เจียงหว่านเอ๋อร์รู้สึกเสียใจขึ้นมาอีกรอบเมื่อเห็นเจี่ยนอันอันลงสลักประตูนางอยากเคาะประตูแต่ก็กลัวจะได้ยินเสียงตวาดของเสิ่นจือเจิ้งนางทำได้เพียงอดกลั้นต่อความเสียใจและหยุดการกระทำในมือนางไม่รู้ว่าสองคนนั้นกำลังคุยอะไรกันในห้อง เจี่ยนอันอันถึงได้ต้องลงสลักประตูเช่นนี้หรือว่าเสิ่นจือเจิ้งจะพึงใจในเจี่ยนอันอัน?เจี่ยนอันอันไม่รู้ถึงความคิดภายในใจเจียงหว่านเอ๋อร์ ตอนนี้นางคิดเพียงอยากให้พี่ใหญ่หายดีในเร็ววันส่วนเรื่องอื่นๆ นางควบคุมอะไรไม่ได้มากนักนางนำยาแก้อักเสบจากในห้วงมิติออกมาฉีดให้เสิ่นจือเจิ้งหนึ่งเข็มเสิ่นจือเจิ้งรู้ว่าเจี่ยนอันอันมีห้วงมิติ แต่คิดไม่ถึงว่านางจะนำห้วงมิติมาที่นี่ได้ด้วย“อันอัน ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง แต่งงานแล้วหรือยัง?”เขามองเห็นว่าเจี่ยนอันอันใกล้ชิดกับชายหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่งมากคิดว่านั่นน่าจะเป็นสามีของนางเจี่ยนอันอันพยักหน้าน้อยๆ “พี่ใหญ่ เป็นความจริงที่ข้าแต่งงานแล้ว ครอบครัวสามีดีต่อข้ามาก”“สามีของข้ามีนามว่าฉู่จวินสิง เคยเป็นเยียนอ๋องของแคว้นไท่ยวน”“แต่เป็นเพราะเขามีอำนาจสูงกลบนายจึงถูกฮ่องเต้สุนัขลดขั้นเป็นสามัญชนและเนรเทศมาอยู่ที
นางนึกขึ้นได้ว่าเสิ่นจือเจิ้งยังไม่ได้กินอะไร ตอนนี้คงจะหิวมากแน่ ๆดังนั้นนางจึงซื้อโจ๊กแปดสมบัติถ้วยหนึ่งจากร้านค้าในมิติของนางตอนนี้เสิ่นจือเจิ้งกินอาหารที่แข็งมากหรือแห้งมากไม่ได้ การดื่มโจ๊กแปดสมบัติก็ถือว่าเหมาะสมแล้วนางเปิดถ้วยโจ๊กแปดสมบัติและตักป้อนให้เสิ่นจือเจิ้งทีละคำเสิ่นจือเจิ้งที่กำลังหิวโหยถึงที่สุด ก็กินอย่างรีบเร่งเจี่ยนอันอันรีบพูดขึ้นมาอย่างห่วงใยว่า “พี่ใหญ่ ท่านกินช้า ๆ หน่อย กินเร็วเกินไปไม่ดีต่อกระเพาะและลำไส้ของท่านนะเจ้าคะ”หลังจากป้อนโจ๊กไปได้ครึ่งถ้วย เจี่ยนอันอันก็ยืนยันว่าจะไม่ให้เขากินต่ออีกเพราะโจ๊กแปดสบัตินี้ก็ไม่ได้ย่อยง่ายนัก อีกทั้งเสิ่นจือเจิ้งก็ไม่ได้มีอาหารตกถึงท้องหลายวันแล้วหากกินมากเกินควร เขาจะปวดท้องเอาได้เจี่ยนอันอันจึงเก็บโจ๊กแปดสมบัติกลับเข้าไปในมิติ ก่อนจะยิ้มกว้างให้เสิ่นจือเจิ้งเมื่อเสิ่นจือเจิ้งเห็นเจี่ยนอันอันเบิกบานถึงเพียงนี้ เขาก็ได้แต่ส่ายศีรษะด้วยความจนใจในเมื่อมาแล้ว เช่นนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบเถิด!ยังดีที่เขาได้พบกับน้องสาวแท้ ๆ อีกครั้ง และได้รู้ว่านางใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เขาก็สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้อย
เจียงหว่านเอ๋อร์รับคำเสียงเบา ก่อนจะนำหมั่นโถวในมือเก็บลงในอกเสื้อนางไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแต่คิดว่าตอนนี้เสิ่นจือเจิ้งคงไม่ได้อยากกิน นางจึงไม่ได้รบเร้าต่อไป“เจ้าคงอยากรู้มาก ว่าเมื่อครู่ข้ากับอันอันพูดเรื่องอะไรกัน”เจียงหว่านเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อย มองเสิ่นจือเจิ้งแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบก้มหน้าลงทันทีนางไม่กล้ามองสบดวงตาเย็นชาคู่นั้นของเสิ่นจือเจิ้งเลยจริง ๆความรู้สึกห่างเหินที่แผ่ซ่านมาทำให้เจียงหว่านเอ๋อร์พลันรู้สึกขึ้นมาว่า วาสนาคู่ชีวิตระหว่างนางกับเสิ่นจือเจิ้ง คงมาถึงจุดสิ้นสุดเสียแล้วเจียงหว่านเอ๋อร์เจ็บปวดใจ แต่กลับไม่กล้ากล่าวออกมาแม้แต่คำเดียวเสิ่นจือเจิ้งมองเจียงหว่านเอ๋อร์ ก่อนจะหันสายตาไปทางอื่น“อันอันคือน้องสาวของข้า ต่อไปเจ้าจงปฏิบัติต่อนางให้ดี”เมื่อได้ยินคำว่า ‘น้องสาว’ เจียงหว่านเอ๋อร์รู้สึกแสบจมูกขึ้นมาโดยพลัน น้ำตาพรั่งพรูไหลรินไม่ขาดสายนางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่า เสิ่นจือเจิ้งมีเพียงเสิ่นจืออวี้เป็นน้องชายเพียงคนเดียว แล้วเขาจะมีน้องสาวมาจากที่ใดนางเองก็ได้ยินจากปากของคนอื่นมาว่า เดิมทีอดีตฮ่องเต้ต้องการให้อันอันและเสิ่นจือเจิ้งเข้าพิธีวิวาห์
หากนางมีความรู้เรื่องการแพทย์ ก็คงไม่ปล่อยให้เสิ่นจือเจิ้งต้องทนทุกข์ทรมานหลายวันเช่นนี้บางทีเสิ่นจือเจิ้งอาจจำนางได้แล้ว เพียงแต่เขากำลังโทษนางที่ไร้ความสามารถ ไม่อาจช่วยให้เขาหลุดพ้นจากความเจ็บปวดได้เร็วกว่านี้เมื่อเจียงหว่านเอ๋อร์เดินออกจากห้อง ก็พบว่าเสิ่นจืออวี้กำลังเดินเข้ามาจากนอกเรือน“พี่สะใภ้ พี่ชายข้าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”เจียงหว่านเอ๋อร์เม้มริมฝีปากแน่น กลั้นความรู้สึกน้อยใจเอาไว้“พี่ชายของเจ้าตอนนี้ต้องการพักผ่อน เจ้าอย่าเพิ่งเข้าไปกวนเขาเลย”เสิ่นจืออวี้พยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้เข้าไปรบกวนจริง ๆ แล้วเขาตั้งใจจะถามพี่ชายว่า เรื่องของย่าเล็กจะจัดการอย่างไรดีตอนนี้นางกลายเป็นเหมือนคนตายทั้งเป็น ซึ่งก็สมควรกับกรรมที่นางก่อแต่เสิ่นจืออวี้เร่งรีบอยากจัดการเรื่องของย่าเล็กให้เรียบร้อยไปเสียเขานึกถึงคำว่า ‘พี่สะใภ้ก็เหมือนแม่’ หากพี่ชายยังจำพวกเขาไม่ได้ เช่นนั้นเขาปรึกษากับพี่สะใภ้ก็น่าจะได้เหมือนกัน“พี่สะใภ้ ข้ามีเรื่องอยากจะหารือกับท่าน”เสิ่นจืออวี้เอ่ยพลางก้มมองเสิ่นคังเด็กคนนี้แม้จะยังอายุน้อย แต่กลับดูมีวุฒิภาวะเกินวัยเรื่องที่ย่าเล็กใช้วิชาอาคม เสิ่
เจี่ยนอันอันสั่งให้บ่าวไพร่นำร่างเฉียนซื่อวางลงกับพื้นจากนั้น นางก็หยิบผงสลายศพออกมาจากมิตินางมองไปยังเสิ่นจืออวี้อีกครั้ง “พวกท่านคิดดีแล้วใช่หรือไม่ แน่ใจว่าไม่ต้องการให้ย่ารองมีชีวิตอยู่อีกต่อไป?”เสิ่นจืออวี้กัดฟันแน่น ก่อนพยักหน้าหนักแน่น“ข้ากับพี่สะใภ้หารือกันแล้ว ย่าเล็กทำร้ายคนมากมายเพียงนั้น แถมยังทำให้พี่ชายข้ากลายเป็นเช่นนี้”"นางมีชีวิตอยู่ก็มีแต่จะสร้างภัยร้าย พวกเราไม่มีใครอยากให้นางมีชีวิตอยู่อีกต่อไป"เมื่อเสิ่นจืออวี้กล่าวเช่นนี้แล้ว เจี่ยนอันอันก็ไม่พูดอะไรให้มากความถึงอย่างไร เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของครอบครัวพวกเขา นางเพียงแค่ยื่นมือช่วยเล็กน้อยเท่านั้นท่ามกลางสายตาของทุกคน เจี่ยนอันอันโปรยผงสลายศพลงบนร่างของเฉียนซื่อเมื่อกลุ่มควันบางเบาลอยขึ้นมา ร่างของเฉียนซื่อพลันแปรเปลี่ยนเป็นกองน้ำหนองในชั่วพริบตาเสิ่นจืออวี้และคนอื่น ๆ มองดูภาพนั้นด้วยความตกตะลึง ทุกคนต่างสบตากันโดยไม่มีคำพูดใดพวกเขาแทบไม่อยากเชื่อ ว่าคนที่ยังมีชีวิตเมื่อครู่จะกลายเป็นเพียงกองน้ำหนองจากศพในพริบตาเดียวเจี่ยนอันอันยกมือขึ้นโบกต่อหน้าเสิ่นจืออวี้ ทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์“แม่น
เสิ่นจือเจิ้งมองไปรอบ ๆ เมื่อไม่เห็นเจี่ยนอันอัน จึงเอ่ยถามขึ้นว่า “อันอันล่ะ เหตุใดนางถึงไม่มากินข้าวด้วยกัน?”เมื่อเจียงหว่านเอ๋อร์เห็นว่าเสิ่นจือเจิ้งห่วงใยเจี่ยนอันอันเพียงนี้ นางก็รู้สึกน้อยใจ“ท่านพี่ แม่นางเจี่ยนกลับไปที่บ้านแล้ว ท่านกินก่อนเถิด”เสิ่นจือเจิ้งปรายตามองเจียงหว่านเอ๋อร์ และเห็นว่านางกำลังคีบเนื้อกระต่ายชิ้นหนึ่งใส่ลงในถ้วยของเขา“ข้าไม่กินของที่คนอื่นจับต้องแล้ว” เสิ่นจือเจิ้งกล่าวพลางคีบเนื้อกระต่ายจากถ้วยตัวเองไปใส่ในถ้วยของเสิ่นคังแทน“คังเอ๋อร์ กินเนื้อสิ” เสิ่นจือเจิ้งยิ้มให้เสิ่นคังการกระทำนี้ของเขาทำให้เจียงหว่านเอ๋อร์รู้สึกน้อยใจจนรู้สึกแสบจมูกนางสูดลมหายใจเข้าลึกหลายครั้ง พยายามบังคับตัวเองไม่ให้ร้องไห้ออกมาเสิ่นจืออวี้รู้สึกแปลกใจ เพราะในอดีตพี่ใหญ่ไม่เคยปฏิบัติต่อพี่สะใภ้เช่นนี้ทั้งสองคนให้เกียรติกันและกันเสมอมา ไยพี่ใหญ่จึงแสดงความห่างเหินต่อพี่สะใภ้เช่นนี้?หรือเป็นเพราะพี่ใหญ่ยังจำพี่สะใภ้ไม่ได้ เขาถึงได้เปลี่ยนไปเช่นนี้?ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างนิ่งเงียบบรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัดทุกคนก้มหน้ากินข้าวกันเงียบ ๆ ขณะที่เจียงหว่านเอ๋อร
“ข้าว่าพี่สาววันนี้ดูเหมือนว่าจะอารมณ์ไม่ดีนัก ไม่สู้ลองพูดกับน้องสาวดู?”คำของกวนซิน ทำให้จมูกของเจียงหว่านเอ๋อร์แสบร้อนขึ้นมาอีกครั้งเดิมทีความคับข้องใจในใจที่มีเดิมทีก็ไม่รู้ว่าจะพูดออกไปที่ใด ถึงแม้ว่าเสิ่นจืออวี้จะเป็นคนในครอบครัว แต่อย่างไรแล้วเขาก็เป็นชายหนุ่มความในใจของนาง จะไปแสดงออกกับเสิ่นจืออวี้ได้อย่างไรกันแต่ว่ากวนซินเป็นหญิงสาว หากว่านางนำความในใจพูดออกมา บางทีอาจจะได้รับความเข้าใจจากกวนซินก็เป็นได้เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในที่สุดเจียงหว่านเอ๋อร์ก็พูดความคับข้องใจออกมากวนซินฟังอย่างเงียบๆ รอจนเมื่อเจียงหว่านเอ๋อร์พูดออกมาจนหมดแล้วนางตบลงบนหลังมือของเจียงหว่านเอ๋อร์เบาๆ “พี่สาวกังวลใจเกินไปแล้ว”“อันอันเป็นแม่นางที่ดีคนหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างนางและฉู่จวินสิงดีเป็นอย่างมาก”“นางไม่มีทางที่จะทรยศฉู่จวินสิง แล้วหันไปเลือกอยู่กับสามีของท่าน”เจียงหว่านเอ๋อร์ยังคงรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายดายนักนางไม่สนิทกับเจี่ยนอันอัน จึงไม่รู้ว่าเจี่ยนอันอันเป็นคนอย่างไร“ทว่าเจ้าเองก็เห็นแล้วว่า สามีของข้าอยู่ในห้องกับแม่นางเจี่ยนตั้งนาน ยากจะรับรองได้ว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรกัน”
ระหว่างทาง เจี่ยนอันอันไม่ได้พูดออกมาว่าพี่ชายของนางเองก็ทะลุมิติมาเช่นกันเพราะอย่างไรแล้วที่นี้ก็ยังมีซ่างตงเยว่อยู่ด้วย นางไม่อยากให้ซ่างตงเยว่รู้เรื่องมากจนเกินไปในตอนที่ทั้งสามคนมาถึงยังอำเภอไถหยางนั้น เจี่ยนอันอันก็อยากจะไปเยี่ยมเซิ่งฟางก่อนและก็สามารถทำความเข้าใจจากเขาได้ว่าภายในตัวอำเภอนั้นมีร้านขายไม้ร้านใด ที่สามารถซื้อไม้ดีๆ ได้เซิ่งฟางตอนนี้กำลังนั่งพักผ่อนอยู่ในจวน วันนี้ไม่มีคดีใดให้ตัดสิน เขามีความสุขที่ได้อยู่เฉยๆทว่าเมื่อได้อยู่ว่างๆ แล้ว เขาก็มักจะคิดไปเรื่อยเปื่อยเขานั่งอยู่ในศาลา ถือถ้วยชาขึ้นมาวางไว้ตรงขอบปากแต่กลับลืมที่จะดื่มมันความคิดของเขา บินลอยไปยังค่ายเทียนอวิ๋นเสียนานแล้วและก็ไม่รู้ว่าเหวินอิงตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้างนางคงจะไม่ใช่เพราะว่าหลายวันมาแล้วที่ไม่ได้ข่าวคราวของเขา ก็เลยโกรธเขาขึ้นมา?อารมณ์ร้อนแรงเช่นนั้นของเหวินอิง หากว่านางไม่อยากจะรอเขาอีก แล้วไปหาคนอื่นจะทำอย่างไรกัน?และก็เป็นในตอนที่เซิ่งฟางกำลังคิดวุ่นวายอยู่นั้น เจ้าหน้าที่ทางการก็นำเจี่ยนอันอันทั้งสามคนเข้ามายังด้านหน้าศาลา“ใต้เท้า มีแขกมาเยี่ยมท่าน”เจ้าหน้าที่
พวกเขาไม่ยอมลงมาเสียที คงกลัวจะถูกคนของทางการพบเห็นว่ามาพักอยู่ที่นี่ไม่นานก็มีเสี่ยวเอ้อยกอาหารออกมา แล้วเดินขึ้นชั้นบนไปเขาเคาะประตู ครู่หนึ่งจึงมีมือข้างหนึ่งยื่นออกมา พร้อมรับเอาถาดอาหารเข้าไปคนในห้องยังได้พูดจาบางอย่างกับเสี่ยวเอ้อ เห็นเพียงเสี่ยวเอ้อพยักหน้าหงึกหงัก หลังจากรับเงินมาแล้วจึงเดินลงชั้นล่างไปเมื่อมั่นใจว่าพวกเขายังอยู่ในห้อง เพียงไม่ได้ปรากฏตัวเท่านั้นฉู่จวินสิงจึงค่อยๆ กินข้าวช้าลงด้วยรอจนกระทั่งทั้งคู่กินข้าวเสร็จ ผู้คนในโถงกินข้าวก็ได้ออกไปกว่าครึ่งแล้วเจี่ยนอันอันซับคราบน้ำมันที่มุมปาก พลางกล่าวด้วยความพึงพอใจ “อาหารโรงเตี๊ยมนี้ช่างถูกปากข้านัก”ฉู่จวินสิงยิ้มๆ มิได้พูดจาทั้งคู่เดินขึ้นชั้นบนไป แต่มิได้กลับเข้าห้องของตน กลับเดินมาหยุดที่หน้าห้องหม่าลู่และเฉินเช่อแทนฉู่จวินสิงยกมือขึ้นเคาะประตู ไม่นานในห้องก็มีเสียงคล้ายหวาดระแวงของเฉินเช่อ“ใคร?”ฉู่จวินสิงกล่าวเสียงต่ำ “เฉินเช่อ เปิดประตู เป็นข้าเองฉู่จวินสิง”ขาดคำมิทันไร จึงได้ยินในห้องมีเสียงฝีเท้าคนเดินและไม่นานประตูก็ถูกแง้มออกเป็นซอกเล็กเมื่อเฉินเช่อเห็นผู้ที่มายืนอยู่ด้านนอก มิใช
ฉู่จวินสิงกล่าวจบ จึงปล่อยมือเจี่ยนอันอันแล้วลุกขึ้นเดินออกไปเจี่ยนอันอันเอนกายนอนลงบนเตียงเช่นเดิม มือกุมที่หน้าท้องแบนราบลูกคนนี้มาเร็วเกินไป จนนางไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจแต่มาหวนคิดอีกที เมื่อเด็กเลือกที่จะมาอยู่กับพวกเขา นางจึงมีหน้าที่ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรอให้ลูกลืมตาดูโลกเมื่อใด นางจะเลี้ยงดูให้ใช้ชีวิตสุขสบายเหมือนตนเองเจี่ยนอันอันนำยาบำรุงจากห้วงมิติออกมาแล้วกินเข้าไป พลันอาการหน้ามืดวิงเวียนค่อยบรรเทาลงบ้างนางลงจากเตียง เดินมาถึงนอกประตู จึงเห็นฉู่จวินสิงยืนอยู่ด้านนอกผู้เดียว คล้ายรับลมเย็นอยู่เจี่ยนอันอันเดินมาข้างกาย พลางเรียกเบาๆ “ท่านพี่”ฉู่จวินสิงกำลังใช้ความคิดบางอย่างอยู่ แม้กระทั่งเจี่ยนอันอันเดินออกมา เขาก็ยังไม่รู้ตัวเมื่อถูกนางเรียกเข้า จึงได้ตั้งสติกลับมาโชคดีที่บริเวณนี้ไม่มีคนนอกอยู่ด้วย มิเช่นนั้นหากให้ใครได้ยินเข้า ชายหนุ่มผู้หนึ่งเรียกหนุ่มอีกคนว่าท่านพี่ คงได้ตกใจจนตาถลนออกนอกเบ้าเป็นแน่แท้ ฉู่จวินสิงมองไปยังชั้นล่าง ยังไม่เห็นวี่แววลูกน้องสองคนจะมาถึงเขาจึงดึงตัวเจี่ยนอันอันกลับเข้าห้องไป“เหตุใดเจ้าจึงไม่นอนพักอี
เขาตื่นเต้นจนนั่งลงที่เตียง พร้อมจับมือเจี่ยนอันอันไว้ วางที่ริมฝีปากแล้วจุมพิตเบาๆ“ขอบคุณสวรรค์ ในที่สุดเราสองคนก็จะมีทายาทแล้ว”“แสดงว่าสิ่งที่ข้าทำไปก่อนหน้านี้ นับว่าไม่เสียเปล่า”เจี่ยนอันอันมองดูสีหน้าตื่นเต้นยินดีของฉู่จวินสิง นางกลับไม่ยินดียินร้ายและไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติ“เมื่อครู่นี้ท่านหมายความว่ากระไร อะไรคือสิ่งที่ทำไม่เสียเปล่า?”หรือว่าก่อนหน้านี้ฉู่จวินสิงนำยาคุมกำเนิดของนาง ไปสับเปลี่ยนเป็นยาตัวอื่น?แต่ความคิดนี้ผุดขึ้น พลันถูกเจี่ยนอันอันลบทิ้งไปเขามิใช่คนในยุคปัจจุบันเสียหน่อย จะรู้ได้อย่างไรว่ายังมียาชนิดอื่นทดแทนยาคุมกำเนิดได้แล้วฉับพลันเจี่ยนอันอันก็นึกขึนได้ว่า ครั้งแรกที่นางมีอะไรกับฉู่จวินสิง ตอนนั้นนางไม่ได้กินยาคำนวณเวลาดูแล้ว ห่างจากตอนนั้นถึงตอนนี้ ก็ประมาณหนึ่งเดือนจริงๆเจี่ยนอันอันพลันนิ่งอึ้ง นางนึกเสียใจที่วันนั้นเหตุใดจึงไม่กินยาก่อน?แต่ตอนนี้ไม่ว่าพูดอย่างไรก็สายเกินแก้ นางไม่ต้องการมีลูกเร็วขนาดนี้ แต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้วฉู่จวินสิงมองหน้าเจี่ยนอันอัน ประเดี๋ยวก็คิ้วขมวด ประเดี๋ยวก็ให้หมดอาลัยตายอยากเขารู้สึกห่อเหี่ยวลง
ยามนี้เจี่ยนอันอันรู้สึกคล้ายวิงเวียนศีรษะ เห็นทีต้องกลับไปพักเอาแรงเสียหน่อยแล้วระหว่างทางกลับโรงเตี๊ยม เจี่ยนอันอันถามฉู่จวินสิง “ท่านรู้สึกเวียนศีรษะบ้างหรือไม่?”ฉู่จวินสิงส่ายหน้า เป็นเชิงว่าตนมิได้รู้สึกผิดปกติแต่อย่างใดแต่เขากลับรู้สึกว่า มือของเจี่ยนอันอันค่อนข้างเย็น“เจ้าเป็นอะไร ร่างกายไม่สบายใช่หรือไม่?”เจี่ยนอันอันพยักหน้าเบาๆ นางกำลังรู้สึกว่าเวลาเดินคล้ายตัวลอยอย่างไรชอบกลสองเท้าเหมือนดั่งย่ำอยู่บนปุยนุ่น มีความทรมานนักฉู่จวินสิงเห็นท่าไม่สู้ดี จึงก้มตัวลงต่อหน้านาง“ขึ้นมา ข้าจะแบกเจ้ากลับไป”เจี่ยนอันอันมิได้โต้แย้ง เพราะนางรู้สึกไม่ใคร่สบายจริงๆ จึงไม่คิดขัดขืน พลางแนบลงแผ่นหลังฉู่จวินสิงฉู่จวินสิงแบกนางแล้วเดินต่อ ระหว่างทางยังถอยถามไถ่อาการเป็นระยะเจี่ยงอันอันเพียงคิดว่าอาจเพราะเมื่อครู่ฆ่าคนมากเกินไป และสูดกลิ่นคาวเลือดมากไปด้วยบวกกับยาเม็ดนั้น นางใช้เวลาอันสั้นในการปรุงออกมาสรรพคุณของยาคงไม่ดีเท่ายาที่ผลิตได้ในยุคปัจจุบันนางซบอยู่แผ่นหลังฉู่จวินสิง พร้อมนำความคิดตนพูดให้เขาฟังฉู่จวินสิงเริ่มใช้วิชาตัวเบา ทำให้การเดินเท้ารวดเร็วกว่าเมื่อคร
หลังจากทั้งคู่กินข้าวเสร็จ กลับไม่ได้พักผ่อนอยู่ในโรงเตี๊ยมหลังจากออกไปข้างนอก ก็มาอยู่ในมุมๆ หนึ่งซึ่งปลอดคนในใจรีบท่องชื่อว่านผิงพร้อมกัน และไม่นานก็หายตัวไปจากซอกมุมนั้นเมื่อพวกเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง จึงเห็นว่านผิงกับพวกกำลังเที่ยวจับคนอยู่ทุกครั้งที่จับชายคนหนึ่งได้ ก็จะหยิบภาพเขียนออกมาเปรียบเทียบดูใบหน้าทำเอาผู้คนบนท้องถนนต่างตกใจเป็นการใหญ่ฉู่จวินสิงและเจี่ยนอันอันยังอยู่ในสภาพอำพรางกายอยู่ ว่านผิงกับพวกจึงไม่รู้ว่ามีคนมาคอยติดตามและพวกเขาก็ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น กลับเดินตามพวกว่านผิงไปเรื่อยๆโดยตั้งใจว่าจะหาโอกาสเหมาะ ค่อยลงมือเสียทีเดียวเพราะถ้าอยู่ท้องถนนแล้วลงมือฆ่าคน อาจทำให้ชาวบ้านตื่นตระหนกเป็นอย่างมากพวกเขาจับคนมาหลายคน แต่ล้วนไม่ใช่คนในภาพเขียนทำเอาว่านผิงโกรธจนกำหมัดแน่น มองหน้าลูกน้องพร้อมกล่าวเสียงดุ “พวกมันยังอยู่ในเมืองหลี่จง รีบไปค้นหาให้ทั่ว อย่าได้ปล่อยผ่านแม้แต่คนเดียว!”“ขอรับ ท่านหัวหน้า”ลูกน้องรับคำโดยพร้อมเพรียง และตามหาต่อไปเมื่อพวกเขามาถึงที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง พลันเห็นข้างหน้ามีบ้านเล็กหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ดูจากประตูที่เก่าโทร
ว่านผิงส่งสายตาให้เหล่าลูกน้อง ทุกคนรีบวิ่งขึ้นชั้นบนไปต่างถือเอาภาพเหมือนออกมา พร้อมเปรียบเทียบบนใบหน้าแขกทีละคน เมื่อเห็นว่าล้วนไม่ใช่คนที่ตนต้องการจะหา อีกทั้งมองดูในห้อง จนแน่ใจว่าไม่มีใครหลบซ่อนอยู่ จึงลงไปยังชั้นล่าง“หัวหน้า ชั้นบนไม่มีคนที่เราจะหา”ว่านผิงเหลียวมองคนที่นั่งกินอาหารอยู่ในโรงเตี๊ยม มองดูแต่ละคนแล้วสำรวจขึ้นลง สุดท้ายไปจับจ้องอยู่ที่ฉู่จวินสิงและเจี่ยนอันอันเขาเห็นคนทั้งคู่ต่างก้มหน้ากินข้าว แทบไม่เงยหน้าขึ้นมองผู้ใดเสียด้วยซ้ำจึงผละจากเถ้าแก่ เดินจ้ำอ้าวไปทางฉู่จวินสิงและเจี่ยนอันอัน“เงยหน้าขึ้นมา” ว่านผิงกล่าวเสียงตะคอก กระบี่ในมือชี้ที่ลำคอฉู่จวินสิงฉู่จวินสิงแทบไม่นำพาต่อกระบี่ที่พาดคอ พลางวางตะเกียบลง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมุมปาก “ว่าอย่างไร เจ้าคิดลงมือกับข้าด้วยรึ?”ฉู่จวินสิงเลียนแบบน้ำเสียงของอิ่นเจียง พลางเหลือบตาขึ้นมองว่านผิงทันทีที่ว่านผิงเห็นหน้าฉู่จวินสิงชัดเจน จึงตกใจจนตัวสั่น พลางรีบเก็บกระบี่ขึ้น“ข้าน้อยไม่รู้ว่าใต้เท้ามาอยู่นี่ เมื่อครู่ล่วงเกินไป ขอท่านโปรดอภัยด้วย”ว่านผิงยืนอยู่ด้านข้างฉู่จวินสิง ในใจรู้สึกขนลุกขนชัน
ฉู่จวินสิงเห็นเจี่ยนอันอันในที่สุดก็ลืมตาขึ้น จึงได้กล่าวกับนาง “เมื่อครู่ข้าเรียกเจ้าอยู่หลายที เจ้าก็ไม่ขานตอบ ข้ายังนึกว่าเกิดอะไรขึ้นเสียอีก”เจี่ยนอันอันเพิ่งจะนึกได้ เมื่อครู่นางกำลังเพ่งมองภาพในมิติอยู่ ข้างโสตได้ยินเสียงคนเรียกชื่อนางจริงๆเพียงแต่ความสนใจของนาง ล้วนไปอยู่ในภาพนั้นหมดสิ้น จึงไม่ได้ใส่ใจการเรียกหาของฉู่จวินสิงนางจึงยอมให้ฉู่จวินสิงมานั่งด้านข้าง พร้อมนำภาพที่เห็น บอกเล่าให้เขาฟัง“จากที่เจ้าเล่ามา ชายสองคนที่เห็นนั้น อาจเป็นลูกน้องข้าก็ได้”เจี่ยนอันอันก็นึกถึงข้อนี้เช่นกัน หากชายสองคนนั้นไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาจริง เบื้องหน้านางคงไม่ปรากฏภาพเช่นนั้นออกมา“เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็รออยู่ในโรงเตี๊ยมนี้แหละ เพราะที่ๆ สองคนนั้นจะมาพักก็คือโรงเตี๊ยมแห่งนี้”ฉู่จวินสิงได้ยินดังนี้ พลันเกิดความคิดในใจขอเพียงชายสองคนนั้นปรากฏตัวขึ้น เขาก็จะได้สมทบกับพวกเขาทันทีเพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกเขาทั้งห้าคนหลบหนีพร้อมกัน เหตุใดจึงได้พลัดหลงกันเช่นนี้?หรือว่าลูกน้องอีกสามคนได้ถูกคนของฉู่ชางเหยียนจับกลับไปเสียแล้ว?เจี่ยนอันอันเห็นฉู่จวินสิงขมวดคิ้วมุ่น นางจึงเอ่ยปาก “อย่าเพ
ฉู่จวินสิงกล่าวเสียงก้อง “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะให้เวลาท่านสามวันในการสืบเรื่องนี้”“ถ้าไม่ได้ตัวผู้ก่อเหตุมา ข้าจะทำตามรับสั่งของฝ่าบาท สั่งประหารพวกท่านทั้งครอบครัว”คำพูดของฉู่จวินสิง ทำให้เจ้าเมืองข่งสะดุ้งอย่างแรงจนแม้แต่สะใภ้รองที่คุกเข่าอยู่ด้านข้าง ก็พลอยหวาดกลัวจนตัวสั่นไปด้วยนางแอบเหลียวมองเจ้าเมืองข่ง เห็นอีกฝ่ายก้มหน้าก้มตา ไม่รู้ว่าจะตามหาคนผู้นั้นได้พบหรือไม่หลังจากฉู่จวินสิงและเจี่ยนอันอันจากไปแล้ว เจ้าเมืองข่งค่อยทรุดตัวลงกับพื้นเขาหายใจหอบแรง หวังจะช่วยระงับความหวาดหวั่นในใจบ้างสะใภ้รองได้ยินว่าโทษถึงขั้นประหารชีวิต ทำให้นางร้อนใจจนเดือดพล่านยิ่งกว่ามดที่อยู่บนฝาหม้อร้อน น้ำตาก็ยิ่งไหลรินไม่หยุด“ท่านพ่อ ข้ายังไม่อยากตาย โรคของซีเอ๋อร์ยังไม่ทันรักษาให้หายขาด เขาจะถูกประหารเช่นนี้ไม่ได้ ท่านต้องรีบจับกุมผู้แอบอ้างชื่อผู้นั้นให้ได้นะเจ้าคะ!”เจ้าเมืองข่งมีแผนการในใจอยู่แล้ว จึงถลึงตาใส่สะใภ้รอง พลางกล่าว “เลิกร้องไห้เสียที รีบไปดูซีเอ๋อร์ก่อนว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”สะใภ้รองรีบซับน้ำตาที่นองหน้าอยู่ พลางลุกขึ้นแล้วเดินไปข้างเตียงมองดูซีเอ๋อร์ขณะนั้นมีสาวใ
เสียงของเจี่ยนอันอันดังขึ้นจากด้านหลัง “บอกให้พวกเขาถอยออกไป หาไม่ข้าจะให้พวกท่านตายทั้งบ้าน!”เจ้าเมืองข่งรู้ดีว่าสองคนนี้วรยุทธ์ไม่เบา จึงไม่กล้าทำการบุ่มบ่าม ได้แต่รีบโบกมือให้เหล่าทหารจนแม้แต่สะใภ้รองที่อยู่บนเตียง ก็ตกใจกับคำพูดเจี่ยนอันอันเสียจนต้องรีบหยุดร้องไห้โดยพลันรอให้ทหารออกไปหมดแล้ว เจ้าเมืองข่งจึงได้ถามเสียงสั่น “พวกเจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่?”“ที่เรามานี่ ย่อมได้รับพระบัญชาจากฮ่องเต้ ให้สืบเรื่องราวการสอบจอหงวนเมื่อสามปีก่อน”เจ้าเมืองข่งได้ยินคำพูดของฉู่จวินสิง พลันขมวดคิ้วมุ่น สองตาจ้องเขม็งไปที่เขาเพียงไม่นานเจ้าเมืองข่งก็สังเกตจากบุคลิกและการแต่งกายของฉู่จวินสิง ดูออกว่าอีกฝ่ายเป็นชาวจิงโจวจริงๆแต่จะบอกว่ารับพระบัญชามาจากฮ่องเต้ ก็ออกจะฟังไม่ขึ้นไปเสียหน่อย“พวกเจ้ามีสิ่งใดมายืนยันว่ารับพระบัญชามาสืบสวนข้าจริง?”ซ้ำยังเป็นเรื่องเมื่อสามปีที่แล้วฮ่องเต้ทรงมีราชกิจมากมาย จู่ๆ จะทรงนึกได้อย่างไรว่าต้องสืบสวนเรื่องการสอบจอหงวนเมื่อสามปีก่อนไม่แน่ว่าสองคนนี้ อาจเป็นผู้ใดส่งมาแก้แค้นเขาก็ได้เพราะเขาเคยรับผลประโยชน์จากผู้อื่นมาไม่น้อย อีกทั้งให้ผู้ที่สอบตก