เวลาผ่านไปช้าๆ ผู้คนยิ่งนานยิ่งหนาตา เบียดเสียดหนาแน่นวุ่นวาย
ในที่สุด ...ขบวนเสด็จที่รอคอยก็ปรากฏ เสียงแซ่ซ้องดังกระหึ่มกึกก้อง ชาวเมืองหมิงเวยพากันคุกเข่าลง ร้องสรรเสริญองค์รัชทาทยาทต้าถัง ผู้เปรียบประดุจเทพบนฟากฟ้าแต่เลือกย่ำพสุธาบนแดนมนุษย์ เพื่อบรรเทาทุกข์ทั่วสารทิศ
หากกล่าวตามจริง การที่ชาวประชาราษฎร์ต่างชื่นชมเพียงจ้าวเหว่ย ทั้งยังกล่าวถึงความเปี่ยมบารมีแผ่ไพศาลของเขายิ่งกว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเช่นนี้ นับว่าไม่เหมาะสมอยู่มาก
บุตรไม่อาจเหนือกว่าบิดา
จ้าวเหว่ยย่อมรู้ดีว่าการใดควรไม่ควร คำสั่งเคลื่อนทัพแม้เป็นเขาเสนอตัว ทว่าความจริงย่อมเป็นเพราะอำนาจแห่งพระราชดํารัสของพระบิดา เขาจึงให้หัวหน้าขบวนกล่าวคำนำแซ่ซ้องต่อพระองค์ไปจนสุดทาง ความหมายว่าอำนาจบารมีของจักรพรรดิอยู่สูงที่สุด แผ่ไพศาลยิ่งกว่าใคร ชาวบ้านจึงพร้อมใจเปลี่ยนมากล่าวคำสรรเสริญดังกึกก้องว่า
‘ต้าถังจงเจริญ ขอฮ่องเต้ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี ขอบุญบารมีแห่งพระองค์ส่งให้จอมทัพชนะศึกครานี้’
การกระทำของจ้าวเหว่ยล้วนอยู่ในพระเนตรของฮ่องเต้ทั้งสิ้น และพระองค์ก็ทรงเห็นชอบอย่างยิ่ง ทั้งยังมีพระประสงค์สละบัลลังก์ให้โอรสผู้นี้เต็มที่
เพียงแต่ขั้วอำนาจในราชสำนักยังไม่นิ่ง และจ้าวเหว่ยเองก็ปฏิเสธการเชื่อมสัมพันธ์กับสตรี โดยการออกนอกพื้นที่อยู่ร่ำไป
เรื่องนี้ทำให้ฮ่องเต้ทรงพอพระทัยระดับหนึ่ง จึงมิได้เร่งรัดอันใด ทรงรักษาฐานอำนาจภายในเอาไว้ด้วยองค์เองส่วนใหญ่ มีขั้วอำนาจของโอรสธิดาคานกันเองอีกส่วนหนึ่ง แล้วปล่อยให้ทั่วแคว้นเป็นฐานอำนาจภายนอกให้จ้าวเหว่ยไปเช่นนั้น
หากถึงเวลาที่พระองค์ทรงสละบัลลังก์เป็นไท่ซ่างหวงตามที่ปรารถนาก็คงไม่ต้องเป็นห่วงอันใดมาก เพราะยามนี้ถือได้ว่าต้าถังมีการจัดการและกระจายอำนาจที่ดีในรูปแบบหนึ่ง
ซึ่งแน่นอน คนที่ต้องเหน็ดเหนื่อยที่สุดย่อมเป็นจ้าวเหว่ย
เมื่อหัวขบวนค่อยๆ เคลื่อนตัวมาใกล้ ผู้คนรอบด้านยิ่งถอยล่นเปิดทางให้อย่างรู้กาลเทศะ เห็นมีทหารม้าขึ้นหน้านำอยู่จำนวนหนึ่ง ทุกคนสวมชุดเกราะสีเงินยวง
ซานซานจ้องเขม็งอย่างตื่นเต้นอยู่บ้าง นางไม่เคยเห็นเชื้อพระวงศ์อันสูงส่งมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นชาติที่แล้วหรือชาตินี้
ยิ่งเป็นบุรุษที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเทพแห่งสงครามอย่างองค์รัชทายาทต้าถัง ก็ยิ่งยินดีที่จะได้เปิดหูเปิดตาสักครา
รอจนทหารม้าเคลื่อนตัวผ่านไปซักพัก ตรงกลางขบวนพลันปรากฏบุรุษหนุ่มรูปงามนั่งสง่าอยู่บนอาชาศึกตัวใหญ่พันธุ์ดี
บุรุษหนุ่มผู้นี้มีคิ้วเข้มตาคม จมูกโด่งปากแดง ใบหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อเหลามาก
เขาคือองค์รัชทายาทผู้เป็นจอมทัพนามจ้าวเหว่ย
แสงตะวันเรืองรองอาบไล้ชุดเกราะสีดำสนิทบนร่างเขา ส่องสะท้อนราศีเหนือหมู่มวลชวนมอง เรือนร่างสูงใหญ่อันน่าเกรงขามเปล่งประกายความเป็นสุภาพชนผู้เรืองอำนาจออกมา บารมีแผ่ไพศาลไปทั่วอาณาบริเวณที่เคลื่อนผ่าน แผ่ซ่านความเป็นเอกบุรุษเหนือชั้น
ซานซานจับจ้องว่าที่องค์ราชันไม่วางตา เยี่ยงวีรสตรีที่ชมชอบวีรบุรุษผู้กล้า นัยน์ตาลุ่มลึกนึกชื่นชมโดยไร้เงื่อนไข ปราศจากความหลงใหลเฉกเช่นชู้สาว ถึงแม้ว่านางจักไม่เคยพบเจอใครที่มีรูปโฉมดุจเทพเซียนจำแลงเยี่ยงนี้มาก่อนก็ตาม
จากที่ได้ฟังเรื่องราวที่กล่าวถึงวีรกรรมความกล้าหาญและการเสียสละความสุขส่วนตัว แล้วเลือกเดินทางออกมาดูแลชาวประชาด้วยตนเองเสมอมา ทำให้ซานซานปลื้มรัชทายาทหนุ่มผู้นี้เหลือเกิน ในใจนางคิดว่า บุรุษผู้นี้ช่างเหมาะสมยิ่งนักที่จักเป็นโอรสสวรรค์ เป็นองค์จักรพรรดิผู้ปกปักษ์พิทักษ์แคว้น ไม่อาจมีใครอื่นแทนที่เขาได้ ราชันแห่งต้าถังต้องเป็นคนผู้นี้เท่านั้นส่วนลู่หลิ่งมองตามมารดาด้วยดวงตากลมโตไร้เดียงสา ทว่าสุกสกาวพราวระยับยากสงบ ผ่านไปซักพักสองมือเล็กก็ยกขึ้น แขนกางออก สาวน้อยร้องไห้กระซิกเบาๆ ร้องว่าจะเอาๆ ไม่หยุด ทว่ารอบด้านยามนี้ เสียงของชาวบ้านดังเกินไปจึงไม่มีใครได้ยิน แม้แต่ซานซานรัชทายาทหนุ่มรูปงามสูงศักดิ์ เป็นที่หมายปองของอิสตรี ทั้งสูงส่งและห่างไกลปานนั้น ไม่มีสิทธิ์แม้คิดฝันที่จะได้เฉียดใกล้ขบวนเสด็จอันเกรียงไกรค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านหน้าไป ซานซานอุ้มลูกน้อยเอาไว้แนบอกอุ่น พวกนางแม่ลูกคุกเข่าปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชนจนแทบจะถูกกลืนหายจ้าวเหว่ยบนหลังม้ารู้สึกชาวาบในอกอย่างประหลาดเบื้องล่างของชายหนุ่มบนหลังม้าเต็มไปด้วยฝูงชนที่คุกเข่าคลาคล่ำเบียดเสียดแน่นขนัด มองไม่ออกว่าใครเป็นใครภายใต้ใบห
ซานซานจึงหลุดหัวเราะออกมาสตรีที่ชวนนางคุยยังคงเอ่ยต่อ “องค์รัชทายาทยังไม่แต่งพระชายา ไม่แปลกที่ผู้คนจะพากันหลงใหลถึงขั้นใฝ่ฝันหาอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ บุตรสาวของข้าก็ชอบเช่นกัน เพียงแต่วันนี้นางหลับกลางวันอยู่กับแม่นม จึงมิได้พามาชมด้วยกัน”ซานซานเลิกคิ้วเล็กน้อย สนทนาด้วยดี “เกรงว่าบุตรสาวของท่านคงอายุใกล้เคียงบุตรสาวของข้ากระมัง”“ไม่ผิดๆ เห็นเป็นเด็กเล็กก็อย่าได้ดูเบาเชียว อายุแค่นี้ก็รู้จักชมชอบบุรุษแล้ว”ทั้งสองพากันหัวเราะชอบใจ คุยกันถูกคอไม่น้อยภายหลังซานซานจึงได้รู้ว่าสตรีนางนี้เป็นเจ้าของเหลาอาหารหาวชืออยู่อีกตรอกถนน นางจึงพาลู่หลิ่งมาอุดหนุนกินอาหารเสียเลย“ข้ามีนามว่าจางเหริน เรียกอาเหรินได้เลย” จางเหรินเอ่ยกับซานซานอย่างเป็นกันเองพลางดูแลอาหารจนเต็มโต๊ะหญิงสาวยิ้มรับไมตรีไม่มีปฏิเสธ “เรียกข้าว่าซานซาน ส่วนลูกข้า ลู่หลิ่ง นี่น้องชายข้า เสี่ยเฟิง” นางแนะนำจนไปถึงสตรีแปลกหน้าผู้หนึ่งที่นั่งร่วมโต๊ะด้วย หัวคิ้วจึงเลิกขึ้น นึกแปลกใจนักเสี่ยเฟิงรีบแนะนำต่อทันที “นางมีนามว่าเว่ยลี่ขอรับ เรียกลี่เอ๋อร์ก็ได้” จบคำก็ยกยิ้มเก้อเขิน แม่นางเว่ยลี่ก็ก้มหน้าเอียงอายซานซานจึงเข้าใจได้
เมื่อลู่หลิ่งกินอิ่มก็เริ่มซุกซน แม่นางน้อยจึงวิ่งเล่นกับบุตรสาวของจางเหรินที่มีอายุไล่เลี่ยกันซานซานเห็นลูกมีเพื่อนเล่นจึงปล่อยไปเช่นนั้น สั่งอาหารเพิ่มแล้วนั่งกินอย่างใจเย็นจางเหรินยิ่งยินดีเพราะได้ค้าขายเสี่ยเฟิงยิ่งปรีดาเพราะได้นั่งสนทนากับคนงาม“ท่านแม่”ลู่หลิ่งวิ่งตึกๆ กลับมาหาซานซาน มือเล็กยกกระดาษที่มีหมึกวาดอักษรขึ้นสูง โอ้อวดเต็มที่“หลิ่งเอ๋อร์เขียนเอง ได้พี่สาวสอน งามหรือไม่?” ซานซานยังไม่ทันได้ชื่นชม เสียงสดใสของแม่นางน้อยอีกคนก็ดังขึ้น “น้องหลิ่งฉลาดมากๆ เลย ข้าสอนแค่ครั้งเดียว เขียนได้ตั้งหลายตัวเจ้าค่ะ”หลิ่งเอ๋อร์หัวเราะร่าเริง “ข้าชอบเขียนที่สุด”บุตรสาวจางเหรินตบไหล่ “ชอบเขียนแสดงว่าชอบเรียน”“อื้ม...ข้าชอบเรียนที่สุด”“ชอบเรียนก็ต้องได้เรียน”“อื้ม...เรียนที่ใด?”“ก็สำนักศึกษาอย่างไรเล่า”“สำนักศึกษารึ?”“ใช่!”“คือที่ใด?”“โอ...เจ้าไม่รู้ได้อย่างไร?”“ข้าไม่รู้”“เฮ้อ! ช่างเถอะๆ มานี่”เด็กหญิงทั้งสองคุยกันเสร็จก็จับมือวิ่งตึงๆ จากไปซานซานได้แต่มองตาม ไม่ทันได้เอ่ยปากสักคำทว่าโดยที่ไม่มีใครรู้ นางได้จดจำคำพูดเล็กๆ น้อยๆ นี้กลับไปคิดเสียมากมายหลังจากหาเงินร
ทางฝั่งหนึ่งในถ้ำใต้แท่นหิน ลู่หลิ่งกำลังขี่หลังอาหู่เล่นซนไปทั่วบัดนี้อาหู่มิใช่ลูกเสือดาวหิมะตัวเล็กๆ อีกแล้ว เพราะว่าซานซานไปอยู่ในเมืองเสียเนิ่นนาน มันที่เป็นสัตว์โตเร็วอยู่แล้วจึงตัวใหญ่ผิดหูผิดตา พละกำลังก็มีเพิ่มขึ้นมากทว่ายังคงจดจำกลิ่นของสองแม่ลูกได้ดี โดยเฉพาะกลิ่นของลู่หลิ่งขณะกำลังขี่หลังเสือ สาวน้อยลู่หลิ่งก็มองซ้ายมองขวา เห็นมารดายังไม่กลับมา จึงกระซิบกับสหาย“อาหู่ ข้าอยากออกไปเล่นข้างนอก”ถึงแม้อาหู่จะฟังภาษามนุษย์ไม่เข้าใจ แต่เท้าเล็กๆ ที่ตีตะปบตรงก้นผสานกับมือน้อยๆ ที่บิดหูไปมา เพื่อสั่งให้มันเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตามทิศทางที่ต้องการ ไม่นาน ...มันก็พาลู่หลิ่งออกมายืนนิ่งอยู่นอกถ้ำแล้วเด็กน้อยหัวเราะชอบใจ เปล่งเสียงกังวานใสเบิกบานยิ่ง อาหู่เห็นเช่นนั้นก็พานางกระโจนวิ่งเล่นไปทั่วแท้จริงแล้วอาหู่คือเสือตัวผู้ น่าเกรงขามเป็นที่สุดและระหว่างที่มันอยู่ตามลำพัง มันยังท่องเที่ยวไปทั่วป่า สร้างอาณาเขตของตนเองได้กว้างขวางนักทั้งสองคือสัตว์ป่ากับเด็กน้อยช่างกระตือรือร้นกับการหนีเที่ยวยิ่งนัก พริบตาเดียวก็ออกมาไกลโขสัญชาตญาณของพยัคฆ์คือการปกป้อง ลู่หลิ่งย่อมปลอดภัยไร้กังวล
การต่อสู้เบื้องหน้ายังคงดำเนินไป ยิ่งนานชายในชุดทหารยิ่งปราชัย คนชุดดำยิ่งขยับเข้ามาใกล้ เสียงดาบแกว่งไกว ทั้งว่องไวและคุกคาม ยิ่งนานยิ่งเสียดแทงแก้วหูอาหู่หมอบตัวกับพื้นดินให้ลู่หลิ่งลงจากหลังเด็กน้อยจึงยืนเบื้องหน้าสาวงาม โดยมีเสือดาวหิมะยืนตระหง่านอีกชั้นหนึ่ง กางกั้นเภทภัยที่กำลังกล้ำกรายเหล่าสตรีเจ้าก้อนแป้งในชุดสีชมพูอ่อนหวาน บนศีรษะหวีเกล้าเป็นมวยสองข้าง ผมดำขลับทรงหน้าม้าน่ารัก แก้มชมพูอวบอิ่ม ผิวขาวผ่องนุ่มนิ่ม สองเท้าเล็กยืนนิ่ง สองแขนกางออกผงาดกล้า ในมือน้อยๆ มีมีดพับข้างละเล่ม สะบัดเบาๆ ก็ยาวยื่น ขยายการปกป้องออกไปราวหนึ่งฉื่อ[1]สตรีทั้งสองผู้กำลังถูกปองร้ายจึงได้รับการคุ้มครองเช่นนี้ พวกนางเบิกตากว้างแทบถลน คนสองคนที่เป็นผู้ใหญ่ถึงกับลืมกรีดร้องกันเลยทีเดียวอาหู่ค่อยๆ ย่ำเท้าทั้งสี่ขึ้นหน้า รอจังหวะเข้าขย้ำศัตรูให้จมเขี้ยว ในขณะที่ลู่หลิ่งค่อยๆ ก้าวเท้าถอยหลัง เมื่อถึงตัวของหญิงงามทั้งสอง นางจึงยื่นมีดสั้นในมือให้“พวกท่านถือเอาไว้ก่อน”คล้ายกับถูกฝากของ หญิงทั้งสองรับเอาไว้อย่างลังเล เห็นเด็กน้อยตัวเล็กหันมามองด้วยดวงตากลมโตบริสุทธิ์สัตย์ซื่อ นางยกยิ้มน่ารัก กำชับ
เมื่อก้าวเท้าเข้ามาในถ้ำพร้อมอาหารเต็มอ้อมแขนซานซานพลันขมวดคิ้วแน่น มองกวาดจนทั่วบริเวณถ้ำอยู่สองรอบก็ยังไม่พบตัวบุตรสาว กระทั่งเสือดาวหิมะก็ยังหายตัวไปแม้นางจะคิดว่าลู่หลิ่งคงให้อาหู่พาไปเที่ยวเล่นซุกซนด้านนอกไม่ไกล แต่สัญชาตญาณแห่งมารดาไม่เคยธรรมดา พริบตาต่อมาซานซานก็พลิกกายพุ่งทะยานด้วยหัวใจที่เต้นระรัววิชาตัวเบาเลิศล้ำทำให้ใช้เวลาแค่หนึ่งเค่อ หญิงสาวก็พบร่องรอยอันน่าสงสัย เบื้องหน้าในระยะสายตามีซากศพคนตาย ทั้งทหารอาภรณ์แดงและคนชุดดำนอนสิ้นชีพกระจายเกลื่อนไม่ไกลกันจึงได้เห็นขลุ่ยหยกหักสองท่อน ยังมีมีดสั้นของลู่หลิ่งตกอยู่ทั้งสองเล่ม และเสือดาวนอนจมกองเลือดสีแดงฉาน“อาหู่!”ซานซานตระหนกวูบ คล้ายหัวใจดิ่งลงเหวทันใดเสือดาวหิมะเห็นเจ้านายมาแล้วก็ส่งเสียงครางอย่างยินดี“หลิ่งเอ๋อร์เล่า?” ซานซานถามพลางโรยยาห้ามเลือดสมานแผลให้อาหู่กำลังวังชาของอาหู่คล้ายถูกเพิ่มฉับพลัน มันลุกขึ้นยืน ฝืนความเจ็บจนขาสั่น ก่อนจะพยายามกระโจนตัวตามกลิ่นไป ...กลางป่าอีกฝั่งหนึ่งห่างจากจุดเข่นฆ่าออกมาราวครึ่งลี้นักฆ่าเหลือพวกพ้องทั้งสิ้นแปดคน สี่คนถูกพิษจนไม่อาจเดินทางต่อแม้ครึ่งก้าว ได้แต่นอนครวญครา
ลู่หลิ่งถูกกระชากคอเสื้ออย่างแรง มิอาจหลบได้ทัน ทั้งตกใจและเจ็บแปลบ จึงร้องไห้จ้าทว่าพริบตาตรงคอเสื้อของเด็กน้อยคงเหลือแต่ฝ่ามือหยาบหนากับเลือดกระฉูดแดงฉานติดเสื้อ ส่วนลำตัวกลับหายไปเจ้าของฝ่ามือผู้นี้ถูกดึงกระชากขึ้นไปบนต้นไม้ ดิ้นพล่านขลุกขลักค้างเติ่งอยู่บนนั้น ที่ลำคอมันมีเชือกเถาวัลย์รั้งเอาไว้จนลิ้นจุกปากตาเหลือกแทบถลนออกนอกเบ้า รอความตายกลืนกินอย่างทรมานไม่นานก็ได้ยินเสียงลำคอของมันหักดังกร๊อบ เพราะขยับเหวี่ยงแขนที่ถูกตัดขาดด้วยความเจ็บปวดรุนแรงเกินไป ยังผลให้ตายเร็วอย่างที่สุดชายอีกสองคนยังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกกระชากจากฝ่ามือปริศนาจนกระเด็นออกห่างจากลู่หลิ่งไปไกลหลายจั้ง ประหนึ่งถูกปีศาจรั้งกระตุกตรงจุดที่มันทั้งสองตกกระแทกพื้นดิน มีร่างระหงของซานซานรอรับอยู่แล้ว ด้วยดาบโค้งเงาจันทร์ที่เสี่ยเฟิงตีขึ้นมานางสะบัดดาบในมือทั้งสองข้างเพียงพรึบเดียว หัวของชายชุดดำทั้งด้านซ้ายและด้านขวาพลันสะบั้นในพริบตา พวกมันยังไม่ทันได้อ้าปากร้องด้วยซ้ำ“ท่านแม่!”ลู่หลิ่งร้องเรียกมารดา น้ำตาไหลนองเต็มสองแก้มอาหู่ที่ติดตามซานซานมารีบกระโจนเข้าหาเด็กน้อยทันทีคนชุดดำที่เหลืออีกห้าคนเบิกตาโพลงอย
ชั่วอึดใจซานซานพลันดีดตัวขึ้นสูง ดึงร่มคันเล็กจากเอวด้านหลัง แล้วเหวี่ยงไปทางกลุ่มของบุตรสาวร่มคันนี้คือหนึ่งในอาวุธสังหารที่ซานซานออกแบบคร่าวๆ แล้วให้เสี่ยเฟิงเค้นสมองปรับเปลี่ยนเพิ่มประโยชน์จากกันแดดฝนร่มกางออกแล้วหมุนอยู่กลางอากาศ สาดกระจายเข็มพิษออกรอบทิศเป็นวงกว้าง เพื่อปกป้องสตรีสามคนและเสือดาว มิให้ใครย่างเท้าเข้ากล้ำกรายคนชุดดำที่ไม่ทันตั้งตัวย่อมหลบไม่ทัน ถูกพิษจากร่มไปอย่างช่วยไม่ได้ส่วนพวกที่เหลือ ซานซานเพียงพุ่งตัวอ้อมมาตลบหลังรอบในมีเข็มพิษพุ่งกระจายปลิดชีพผู้คนในพริบตา รอบนอกของเหล่าชายชุดดำมีซานซานลอบสังหารครอบคลุม เรียกได้ว่าหนึ่งล้อมสิบ นางพลิกกายปราดเปรียว สองแขนไขว้กัน สองมือกำดาบเสี้ยวจันทร์ดาบโค้งสองอันประกบเข้าด้วยกันกลับผสานเป็นหนึ่ง ร่างระหงหมุนตัวด้วยกระบวนท่าวายุคลั่ง แล้วสะบัดออกสุดแขน ตวัดดาบอย่างแรง ใบไม้แห้งรอบด้านยังกลายเป็นใบมีดคมกริบปลิวว่อน สังหารผู้คนจนทั่ว ดาบแยก กายแยก เลือดสาดกระจายซ่านเซ็นหญิงสาวทำเช่นนั้นฝ่ากลุ่มคนชุดดำตั้งแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้าย คนร้ายทั้งหลายออกกระบวนท่าแรกยังไม่ทันครบถ้วนก็ถูกกระบวนท่าเดียวของซานซานกลืนกินไปสิ้นร่มยังไ
ถึงแม้ว่าผิวเนื้อกระดาษจะต่างกัน เพราะแผ่นหนึ่งเป็นกระดาษตำหนักใน แผ่นหนึ่งเป็นกระดาษส่งสาร หากแต่ลายมือเหมือนกันยิ่ง “ไม่ผิด! ลายมือเดียวกัน”หลี่กุ้ยเฟยกับยี่ซินเอ่ยปากพร้อมเพรียง ยามนี้ไม่มีใครสนใจคำรายงานบนกระดาษเรื่องรัชทายาทเลยซานซานเอ่ยพึมพำ แววตาคมกริบ สาดประกายข่มขวัญ “ที่แท้ เหย่หนิวของข้า ก็คือองครักษ์ของรัชทายาทรึ?” “เขาคงปลอมตัวไปทำภารกิจลับกระมัง” ยี่ซินช่วยพินิจ“เป็นไปได้...” หลี่กุ้ยเฟยยังร่วมวิเคราะห์ซานซานได้ข้อสรุปทันที“เป็นถึงคนสนิทของรัชทายาท สกุลย่อมใหญ่โตไม่ธรรมดา เบี้ยหวัดยิ่งได้มากโข จะเลี้ยงดูภรรยาสักคนมิได้เชียวรึ? จำต้องทิ้งลูกเลยหรือไร? ข้าขอไปดูหน้าสักหน่อยเถิด”จบคำก็ลุกขึ้นทันใด ยังไม่ลืมทำความเคารพหลี่กุ้ยเฟย แล้วเดินออกจากห้องไปเลยเพราะที่ผิงเหยียน สามีใช้วิชาแปลงโฉม ซานซานจึงไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา ครานี้นับเป็นโอกาสอันดีได้เห็นหน้าชายชั่วเต็มสองตา!ท่าทางตรงไปตรงมาและไร้จริตมารยาของซานซาน แม้จะแตกต่างจากมารยาทอันพึงปฏิบัติของข้าหลวงในวังไปบ้าง ทว่าหลี่กุ้ยเฟยไม่เคยถือสา ทั้งยังชมชอบที่นางเป็นเช่นนี้หากเปรียบเทียบระหว่างสนมของฮ่อง
ภายในห้องพักผ่อนของหลี่กุ้ยเฟย ซานซานตั้งใจจัดดอกไม้ใส่แจกันหยกอย่างสวยงามที่สุดเพื่อมอบให้หลี่กุ้ยเฟย หวังประจบเอาใจ หมายมาดขึ้นแสดงเพลงพิณในงานเลี้ยงวันนี้“เจ้าดีดพิณเป็นด้วยหรือ?”หลี่กุ้ยเฟยถามเสียงเบามาก เพราะนั่งอยู่ที่โต๊ะทรงเตี้ยริมหน้าต่าง โดยมีเด็กน้อยลู่หลิ่งเล่นจนเหนื่อยฟุบหลับเป็นก้อนกลมอยู่ข้างๆ ใบหน้านุ่มนิ่มแดงเรื่อมีดวงตาที่กำลังหลับพริ้ม ปากจิ้มลิ้มสีชมพูคล้ายเคี้ยวขนมตุ้ยๆ อยู่ในฝันอย่างมีความสุข พระนางจึงไม่ประสงค์พูดคุยเสียงดังซานซานตอบกลับเสียงเบาเช่นกัน “หม่อมฉันพอมีฝีมืออยู่บ้างเพคะ” นางนั่งปักดอกไม้ใส่แจกันอยู่เยื้องไปทางด้านหลังของหลี่กุ้ยเฟยยี่ซินที่คอยปรนนิบัติรับใช้หลี่กุ้ยเฟยอยู่อีกฝั่งถามอย่างตรงไปตรงมา “สตรีที่ขึ้นแสดงล้วนแล้วแต่มีจุดประสงค์เดียวกัน ตัวเจ้ามีลูกแล้ว ผ่านการมีสามีแล้ว จักขึ้นแสดงทำไม?”ซานซานตอบกลับเสียงนุ่ม ซ่อนแววเจ้าเล่ห์มิดชิด“ใบหน้าของข้าอาจไม่งามเท่าใครเขา ไม่สูงส่ง ไม่ยั่วยวน แต่ขอแค่ได้ขึ้นแสดงเถิด เงินรางวัลย่อมไม่พลาด ข้าจะนำมาแบ่งปันให้พี่ซินด้วย”ยี่ซินขมวดคิ้วมุ่น “มั่นใจปานนั้น”“แน่นอน”หลี่กุ้ยเฟยอดมิได้ต้องคลี่ยิ้ม
ฤดูร้อนผ่านพ้นจนล่วงเข้าฤดูใบไม้ร่วงอีกไม่นานย่อมเยียบย่างฤดูใบไม้ผลิหลายเดือนมาแล้วที่ซานซานตัดสินใจพาลู่หลิ่งออกจากถ้ำแล้วติดตามหลี่กุ้ยเฟยโดยเลือกเป็นเพียงนางกำนัลคนสนิทนางปล่อยอาหู่อยู่ในถ้ำ ไม่คิดพรากสัตว์ร้ายจากป่าใหญ่ ข่าวที่พระสนมคนโปรดถูกลอบทำร้าย ได้รับการสืบสาวไปตามขั้นตอนของวังหลวง ความจริงเป็นเช่นใดซานซานไม่รู้แม้แต่น้อยนางรู้แค่ว่าลู่หลิ่งเป็นเด็กฉลาด เรียนรู้เร็ว คุ้นชินกับชีวิตพระราชวัง ในเวลาอันสั้นก็พูดจากับคนชั้นสูงได้คล่องแคล่วน่าฟัง ได้ร่ำเรียนในสำนักศึกษาของพระราชวัง ได้กินอิ่มนอนหลับ ได้รับของมีค่า มีเสื้อผ้าดีๆ สวมใส่ ได้เล่นสนุกซุกซนสมวัยและที่สำคัญ ตัวนางมียังเบี้ยหวัดเอาไว้ใช้จ่าย ชีวิตดูมีความหมายไม่น้อยซานซานในชาตินี้ทำตัวดีมีคุณค่ายิ่งนัก เพราะมีลูกแล้ว จะกระทำการใด ย่อมต้องคิดให้มาก รอบคอบเข้าไว้หากมารดาทำตัวไม่ดี ชีวิตบุตรสาวย่อมยากจะสงบสุขอีกอย่าง ชีวิตในวังหลวงแห่งนี้นับว่าดีมาก หลี่กุ้ยเฟยเอ็นดูลู่หลิ่งไม่น้อย ตัวนางเองก็มีสหายหลายคนที่พูดจาถูกคอ หนึ่งในนั้นมีนางกำนัลคนหนึ่ง นามว่าซูเหยา อายุราวสิบเก้าปี นิสัยสัตย์ซื่อ วาจานุ่มละมุน รับหน้าที่
เจ้าของวาจาน่าฟังนี้ทำท่าทางเอียงอาย “ขอพระองค์ทรงเมตตาหม่อมฉันด้วยเพคะ เพราะนี่คือครั้งแรก”ยิ่งเอ่ยใบหน้างดงามนวลผ่องยิ่งแดงปลั่งดั่งผลอิงเถา“เจ้าเป็นใคร?”จ้าวเหว่ยถามเสียงขรึม หรี่ตาลงมองฝ่ามือที่บังอาจมาแตะต้องตัวเขาเจ้าของฝ่ามือเห็นสายตาปานมีดคมจับจ้องประหนึ่งกำลังกรีดเฉือนข้อมือตน จึงชะงักค้างนิ่งงัน ค่อยๆ ดึงมือกลับ แล้วถอยหลังมายืนสำรวมอยู่ห่างจากเตียงนอนราวห้าก้าว กล่าวพึมพำว่า “หม่อมฉันจิ่วเมย บุตรสาวคนเล็กของเจ้าเมืองจิ่ว ได้รับมอบหมายให้มาดูแลองค์รัชทายาทจนกว่าจะหายดีเพคะ”จ้าวเหว่ยโบกมือให้อีกฝ่ายหยุดพล่าม พลางเอ่ยเสียงต่ำ“ข้าหายดีแล้ว กลับไปเรียนบิดาเจ้าตามนั้น ไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้าอีก”แม่นางจิ่วเมยได้ฟังพลันแข็งค้างไปทั้งร่าง ความหวังที่จะได้ติดตามเข้าวังพังทลายไปสิ้น“แต่...แต่ท่านพ่อบอกว่า หากหม่อมฉันดูแลพระองค์จนหายดี หม่อมฉันจะได้...” นางละล่ำละลักทวงความดีความชอบจ้าวเหว่ยลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง เขาตัวโตมากกว่าเมื่อห้าปีก่อนยิ่งนัก เส้นเสียงที่เคยแหบพร่าเพราะลำคอถูกทำลายก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเปล่งวาจายามอารมณ์ดีจึงทุ้มต่ำน่าฟัง ทว่าหากอารมณ์ไม่ดีกลับทรงอำ
ยี่ซินคลี่ยิ้มเต็มวงหน้า เย้าอีกประโยคว่า “เจ้าช่างไร้ใจ”ซานซานตอบรับอย่างอารมณ์ดี “ผิดแล้วๆ ข้ามีหลายใจต่างหากเล่า สามีเก่าไม่ดี ข้าก็กำลังจะหาสามีใหม่ เพียงแต่ยังหาที่ถูกใจไม่เจอเท่านั้น ด้วยเหตุผลนี้ อย่าว่าแต่องค์รัชทายาทเลย เกรงว่าชายใดก็คงไม่คิดเข้าใกล้ข้าให้ต้องแปดเปื้อนแล้ว”ถ้อยวาจานี้เรียกเสียงหัวเราะให้บังเกิดได้ไม่ยาก ทั้งยี่ซินและซานซานสนทนาต่อคำกันได้ถูกคอยิ่งและนี่คือการผ่านบททดสอบขั้นพื้นฐานอย่างเรียบร้อย…เมื่อได้เห็นท่าทางเปิดเผยจริงใจ มิได้เสแสร้งแม้เพียงนิด ไม่ปรากฏความมักใหญ่ใฝ่สูงอันใดให้เห็น ทั้งแววตายังปราศจากความหลงใหลได้ปลื้มเช่นชู้สาวต่อบุตรชายของตน หลี่กุ้ยเฟยจึงรู้สึกพึงพอใจไม่น้อย ท้ายที่สุดพระนางก็เอ่ยเสียงนุ่มน่าฟังว่า“หากเจ้าไม่รังเกียจ ในฐานะผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตกัน ข้าต้องการตอบแทนเจ้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”เสียงนี้ทำเอาซานซานกับยี่ซินต้องหยุดหัวเราะเพื่อรับฟังหลี่กุ้ยเฟยนิ่งเงียบชั่วครู่ ปรายตามองไปทางลู่หลิ่งแม่นางน้อยปล่อยผมสยายยามหลับฝัน พวงแก้มที่เคยนวลเนียนอมชมพูระเรื่อบัดนี้มีรอยแดงเพราะถูกคนร้ายตีหลายที ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีแดงสดที่ยกยิ้มได
ซานซานได้ฟังวาจาเชิญชวนยาวเหยียด เพียงเลิกคิ้ว เอ่ยเสียงเรียบ“แม้ว่าข้าจะเป็นชาวยุทธ ทว่าระบบเมืองหลวงมิใช่ไม่รู้ การเข้าเป็นองครักษ์หญิงในวังหลวง เงินเบี้ยหวัดได้มากกว่านางกำนัลเล็กๆ ก็จริง แต่ต้องผ่านการทดสอบอันหนักหน่วง”ซึ่งการทดสอบหาใช่ปัญหาสำหรับนางไม่ ที่เป็นปัญหาคือประวัติความเป็นมาต่างหาก นางมิใคร่ให้ใครล่วงรู้ตัวตนว่ามาจากไหนลูกใครสกุลใด เพราะนั่นอาจนำอันตรายที่มองไม่เห็นไปสู่ครอบครัวหาน ทั้งอาจมีปัญหายิบย่อยอันน่ารำคาญใจเพราะที่ผ่านมา ระหว่างทางที่ท่องยุทธ์ไปทั่ว นางบังเอิญได้ 'ฆ่าคน' ปะไร!หลังจากใคร่ครวญลึกซึ้งจึงโบกมือปฏิเสธ “ช่างเถิด...พวกท่านจ่ายเงินรางวัลที่ช่วยเหลือกันก็พอ ข้าไม่เข้าวังหรอก”ยี่ซินจับกระแสความคิดที่อีกฝ่ายแสดงออกว่าไม่ชอบเรื่องยิบย่อยอันน่ารำคาญ จึงรีบกล่าวอย่างเอาใจ หวังหยั่งเชิง“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่? เจ้าช่วยเหลือพระสนมซึ่งเป็นถึงพระมารดาขององค์รัชทายาท สามารถใช้เส้นสายตรงนี้โดยไม่ต้องเข้ารับการทดสอบ เพราะอำนาจรับคนเป็นสิทธิ์ของพระองค์อยู่แล้ว แค่เจ้าเข้าหาองค์รัชทายาทเท่านั้น”ยี่ซินขยับเข้าใกล้ซานซานเล็กน้อย พลางกระซิบอย่างกระตือรือร้นว่า “ไม่
ในถ้ำใต้แท่นหินได้ยินเสียงน้ำตกดังซู่ เย็นฉ่ำไปทั่วลู่หลิ่งถูกผลัดผ้าทายาป้อนเนื้อย่างจนอิ่มหนำแล้วปล่อยให้หลับใหลบนผ้าป่านไปนานแล้ว โดยมีอาหู่หมอบอยู่ข้างๆ คอยเลียแก้มเลียมือกล่อมนอนไม่ห่างไฟกองหนึ่งกำลังลุกโชนมอบความอบอุ่นให้ทุกคนในถ้ำ แสงเพลิงสีทองสาดส่องเสี้ยวใบหน้าของสตรีทั้งสามยามสนทนา เผยให้เห็นความจริงใจไร้กังขา ปราศจากการเสแสร้งใด“ที่แท้ท่านก็คือพระสนมหลี่กุ้ยเฟย”ซานซานอุทานอย่างตกใจไปทางสตรีงดงามตรงหน้านางจำได้ที่จางเหริน เสี่ยเฟิง และเว่ยลี่เคยเล่าเรื่องราวให้ฟังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในแคว้นหรือเรื่องในรั้วในวังทุกเรื่องที่ทั้งสามคนนั้นเล่าให้ฟังนั้น พวกเขายังทำท่าทางประกอบประหนึ่งเล่นงิ้ว เสมือนเป็นผู้ร่วมทุกเหตุการณ์ที่เล่ามา สมจริงยิ่ง เชื่อถือได้มารดาขององค์รัชทายาทแห่งต้าถังมีนามหลี่ฮุ่ยเยี่ยน หรือก็คือหลี่กุ้ยเฟยแน่นอนว่าสามัญชนไม่อาจเอ่ยพระนามของราชนิกุล ซานซานเพียงคิดในใจอย่างรู้กาลเทศะ นางเอ่ยต่อ“ในขณะที่รัชทายาททรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์ ทรงตรากตรำทำเพื่อบ้านเมือง แต่คนชั่วกลับลอบแทงข้างหลัง บั่นทอนกำลังด้วยการลอบทำร้ายพระมารดากระนั้นหรือ?”เรื่องราว
“ท่านแม่”ลู่หลิ่งเห็นคนชั่วตายหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ จึงลุกวิ่งตึกๆ โผหามารดา อ้าแขนออก กระโดดโถมทั้งตัวใส่ แล้วร้องไห้จ้าหญิงสาวเห็นลูกบาดเจ็บมีบาดแผลมีเลือดออก สองแก้มบวมแดง ร่ำไห้ฮักๆ จนตัวสั่น จึงใจอ่อนยวบ ความคิดจะตำหนิความซุกซนของลูกก่อนหน้าจึงตกไป นางดุไม่ออกแม้ครึ่งคำ“หลิ่งเอ๋อร์ ไม่เป็นไรแล้ว”ซานซานเอ่ยเสียงนุ่ม แววตาอ่อนโยน กอดลูกแนบอก ลูบหลังปลอบประโลมด้วยความรักใคร่สุดหัวใจ ภาพของสตรีอำมหิตโหดร้ายที่ฆ่าคนตายอย่างเลือดเย็นเมื่อครู่คล้ายไม่เคยเกิดขึ้นเดิมทีสตรีสองคนที่ได้รับความช่วยเหลือจากลู่หลิ่งยังคงรู้สึกหวาดเกรงต่อซานซานอยู่มาก ความอำมหิตชนิดดาบเดียวปลิดชีพนับสิบชีวิต ทำพวกนางผวาเยือกไม่กล้ากระทั่งร้องอุทาน ทว่าเมื่อเห็นอีกฝ่ายปลอบลูกอย่างอ่อนโยนเช่นนั้น ความหวาดหวั่นพลันตกไปสิ้น พวกนางค่อยๆ พยุงตัวกันยืนขึ้น แล้วเดินเข้ามาร่วมปลอบเด็กน้อยลู่หลิ่งด้วยมีเพียงอาหู่ที่หมอบอยู่ไม่ยอมขยับเพราะเจ็บแผลมากหนึ่งในสองสตรีแย้มยิ้มแล้วเอ่ยกับซานซาน “แม่นาง ขอบคุณเจ้ามาก บุญคุณช่วยชีวิตใหญ่หลวงนัก”ซานซานเหลือบตามองสตรีทั้งสอง เห็นคนหนึ่งใส่อาภรณ์หรูหรา ใบหน้าหมดจดงดงาม กิริยา
ชั่วอึดใจซานซานพลันดีดตัวขึ้นสูง ดึงร่มคันเล็กจากเอวด้านหลัง แล้วเหวี่ยงไปทางกลุ่มของบุตรสาวร่มคันนี้คือหนึ่งในอาวุธสังหารที่ซานซานออกแบบคร่าวๆ แล้วให้เสี่ยเฟิงเค้นสมองปรับเปลี่ยนเพิ่มประโยชน์จากกันแดดฝนร่มกางออกแล้วหมุนอยู่กลางอากาศ สาดกระจายเข็มพิษออกรอบทิศเป็นวงกว้าง เพื่อปกป้องสตรีสามคนและเสือดาว มิให้ใครย่างเท้าเข้ากล้ำกรายคนชุดดำที่ไม่ทันตั้งตัวย่อมหลบไม่ทัน ถูกพิษจากร่มไปอย่างช่วยไม่ได้ส่วนพวกที่เหลือ ซานซานเพียงพุ่งตัวอ้อมมาตลบหลังรอบในมีเข็มพิษพุ่งกระจายปลิดชีพผู้คนในพริบตา รอบนอกของเหล่าชายชุดดำมีซานซานลอบสังหารครอบคลุม เรียกได้ว่าหนึ่งล้อมสิบ นางพลิกกายปราดเปรียว สองแขนไขว้กัน สองมือกำดาบเสี้ยวจันทร์ดาบโค้งสองอันประกบเข้าด้วยกันกลับผสานเป็นหนึ่ง ร่างระหงหมุนตัวด้วยกระบวนท่าวายุคลั่ง แล้วสะบัดออกสุดแขน ตวัดดาบอย่างแรง ใบไม้แห้งรอบด้านยังกลายเป็นใบมีดคมกริบปลิวว่อน สังหารผู้คนจนทั่ว ดาบแยก กายแยก เลือดสาดกระจายซ่านเซ็นหญิงสาวทำเช่นนั้นฝ่ากลุ่มคนชุดดำตั้งแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้าย คนร้ายทั้งหลายออกกระบวนท่าแรกยังไม่ทันครบถ้วนก็ถูกกระบวนท่าเดียวของซานซานกลืนกินไปสิ้นร่มยังไ