เจี่ยนอันอันยิ้มแล้วนำจานส่งไปเบื้องหน้าของกวนซิน “คุณหนูกวนรีบชิมเข้า แมลงนี้หลังจากที่ทอดไปแล้วหอมอร่อยมาก” กวนซินตกใจเสียจนสีหน้าซีดขาว นางหลับตาลงโบกมือติดต่อกัน“เจ้ารีบเอามันออกไปเถอะ ของเช่นนี้จะไปกินได้อย่างไรกัน น่ากลัวจนเกินไปแล้ว”เจี่ยนอันอันนำจานจานหนึ่งวางลงบนโต๊ะ แล้วส่งสัญญาณให้ชิวเหลียนรับไปชิมชิวเหลียนเองก็ตกใจไม่น้อย นางส่ายหัวอย่างแรง ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่กล้าแตะตั๊กแตนในจานและก็เป็นในตอนนี้ ฉู่ตั๋วตั่วก็วิ่งเข้ามานางดมกลิ่นหอมจึงตามมานางมองเห็นสิ่งของที่อยู่ในจาน ก็ยื่นมือออกไปหยิบขึ้นมาหนึ่งตัวใส่เข้าไปในปากกวนซินไม่ทันได้ห้ามเอาไว้ ก็เห็นฉู่ตั๋วตั่วเริ่มเคี้ยวขึ้นมา“ตั๋วตั่ว รีบคายออกมา เจ้ากินไม่ได้”กวนซินตกใจเสียจนสีหน้าไม่น่ามอง นางกลัวว่าฉู่ตั๋วตั่วกินแมลงไปแล้วจะปวดท้องขึ้นมา“ท่านแม่ แมลงนี้อร่อยมาก ข้าไม่เคยกินแมลงที่อร่อยมากถึงขนาดนี้”หลังจากที่กวนซินได้ยินแล้ว ก็ตกใจเสียจนหลับตาลงชิวเหลียนเมื่อเห็นว่าฉู่ตั๋วตั่วกินอร่อยถึงเพียงนั้น นางเองก็อดไม่ได้ที่จะหยิบขึ้นมาหนึ่งชิ้นใส่เข้าไปในปากไม่นานนักชิวเหลียนก็รู้ว่า ตนเองเมื่อคร
เขามองไปยังเจี่ยนอันอันและฉู่จวินสิง พูดพึมพำออกมา “พี่ใหญ่ ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าทำไมท่านถึงได้หย่ากับพี่สะใภ้ใหญ่?”ต่อให้พี่ใหญ่จะจำพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ได้ ก็ไม่ควรจะทำเช่นนี้เสิ่นจือเจิ้งไม่อยากจะพูดถึงเรื่องเก่าอีก เขาทำหน้าเย็นชาแล้วพูดออกมา “หากว่าเจ้าไม่มีเรื่องอื่นให้พูดแล้ว ก็ออกไปเสียเถอะ”เสิ่นจืออวี้กัดฟัน สายตาที่มองไปยังเจี่ยนอันอันมีความโกรธเกลียดมากขึ้นเขารู้มาจากปากของเจียงหว่านเอ๋อร์ ว่าทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเจี่ยนอันอันที่ทำขึ้นตั้งแต่ที่เจี่ยนอันอันปรากฏตัวออกมา ก็ทำให้พี่ใหญ่เปลี่ยนเป็นเช่นนี้ถึงแม้ว่าเขาจะซาบซึ้งในบุญคุณที่เจี่ยนอันอันช่วยชีวิตเอาไว้ ทว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ก็ทำให้เขามีความไม่พอใจเจี่ยนอันอันมากขึ้นเจี่ยนอันอันมองความโกรธเกลียดในดวงตาของเสิ่นจืออวี้ออก นางพูดออกมาด้วยใบหน้าเย้ยหยัน “ทุกวันนี้ช่วยชีวิตคนยังมาถูกขุ่นเคืองเข้า ช่างเป็นเหมือนหมาป่าตาขาวเสียจริง”เสิ่นจืออวี้รู้ว่าไม่สมเหตุสมผล เขาไม่ควรจะขุ่นเคืองเจี่ยนอันอันทว่าเรื่องนี้เขาคิดไม่ออกจริงๆ ทำไมเสิ่นจือเจิ้งต้องเขียนหนังสือหย่านั่นด้วยเจี่ยนอันอันเมื่อเห็นว่าเสิ่นจือเจิ้งไม่ย
ก่อนหน้านี้เสิ่นจืออวี้พาเจียงหว่านเอ๋อร์กับเสิ่นคังไปเรือนที่สร้างเสร็จแล้วหลังนั้น เขาก็คิดอยู่ตลอดว่าจะปลอบโยนเจียงหว่านเอ๋อร์อย่างไรดีตอนนั้นเจียงหว่านเอ๋อร์เสียใจมาก โทษว่าทุกอย่างเป็นความผิดของเจี่ยนอันอันนางด่าทอว่าเจี่ยนอันอันไม่ประสงค์ดี ไปต้องตาเสิ่นจือเจิ้งหลายวันนี้เจี่ยนอันอันมาเยี่ยมเสิ่นจือเจิ้งบ่อยๆ เปลือกนอกบอกว่ามาหาพี่ชาย หากความจริงคือมายั่วยวนเสิ่นจือเจิ้งนางยังพูดว่าเจี่ยนอันอันจะให้เสิ่นจือเจิ้งปลดนาง จะได้ไปแต่งงานกับเจี่ยนอันอันได้สะดวกหากมิใช่เพราะการปรากฏตัวของเจี่ยนอันอัน เสิ่นจือเจิ้งจะพูดว่าไม่รู้จักนางได้อย่างไรกันยิ่งไม่มีทางยิ้มให้เจี่ยนอันอัน แต่กลับไม่มองนางแม้สักแวบเดียวตอนนั้นเจียงหว่านเอ๋อร์ยิ่งพูดก็ยิ่งช้ำใจ พูดเสียจนเสิ่นจืออวี้หงุดหงิดวุ่นวายใจไปหมดเขายิ่งคิดก็ยิ่งเห็นด้วยจึงบอกลาเจียงหว่านเอ๋อร์แล้วรุดมาคาดคั้นเสิ่นจือเจิ้งแต่คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะพลิกผันครั้งใหญ่กะทันหันเสิ่นจืออวี้ที่เยือกเย็นลงแล้วพบว่าตนเองเหมือนจะไม่ค่อยรู้จักเจียงหว่านเอ๋อร์เสียแล้วเจียงหว่านเอ๋อร์ที่มีความรู้เข้าใจเหตุผลคนนั้นหายไปแล้วเจียงหว่
เจี่ยนอันอันหยิบมันเผาขนาดค่อนข้างใหญ่สองหัวส่งให้ฉู่จื่อซี“ข้าจะเอาไปกินกับน้องสาวตั๋วตั่ว” ฉู่จื่อซีรับมันเผาไปแล้วก็วิ่งออกไปจากลานเรือนฟางอิ๋งเห็นอย่างนั้นก็รีบตามไปด้วยตอนนี้การระบาดของฝูงตั๊กแตนผ่านพ้นไปแล้วเจี่ยนอันอันจึงตั้งใจจะไปดูที่ทุ่งนาว่าจะสามารถปลูกผักอะไรได้บ้างนางกำลังจะออกไปก็ถูกฉู่จวินสิงรั้งไว้“เจ้ายังจะทำอะไรอีก ยุ่งมาทั้งเช้าแล้ว ไม่เหนื่อยบ้างหรือ?”ฉู่จวินสิงรู้สึกมาตลอดว่าเจี่ยนอันอันเป็นคนที่อยู่ว่างไม่เป็นคนหนึ่งนางไม่เพียงแต่คิดหาวิธีหาอาหารมาเลี้ยงปากท้องทุกคนระหว่างเดินทางมายังแดนเนรเทศแม้แต่ตอนที่มาอยู่ในหมู่บ้านชิงสุ่ยแล้ว นางก็ยังไม่เคยอยู่ว่างเจี่ยนอันอันรู้ว่าฉู่จวินสิงกลัวนางจะเหนื่อย นางเหลือบมองยุ้งฉาง ห้องใต้ดินที่นั่นเหลือผักอยู่ไม่มากแล้ว“ข้าจะไปดูที่ทุ่งนาว่าจะสามารถปลูกผักได้บ้างหรือไม่”ฉู่จวินสิงขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างออกจะเป็นห่วง “เรื่องปลูกผักพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ก็ได้ วันนี้เจ้าพักผ่อนให้เต็มที่ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น”เจี่ยนอันอันแหงนหน้ามองท้องฟ้าก็เห็นว่าเมฆฝนหลายก้อนกำลังเคลื่อนตัวมาทางนี้ดูจากลักษณะแล้วเป็นไปไ
“พวกเราเลื่อนเรื่องมีลูกออกไปก่อนได้หรือไม่?”เจี่ยนอันอันพยายามสื่อสารกับฉู่จวินสิง หวังว่าเขาจะมีความคิดเหมือนกันกับนาง“ไยต้องเลื่อนออกไปด้วย หรือว่าเจ้าไม่ชอบเด็ก?”รอยยิ้มของฉู่จวินสิงคลายออก สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาเจี่ยนอันอันรู้สึกว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องคุยกันดีๆนางหยัดตัวขึ้นนั่งแล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านพี่ ข้าคิดว่าตอนนี้พวกเรายังไม่มีความสามารถที่จะมอบครอบครัวที่มีความสุขให้กับลูกๆ”“สถานที่ที่พวกเราอาศัยอยู่ในตอนนี้แสนจะอัตคัด ท่านอยากให้ลูกของพวกเราต้องพลอยตกระกำลำบากกับพวกเราเหมือนจื่อซีอย่างนั้นหรือ?”ถ้าไม่ใช่เพราะนางคอยคิดหาวิธีทำให้คนในครอบครัวมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตลอดมาเกรงว่าตอนนี้พวกเขาคงได้ใช้ชีวิตอดมื้อกินมื้อเหมือนชาวบ้านในหมู่บ้านชิงสุ่ยไปแล้วช่วงที่ผ่านมา เจี่ยนอันอันแอบใช้ยาคุมกำเนิดที่ออกฤทธิ์ระยะยาวยานี้นางทำขึ้นมาจากสมุนไพรจีน ต่างจากยาคุมกำเนิดทั่วไป ไม่มีผลร้ายใดใดต่อร่างกายนางไม่ได้บอกฉู่จวินสิง ส่วนหนึ่งก็เพราะมีความคิดอยากหลีกเลี่ยงนางกลัวว่าฉู่จวินสิงจะไม่เข้าใจความคิดของนางจึงไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ฉู่จวินสิงเข้
“ข้าเห็นว่าคนในหมู่บ้านชิงสุ่ยแต่ละคนรูปร่างแข็งแรงล่ำสันทั้งนั้น ท่านลองสอนศิลปะการต่อสู้แบบรวบรัดให้พวกเขาสิเจ้าคะ”“เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านก็มีที่ให้ได้ใช้ความสามารถ ชาวบ้านเหล่านั้นก็อาจกลายเป็นหนึ่งในคนของท่านในอนาคต”“รอจนพวกเรามีความสามารถเพียงพอแล้วก็จะพาพวกเขาบุกไปให้ถึงเมืองจิงโจว”“แล้วถีบฉู่ชางเหยียนเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นลงมาจากบัลลังก์ฮ่องเต้ซะ!”ฉู่จวินสิงคิดไม่ถึงว่าเจี่ยนอันอันจะมองการณ์ไกลถึงเพียงนี้ความขุ่นมัวในใจเขาสลายไปในพลัน“ความคิดนี้ดี รอจนอากาศแจ่มใสแล้ว ข้าค่อยสอนการต่อสู้ให้พวกเขา”เจี่ยนอันอันยิ้มกอดฉู่จวินสิง คนทั้งสองทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอุ่นทั้งคู่คลอเคลียแนบชิดกันอย่างเร่าร้อนบนเตียงอุ่นไปพร้อมกับเสียงสายฝนข้างนอกฝนตกสักพักก็หยุดลง ท้องฟ้าเผยแสงอาทิตย์ออกมาอีกครั้งประตูห้องถูกเคาะในเวลานั้นเองเสียงของสี่เอ๋อร์ดังมาจากข้างนอก “นายน้อยรอง ฮูหยินน้อยรองเจ้าคะ ข้างนอกมีคนมาหาเจ้าค่ะ”เจี่ยนอันอันกับฉู่จวินสิงได้ยินแล้วก็สวมชุดลงมาจากบนเตียงอย่างรวดเร็วคนทั้งสองผลักประตูออกไปก็เห็นจงซิ่นพาจงหลานและเวินอี๋มายืนอยู่ในลานเรือนเหยียนเซ่าเดินออกมาจ
“พวกข้ามาคราวนี้ไม่ได้นำของดีอันใดติดตัวมาด้วย”“เหล่านี้คือผักและเนื้อสัตว์ที่ข้าซื้อมาจากในตลาด ยังมีผลไม้ด้วยเล็กน้อย”“พวกท่านอย่าได้เกรงใจ รับไว้เสียเถอะ”เจี่ยนอันอันเห็นในห่อแล้ว ไม่เพียงมีผัก แต่ยังมีไก่ฟ้าหนึ่งตัวกับปลาอีกสองตัวนางก็ไม่เกรงใจ บอกให้สี่เอ๋อร์นำสิ่งของเหล่านี้ไปทำมื้อเย็นสี่เอ๋อร์มีแรงเยอะมาก หิ้วห่อสัมภาระหนักอึ้งก็ไม่รู้สึกว่าหนักเวินอี๋พูด “นายท่าน ข้ามาคราวนี้เพราะหวังจะมาพึ่งพาอาศัยท่าน ไม่ทราบว่าท่านยินดีให้ข้าอยู่ด้วยหรือไม่?”เมื่อเวินอี๋พูดประโยคนี้ออกมา เจี่ยนอันอันพบว่าใบหน้าที่เดิมยังเบิกบานใจของจงหลานพลันเผือดสีเห็นทีเรื่องที่เวินอี๋ต้องการมาขอพึ่งพาฉู่จวินสิงคงจะไม่ได้พูดกับจงหลาน“อาเวิน ท่านไม่คิดจะกลับไปกับพวกข้างั้นหรือ?” จงหลานพูดแล้ว ดวงตาก็ค่อยๆ แดงเรื่อขึ้นมาเวินอี๋เพียงแต่ยิ้ม ความปวดใจที่ยากจะสังเกตวาบผ่านดวงตาเห็นเวินอี๋ไม่พูดอะไร จงหลานก็พลันแสบจมูก น้ำตาคลออยู่ในเบ้าตาแต่ที่นี่มีคนมาก นางไม่สะดวกจะร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าคนนอกจงหลานสูดจมูก บังคับตัวเองไม่ให้น้ำตาไหลลงมาความสนใจของฉู่จวินสิงไม่ได้อยู่ที่จงหลานเขาเห
เจี่ยนอันอันอ่านความคิดจงหลานออกมาตั้งนานแล้วนางลูบศีรษะจงหลานอย่างแผ่วเบา “เด็กโง่ เจ้าก็น่าจะรู้ความคิดของเวินอี๋อยู่”“เขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของสามีข้า ย่อมต้องกลับไปอยู่กับสามีข้าเป็นธรรมดา”“ตอนนี้เจ้ายังเด็ก ยังไม่ถึงวัยที่จะแต่งงาน”“แต่เจ้าวางใจได้ ข้าจะช่วยเจ้าตาดูเวินอี๋ไว้ ไม่ให้เขาไปชอบพอหญิงอื่น”“รอไว้เจ้าเติบใหญ่แล้วข้าค่อยเป็นแม่สื่อให้พวกเจ้าสองคน แบบนี้ดีหรือไม่?”จงหลานกะพริบดวงตาคู่โตที่เปียกชื้นโดยที่หยาดน้ำตายังคงเกาะอยู่บนใบหน้า“ท่านอาพูดจริงหรือ?” จงหลานไม่ค่อยกล้าเชื่อนักเพื่อให้จงหลานเลิกเศร้าใจขนาดนั้น นางให้คำรับรองว่า “ข้าไม่เคยโกหก เจ้าวางใจได้เลย”จงหลานพยักหน้าอย่างแรง ใบหน้ามีรอยยิ้มเผยออกมาในที่สุดเจี่ยนอันอันตักน้ำหนึ่งกะละมังมาให้จงหลานล้างหน้าออกไปแล้วจงซิ่นจะได้ไม่เห็นพิรุธ หลังจากที่จงหลานล้างหน้าเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองคนก็ค่อยกลับออกไปที่ลานบ้านเจี่ยนอันอันสังเกตเห็นว่าสายตาที่เวินอี๋มองมาเจือด้วยความรู้สึกผิดแต่สุดท้ายเขาก็หันไปทางอื่นโดยไม่ได้พูดอะไรเจี่ยนอันอันกับจงหลานกลับไปนั่งที่ โดยที่จงหลานนั่งถัดจากเวินอี๋นางสา
พวกเขาไม่ยอมลงมาเสียที คงกลัวจะถูกคนของทางการพบเห็นว่ามาพักอยู่ที่นี่ไม่นานก็มีเสี่ยวเอ้อยกอาหารออกมา แล้วเดินขึ้นชั้นบนไปเขาเคาะประตู ครู่หนึ่งจึงมีมือข้างหนึ่งยื่นออกมา พร้อมรับเอาถาดอาหารเข้าไปคนในห้องยังได้พูดจาบางอย่างกับเสี่ยวเอ้อ เห็นเพียงเสี่ยวเอ้อพยักหน้าหงึกหงัก หลังจากรับเงินมาแล้วจึงเดินลงชั้นล่างไปเมื่อมั่นใจว่าพวกเขายังอยู่ในห้อง เพียงไม่ได้ปรากฏตัวเท่านั้นฉู่จวินสิงจึงค่อยๆ กินข้าวช้าลงด้วยรอจนกระทั่งทั้งคู่กินข้าวเสร็จ ผู้คนในโถงกินข้าวก็ได้ออกไปกว่าครึ่งแล้วเจี่ยนอันอันซับคราบน้ำมันที่มุมปาก พลางกล่าวด้วยความพึงพอใจ “อาหารโรงเตี๊ยมนี้ช่างถูกปากข้านัก”ฉู่จวินสิงยิ้มๆ มิได้พูดจาทั้งคู่เดินขึ้นชั้นบนไป แต่มิได้กลับเข้าห้องของตน กลับเดินมาหยุดที่หน้าห้องหม่าลู่และเฉินเช่อแทนฉู่จวินสิงยกมือขึ้นเคาะประตู ไม่นานในห้องก็มีเสียงคล้ายหวาดระแวงของเฉินเช่อ“ใคร?”ฉู่จวินสิงกล่าวเสียงต่ำ “เฉินเช่อ เปิดประตู เป็นข้าเองฉู่จวินสิง”ขาดคำมิทันไร จึงได้ยินในห้องมีเสียงฝีเท้าคนเดินและไม่นานประตูก็ถูกแง้มออกเป็นซอกเล็กเมื่อเฉินเช่อเห็นผู้ที่มายืนอยู่ด้านนอก มิใช
ฉู่จวินสิงกล่าวจบ จึงปล่อยมือเจี่ยนอันอันแล้วลุกขึ้นเดินออกไปเจี่ยนอันอันเอนกายนอนลงบนเตียงเช่นเดิม มือกุมที่หน้าท้องแบนราบลูกคนนี้มาเร็วเกินไป จนนางไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจแต่มาหวนคิดอีกที เมื่อเด็กเลือกที่จะมาอยู่กับพวกเขา นางจึงมีหน้าที่ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรอให้ลูกลืมตาดูโลกเมื่อใด นางจะเลี้ยงดูให้ใช้ชีวิตสุขสบายเหมือนตนเองเจี่ยนอันอันนำยาบำรุงจากห้วงมิติออกมาแล้วกินเข้าไป พลันอาการหน้ามืดวิงเวียนค่อยบรรเทาลงบ้างนางลงจากเตียง เดินมาถึงนอกประตู จึงเห็นฉู่จวินสิงยืนอยู่ด้านนอกผู้เดียว คล้ายรับลมเย็นอยู่เจี่ยนอันอันเดินมาข้างกาย พลางเรียกเบาๆ “ท่านพี่”ฉู่จวินสิงกำลังใช้ความคิดบางอย่างอยู่ แม้กระทั่งเจี่ยนอันอันเดินออกมา เขาก็ยังไม่รู้ตัวเมื่อถูกนางเรียกเข้า จึงได้ตั้งสติกลับมาโชคดีที่บริเวณนี้ไม่มีคนนอกอยู่ด้วย มิเช่นนั้นหากให้ใครได้ยินเข้า ชายหนุ่มผู้หนึ่งเรียกหนุ่มอีกคนว่าท่านพี่ คงได้ตกใจจนตาถลนออกนอกเบ้าเป็นแน่แท้ ฉู่จวินสิงมองไปยังชั้นล่าง ยังไม่เห็นวี่แววลูกน้องสองคนจะมาถึงเขาจึงดึงตัวเจี่ยนอันอันกลับเข้าห้องไป“เหตุใดเจ้าจึงไม่นอนพักอี
เขาตื่นเต้นจนนั่งลงที่เตียง พร้อมจับมือเจี่ยนอันอันไว้ วางที่ริมฝีปากแล้วจุมพิตเบาๆ“ขอบคุณสวรรค์ ในที่สุดเราสองคนก็จะมีทายาทแล้ว”“แสดงว่าสิ่งที่ข้าทำไปก่อนหน้านี้ นับว่าไม่เสียเปล่า”เจี่ยนอันอันมองดูสีหน้าตื่นเต้นยินดีของฉู่จวินสิง นางกลับไม่ยินดียินร้ายและไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติ“เมื่อครู่นี้ท่านหมายความว่ากระไร อะไรคือสิ่งที่ทำไม่เสียเปล่า?”หรือว่าก่อนหน้านี้ฉู่จวินสิงนำยาคุมกำเนิดของนาง ไปสับเปลี่ยนเป็นยาตัวอื่น?แต่ความคิดนี้ผุดขึ้น พลันถูกเจี่ยนอันอันลบทิ้งไปเขามิใช่คนในยุคปัจจุบันเสียหน่อย จะรู้ได้อย่างไรว่ายังมียาชนิดอื่นทดแทนยาคุมกำเนิดได้แล้วฉับพลันเจี่ยนอันอันก็นึกขึนได้ว่า ครั้งแรกที่นางมีอะไรกับฉู่จวินสิง ตอนนั้นนางไม่ได้กินยาคำนวณเวลาดูแล้ว ห่างจากตอนนั้นถึงตอนนี้ ก็ประมาณหนึ่งเดือนจริงๆเจี่ยนอันอันพลันนิ่งอึ้ง นางนึกเสียใจที่วันนั้นเหตุใดจึงไม่กินยาก่อน?แต่ตอนนี้ไม่ว่าพูดอย่างไรก็สายเกินแก้ นางไม่ต้องการมีลูกเร็วขนาดนี้ แต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้วฉู่จวินสิงมองหน้าเจี่ยนอันอัน ประเดี๋ยวก็คิ้วขมวด ประเดี๋ยวก็ให้หมดอาลัยตายอยากเขารู้สึกห่อเหี่ยวลง
ยามนี้เจี่ยนอันอันรู้สึกคล้ายวิงเวียนศีรษะ เห็นทีต้องกลับไปพักเอาแรงเสียหน่อยแล้วระหว่างทางกลับโรงเตี๊ยม เจี่ยนอันอันถามฉู่จวินสิง “ท่านรู้สึกเวียนศีรษะบ้างหรือไม่?”ฉู่จวินสิงส่ายหน้า เป็นเชิงว่าตนมิได้รู้สึกผิดปกติแต่อย่างใดแต่เขากลับรู้สึกว่า มือของเจี่ยนอันอันค่อนข้างเย็น“เจ้าเป็นอะไร ร่างกายไม่สบายใช่หรือไม่?”เจี่ยนอันอันพยักหน้าเบาๆ นางกำลังรู้สึกว่าเวลาเดินคล้ายตัวลอยอย่างไรชอบกลสองเท้าเหมือนดั่งย่ำอยู่บนปุยนุ่น มีความทรมานนักฉู่จวินสิงเห็นท่าไม่สู้ดี จึงก้มตัวลงต่อหน้านาง“ขึ้นมา ข้าจะแบกเจ้ากลับไป”เจี่ยนอันอันมิได้โต้แย้ง เพราะนางรู้สึกไม่ใคร่สบายจริงๆ จึงไม่คิดขัดขืน พลางแนบลงแผ่นหลังฉู่จวินสิงฉู่จวินสิงแบกนางแล้วเดินต่อ ระหว่างทางยังถอยถามไถ่อาการเป็นระยะเจี่ยงอันอันเพียงคิดว่าอาจเพราะเมื่อครู่ฆ่าคนมากเกินไป และสูดกลิ่นคาวเลือดมากไปด้วยบวกกับยาเม็ดนั้น นางใช้เวลาอันสั้นในการปรุงออกมาสรรพคุณของยาคงไม่ดีเท่ายาที่ผลิตได้ในยุคปัจจุบันนางซบอยู่แผ่นหลังฉู่จวินสิง พร้อมนำความคิดตนพูดให้เขาฟังฉู่จวินสิงเริ่มใช้วิชาตัวเบา ทำให้การเดินเท้ารวดเร็วกว่าเมื่อคร
หลังจากทั้งคู่กินข้าวเสร็จ กลับไม่ได้พักผ่อนอยู่ในโรงเตี๊ยมหลังจากออกไปข้างนอก ก็มาอยู่ในมุมๆ หนึ่งซึ่งปลอดคนในใจรีบท่องชื่อว่านผิงพร้อมกัน และไม่นานก็หายตัวไปจากซอกมุมนั้นเมื่อพวกเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง จึงเห็นว่านผิงกับพวกกำลังเที่ยวจับคนอยู่ทุกครั้งที่จับชายคนหนึ่งได้ ก็จะหยิบภาพเขียนออกมาเปรียบเทียบดูใบหน้าทำเอาผู้คนบนท้องถนนต่างตกใจเป็นการใหญ่ฉู่จวินสิงและเจี่ยนอันอันยังอยู่ในสภาพอำพรางกายอยู่ ว่านผิงกับพวกจึงไม่รู้ว่ามีคนมาคอยติดตามและพวกเขาก็ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น กลับเดินตามพวกว่านผิงไปเรื่อยๆโดยตั้งใจว่าจะหาโอกาสเหมาะ ค่อยลงมือเสียทีเดียวเพราะถ้าอยู่ท้องถนนแล้วลงมือฆ่าคน อาจทำให้ชาวบ้านตื่นตระหนกเป็นอย่างมากพวกเขาจับคนมาหลายคน แต่ล้วนไม่ใช่คนในภาพเขียนทำเอาว่านผิงโกรธจนกำหมัดแน่น มองหน้าลูกน้องพร้อมกล่าวเสียงดุ “พวกมันยังอยู่ในเมืองหลี่จง รีบไปค้นหาให้ทั่ว อย่าได้ปล่อยผ่านแม้แต่คนเดียว!”“ขอรับ ท่านหัวหน้า”ลูกน้องรับคำโดยพร้อมเพรียง และตามหาต่อไปเมื่อพวกเขามาถึงที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง พลันเห็นข้างหน้ามีบ้านเล็กหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ดูจากประตูที่เก่าโทร
ว่านผิงส่งสายตาให้เหล่าลูกน้อง ทุกคนรีบวิ่งขึ้นชั้นบนไปต่างถือเอาภาพเหมือนออกมา พร้อมเปรียบเทียบบนใบหน้าแขกทีละคน เมื่อเห็นว่าล้วนไม่ใช่คนที่ตนต้องการจะหา อีกทั้งมองดูในห้อง จนแน่ใจว่าไม่มีใครหลบซ่อนอยู่ จึงลงไปยังชั้นล่าง“หัวหน้า ชั้นบนไม่มีคนที่เราจะหา”ว่านผิงเหลียวมองคนที่นั่งกินอาหารอยู่ในโรงเตี๊ยม มองดูแต่ละคนแล้วสำรวจขึ้นลง สุดท้ายไปจับจ้องอยู่ที่ฉู่จวินสิงและเจี่ยนอันอันเขาเห็นคนทั้งคู่ต่างก้มหน้ากินข้าว แทบไม่เงยหน้าขึ้นมองผู้ใดเสียด้วยซ้ำจึงผละจากเถ้าแก่ เดินจ้ำอ้าวไปทางฉู่จวินสิงและเจี่ยนอันอัน“เงยหน้าขึ้นมา” ว่านผิงกล่าวเสียงตะคอก กระบี่ในมือชี้ที่ลำคอฉู่จวินสิงฉู่จวินสิงแทบไม่นำพาต่อกระบี่ที่พาดคอ พลางวางตะเกียบลง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมุมปาก “ว่าอย่างไร เจ้าคิดลงมือกับข้าด้วยรึ?”ฉู่จวินสิงเลียนแบบน้ำเสียงของอิ่นเจียง พลางเหลือบตาขึ้นมองว่านผิงทันทีที่ว่านผิงเห็นหน้าฉู่จวินสิงชัดเจน จึงตกใจจนตัวสั่น พลางรีบเก็บกระบี่ขึ้น“ข้าน้อยไม่รู้ว่าใต้เท้ามาอยู่นี่ เมื่อครู่ล่วงเกินไป ขอท่านโปรดอภัยด้วย”ว่านผิงยืนอยู่ด้านข้างฉู่จวินสิง ในใจรู้สึกขนลุกขนชัน
ฉู่จวินสิงเห็นเจี่ยนอันอันในที่สุดก็ลืมตาขึ้น จึงได้กล่าวกับนาง “เมื่อครู่ข้าเรียกเจ้าอยู่หลายที เจ้าก็ไม่ขานตอบ ข้ายังนึกว่าเกิดอะไรขึ้นเสียอีก”เจี่ยนอันอันเพิ่งจะนึกได้ เมื่อครู่นางกำลังเพ่งมองภาพในมิติอยู่ ข้างโสตได้ยินเสียงคนเรียกชื่อนางจริงๆเพียงแต่ความสนใจของนาง ล้วนไปอยู่ในภาพนั้นหมดสิ้น จึงไม่ได้ใส่ใจการเรียกหาของฉู่จวินสิงนางจึงยอมให้ฉู่จวินสิงมานั่งด้านข้าง พร้อมนำภาพที่เห็น บอกเล่าให้เขาฟัง“จากที่เจ้าเล่ามา ชายสองคนที่เห็นนั้น อาจเป็นลูกน้องข้าก็ได้”เจี่ยนอันอันก็นึกถึงข้อนี้เช่นกัน หากชายสองคนนั้นไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาจริง เบื้องหน้านางคงไม่ปรากฏภาพเช่นนั้นออกมา“เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็รออยู่ในโรงเตี๊ยมนี้แหละ เพราะที่ๆ สองคนนั้นจะมาพักก็คือโรงเตี๊ยมแห่งนี้”ฉู่จวินสิงได้ยินดังนี้ พลันเกิดความคิดในใจขอเพียงชายสองคนนั้นปรากฏตัวขึ้น เขาก็จะได้สมทบกับพวกเขาทันทีเพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกเขาทั้งห้าคนหลบหนีพร้อมกัน เหตุใดจึงได้พลัดหลงกันเช่นนี้?หรือว่าลูกน้องอีกสามคนได้ถูกคนของฉู่ชางเหยียนจับกลับไปเสียแล้ว?เจี่ยนอันอันเห็นฉู่จวินสิงขมวดคิ้วมุ่น นางจึงเอ่ยปาก “อย่าเพ
ฉู่จวินสิงกล่าวเสียงก้อง “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะให้เวลาท่านสามวันในการสืบเรื่องนี้”“ถ้าไม่ได้ตัวผู้ก่อเหตุมา ข้าจะทำตามรับสั่งของฝ่าบาท สั่งประหารพวกท่านทั้งครอบครัว”คำพูดของฉู่จวินสิง ทำให้เจ้าเมืองข่งสะดุ้งอย่างแรงจนแม้แต่สะใภ้รองที่คุกเข่าอยู่ด้านข้าง ก็พลอยหวาดกลัวจนตัวสั่นไปด้วยนางแอบเหลียวมองเจ้าเมืองข่ง เห็นอีกฝ่ายก้มหน้าก้มตา ไม่รู้ว่าจะตามหาคนผู้นั้นได้พบหรือไม่หลังจากฉู่จวินสิงและเจี่ยนอันอันจากไปแล้ว เจ้าเมืองข่งค่อยทรุดตัวลงกับพื้นเขาหายใจหอบแรง หวังจะช่วยระงับความหวาดหวั่นในใจบ้างสะใภ้รองได้ยินว่าโทษถึงขั้นประหารชีวิต ทำให้นางร้อนใจจนเดือดพล่านยิ่งกว่ามดที่อยู่บนฝาหม้อร้อน น้ำตาก็ยิ่งไหลรินไม่หยุด“ท่านพ่อ ข้ายังไม่อยากตาย โรคของซีเอ๋อร์ยังไม่ทันรักษาให้หายขาด เขาจะถูกประหารเช่นนี้ไม่ได้ ท่านต้องรีบจับกุมผู้แอบอ้างชื่อผู้นั้นให้ได้นะเจ้าคะ!”เจ้าเมืองข่งมีแผนการในใจอยู่แล้ว จึงถลึงตาใส่สะใภ้รอง พลางกล่าว “เลิกร้องไห้เสียที รีบไปดูซีเอ๋อร์ก่อนว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”สะใภ้รองรีบซับน้ำตาที่นองหน้าอยู่ พลางลุกขึ้นแล้วเดินไปข้างเตียงมองดูซีเอ๋อร์ขณะนั้นมีสาวใ
เสียงของเจี่ยนอันอันดังขึ้นจากด้านหลัง “บอกให้พวกเขาถอยออกไป หาไม่ข้าจะให้พวกท่านตายทั้งบ้าน!”เจ้าเมืองข่งรู้ดีว่าสองคนนี้วรยุทธ์ไม่เบา จึงไม่กล้าทำการบุ่มบ่าม ได้แต่รีบโบกมือให้เหล่าทหารจนแม้แต่สะใภ้รองที่อยู่บนเตียง ก็ตกใจกับคำพูดเจี่ยนอันอันเสียจนต้องรีบหยุดร้องไห้โดยพลันรอให้ทหารออกไปหมดแล้ว เจ้าเมืองข่งจึงได้ถามเสียงสั่น “พวกเจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่?”“ที่เรามานี่ ย่อมได้รับพระบัญชาจากฮ่องเต้ ให้สืบเรื่องราวการสอบจอหงวนเมื่อสามปีก่อน”เจ้าเมืองข่งได้ยินคำพูดของฉู่จวินสิง พลันขมวดคิ้วมุ่น สองตาจ้องเขม็งไปที่เขาเพียงไม่นานเจ้าเมืองข่งก็สังเกตจากบุคลิกและการแต่งกายของฉู่จวินสิง ดูออกว่าอีกฝ่ายเป็นชาวจิงโจวจริงๆแต่จะบอกว่ารับพระบัญชามาจากฮ่องเต้ ก็ออกจะฟังไม่ขึ้นไปเสียหน่อย“พวกเจ้ามีสิ่งใดมายืนยันว่ารับพระบัญชามาสืบสวนข้าจริง?”ซ้ำยังเป็นเรื่องเมื่อสามปีที่แล้วฮ่องเต้ทรงมีราชกิจมากมาย จู่ๆ จะทรงนึกได้อย่างไรว่าต้องสืบสวนเรื่องการสอบจอหงวนเมื่อสามปีก่อนไม่แน่ว่าสองคนนี้ อาจเป็นผู้ใดส่งมาแก้แค้นเขาก็ได้เพราะเขาเคยรับผลประโยชน์จากผู้อื่นมาไม่น้อย อีกทั้งให้ผู้ที่สอบตก