เขามองไปยังเจี่ยนอันอันและฉู่จวินสิง พูดพึมพำออกมา “พี่ใหญ่ ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าทำไมท่านถึงได้หย่ากับพี่สะใภ้ใหญ่?”ต่อให้พี่ใหญ่จะจำพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ได้ ก็ไม่ควรจะทำเช่นนี้เสิ่นจือเจิ้งไม่อยากจะพูดถึงเรื่องเก่าอีก เขาทำหน้าเย็นชาแล้วพูดออกมา “หากว่าเจ้าไม่มีเรื่องอื่นให้พูดแล้ว ก็ออกไปเสียเถอะ”เสิ่นจืออวี้กัดฟัน สายตาที่มองไปยังเจี่ยนอันอันมีความโกรธเกลียดมากขึ้นเขารู้มาจากปากของเจียงหว่านเอ๋อร์ ว่าทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเจี่ยนอันอันที่ทำขึ้นตั้งแต่ที่เจี่ยนอันอันปรากฏตัวออกมา ก็ทำให้พี่ใหญ่เปลี่ยนเป็นเช่นนี้ถึงแม้ว่าเขาจะซาบซึ้งในบุญคุณที่เจี่ยนอันอันช่วยชีวิตเอาไว้ ทว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ก็ทำให้เขามีความไม่พอใจเจี่ยนอันอันมากขึ้นเจี่ยนอันอันมองความโกรธเกลียดในดวงตาของเสิ่นจืออวี้ออก นางพูดออกมาด้วยใบหน้าเย้ยหยัน “ทุกวันนี้ช่วยชีวิตคนยังมาถูกขุ่นเคืองเข้า ช่างเป็นเหมือนหมาป่าตาขาวเสียจริง”เสิ่นจืออวี้รู้ว่าไม่สมเหตุสมผล เขาไม่ควรจะขุ่นเคืองเจี่ยนอันอันทว่าเรื่องนี้เขาคิดไม่ออกจริงๆ ทำไมเสิ่นจือเจิ้งต้องเขียนหนังสือหย่านั่นด้วยเจี่ยนอันอันเมื่อเห็นว่าเสิ่นจือเจิ้งไม่ย
ก่อนหน้านี้เสิ่นจืออวี้พาเจียงหว่านเอ๋อร์กับเสิ่นคังไปเรือนที่สร้างเสร็จแล้วหลังนั้น เขาก็คิดอยู่ตลอดว่าจะปลอบโยนเจียงหว่านเอ๋อร์อย่างไรดีตอนนั้นเจียงหว่านเอ๋อร์เสียใจมาก โทษว่าทุกอย่างเป็นความผิดของเจี่ยนอันอันนางด่าทอว่าเจี่ยนอันอันไม่ประสงค์ดี ไปต้องตาเสิ่นจือเจิ้งหลายวันนี้เจี่ยนอันอันมาเยี่ยมเสิ่นจือเจิ้งบ่อยๆ เปลือกนอกบอกว่ามาหาพี่ชาย หากความจริงคือมายั่วยวนเสิ่นจือเจิ้งนางยังพูดว่าเจี่ยนอันอันจะให้เสิ่นจือเจิ้งปลดนาง จะได้ไปแต่งงานกับเจี่ยนอันอันได้สะดวกหากมิใช่เพราะการปรากฏตัวของเจี่ยนอันอัน เสิ่นจือเจิ้งจะพูดว่าไม่รู้จักนางได้อย่างไรกันยิ่งไม่มีทางยิ้มให้เจี่ยนอันอัน แต่กลับไม่มองนางแม้สักแวบเดียวตอนนั้นเจียงหว่านเอ๋อร์ยิ่งพูดก็ยิ่งช้ำใจ พูดเสียจนเสิ่นจืออวี้หงุดหงิดวุ่นวายใจไปหมดเขายิ่งคิดก็ยิ่งเห็นด้วยจึงบอกลาเจียงหว่านเอ๋อร์แล้วรุดมาคาดคั้นเสิ่นจือเจิ้งแต่คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะพลิกผันครั้งใหญ่กะทันหันเสิ่นจืออวี้ที่เยือกเย็นลงแล้วพบว่าตนเองเหมือนจะไม่ค่อยรู้จักเจียงหว่านเอ๋อร์เสียแล้วเจียงหว่านเอ๋อร์ที่มีความรู้เข้าใจเหตุผลคนนั้นหายไปแล้วเจียงหว่
เจี่ยนอันอันหยิบมันเผาขนาดค่อนข้างใหญ่สองหัวส่งให้ฉู่จื่อซี“ข้าจะเอาไปกินกับน้องสาวตั๋วตั่ว” ฉู่จื่อซีรับมันเผาไปแล้วก็วิ่งออกไปจากลานเรือนฟางอิ๋งเห็นอย่างนั้นก็รีบตามไปด้วยตอนนี้การระบาดของฝูงตั๊กแตนผ่านพ้นไปแล้วเจี่ยนอันอันจึงตั้งใจจะไปดูที่ทุ่งนาว่าจะสามารถปลูกผักอะไรได้บ้างนางกำลังจะออกไปก็ถูกฉู่จวินสิงรั้งไว้“เจ้ายังจะทำอะไรอีก ยุ่งมาทั้งเช้าแล้ว ไม่เหนื่อยบ้างหรือ?”ฉู่จวินสิงรู้สึกมาตลอดว่าเจี่ยนอันอันเป็นคนที่อยู่ว่างไม่เป็นคนหนึ่งนางไม่เพียงแต่คิดหาวิธีหาอาหารมาเลี้ยงปากท้องทุกคนระหว่างเดินทางมายังแดนเนรเทศแม้แต่ตอนที่มาอยู่ในหมู่บ้านชิงสุ่ยแล้ว นางก็ยังไม่เคยอยู่ว่างเจี่ยนอันอันรู้ว่าฉู่จวินสิงกลัวนางจะเหนื่อย นางเหลือบมองยุ้งฉาง ห้องใต้ดินที่นั่นเหลือผักอยู่ไม่มากแล้ว“ข้าจะไปดูที่ทุ่งนาว่าจะสามารถปลูกผักได้บ้างหรือไม่”ฉู่จวินสิงขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างออกจะเป็นห่วง “เรื่องปลูกผักพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ก็ได้ วันนี้เจ้าพักผ่อนให้เต็มที่ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น”เจี่ยนอันอันแหงนหน้ามองท้องฟ้าก็เห็นว่าเมฆฝนหลายก้อนกำลังเคลื่อนตัวมาทางนี้ดูจากลักษณะแล้วเป็นไปไ
“พวกเราเลื่อนเรื่องมีลูกออกไปก่อนได้หรือไม่?”เจี่ยนอันอันพยายามสื่อสารกับฉู่จวินสิง หวังว่าเขาจะมีความคิดเหมือนกันกับนาง“ไยต้องเลื่อนออกไปด้วย หรือว่าเจ้าไม่ชอบเด็ก?”รอยยิ้มของฉู่จวินสิงคลายออก สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาเจี่ยนอันอันรู้สึกว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องคุยกันดีๆนางหยัดตัวขึ้นนั่งแล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านพี่ ข้าคิดว่าตอนนี้พวกเรายังไม่มีความสามารถที่จะมอบครอบครัวที่มีความสุขให้กับลูกๆ”“สถานที่ที่พวกเราอาศัยอยู่ในตอนนี้แสนจะอัตคัด ท่านอยากให้ลูกของพวกเราต้องพลอยตกระกำลำบากกับพวกเราเหมือนจื่อซีอย่างนั้นหรือ?”ถ้าไม่ใช่เพราะนางคอยคิดหาวิธีทำให้คนในครอบครัวมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตลอดมาเกรงว่าตอนนี้พวกเขาคงได้ใช้ชีวิตอดมื้อกินมื้อเหมือนชาวบ้านในหมู่บ้านชิงสุ่ยไปแล้วช่วงที่ผ่านมา เจี่ยนอันอันแอบใช้ยาคุมกำเนิดที่ออกฤทธิ์ระยะยาวยานี้นางทำขึ้นมาจากสมุนไพรจีน ต่างจากยาคุมกำเนิดทั่วไป ไม่มีผลร้ายใดใดต่อร่างกายนางไม่ได้บอกฉู่จวินสิง ส่วนหนึ่งก็เพราะมีความคิดอยากหลีกเลี่ยงนางกลัวว่าฉู่จวินสิงจะไม่เข้าใจความคิดของนางจึงไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ฉู่จวินสิงเข้
“ข้าเห็นว่าคนในหมู่บ้านชิงสุ่ยแต่ละคนรูปร่างแข็งแรงล่ำสันทั้งนั้น ท่านลองสอนศิลปะการต่อสู้แบบรวบรัดให้พวกเขาสิเจ้าคะ”“เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านก็มีที่ให้ได้ใช้ความสามารถ ชาวบ้านเหล่านั้นก็อาจกลายเป็นหนึ่งในคนของท่านในอนาคต”“รอจนพวกเรามีความสามารถเพียงพอแล้วก็จะพาพวกเขาบุกไปให้ถึงเมืองจิงโจว”“แล้วถีบฉู่ชางเหยียนเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นลงมาจากบัลลังก์ฮ่องเต้ซะ!”ฉู่จวินสิงคิดไม่ถึงว่าเจี่ยนอันอันจะมองการณ์ไกลถึงเพียงนี้ความขุ่นมัวในใจเขาสลายไปในพลัน“ความคิดนี้ดี รอจนอากาศแจ่มใสแล้ว ข้าค่อยสอนการต่อสู้ให้พวกเขา”เจี่ยนอันอันยิ้มกอดฉู่จวินสิง คนทั้งสองทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอุ่นทั้งคู่คลอเคลียแนบชิดกันอย่างเร่าร้อนบนเตียงอุ่นไปพร้อมกับเสียงสายฝนข้างนอกฝนตกสักพักก็หยุดลง ท้องฟ้าเผยแสงอาทิตย์ออกมาอีกครั้งประตูห้องถูกเคาะในเวลานั้นเองเสียงของสี่เอ๋อร์ดังมาจากข้างนอก “นายน้อยรอง ฮูหยินน้อยรองเจ้าคะ ข้างนอกมีคนมาหาเจ้าค่ะ”เจี่ยนอันอันกับฉู่จวินสิงได้ยินแล้วก็สวมชุดลงมาจากบนเตียงอย่างรวดเร็วคนทั้งสองผลักประตูออกไปก็เห็นจงซิ่นพาจงหลานและเวินอี๋มายืนอยู่ในลานเรือนเหยียนเซ่าเดินออกมาจ
“พวกข้ามาคราวนี้ไม่ได้นำของดีอันใดติดตัวมาด้วย”“เหล่านี้คือผักและเนื้อสัตว์ที่ข้าซื้อมาจากในตลาด ยังมีผลไม้ด้วยเล็กน้อย”“พวกท่านอย่าได้เกรงใจ รับไว้เสียเถอะ”เจี่ยนอันอันเห็นในห่อแล้ว ไม่เพียงมีผัก แต่ยังมีไก่ฟ้าหนึ่งตัวกับปลาอีกสองตัวนางก็ไม่เกรงใจ บอกให้สี่เอ๋อร์นำสิ่งของเหล่านี้ไปทำมื้อเย็นสี่เอ๋อร์มีแรงเยอะมาก หิ้วห่อสัมภาระหนักอึ้งก็ไม่รู้สึกว่าหนักเวินอี๋พูด “นายท่าน ข้ามาคราวนี้เพราะหวังจะมาพึ่งพาอาศัยท่าน ไม่ทราบว่าท่านยินดีให้ข้าอยู่ด้วยหรือไม่?”เมื่อเวินอี๋พูดประโยคนี้ออกมา เจี่ยนอันอันพบว่าใบหน้าที่เดิมยังเบิกบานใจของจงหลานพลันเผือดสีเห็นทีเรื่องที่เวินอี๋ต้องการมาขอพึ่งพาฉู่จวินสิงคงจะไม่ได้พูดกับจงหลาน“อาเวิน ท่านไม่คิดจะกลับไปกับพวกข้างั้นหรือ?” จงหลานพูดแล้ว ดวงตาก็ค่อยๆ แดงเรื่อขึ้นมาเวินอี๋เพียงแต่ยิ้ม ความปวดใจที่ยากจะสังเกตวาบผ่านดวงตาเห็นเวินอี๋ไม่พูดอะไร จงหลานก็พลันแสบจมูก น้ำตาคลออยู่ในเบ้าตาแต่ที่นี่มีคนมาก นางไม่สะดวกจะร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าคนนอกจงหลานสูดจมูก บังคับตัวเองไม่ให้น้ำตาไหลลงมาความสนใจของฉู่จวินสิงไม่ได้อยู่ที่จงหลานเขาเห
เจี่ยนอันอันอ่านความคิดจงหลานออกมาตั้งนานแล้วนางลูบศีรษะจงหลานอย่างแผ่วเบา “เด็กโง่ เจ้าก็น่าจะรู้ความคิดของเวินอี๋อยู่”“เขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของสามีข้า ย่อมต้องกลับไปอยู่กับสามีข้าเป็นธรรมดา”“ตอนนี้เจ้ายังเด็ก ยังไม่ถึงวัยที่จะแต่งงาน”“แต่เจ้าวางใจได้ ข้าจะช่วยเจ้าตาดูเวินอี๋ไว้ ไม่ให้เขาไปชอบพอหญิงอื่น”“รอไว้เจ้าเติบใหญ่แล้วข้าค่อยเป็นแม่สื่อให้พวกเจ้าสองคน แบบนี้ดีหรือไม่?”จงหลานกะพริบดวงตาคู่โตที่เปียกชื้นโดยที่หยาดน้ำตายังคงเกาะอยู่บนใบหน้า“ท่านอาพูดจริงหรือ?” จงหลานไม่ค่อยกล้าเชื่อนักเพื่อให้จงหลานเลิกเศร้าใจขนาดนั้น นางให้คำรับรองว่า “ข้าไม่เคยโกหก เจ้าวางใจได้เลย”จงหลานพยักหน้าอย่างแรง ใบหน้ามีรอยยิ้มเผยออกมาในที่สุดเจี่ยนอันอันตักน้ำหนึ่งกะละมังมาให้จงหลานล้างหน้าออกไปแล้วจงซิ่นจะได้ไม่เห็นพิรุธ หลังจากที่จงหลานล้างหน้าเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองคนก็ค่อยกลับออกไปที่ลานบ้านเจี่ยนอันอันสังเกตเห็นว่าสายตาที่เวินอี๋มองมาเจือด้วยความรู้สึกผิดแต่สุดท้ายเขาก็หันไปทางอื่นโดยไม่ได้พูดอะไรเจี่ยนอันอันกับจงหลานกลับไปนั่งที่ โดยที่จงหลานนั่งถัดจากเวินอี๋นางสา
แม้นางจะไม่อาจอยู่ใต้ชายคาเดียวกับเวินอี๋ แต่อย่างน้อยได้อยู่กับเขาต่ออีกสักคืนก็ยังดีทว่าเวินอี๋กลับเพียงแค่เผยอปาก ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้นหัวใจของจงหลานดิ่งลงสู่ก้นเหวอีกครั้ง เจี่ยนอันอันเห็นว่าทำอย่างไรจงซิ่นก็ไม่ยอมอยู่ค้างแรม นางจึงเสนอให้พาพวกเขาไปส่ง“จะได้อย่างไรกัน พวกท่านเองก็เหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ไม่ต้องไปส่งพวกข้าหรอก”“ข้ากับจงหลานขาแข็งแรงกันมาก เดินกลับกันเองได้”จงหลานมุ่ยปาก นางอยากจะร้องไห้ขึ้นมาอีกรอบเจี่ยนอันอันคิดในใจว่าอย่างไรนางก็ต้องไปซื้อไม้ที่อำเภอไถหยางอยู่แล้วเช่นนั้นก็ถือโอกาสไปส่งพวกเขาเลยก็แล้วกันหลังจากที่เจี่ยนอันอันบอกถึงความคิดของตัวเอง จงซิ่นก็ไม่ได้ปฏิเสธอีกพวกนางเดินออกจากลานบ้านแล้วขึ้นรถม้าจงหลานมองเวินอี๋ อยากจะชวนให้เขาขึ้นรถม้าด้วยกันเหลือเกินแต่นางไม่กล้าทำแบบนั้น นางกลัวท่านปู่รู้แล้วจะตำหนิว่านางไม่รู้ความนางทำได้แค่มองเวินอี๋ด้วยสายตาคาดหวังคืนนี้เวินอี๋ดื่มสุราไปไม่น้อย สาเหตุแรกเป็นเพราะดีใจที่ได้กลับมาพึ่งพิงฉู่จวินสิงส่วนสาเหตุที่สองเป็นเพราะรู้สึกอาลัยอาวรณ์ที่ต้องแยกจากกับจงหลานเวลานี้เวินอี๋หน้าแดงก่ำ เขาตั
แต่ไม่ว่าเขาออกแรงมากเท่าไรก็ไม่อาจผลักหินยักษ์ออกไปได้ก่อนหน้านี้ที่นี่ก็เคยเกิดการถล่มมาก่อน แต่ไม่ได้หนักหนาเท่าครั้งนี้หากยังไม่ช่วยคนข้างในออกมา เกรงว่าเด็กสองคนนั้นคงต้องจบชีวิตลงที่นี่จริงๆ แล้วเจี่ยนอันอันขมวดคิ้วมุ่น นางพลันก้าวออกมาบริเวณหน้าถ้ำแล้วออกแรงผลักหินยักษ์ก้อนนั้นแต่หินยักษ์หนักเกินไป นางผลักอยู่หลายทีแต่ก็ไม่สามารถทำให้หินยักษ์นั้นขยับเขยื้อนได้เลยฉู่จวินสิงก็รีบเดินเข้ามาหา เขาให้เจี่ยนอันอันถอยออกไปแล้วรวบรวมกำลังภายในฟาดฝ่ามือใส่หินยักษ์ก้อนนั้นอย่างหนักหน่วงครั้นฝ่ามือนั้นฟาดลงไป หินยักษ์ก้อนนั้นเพียงสั่นคลอนไม่กี่ที แต่ก็ไม่ได้ถูกกำลังภายในทะลวงไปได้ขณะที่ทุกคนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีนั่นเอง เจี่ยนอันอันพลันกวาดตามองคลังอาวุธในมิติครุ่นคิดว่าสามารถหยิบระเบิดออกมาจากในนั้นสักลูกได้หรือไม่โชคดีที่ตอนที่นางช่วยสองแม่ลูกสกุลเฉียวต่อกรกับเฝิงซานกวงก่อนหน้านี้ คลังอาวุธได้เลื่อนขั้นอย่างเงียบๆคำประกาศปรากฏขึ้นในมิติ : [ระดับคลังอาวุธ 50 สามารถหยิบอาวุธได้สองชนิด]เจี่ยนอันอันนึกยินดี นางรีบบอกให้ทุกคนหลบไปนอกเหมือง แม้แต่ฉู่จวินสิงก็ให้ออกไปจากตร
เจ้าเมืองตานประสานมือต่อเจี่ยนอันอันและฉู่จวินสิง “เรื่องราวได้จบลงแล้ว ข้าน้อยคงต้องขอกลับจวนไปไต่สวนเรื่องนี้ต่อ ขอลาแต่เพียงเท่านี้”เจี่ยนอันอันประสานมือตอบเช่นกัน “ท่านค่อยๆ เดิน ไม่ส่งแล้ว อย่างไรคงต้องรบกวนท่านให้ความเป็นธรรมแก่เรื่องนี้”“ข้าน้อยทราบดี” เจ้าเมืองตานกล่าวพลางขึ้นรถม้าไปพร้อมกับถอนหายใจหนักหน่วงอีกครั้งเหตุใดเขาจึงมีหลานชายที่ชอบก่อเรื่องนี้เช่นนี้หนอ? ช่างไม่ยอมปล่อยให้เขาได้อยู่สบายบ้างเลยรอจนเจ้าเมืองตานจากไปแล้ว เจี่ยนอันอันจึงหันมามองเหล่าบริวารของเฝิงซานกวงอีกครั้งซึ่งทุกคนต่างก็รู้ว่า ยามนี้ในเหมืองได้เปลี่ยนเจ้าของใหม่แล้วพวกเขาจึงไม่กล้าทำส่งเดชอีก ได้แต่ก้มหน้าก้มตายืนนิ่งอยู่เจี่ยนอันอันกล่าวเสียงเย็นชา “พวกเจ้ามัวยืนเซ่อหาอันใดอีก ที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของเฝิงซานกวงอีกแล้ว แต่ละคนจงรีบไสหัวไปให้พ้น”“หากวันหน้าข้าได้รู้ว่า พวกเจ้ากลับมาก่อเรื่องที่นี่อีก ข้าจะให้มีจุดจบเช่นเดียวกับเฝิงซานกวง”บรรดาลูกน้องเฝิงซานกวงเห็นว่าบัดนี้คงได้ตกงานเป็นแน่แท้ต่อไปจะรับเงินใต้โต๊ะคงไม่มี ยิ่งอย่าหมายว่าคิดลักขโมยแร่หินในเหมืองออกไปขายบ้างจึงต่างพากัน
แต่เรื่องนี้หากจะว่าไป ก็ล้วนเป็นความผิดของเฝิงซานกวงหากเขามิได้แอบใช้แรงงานเด็ก เจี่ยนอันอันก็ไม่อาจใช้เพียงหนึ่งร้อยตำลึง มาซื้อเหมืองแร่แห่งนี้ได้ไม่ทันรอให้เจ้าเมืองตานได้กล่าวตอบ เฝิงซานกวงกลับโมโหขึ้นก่อน “นังตัวดี อย่าถือว่าเคยเป็นอดีตชายาเยียนอ๋องมาก่อน ก็จะใช้เงินเพียงหนึ่งร้อยตำลึงมาซื้อเหมืองของข้าได้”“ขอบอกให้รู้ เหมืองแห่งนี้ข้าเป็นคนขุดขึ้นเอง จะไม่มีวันยอมขายให้เจ้าเด็ดขาด”เจี่ยนอันอันมองหน้าเฝิงซานกวงด้วยแววตาดูหมิ่น สีหน้าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน“ฟังนะเฝิงซานกวง บัดนี้เจ้ากลายเป็นนักโทษแล้ว มีสิทธิ์อันใดมาเพ้อเจ้อไร้สาระกับข้าอีก”เฝิงซานกวงโกรธจนสุดจะทนไหว พลันกระอักโลหิตออกจากปากทันทีพร้อมพาเอาฟันหน้าสองซี่ที่ถูกต่อยร่วงเมื่อครู่นี้ออกมาด้วยเจ้าเมืองตานรู้ดีว่าไม่อาจสู้เจี่ยนอันอันกับฉู่จวินสิงได้ อีกทั้งเรื่องนี้ก็เป็นความผิดของเฝิงซานกวงจริงว่าตามกฎหมายแล้ว เมื่อเฝิงซานกวงทำผิดเช่นนี้ เหมืองของเขาก็ควรจะถูกทางการยึดคืนดังนั้นเจี่ยนอันอันจึงได้มาพูดกับเขา ว่าจะขอซื้อเหมืองแห่งนี้ไว้เองอีกทั้งเฝิงซานกวงก็ไม่มีสิทธิ์ชอบธรรม ที่จะยับยั้งการซื้อขายของ
“นี่คือสัญญาฉบับใหม่ที่ข้าเพิ่งเขียนขึ้นมา ทั้งเฝิงซานกวงและเฉียวซื่อต่างได้ลงชื่อเรียบร้อย”“จึงอยากให้ท่านเจ้าเมืองได้ลงชื่ออีกคน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว วันหน้าเฝิงซานกวงจะได้ไม่กล้าบิดพลิ้วไปล่วงเกินเฉียวซื่ออีก”เจ้าเมืองตานมองดูข้อความในสัญญาฉบับใหม่ เห็นเนื้อหาล้วนสมเหตุสมผลดีอีกทั้งเรื่องนี้ก็ถือเป็นความผิดของเฝิงซานกวงก่อน จึงยอมรับพู่กันมา พร้อมทั้งเขียนชื่อตนเองลงไปเจี่ยนอันอันยิ้มๆ พร้อมนำแป้นประทับตรา มอบให้เจ้าเมืองตานได้ประทับลายนิ้วอีกซ้ำอีกสัญญาชุดเดียวกันแต่มีสองแผ่น เจี่ยนอันอันจึงแบ่งให้เจ้าเมืองตานและเฝิงซานกวงต่างถือไว้คนละแผ่น“มีเจ้าเมืองตานเป็นพยานอีกคน หากวันหน้าเฝิงซานกวงกล้าไปล่วงเกินเฉียวซื่อสองแม่ลูกอีก ให้ข้ารู้เข้า ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้”เฝิงซานกวงแค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นึกอยากหักคอเจี่ยนอันอันให้ตายคามือไปเสียเยียนอ๋องพระชายาบ้าบออันใดกัน ยามนี้ล้วนถูกฮ่องเต้ปลดเป็นสามัญชนทั้งสิ้น ซ้ำยังถูกเนรเทศมาอยู่เมืองอินเป่ยต่างหากบัดนี้ฐานะของพวกเขา จะต่างจากเขาที่ตรงไหน?แต่พอมาอยู่นี่แล้ว ยังกล้ามาทำเหิมเกริมอีกรอให้เรื่องนี้จบสิ้นเมื่อใด ต้องหาวิ
แต่หากเป็นความผิดของอีกฝ่ายหนึ่ง เขาในฐานะอารอง ก็จะไม่ละเว้นผู้ทำร้ายเฝิงซานกวงเช่นกันแต่ไม่คาดคิดว่า เพียงลงจากรถม้า ก็ได้เห็นเยียนอ๋องและพระชายาอยู่ที่นี่ด้วยเจ้าเมืองตานนึกหวั่นใจขึ้น คงไม่ใช่เพราะเฝิงซานกวงไปทำความผิดอันใดเข้าอีกหรอกนะเจี่ยนอันอันใบหน้าแฝงรอยยิ้ม พร้อมนำสัญญาเผด็จการที่เฝิงซานกวงและเฉียวซื่อทำไว้ฉบับแรกให้เจ้าเมืองตานได้ดูเจ้าเมืองตานดูแล้วจึงเกิดความสงสัย “ในสัญญาได้ลงชื่อทั้งสองฝ่ายไว้ แสดงว่าอีกฝ่ายก็ยินยอมพร้อมใจ แล้วจะผิดอย่างไร?”แม้ว่าเงื่อนไขที่ระบุไว้จะมีแต่ความเอารัดเอาเปรียบ แต่ก็มิได้บ่งบอกถึงสิ่งใดไฉนจึงต้องบาดหมางจนให้เขามาด้วยตนเอง?และเจ้าเมืองตานก็เห็นลูกน้องของเฝิงซานกวง ต่างถูกทำร้ายจนสะบักสะบอมเขามองหน้าเจี่ยนอันอันด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางกับฉู่จวินสิงจึงต้องทำร้ายลูกน้องเฝิงซานกวงเช่นนี้เจี่ยนอันอันดึงตัวแม่ลูกตระกูลเฉียวมาเข้าใกล้ พลางกล่าวต่อเจ้าเมืองตาน “เจ้าเมืองตาน คนนี้ก็คือผู้ทำสัญญากับเฝิงซานกวง”“นางไม่รู้หนังสือ ข้อความในสัญญาล้วนเป็นเฝิงซานกวงอ่านให้ฟังทั้งสิ้น”“แต่เท่าที่ข้ารู้ เฝิงซานกวงมิได้อ่านเนื้อ
เจี่ยนอันอันแม้ถูกด่าว่าก็หาโกรธเคืองไม่ กลับกลายเป็นฉู่จวินสิงที่เดินขึ้นหน้า พลางต่อยเข้าที่ปากเฝิงซานกวงหนึ่งหมัด“เจ้ากล้าด่าเหนียงจื่อของข้า เห็นทีอยากถูกเลาะฟันออกจากปากเสียแล้ว”หมัดนี้ของฉู่จวินสิงหนักหน่วงยิ่ง ถึงขั้นทำให้ฟันหน้าของเฝิงซานกวงร่วงสองซี่ในบัดดลแต่เพราะเฝิงซานกวงถูกผ้าพันแผลปิดหน้าไว้หมด ฟันหน้าจึงค้างอยู่ในปาก จะบ้วนทิ้งก็ไม่ได้ กลืนลงคอก็ไม่กล้าอีกฟันหน้าถูกค่อยจนร่วง ริมฝีปากก็ยังแตกซ้ำความเจ็บปวดในปากนั้น แทบทำให้เฝิงซานกวงอยากด่าไปถึงบุพการีแต่ภายหลังได้ลิ้มลองหมัดของฉู่จวินสิง เขากลับไม่กล้าใช้คำพูดดุเดือดออกมาอีกแม้แต่คำเดียวทันใดนั้นเอง มีเสียงรถม้าแว่วมาแต่ไกลทุกคนหันมองไปตามเสียงนั้น จึงเห็นรถม้าของทางการวิ่งตรงมาคันหนึ่งและผู้ที่ไปส่งข่าวยังจวนเจ้าเมืองตาน ก็วิ่งตามหลังรถม้ามาเจี่ยนอันอันผุดรอยยิ้มที่มุมปาก ดูท่าเจ้าเมืองตานมาได้รวดเร็วดีแท้รถม้ามาหยุดที่เบื้องหน้าทุกคนเร็วพลัน โดยมีเจ้าเมืองตานเปิดผ้าม่านแล้วก้าวเดินลงมาทันทีที่เห็นเฝิงซานกวงใบหน้าห่อด้วยผ้าพันแผลหนาเตอะ ซ้ำมุมปากยังมีคราบโลหิตซึมออกมา“เจ้าไปก่อกรรมทำเข็ญเรื่อง
เจี่ยนอันอันยิ้มเล็กน้อย “พี่เฉียว อย่ามัวยืนเฉย รีบลงชื่อก่อนเถิด”“ประเดี๋ยวเมื่อเจ้าเมืองตานมาถึง ยังต้องให้เขาดูด้วย”เจี่ยนอันอันกล่าวเสียงเบามาก จงใจมิให้เฝิงซานกวงกับลูกน้องเขาได้ยินแต่แม่ลูกตระกูลเฉียวและฉู่จวินสิงกลับได้ยินชัดเจนฉู่จวินสิงมุมปากเชิดขึ้น คิดในใจว่าการจะสั่งสอนคนเช่นเฝิงซานกวง ต้องใช้วิธีนี้จึงจะสาสมเฝิงซานกวงได้ยินไม่ชัดว่าเจี่ยนอันอันพูดเรื่องใด แต่มั่นใจว่าคงมิใช่เรื่องดีแน่นอนเฉียวซื่อรับเอากระดาษและพู่กันไป พลางเขียนชื่อตนเองบนกระดาษด้วยลายมือโย้เย้นางกำลังคิดอยู่ว่าต้องกัดนิ้วตนให้ขาดดีหรือไม่ พลันเห็นเจี่ยนอันอันไม่รู้ไปหยิบแป้นประทับตราจากที่ใดออกมาหนึ่งอันเจี่ยนอันอันกล่าวยิ้มๆ “พี่เฉียว การประทับตราของเราไม่ต้องเสียโลหิต”เฉียวซื่อยิ้มตามเช่นกัน พลางกดนิ้วมือลงบนแป้นนั้น แล้วประทับลายนิ้วลงไปบนสัญญาอีกทีเมื่อต่างลงนามในสัญญาฉบับใหม่เรียบร้อย ฉบับเก่าก็นับว่าเป็นโมฆะไปแต่เจี่ยนอันอันกลับไม่คิดฉีกสัญญาฉบับเก่าทิ้งไป นางจะรอให้เจ้าเมืองตานมาถึง และให้เขาดูเงื่อนไขเอาเปรียบที่อยู่ในนั้นนางใช้วิธีเดียวกันนี้ เขียนสัญญาใหม่ขึ้นมาอีกฉบับ
ยามนี้เขารู้สึกเสียใจยิ่ง เมื่อครู่ไม่ควรกล่าวถึงท่านอารองออกมาเร็วถึงเพียงนั้นแต่บัดนี้ลูกน้องไปเชิญท่านอามาแล้ว ถึงตอนนั้นเขาจะทำอย่างไรดี?เมื่อนึกถึงตรงนี้ เฝิงซานกวงรีบกล่าวต่อลูกน้องอีกคน “เจ้าไปบอกให้อู่เฉียงกลับมา”ลูกน้องผู้นั้นรับคำสั่งกำลังจะรีบวิ่งไปแต่เดินได้ไม่ถึงสองก้าว พลันถูกฉู่จวินสิงขวางหน้าไว้ก่อน“ผู้ใดกล้าขยับเขยื้อน ข้าจะให้ผู้นั้นเลือดนองอาบพื้นดินในบัดดล”ลูกน้องผู้นั้นได้แต่หวาดกลัวจนชะงักงัน พร้อมหันไปมองเฝิงซานกวง“ลูกพี่...”เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ไปก็ไม่ได้อยู่ต่อก็มีความผิดเฝิงซานกวงโกรธจนกำหมัดแน่น เสียงขบฟันดังกรอดจนได้ยินชัด“พวกเจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่?”เขาเริ่มรู้แล้วว่า วันนี้ตนน่าจะเจอจิ้งจอกเขี้ยวลากดินเข้าให้แล้วดูท่าหากไม่ต้อนรับขับสู้พวกเขาให้ดี เกรงว่าอีกประเดี๋ยวจะมีจุดจบที่ไม่สู้งามนักเจี่ยนอันอันเห็นว่าเฝิงซานกวงน่าจะอับจนปัญญา จึงเอาสัญญาที่เฉียวซื่อมอบให้นางออกมา“เฝิงซานกวง นี่คือสัญญาที่เจ้าทำไว้กับเฉียวซื่อ ในนี้มีเงื่อนไขข้อหนึ่ง ข้าอาจต้องแก้ไขเล็กน้อย”เฝิงซานกวงกัดฟันกรอดอีกครั้ง บันดาลโทสะเสียจนใบหน้าที่อยู
พวกเขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรญาติที่เป็นขุนนางของลูกพี่เป็นผู้มีอิทธิพลนัก ดูแลทุกอย่างในอำเภอไถหยางก็ว่าได้เจี่ยนอันอันกล่าวเสียงเย็น “คุยมาตั้งนาน ยังไม่เห็นบอกชื่อว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ข้าว่าคงจะแต่งเรื่องส่งเดชมากกว่า”เฝิงซานกวงถูกเจี่ยนอันอันยุยงอีกครั้ง เดิมทีเขาก็ไม่อยากเอ่ยชื่อเจ้าเมืองออกมาแต่ครั้งนี้เห็นทีไม่พูดก็ไม่ได้เสียแล้ว“ฮึ่ม พูดแล้วพวกเจ้าจะตกใจ ท่านอารองของข้าเป็นเจ้าเมืองแห่งอำเภอไถหยาง”“หากพวกเจ้ากล้าแตะต้องกิจการในเหมืองของข้า ข้าจะให้ท่านอาส่งคนมาจับพวกเจ้าไปขังคุกเสีย!”เมื่อเจี่ยนอันอันได้ยินว่าอารองของเฝิงซานกวงก็คือเจ้าเมืองตานนั่นเอง นางจึงเริ่มมีแผนการในใจ“อ้อ หมายถึงเจ้าเมืองตานผู้นั้นหรอกรึ? ยังนึกว่าเป็นคนใหญ่คนโตที่ใดเสียอีก”“เชิญไปเรียกตัวมาได้เลย แล้วเรามายันกันซึ่งหน้า ให้รู้ไปว่าเขาจะเข้าข้างเจ้า หรือเห็นด้วยกับเรามากกว่า”เฝิงซานกวงมองดูท่าทีของเจี่ยนอันอัน คล้ายไม่กลัวกระทั่งคนเป็นเจ้าเมือง จึงให้ตกใจซ้ำอีกเขาแอบคิดในใจ หรือว่าท่านอารองจะรู้จักกับคนสองคนนี้?จึงหันไปกระซิบกระซาบต่อลูกน้องข้างกาย “รีบไปเชิญอารองข้ามาเดี๋ยวนี้”