรื่องผิด “เหตุใดถึงมองข้าเช่นนั้น” “คุณชายซ่ง! คุณชายซ่ง!” ในจังหวะเดียวกันไม่นานก็ปรากฏหลงจู๊ชราผู้หนึ่งวิ่งร้องตะโกนออกมาด้วยสีหน้าซีดเผือดประหนึ่งว่าตนเองนั้นเจอผีมา ชายชราเรียกซ่งเสวี่ยนว่าคุณชายซ่งงั้นหรือ “คุณชายซ่ง” หลีหนิงหนิงเอ่ยย้ำทีละคำ แท้จริงแล้วนางกำลังหูฝาดอยู่ใช่หรือไม่ สรุปแล้วพระรองผู้นี้เป็นคนอย่างไรกัน น้ำเสียงจริงจัง “หมายความว่าเช่นไรหรือซ่งเสวี่ยน” เมื่อหลายวันก่อนที่นางโดนหาเรื่องจึงมีซ่งเสวี่ยนยื่นมือช่วยเอา
ซ่งเสวี่ยนไม่เคยเฉยชาต่อนาง หลีหลินว่านไม่พอใจถึงที่สุด นางปรี่ตัวเข้าไปจับซ่งเสวี่ยนให้หันมาสนใจนาง “ไม่สนใจข้าแล้วหรือ” น้ำเสียงสั่นเครือแพบพร่าพร้อมกับนัยน์ตาคู่สวยสั่นระริกที่เริ่มแดงก่ำ สุดท้ายแล้วบุรุษตรงหน้าย่อมแพ้หยาดน้ำตาของนาง ใครจะคิดว่าหลินว่านจะบีบน้ำตาเสแสร้งออกมา ซ่งเสวี่ยนไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเกิดเรื่องอันใดกันแน่ “จื่อรุ่ยหยางไม่ดีต่อเจ้า” น้ำเสียงทุ้มแใงด้วยความห่วงใย ประโยคนี้ทำเอาหลีหลินว่านหนักใจไม่น้อย จะตอบอย่างไรดีเพื่อที่จะได้เก็บทั้งสองเอาไว้ข้างกายโดยไม่ต้องปล่อยมือไปจากผู้ใด หลีหลินว่านส่ายหน้า ในที่สุดหยาดน้ำตาเม็ดแรงก็ไหลลงอาบแก้มนวล “เป็นเพราะท่าน..ท่านเปลี่ยนไป” หากเป็นเมื่อก่อนสถานการณ์ตอนนี้คงจะบีบรัดหัวใจของเขาไม่น้อย แต่พอเห็นหยาดน้ำตาที่ไหลรินออกมาจากนัยน์ตาคู่งามซ่งเสวี่ยนกลับนิ่งเฉยไม่คิดจะเช็ดออกให้ ซ่งเสวี่ยนช้อนคางหลินว่านขึ้น “ข้าไม่เคยเปลี่ยน” สบตากับดวงตาคู่สวยที่เอ่อน้ำสั่นระริกไม่ต่างอันใดกับลูกนกตกน้ำ “หากไม่ใช่เพราะจื่อรุ่ยหยางไม่ดีกับเจ้า แล้วเป็นเพราะหตุใดกันหรือเปลี่ยนใจไม่อยากใช้ชีวิตกับคนผู้นั้นแล้ว” เขาถามไถ่ แ
จื่อรุ่ยหยางยืนแน่นิ่งตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินหันหลังกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่เดินจากมาอยู่ไม่ไกลนักจนกระทั่งตอนนี้ยืนอยู่ข้างหน้าร้าน นัยน์ตาฉายแววความสบประหม่าเล็กน้อยก่อนจะหายไปในครู่ต่อมาเป็นนางจริง ๆ และข้างกายนั้นคือซ่งเสวี่ยนท่าทางเบิกบานใจยิ่งกว่าเมื่อวันก่อนที่อยู่กับเขาเสียอีก ทั้งที่พูดคุยกับบุรุษที่มีภรรยาแต่มารยาทกับไม่สำรวมเลย“ซ่งเสวี่ยนไม่ได้โกรธข้าจริงหรือ”“…..”“ถึงอย่างไรข้าและท่านก็ยังคงสามารถพบเจอกันได้ไม่มีวันแปรเปลี่ยนเป็นอื่นแน่”แน่นอนว่าหลีหลินว่านเคยเป็นคนผู้หนึ่งที่ดีต่อเขามาก แต่ทว่ายามนี้ซ่งเสวี่ยนคิดว่าหากยังสนิทสนมกันมากกว่านี้ เกรงว่าจะไม่เหมาะสม“ขออภัยคุณหนูหลี ข้าส่งท่านได้เพียงเท่านี้”หลีหลินว่ายิ่งพยายามเข้าใกล้แต่บุรุษผู้นี้กับยิ่งถอยออกห่างเสมอ เห็นได้ชัดว่าเขายังโกรธเรื่องที่จื่อรุ่นหยางส่งแม่สื่อมา ทามทาบอยู่เป็นแน่นางยิ้มจนตาหยี ประหนึ่งลูกแมวน้อยที่กำลังจะออดอ้อน“ซ่งเสวี่ยน” นางเอ่ยขึ้นพร้อมกับจับมือของชายหนุ่ม เงยหน้าขึ้นสบตาแววตาแน่วแน่“ถึงอย่างไรท่านก็ยังอยู่ข้างกายข้าเสมอ”คำพูดและสายตาที่หวานล้ำมิใช่เขาผู้เดียวที่ได้รับสถานก
ในตอนนี้เองหลีหนิงหนิงถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความเบื่อหน่ายเต็มทน สายตาทอดมองหยาดเม็ดฝนที่โปรยปรายโหมกระหน่ำแรงขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะยกไหสุราขึ้นมาดื่มนัยน์ตาคนงามเริ่มหวานเยิ้ม “มารดาเบื่อนัก!!”ไม่แน่ว่าฤทธิ์ของสุราที่ดื่มเข้าไปอาจจะช่วยผ่อนคลายให้ลืมเรื่องน่าเบื่อเหล่านี้ไปได้เปรี้ยงง!!ซ่าาา~~ ซ่าาเสียงท้องฟ้าที่ดังเปรี้ยงปร้างพร้อมกับแสงสีขาววาบที่เด่นอยู่บนท้องฟ้าเป็นเส้นยาวลงมา มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย “สวรรค์!” นางพลันตะโกนก้องแข่งกับเสียงฟ้าร้องและฝนกระหน่ำลงมา“มาสิ! ท่านจะให้ตายอีกครั้งหรือทะลุไปที่ใดอีก”หลีหนิงหนิงในยามนี้เริ่มเมามายเล็กน้อยแม้แต่ความหวาดกลัวย่อมไม่ปรากฏให้เห็นราวกับเป็นการท้ายท้ายสวรรค์เบื้องสูงเพียงชั่วพริบตาพลันเกิดฟ้าร้องกระหึ่มคำรามอย่างน่ากลัวจากนั้นจึงเกิดฟ้าผ่าลงเป็นลำแสงสีขาวจนสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณเปรี้ยงง! เปรี้ยงง!!ครืดด..ซ่าา! เปรี้ยงง!หลีหนิงหนิงสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจวาบจนลึก ๆ รู้สึกที่จะอดหวาดกลัวไม่ได้ ลมที่โหมแรงขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับเสียงของต้นไม้ที่พัดเสียดสีกันของกลิ่นไม้ เปลวเทียนที่พลิ้วไสวตามสายลมซ่าา! ซ่าาาาา“อึก! อึก! อึ
หลีหนิงหนิงนั่งเท้าคางเหม่อลอยอยู่โต๊ะน้ำชาที่ตั้งอยู่ลานกลางจวน สายตาเหมือบลองเห็นซ่งเสวี่ยนอยู่บ่อยครั้งทว่ายามที่ชายหนุ่มหันมานั้นนางพลันหันหนีไม่กล้าสบตาเหตุการณ์แสนโง่งมของนางยังคงจำได้ไม่ลืมไฉนถึงหาเรื่องใส่ตัว!ทว่าดูท่าแล้วซ่งเสวี่ยนนั้นกลับนิ่งเฉยประหนึ่งว่าเรื่องราวเมื่อคืนไม่เคยเกิดขึ้น หลีหนิงหนิงพลันถอนหายใจหนักอึ้งเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา“อย่าขยับ” น้ำเสียงทุ้มของซ่งเสวี่ยนออกคำสั่ง เมื่อคนเมามายเอาแต่ดีดดิ้นไม่หยุด แขนแกร่งพลันโอบรัดนางแน่นขึ้นหลีหนิงหนิงถลึงตาใส่ พยายามขยับกายให้อยู่ห่างไว้ “ท่านต่างห่างอยู่นิ่ง ๆ อาเสวี่ยน” นางจะไม่พลาดท่าให้บุรุษตรงหน้าจุมพิตอีกซ้ำยังไม่ใช่ตัวแทนของผู้ใดซ่งเสวี่ยนไม่ยอมปล่อย ยิ่งนางดีดดิ้นเขายิ่งกอดรัดแน่นจากนั้นนางจึงออกแรงกระชากสาบคอเสื้อของซ่งเสวี่ยนให้โน้มใบหน้าเข้าใกล้ “ข้าหลีหนิงหนิงภรรยาของท่านจำเอาไว้!” ก่อนที่นางนั้นจะเป็นฝ่ายรุกล้ำเสียเอง ริมฝีปากที่ประทับลงลิ้มรสหวานหลีหนิงหนิงหลับตาพริ้มเคลิบเคลิ้มซ่งเสวี่ยนขมวดคิ้ว ก่อนจะเป็นฝ่ายผละออก “เจ้า!” พร้อมทั้งตาดุดันที่ปรายมองอย่างเอาเรื่องนางเป็นสตรีประเภทใดกัน!“หวานนัก
สำหรับหลีหนิงหนิงแล้วนางต้องการคำอธิบายมากที่สุด เรื่องของหลีหลินว่านยังไม่ทันผ่านพ้นข้ามวัน พระรองตัวร้ายผู้นี้กับมีสตรีมาเกาะติดอีกแล้วอย่างงั้นหรือ“พบกันที่ใด” หลีหนิงหนิงถามเสียงแข็งไตร่สวน“โรงเตี๊ยมเจ้าค่ะ” นางตอบออกมาชัดเจนโดนไร้ความกังวลจากนั้นจึงปรายสายตามองซ่งเสวี่ยนด้วยความไม่เข้าใจโรงเตี๊ยมอีกแล้วหรือ?หลีหนิงหนิงหันขวับไปมองบุรุษข้างกายที่แท้แล้วท่านเปิดโรงเตี๊ยมไว้เพียงสิ่งใดกันหาเงินหรือลอบพบสตรีกันแน่!เมื่อคืนที่ผ่านมายังจุมพิตกับนางแล้วพอวันรุ่งขึ้นก็ทำท่าทีเฉยเมยราวกับหาใช่เรื่องแปลก แท้จริงแล้วหลีหนิงหนิงมีน้ำหนักในใจมากเพียงใดกันแน่ “ซ่งเสวี่ยนท่านเป็นคนเช่นไรกันแน่”“ได้โปรดคุณชายซ่งตา ข้ามาเถอะ”ซ่งเสวี่ยนยื่นอยู่ด้านหลัง สีหน้าเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย สายตาปรายมองสตรีข้างกายและสตรีหน้าจวนสลับกันครู่หนึ่ง จากนั้นเขาจึงตัดสินใจคว้ามือหลีหนิงหนิงมากอบกุมไว้“ตามข้ามา”ท่าทางของนางสตรีข้างกายคุณชายซ่งดูไม่ดีเอาเสียเลย มิใช่ว่าตอนนี้คงไม่ได้หึงหวงนางกับคุณชายซ่งหรอกหรือสตรีมาใหม่มองตามแผ่นหลังคนทั้งคู่ที่เดินจากไป ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยขึ้น “คารวะฮูหยิน ข้าน้อยเพ่ยห
วสันต์ฤดูพานพบมาอีกครา สายลมเย็นโชยมาพัดพากลิ่นหอมของเหล่าดอกไม้พรรณาส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วจวน ท้องฟ้าปลอดโปร่งแสงแดดส่องจ้ากระทบลำธารจำลองจนน้ำระยิบระยับชวนให้งดงามในอ้อมแขนของซ่งเสวี่ยนโอบอุ้มห่อผ้าสีแดงไว้แนบอก เพียงพริบตาก็ผ่านพ้นครบร้อยวันแล้วเมื่อหลายเดือนก่อนหลีหนิงหนิงผู้เป็นภรรยารักทั้งครรภ์อีกหน เขาคาดไว้ว่างอย่างไรก็ต้องเป็นบุตรสาวอย่างแน่นอนและทันทีที่หมอหญิงชราโอบอุ้มห่อผ้าออกมานั้นพลันบอกกล่าวว่าได้คุณหนูผู้หนึ่ง เขาในตอนนั้นมีความสุขสมดั่งใจหวังแม้ทารกจะตัวแดงผิวเหี่ยวย่นแต่ซ่งเสวี่ยนไม่เคยวางมือโอบอุ้มบุตรสาวไว้ตลอดช่างต่างจากบุตรชายคนแรกเหลือเกินอาจเป็นเพราะเขาเป็นบิดาอีกคนแล้ว“เหตุใดท่านไม่เคยอุ้มข้าบ้าง” ซ่งเหว่ยหยางเงยหน้าทักทวงบิดาแฝงความน้อยใจ ทว่าแท้จริงแล้วเขาเพียงแค่อยากโอบอุ้มน้องสาวบ้างซ่งเสวี่ยนหลุมตาต่ำมองบุตรชายที่บัดนี้จวนจะเจ็ดขวบแล้วแต่ยังสูงเพียงแค่ช่วงระหว่างขาเท่านั้น“หากเจ้าโตเมื่อไหร่ค่อยมาอุ้มบุตรสาวข้า”!!ซ่งเหว่ยฟังแล้วขมวดคิ้วงุนงงไม่เข้าใจ “สัญญากับข้า!”ในทุกปีล้วนมีเหตุการณ์พลิกผันเสมอและการเป็นตัวประกอบที่กลายเป็นมารดาทั้งยังมีสามีเ
ตอนแรกที่ซ่งเสวี่ยนพบเจอบุรุษที่คล้ายคลึงตนเองก็พลันไม่ชอบใจอยู่แล้ว ยิ่งเป็นเด็กทารกที่คล้ายตามติดภรรยาของเขาอยู่ไม่ห่างเขายิ่งมีสีหน้าไม่สู้ดีทุกครั้งพอลอบสังเกตสีหน้าของบุรุษข้างกลายที่บึ้งตึงแล้ว หลีหนิงหนิงพลันหัวเราะชอบใจ“บอกแล้วอย่างไรบุตรในครรภ์ข้าต้องเป็นเด็กชาย”ในความคิดของหลีหนิงหนิงบุตรชายคนแรกสมควรเป็นผู้ชายหากถามหาเหตุผลนั้นไม่มี นางเพียงแค่อยากชื่อชมซ่งเสวี่ยนในวัยเด็กจนเติบโตเท่านั้นคำพูดหยอกเย้าของนางเช่นนี้ ซ่งเสวี่ยนไม่ชอบเลยยิ่งพอเวลาพอไปนานเข้าเด็กทารกน่าเกียจนั้นก็เติบโตจึ้นแต่ไฉนยังต้องคล้ายตามติดภรรยาข้าทุกฝีก้าว“พรุ่งนี้ให้เขาไปเรียนหนังสือได้แล้ว” ซ่งเสวี่ยนเอ่ย นัยน์ดุดันจ้องมางเด็กชายตรงหน้าด้วยความจริงจังเจ้าเด็กนี้สมควรออกไปพบเจอผู้นเสียบ้างมิใช่วัน ๆ อยู่แต่กลับภรรยาเขาไม่ห่าง“ท่านพ่อ!” น้ำเสียงของเด็กน้อยร้องตกใจ “ข้าไม่ไป!”หลีหนิงหนิงหรี่ตามองอย่างขุนเคือง “เขาพึงจะสี่ขวบเท่านั้นอาเสวี่ยน”ไฉนเลยนางจะไม่รู้เหตุผลของซ่งเสวี่ยนคราแรกที่ซ่งเหว่ยหยางถือกำเนิดออกมาเป็นทารกตัวแรกนั้นซ่งเสวี่ยนแทบจะไม่เข้าใจหรือโอบอุ้ม เพียงแค่มองเห็นเห็นผิวหนังที่เห
หากไม่ได้ต้องอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนกันทุกวันเช่นนี้ จื่อรุ่ยหยางก็ยังคงไม่กระจ่างแจ้งว่าแท้จริงแล้วหลีหลินว่านมีนิสัยเช่นไรตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปีปีที่แล้วจนกระทั่งวนเวียนพบใหม่ อีกครา ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลีหลินว่านพังพินาศตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้จื่อรุ่ยหยางทุกข์ใจไม่รู้จะหันหน้าไม่พึงผู้ใดได้“ข้าเซ็นหนังสือหย่าได้แล้ว”“บอกแล้วอย่างไรข้าไม่หย่า!”พอได้ยินประโยคนี้อีกครั้ง หลีหลินว่านพลันโมโหไม่มีที่สิ้นสุด “เพื่อให้ได้แต่งงานกับข้าที่ผ่านมาท่านล้วนกีดกันบุรุษอื่นออกไป…” นางยกยิ้ม “พอได้แล้วจึงอยากจะทิ้งข้าหรือ!”เรื่องไปกันใหญ่แล้ว จื่อรุ่ยหยางขมวดคิ้ว “ไม่ใช่หลินว่าน มันเพราะที่ผ่านมาเจ้าไม่เคยดีต่อข้าเลย”ในในยามนี้เข้าใจแล้วมีบุพเพ…มีวาสนา..แต่ไร้รัก“เหอะ!” หลีหลินว่านยืนกอดอกมองด้วยความสายตาแข็งกร้าว “ท่านไม่มีหากหนีไปจากข้าพ้น!” นางกระแทกเสียงหากจื่อรุ่ยหยางยังไม่ตายก็ไม่มีทางแยกจากนางไปได้ หลีหลินว่านไม่ยอมตกเป็นขี้ปากของพวกคนนางรังเกียจเหล่า นั่นแน่ ชีวิตที่ผ่านมาของนางล้วนเป็นไปดั่งใจหวังแล้วเหตุใดครั้งรี้มันถึงกลับเป็นไปไม่ได้กันซ่งเสวี่ยน!พอนึกถึงบุรุษชื่อของบ
สำหรับซ่งเสวี่ยนแล้วพอเข้าสู่ฤดูเหมันต์เขามักจะปลีกตัวออกไปหลบซ้อนตัวอยู่เพียงผู้เดียวบรรยากาศที่หนาวเย็นจนสั่นสะท้าน หิมะที่โปรยปรายตลอดเวลาโดยไม่มีทีท่าจะหยุดจนทั่วบริเวณโพลนขาว เพียงแวบหนึ่งซ่งเสวี่ยนพลันเห็นเหตุการณ์ในตอนที่ตนเองสามขวบอีกครั้ง“ข้าเกลียดฤดูหนาว” น้ำเสียงทุ้มสถบออกไปหลีหนิงหนิงเอี่ยงใบหน้ามองบุรุษข้างกาย ใบหน้าที่โผล่พ้นออกมานอกเสื้ออุ่นที่ทำจากขนสัตว์และแก้มนวลที่ขึ้นสีระเรื่อทำให้มองดูน่าเอ็นดูไม่น้อย“ข้าอยากโอบกอดอาเสวี่ยนคลายหนาว พอฤดูใบไม้ผลิข้าอยากดูดอกไม้บานพร้อมกัน” ดวงตาเมล็ดซิ่งวูบไหว“แต่ข้าชอบ” ก่อนที่สายตาจะปรายไปมองหิมะที่ยังคงตกอยู่นอกหน้าต่างมุมปากหนาพลันยกยิ้ม “นับวันยิ่งเกียจคร้าน”ความจริงแล้วนางไม่ได้ชมชอบความหนาวสักนิด เพียงแต่พออากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ที่ไม่ต้องทำอันใด นอกจากนั่งขดตัวอยู่ใต้ผ้านวมหรืออาภรณ์ขนสักอุ่น ๆ สักผืน“ให้ข้าปิดโรงเตี๊ยมดีหรือไม่” ซ่งเสวี่ยนเสนอ ใบหน้าหล่อเหล่าเต็มไปด้วยความยียวนทั้งสิ้น “พอเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ข้าว่าพวกเราอยู่จวนตลอดไปคงไม่น่าเบื่อนัก”“ไม่” หลีหนิงหนิงปฏิเสธ “ ท่านจะเอาเงินที่มาให้ข้าใช้”นางยอมไม่ได้เ
ในขบวนแห่เกี้ยวเจ้าสาวเต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่เอิกเกริก โดยมีเจ้าบ่าวควบนั่งม้านำหน้าไป ผู้คนมากมายต่างมาชื่นชมมุ่งดูด้วยความรื่นเริงและยินดีให้กับคู่บ่าวสาวที่จัดว่ามีขมวบสินเดิมที่ยาวเหยียดสมศักดิ์คุณหนูหลีจากภรรยาเอกและบุตรชายผู้เดียวของสกุลจื่อมีสมรสมงคลก่อนที่ขบวนจะสิ้นสุดลงเมื่อถึงหน้าประตูจวนสกุลจื่อที่ถูกตกแต่งประณีตด้วยสีแดงที่สื่อถึงความมงคลจื่อรุ่ยหยางสวมชุดอาภรณ์สีแดงลวดลายมังกรจากนั้นจึงกระโดดลงจากหลังมาด้วยท่าทางทะมัดทะแมง ทั้งที่วันมงลงเช่นนี้สมควรจะยิ้มแย้มเบิกบานแต่ใบหน้ากับหมองคล้ำไม่เป็นมงคลเสียเลย“จับมือข้า” เขาพูดขึ้นแผ่วเบาหลีหนิงหนิงสวมใส่อาภรณ์สีแดงเช่นกันเย็บปักด้วยความประณีต เรือนผมถูกมวยขึ้นเป็นทรงอย่างงดงามถูกประดับความมงกุฎหงษ์ที่แสดงถึงสัญญาณเคียงข้างมังกรแม่สื่อตะโกนร้องก้องบอกพิธีการทั่วจวนหนึ่งคำนับฟ้าดินสองคำนับบิดามารดาสามคำนับกันและกันทว่าช่างเป็นงานมงคลที่ไม่รับรู้ถึงบรรยากาศของความมงคลเลยแม้น้อย นี่เป็นเคราะห์กรรมของพระเอกผู้นี้หรือไร บนใบหน้าของจื่อรุ่ยหยางไม่หลงเหลือความสุขเลยเป็นงานมงคลที่บรรยากาศหดูจริง ๆช่างไม่มีที่สิ้นสุดจริง ๆ หลีห
พอเข้าสู่ช่วงฤดูชิวเทียนหรือฤดูใบไม้ร่วง โรงเตี๊ยมและบริเวณโดยรอบที่เป็นร้านอาหารพลันครึกครื้นไปด้วยผู้คนที่ออกมาท่องเที่ยวหรือจับจ่ายใช้สอยในช่วงวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่ใกล้จะมาถึงนี้ในห้อง ๆ หนึ่งยังชั้นสองของร้านมีสตรีผู้หนึ่งนั่งเท้าคางทอดสายตาลงไปมองชั้นหนึ่งเดียวใบหน้าเบิกบานหากโรงเตี๊ยมมีผู้คนครึกครื้นตลอดทั้งปีเช่นนี้ นางคงได้ร่ำรวยเป็นแน่!หลีหนิงหนิงแอบลอบยิ้มในใจ พลางพลิกสมุดรายการของกิจการไปเรื่อยเปื่อยทั้งที่แท้จริงแล้วเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของซ่งเสวี่ยนที่ต้องตรวจสอบนางเพียงอยากทำตัวเป็นภรรยาที่ดีเท่านั้นซ่งเสวี่ยนที่เห็นการกระทำของภรรยาจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เถ้าเนี้ยว่าอย่างไรกิจการของข้าขาดทุนหรือไม่”หลีหนิงหนิงได้ยินแล้วจึงหันไปถลึงตาใส่เขา บุรุษผู้นี้รู้ทั้งรู้ว่านางไม่เข้าใจแต่กลับเยาะเย้ยกันหรอกหรือ “ไปให้ไกล” นางเอ่ยปากไล่พอวันเวลาผ่านไปนานเข้า พระรองผู้นี้ก็เปบี่ยนไปราวกันคนละคน“เจ้านี่ฉลาดจริง ๆ” เมื่อเห็นเป็นภรรยาหน้างอไม่พอใจ ผู้เป็นสามีอย่างซ่งเสวี่ยนนั้นก็ต้องสมควรเข้าใจใช่หรือไม่ ว่ากันตามตรงเขาเป็นสามีผู้อื่นคราแรกซ้ำยังดีต่อผู้อื่นไม่เป็นแม้ว่าจะ
จนกระทั่งหลายวันผ่านไปสถานที่จากไปแล้วหลีหนิงหนิงไม่อยากกลับมาเหยียบย้ำอีกด้วยซ้ำ ใบหน้าของนางจึงไม่ค่อยดีอารมณ์ไม่เบิกบานนักซ่งเสวี่ยนปรายสายตาไปมองคนข้างกายแวบหนึ่ง เห็นด็รู้ว่านางกำลังคิดอันใดอยู่ในใจ “สินเดิมของเจ้าต้องทวงคืน” แม้ว่า ซ่งเสวี่ยนเองก็ไม่อยากจะหวนกลับมาที่นี้อีกก็ตามแต่ทว่า หลีหนิงหนิงสมควรจะต้องมาทวงของที่เป็นของนางคืนนางเบ้ปากถอนหายใจเบา จากนั้นพูดเบา ๆ “กลับเลยได้หรือไม่”“ไม่” ซ่งเสวี่ยนตอบขณะที่เซินฮูหยินนั่งอยู่ตำแหน่งตรงกลางห้องโถง ใบหน้าบึ้งตึงไม่เอ่ยวาจาอันใดถัดไปข้างกันแล้วมีลี่เฉี่ยงนั่งยกยิ้มดูเคลนในใจ“มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่มักอวดตนฉลาด” เซินฮูหยินเชิดหน้าพูดด้วยถ้อยคำเหน็บแนม แม้แต่ปรายสายตามองลูกเลี้ยงและลูกสะใภ้ที่อวดดีนางยังไม่อยากจะมองด้วยเหอะ! ไปได้ไม่นานก็ซมซานกับมาเลียขาแล้วเซินฮูหยินดูเคลนในใจอย่างสมเพช“นี่ไม่ต่างอะไรกับน้ำที่สาดออกไปใช่หรือไม่ขอรับท่านแม่” ลี่เฉี่ยวอยากจะเอาใจมารดาแต่กลับเป็นโง่ที่อวดฉลาดโดยแท้หลีหนิงหนิงได้ยินแล้วพลันหลุดหัวเราะทันที ช่างประจบสอพลอแต่กลับพูดออมาโดยไม่ไตร่ตรองเสียก่อน “รู้จักเปรียบเปรยย่อมดีไม่น้อย แต
หลีหนิงหนิงชะโชกหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างไม่เงาของผู้ใดทั้งสิ้นซ้ำทั่วทั้งจวนมีเพียงแค่ห้องนอนเท่านั้นที่จุดตะเกียงแม้เวลาจะล่วงเลยเข้าสู่ปลายยามไฮ่ (21.00-23.00) แต่ทั้งนางและซ่งเสวี่ยนต่างไม่มีผู้ใดข่มตานอนหลับได้ หลีหนิงหนิงกับมานั่งเหยียดหลังพิงหัวเตียงดังเดิม สายตาทอดมองบุรุษที่นั่งอยู่ปลายเตียงเงียบ ๆ ผู้เดียว“พอแล้ว” น้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้นทว่าซ่งเสวี่ยนยังคงไม่หยุด เขายังคงนำผ้าชุบน้ำอุ่นผืนหนึ่งมาประคบขาของหลีหนิงหนิงตรงที่บาดเจ็บไม่มีที่ท่าว่าจะหยุด“หากยังไม่หยุดขาของข้าคงกลายเป็นไก่ย่างแล้ว”บรรยากาศที่กระอักกระอ่วนยิ่งน่ำแย่เข้าไปอีก ซ่งเสวี่ยนหยุดการกระทำซ้ำ ๆ ลงแล้วแต่กลับนั่งนิ่งเฉยไม่ยอมขยับกายหนีหรือแม้แต่หันมาสบตานางหลีหนิงหนิงเห็นแล้วปวดใจนักภายในใจของซ่งเสวี่ยนคงจะเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะวะไม่น้อย เขาถนุถนอมหลีหลินว่านมากับมือแต่กลับเป็นผู้ลงมือทำร้ายเสียเองเหตุผลข้อนี้หลีหนิงหนิงเข้าใจได้“ขยับให้ใกล้ข้าหน่อย” หลีหนิงหนิงออกคำสั่งสายตาเมล็ดชิ่งมองบุรุษหนุ่มตรงหน้าตาปริบ ๆ ฉายแววความห่วงใย หลีหนิงหนิงตัดสินใจเป็นฝ่ายขยับกายเข้ามาแทนแม้จะรู้สึกปวดระบมที่ข้อเท้าจ
ยามนี้ใบหน้าของหลีหลินว่านเปราะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาที่ไหลอาบแก้มนวลมองดูแล้วช่างน่าสงสารไม่น้อย แต่นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกับแข็งกร้าวไม่ยอมโอนอ่อน มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่ด้วยความโกรธ ร่างทั้งร่างสั่นทึ่มด้วยความโกรธ“ข้าจะถามท่านอีกคราซ่งเสวี่ยน!” น้ำเสียงของนางดังก้อง “ระหว่างข้ากับหลีหนิงหนิงท่านจะเลือกผู้ใด”ซ่งเสวี่ยนมองสตรีตรงหน้าด้วยสายตานิ่งเฉย ทว่ามีกลิ่นอายสังหารแผ่ซ่านจนอึดอัดไม่น้อยที่ผ่านมาราวกับนางไม่มีใช่หลีหลินว่านที่เขารู้จัก“เจ้ากลับไปก่อนเถอะหลีหลินว่าน” หลีหนิงหนิงเอ่ย สถานการณ์เริ่มย้ำแย่กว่าคิดไว้นางเพียงเกรงว่าซ่งเสวี่ยนจะพลั้งลงมือทำร้ายจริง ๆ เมื่อหลีหลินว่านยังคงพร่ำพูดพรรณาไม่หยุดราวกับเรื่องทั้งหมดมิใช่ความผิดของนางเอง“เจ้าตบหน้าข้า! ทำร้ายข้า! คิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ งั้นหรือหลีหนิงหนิง”เอาความผิดของคนเองมาโยนใช่ผู้อื่น ช่างเป็นวิธีที่โง่เขลาที่สุดหลีหนิงหนิงขมวดคิ้วมุ่นใบหน้าไม่สู้ดีนัก สตรีตรงหร้าเสียสติเป็นบ้าไปแล้ว “ออกไปก่อนที่ข้าจะทำร้ายเจ้าไปมากกว่านี้” นางกัดฟันพูดท่าทางเกรี้ยวกราด“ได้ยินหรือไม่ซ่งเสวี่ยน! ว่าหลีหนิงหนิงนั้นร้ายกาจเพียงใด