เจี่ยนอันอันชะงักงันครู่หนึ่งก่อนจะสืบเท้าเดินเข้าไปหาอย่างไรตอนนี้เสิ่นจือเจิ้งก็มีบาดแผลทั่วร่าง ไม่กล้าทำอะไรนางอีกอย่าง หากเขากล้าทำอะไรจริงๆ นางก็จะทำให้เขากลายเป็นพิการเหมือนก่อนหน้านี้เจี่ยนอันอันหยุดยืนข้างเตียง “มีอะไรก็พูดมาเถอะ”เสิ่นจือเจิ้งไอเบาๆ ก่อนจะพูดเสียงแหบ “อันอัน ข้าคือพี่ใหญ่ของเจ้าจริงๆ”“เจ้ารู้หรือไม่คืนที่ข้ากลับมาแล้วเห็นเจ้านอนหลับอยู่บนโซฟา”“ทว่าเรียกอย่างไรเจ้าก็ไม่ตื่น รู้หรือไม่ว่าข้าเสียใจเพียงใด?”“ข้าคิดว่าชีวิตนี้ต้องสูญเสียน้องสาวไปเสียแล้ว”“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะยังไม่ตาย ซ้ำยังมาอยู่ในที่แบบนี้”เสิ่นจือเจิ้งเริ่มไออย่างรุนแรงอีกครั้งเมื่อพูดจบตอนแรกเจี่ยนอันอันคิดว่าเสิ่นจือเจิ้งกำลังพูดเหลวไหลเพราะถูกวิชาไสยศาสตร์แต่เมื่อได้ยินคำว่าโซฟา ดวงตากลับต้องเบิกกว้างทันทีมีเพียงคนในยุคปัจจุบันเท่านั้นที่จะรู้จักคำว่าโซฟา หรือว่าคนผู้นี้จะเป็นพี่ใหญ่ของนางจริงๆ?“ท่านบอกว่าท่านเป็นพี่ใหญ่ของข้า ไม่ทราบว่ามีหลักฐานอะไรมายืนยัน?”เจี่ยนอันอันตื่นเต้นมากจนเสียงสั่นเครือมาอยู่แคว้นไท่ยวนนานขนาดนี้ ไม่มีวันใดที่นางไม่คิดถึงครอบครัวแต่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในที่สุดเจี่ยนอันอันก็ลดการป้องกันทั้งหมดลงและกระโจนใส่เสิ่นจือเจิ้ง“พี่ใหญ่ ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน”ความคิดถึงที่สั่งสมมาเนิ่นนานทำให้เจี่ยนอันอันที่ไม่เคยร้องไห้ต้องหลั่งน้ำตาออกมาในทันทีเสิ่นจือเจิ้งถูกเจี่ยนอันอันโผเข้าใส่ กระทบกระเทือนถูกบาดแผลบนร่างกายเขาอดที่จะร้อง “ซี๊ด” ออกมาไม่ได้และสูดหายใจดังเฮือกเจี่ยนอันอันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตามร่างกายของเสิ่นจือเจิ้งมีบาดแผลนางรีบผละตัวออก เช็ดน้ำตาและนำยาออกมาทาให้เสิ่นจือเจิ้ง“พี่ใหญ่ ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร หรือว่าวิชาไสยศาสตร์ของเฉียนซื่อจะทำให้ท่านเข้ามาอยู่ในร่างนี้?”เสิ่นจือเจิ้งขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยินชื่อของเฉียนซื่อเฉียนซื่อคือผู้ใด แล้วยังวิชาไสยศาสตร์คืออะไร?เจี่ยนอันอันเห็นเสิ่นจือเจิ้งมองตัวเองด้วยสีหน้างุนงงก็ทำการเล่าเรื่องราวในช่วงสองวันมานี้ให้เขาฟังเสิ่นจือเจิ้งถึงเพิ่งเข้าใจว่าที่แท้แล้ว เจ้าของร่างเดิมก็ถูกย่ารองของพวกเขาใช้วิชาไสยศาสตร์ใส่เสิ่นจือเจิ้งถอนหายใจเบาๆ หากไม่ใช่เพราะยายแก่ที่ชื่อว่าเฉียนซื่อใช้วิชาไสยศาสตร์เกรงว่าเขาคงไม่ทะลุมิติมาอยู่ที่นี่เสิ่นจือเจิ้งมองเจ
เจียงหว่านเอ๋อร์รู้สึกเสียใจขึ้นมาอีกรอบเมื่อเห็นเจี่ยนอันอันลงสลักประตูนางอยากเคาะประตูแต่ก็กลัวจะได้ยินเสียงตวาดของเสิ่นจือเจิ้งนางทำได้เพียงอดกลั้นต่อความเสียใจและหยุดการกระทำในมือนางไม่รู้ว่าสองคนนั้นกำลังคุยอะไรกันในห้อง เจี่ยนอันอันถึงได้ต้องลงสลักประตูเช่นนี้หรือว่าเสิ่นจือเจิ้งจะพึงใจในเจี่ยนอันอัน?เจี่ยนอันอันไม่รู้ถึงความคิดภายในใจเจียงหว่านเอ๋อร์ ตอนนี้นางคิดเพียงอยากให้พี่ใหญ่หายดีในเร็ววันส่วนเรื่องอื่นๆ นางควบคุมอะไรไม่ได้มากนักนางนำยาแก้อักเสบจากในห้วงมิติออกมาฉีดให้เสิ่นจือเจิ้งหนึ่งเข็มเสิ่นจือเจิ้งรู้ว่าเจี่ยนอันอันมีห้วงมิติ แต่คิดไม่ถึงว่านางจะนำห้วงมิติมาที่นี่ได้ด้วย“อันอัน ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง แต่งงานแล้วหรือยัง?”เขามองเห็นว่าเจี่ยนอันอันใกล้ชิดกับชายหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่งมากคิดว่านั่นน่าจะเป็นสามีของนางเจี่ยนอันอันพยักหน้าน้อยๆ “พี่ใหญ่ เป็นความจริงที่ข้าแต่งงานแล้ว ครอบครัวสามีดีต่อข้ามาก”“สามีของข้ามีนามว่าฉู่จวินสิง เคยเป็นเยียนอ๋องของแคว้นไท่ยวน”“แต่เป็นเพราะเขามีอำนาจสูงกลบนายจึงถูกฮ่องเต้สุนัขลดขั้นเป็นสามัญชนและเนรเทศมาอยู่ที
นางนึกขึ้นได้ว่าเสิ่นจือเจิ้งยังไม่ได้กินอะไร ตอนนี้คงจะหิวมากแน่ ๆดังนั้นนางจึงซื้อโจ๊กแปดสมบัติถ้วยหนึ่งจากร้านค้าในมิติของนางตอนนี้เสิ่นจือเจิ้งกินอาหารที่แข็งมากหรือแห้งมากไม่ได้ การดื่มโจ๊กแปดสมบัติก็ถือว่าเหมาะสมแล้วนางเปิดถ้วยโจ๊กแปดสมบัติและตักป้อนให้เสิ่นจือเจิ้งทีละคำเสิ่นจือเจิ้งที่กำลังหิวโหยถึงที่สุด ก็กินอย่างรีบเร่งเจี่ยนอันอันรีบพูดขึ้นมาอย่างห่วงใยว่า “พี่ใหญ่ ท่านกินช้า ๆ หน่อย กินเร็วเกินไปไม่ดีต่อกระเพาะและลำไส้ของท่านนะเจ้าคะ”หลังจากป้อนโจ๊กไปได้ครึ่งถ้วย เจี่ยนอันอันก็ยืนยันว่าจะไม่ให้เขากินต่ออีกเพราะโจ๊กแปดสบัตินี้ก็ไม่ได้ย่อยง่ายนัก อีกทั้งเสิ่นจือเจิ้งก็ไม่ได้มีอาหารตกถึงท้องหลายวันแล้วหากกินมากเกินควร เขาจะปวดท้องเอาได้เจี่ยนอันอันจึงเก็บโจ๊กแปดสมบัติกลับเข้าไปในมิติ ก่อนจะยิ้มกว้างให้เสิ่นจือเจิ้งเมื่อเสิ่นจือเจิ้งเห็นเจี่ยนอันอันเบิกบานถึงเพียงนี้ เขาก็ได้แต่ส่ายศีรษะด้วยความจนใจในเมื่อมาแล้ว เช่นนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบเถิด!ยังดีที่เขาได้พบกับน้องสาวแท้ ๆ อีกครั้ง และได้รู้ว่านางใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เขาก็สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้อย
เจียงหว่านเอ๋อร์รับคำเสียงเบา ก่อนจะนำหมั่นโถวในมือเก็บลงในอกเสื้อนางไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแต่คิดว่าตอนนี้เสิ่นจือเจิ้งคงไม่ได้อยากกิน นางจึงไม่ได้รบเร้าต่อไป“เจ้าคงอยากรู้มาก ว่าเมื่อครู่ข้ากับอันอันพูดเรื่องอะไรกัน”เจียงหว่านเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อย มองเสิ่นจือเจิ้งแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบก้มหน้าลงทันทีนางไม่กล้ามองสบดวงตาเย็นชาคู่นั้นของเสิ่นจือเจิ้งเลยจริง ๆความรู้สึกห่างเหินที่แผ่ซ่านมาทำให้เจียงหว่านเอ๋อร์พลันรู้สึกขึ้นมาว่า วาสนาคู่ชีวิตระหว่างนางกับเสิ่นจือเจิ้ง คงมาถึงจุดสิ้นสุดเสียแล้วเจียงหว่านเอ๋อร์เจ็บปวดใจ แต่กลับไม่กล้ากล่าวออกมาแม้แต่คำเดียวเสิ่นจือเจิ้งมองเจียงหว่านเอ๋อร์ ก่อนจะหันสายตาไปทางอื่น“อันอันคือน้องสาวของข้า ต่อไปเจ้าจงปฏิบัติต่อนางให้ดี”เมื่อได้ยินคำว่า ‘น้องสาว’ เจียงหว่านเอ๋อร์รู้สึกแสบจมูกขึ้นมาโดยพลัน น้ำตาพรั่งพรูไหลรินไม่ขาดสายนางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่า เสิ่นจือเจิ้งมีเพียงเสิ่นจืออวี้เป็นน้องชายเพียงคนเดียว แล้วเขาจะมีน้องสาวมาจากที่ใดนางเองก็ได้ยินจากปากของคนอื่นมาว่า เดิมทีอดีตฮ่องเต้ต้องการให้อันอันและเสิ่นจือเจิ้งเข้าพิธีวิวาห์
หากนางมีความรู้เรื่องการแพทย์ ก็คงไม่ปล่อยให้เสิ่นจือเจิ้งต้องทนทุกข์ทรมานหลายวันเช่นนี้บางทีเสิ่นจือเจิ้งอาจจำนางได้แล้ว เพียงแต่เขากำลังโทษนางที่ไร้ความสามารถ ไม่อาจช่วยให้เขาหลุดพ้นจากความเจ็บปวดได้เร็วกว่านี้เมื่อเจียงหว่านเอ๋อร์เดินออกจากห้อง ก็พบว่าเสิ่นจืออวี้กำลังเดินเข้ามาจากนอกเรือน“พี่สะใภ้ พี่ชายข้าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”เจียงหว่านเอ๋อร์เม้มริมฝีปากแน่น กลั้นความรู้สึกน้อยใจเอาไว้“พี่ชายของเจ้าตอนนี้ต้องการพักผ่อน เจ้าอย่าเพิ่งเข้าไปกวนเขาเลย”เสิ่นจืออวี้พยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้เข้าไปรบกวนจริง ๆ แล้วเขาตั้งใจจะถามพี่ชายว่า เรื่องของย่าเล็กจะจัดการอย่างไรดีตอนนี้นางกลายเป็นเหมือนคนตายทั้งเป็น ซึ่งก็สมควรกับกรรมที่นางก่อแต่เสิ่นจืออวี้เร่งรีบอยากจัดการเรื่องของย่าเล็กให้เรียบร้อยไปเสียเขานึกถึงคำว่า ‘พี่สะใภ้ก็เหมือนแม่’ หากพี่ชายยังจำพวกเขาไม่ได้ เช่นนั้นเขาปรึกษากับพี่สะใภ้ก็น่าจะได้เหมือนกัน“พี่สะใภ้ ข้ามีเรื่องอยากจะหารือกับท่าน”เสิ่นจืออวี้เอ่ยพลางก้มมองเสิ่นคังเด็กคนนี้แม้จะยังอายุน้อย แต่กลับดูมีวุฒิภาวะเกินวัยเรื่องที่ย่าเล็กใช้วิชาอาคม เสิ่
เจี่ยนอันอันสั่งให้บ่าวไพร่นำร่างเฉียนซื่อวางลงกับพื้นจากนั้น นางก็หยิบผงสลายศพออกมาจากมิตินางมองไปยังเสิ่นจืออวี้อีกครั้ง “พวกท่านคิดดีแล้วใช่หรือไม่ แน่ใจว่าไม่ต้องการให้ย่ารองมีชีวิตอยู่อีกต่อไป?”เสิ่นจืออวี้กัดฟันแน่น ก่อนพยักหน้าหนักแน่น“ข้ากับพี่สะใภ้หารือกันแล้ว ย่าเล็กทำร้ายคนมากมายเพียงนั้น แถมยังทำให้พี่ชายข้ากลายเป็นเช่นนี้”"นางมีชีวิตอยู่ก็มีแต่จะสร้างภัยร้าย พวกเราไม่มีใครอยากให้นางมีชีวิตอยู่อีกต่อไป"เมื่อเสิ่นจืออวี้กล่าวเช่นนี้แล้ว เจี่ยนอันอันก็ไม่พูดอะไรให้มากความถึงอย่างไร เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของครอบครัวพวกเขา นางเพียงแค่ยื่นมือช่วยเล็กน้อยเท่านั้นท่ามกลางสายตาของทุกคน เจี่ยนอันอันโปรยผงสลายศพลงบนร่างของเฉียนซื่อเมื่อกลุ่มควันบางเบาลอยขึ้นมา ร่างของเฉียนซื่อพลันแปรเปลี่ยนเป็นกองน้ำหนองในชั่วพริบตาเสิ่นจืออวี้และคนอื่น ๆ มองดูภาพนั้นด้วยความตกตะลึง ทุกคนต่างสบตากันโดยไม่มีคำพูดใดพวกเขาแทบไม่อยากเชื่อ ว่าคนที่ยังมีชีวิตเมื่อครู่จะกลายเป็นเพียงกองน้ำหนองจากศพในพริบตาเดียวเจี่ยนอันอันยกมือขึ้นโบกต่อหน้าเสิ่นจืออวี้ ทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์“แม่น
เสิ่นจือเจิ้งมองไปรอบ ๆ เมื่อไม่เห็นเจี่ยนอันอัน จึงเอ่ยถามขึ้นว่า “อันอันล่ะ เหตุใดนางถึงไม่มากินข้าวด้วยกัน?”เมื่อเจียงหว่านเอ๋อร์เห็นว่าเสิ่นจือเจิ้งห่วงใยเจี่ยนอันอันเพียงนี้ นางก็รู้สึกน้อยใจ“ท่านพี่ แม่นางเจี่ยนกลับไปที่บ้านแล้ว ท่านกินก่อนเถิด”เสิ่นจือเจิ้งปรายตามองเจียงหว่านเอ๋อร์ และเห็นว่านางกำลังคีบเนื้อกระต่ายชิ้นหนึ่งใส่ลงในถ้วยของเขา“ข้าไม่กินของที่คนอื่นจับต้องแล้ว” เสิ่นจือเจิ้งกล่าวพลางคีบเนื้อกระต่ายจากถ้วยตัวเองไปใส่ในถ้วยของเสิ่นคังแทน“คังเอ๋อร์ กินเนื้อสิ” เสิ่นจือเจิ้งยิ้มให้เสิ่นคังการกระทำนี้ของเขาทำให้เจียงหว่านเอ๋อร์รู้สึกน้อยใจจนรู้สึกแสบจมูกนางสูดลมหายใจเข้าลึกหลายครั้ง พยายามบังคับตัวเองไม่ให้ร้องไห้ออกมาเสิ่นจืออวี้รู้สึกแปลกใจ เพราะในอดีตพี่ใหญ่ไม่เคยปฏิบัติต่อพี่สะใภ้เช่นนี้ทั้งสองคนให้เกียรติกันและกันเสมอมา ไยพี่ใหญ่จึงแสดงความห่างเหินต่อพี่สะใภ้เช่นนี้?หรือเป็นเพราะพี่ใหญ่ยังจำพี่สะใภ้ไม่ได้ เขาถึงได้เปลี่ยนไปเช่นนี้?ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างนิ่งเงียบบรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัดทุกคนก้มหน้ากินข้าวกันเงียบ ๆ ขณะที่เจียงหว่านเอ๋อร
ประจวบกับที่เวลานั้น เสียงเจี่ยนอันอันดังขึ้นพอดี“เจ้าอย่าเพิ่งพูดอะไร ประเดี๋ยวข้าจะให้เจ้ากินยาแก้พิษ เจ้าก็จะหายดีแล้ว”เจี่ยนอันอันกล่าวพลางเบี่ยงเบนความสนใจไปยังเข็มเงินไม่กี่เล่มนั้นอวี๋เสี่ยวเยว่กวาดสายตามองไปรอบๆ ถึงตอนนี้ค่อยสังเกตเห็นโลงศพสีดำโลงนั้นพอคิดถึงว่าเมื่อครู่ตนเองอยู่ในโลงศพ ทั้งข่วนทั้งเตะไปยกหนึ่ง แต่กลับไม่มีใครคิดจะช่วยนางออกมานางนึกหวาดกลัวทีหลังจนน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัวตอนที่ตื่นขึ้นมาในโลงศพ อวี๋เสี่ยวเยว่ก็สำนึกเสียใจแล้วความมืดมิดที่ไร้จุดสิ้นสุดแบบนั้น บวกกับความอึดอัดเหมือนขาดอากาศหายใจฉับพลันนั้น อวี๋เสี่ยวเยว่ก็ออกแรงทั้งข่วนทั้งเตะสี่ด้านของโลงศพด้วยความหวาดกลัวนางอยากร้องขอความช่วยเหลือ แต่กลับพบว่าในปากตนเองถูกอะไรบางอย่างอุดไว้ความหวาดกลัวอยู่เหนือความอยากตาย อวี๋เสี่ยวเยว่ตกใจจนน้ำตาไหลพรากแต่กลับไม่มีใครรู้สถานการณ์ของนางในยามนั้นตอนนี้นางไม่อยากตาย ทั้งยังนึกเสียใจที่ไปกินยาพิษฆ่าตัวตายเพื่อคนสารเลวนั่นจนกระทั่งได้ยินว่าข้างนอกมีคนมาขวางทางทุกคนไว้นางยังได้ยินเสียงพูดจาของสตรีทั้งสองคน รวมถึงเสียงพูดของพี่ใหญ่ พี่สะใภ้และ
เชิญหมอมาตรวจดูก็วินิจฉัยไม่พบว่าเป็นเพราะเหตุใดหลายปีมานี้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ ที่หมู่บ้านซีโข่วในหมู่บ้านซีโข่วของพวกเขามีคำร่ำลืออย่างหนึ่งว่า หากในบ้านมีคนตาย ห้ามพลาดฤกษ์ฝังศพเป็นอันขาดมิฉะนั้นคนในครอบครัวจะเคราะห์ร้ายต่อมา เมื่อพวกอวี๋ผิงเหลียงอาการป่วยดีขึ้นก็ไปเชิญนักพรตมาทำพิธีที่บ้านด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนในบ้านไม่ประสบเคราะห์ร้ายอีกพวกเขาเพิ่งได้ใช้ชีวิตอย่างสงบไม่กี่ปี หรือจะต้องปล่อยให้เรื่องในปีนั้นเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างนั้นรึ!ติงซื่อจะลืมเรื่องในปีนั้นได้อย่างไร แต่ตอนนี้ใช่เวลามาพูดเรื่องพวกนี้งั้นรึ?คนเป็นแม่อย่างนางจะมองดูลูกตัวเองนอนอยู่ตรงหน้าโดยไม่ช่วยเหลือได้อย่างไรเห็นอวี๋ผิงเหลียงยังยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ ติงซื่อก็ร้อนใจจนเอ่ยด้วยความโมโห “เจ้ายังยืนบื้ออยู่ทำไม ยังไม่รีบหันหลังอีก”อวี๋ผิงเหลียงถอนหายใจอย่างแรง แล้วหันหลังไปอย่างไร้ทางเลือกเขาจะไม่อยากช่วยเสี่ยวเยว่ได้อย่างไรแต่เสี่ยวเยว่ยอมตายเพื่อเจ้าสารเลวในหมู่บ้านคนนั้นหลังนางกินยาพิษร้ายแรงลงไปก็หมดลมหายใจแล้วที่นางแสดงอาการข่วนเตะในโลงศพแบบนั้นจะต้องเป็นเพราะในใจยังไม่ยินยอมพร
ติงซื่อได้ยินคำพูดของอวี๋ผิงเหลียงแล้ว จิตใจก็เริ่มกระสับกระส่ายขึ้นมาแต่ถ้าอวี๋เสี่ยวเยว่ยังไม่ตายจริงๆ มิเท่ากับว่าพวกตนได้กระทำความผิดพลาดใหญ่หลวงลงไปหรอกหรือติงซื่อนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ในที่สุดก็ยังตัดสินใจว่าเปิดโลงศพออกมาก่อนค่อยว่ากันอีกทีหลังติงซื่อตัดสินใจเด็ดขาดแล้วก็มองไปทางอวี๋ผิงเหลียง“ผิงเหลียง เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องนี้ข้าตัดสินใจดีแล้ว”“ต่อให้หลังจากนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้น หญิงแก่อย่างข้าจะรับผิดชอบเองคนเดียว”อวี๋ผิงเหลียงเห็นว่าคำพูดของตนเองไม่สามารถโน้มน้าวได้ เขาได้แต่ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง มือที่กุมธงนำวิญญาณก็สั่นเทิ้มขึ้นมาเหยียนซวงเห็นว่าในที่สุดคำพูดของตนเองก็ถูกติงซื่อรับฟังแล้ว นางผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกติงซื่อบอกให้ชายร่างใหญ่หลายคนนั้นเปิดโลงศพออกไม่ว่าคนข้างในจะเป็นหรือตายก็จะไม่สร้างความลำบากให้พวกเขาชายร่างใหญ่หลายคนนั้นไม่พูดมาก เริ่มมองหาอุปกรณ์มาเปิดโลงศพไปทั่วเจี่ยนอันอันเห็นอย่างนั้นก็รีบซื้อชะแลงอันหนึ่งมาจากร้านค้าในมิตินางส่งชะแลงให้หนึ่งในชายร่างใหญ่เหล่านั้นชายร่างใหญ่ผู้นั้นพยักหน้าให้เจี่ยนอันอันน้อยๆ แล้วออกแรงถอน
เหยียนซวงรีบร้อนอธิบาย “ฮูหยินท่านนี้ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะขัดขวางธุระของพวกท่าน”“แต่เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินเสียงเคาะดังออกมาจากในโลงศพ”“ข้าจึงอาจหาญมาขวางไว้ หวังว่าพวกท่านจะวางโลงลงมาดู เผื่อว่าคนผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่”วาจาของเหยียนซวงทำให้ทุกคนอึ้งไปเสียงเป่าปี่ตีฆ้องหยุดลงในเวลานั้นเองทุกคนมองเหยียนซวงด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ แม้แต่สตรีที่ร้องห่มร้องไห้เหล่านั้นก็ยังเงยหน้ามองมาทางนี้“แม่สามี ไม่อย่างนั้นพวกเราเปิดโลงดูหน่อยดีไหมเจ้าคะ ไม่แน่ว่าน้องเล็กอาจยังไม่ตายก็ได้?”สตรีผู้หนึ่งเดินมาทางนี้ นางเช็ดน้ำตาบนใบหน้า มองไปทางหญิงชราด้วยแววตาจริงใจยามนี้หญิงชราติงซื่อก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกันนางเองก็อยากเปิดโลงออกดู แต่โลงศพนี้ถูกตอกตะปูไว้แล้ว เปิดออกได้ง่ายขนาดนั้นเสียที่ไหนนอกจากนี้ อาศัยเพียงวาจาของคนแปลกหน้าคนหนึ่ง แล้วจะพิสูจน์ความจริงเท็จของวาจานางได้อย่างไร?ติงซื่อไม่พูดอันใด นางหันไปมองคนอื่นๆ ด้านหลัง อยากฟังความคิดเห็นของทุกคนชายที่แบกธงนำวิญญาณผู้นั้นเอ่ยปากขึ้นก่อน“ไม่ได้ พวกเราล่าช้าไปแล้ว ถ้ายังไม่นำโลงศพไปฝังอีกก็จะกระทบเรื่องใหญ่แล้ว”“พวกท่านไม่กลัวว่
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เวินอี๋ก็เดินเข้ามา“คารวะแม่นางเจี่ยน!” เวินอี๋พูดขึ้น แล้วทำความเคารพเจี่ยนอันอันเจี่ยนอันอันยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “พี่เวินไม่จำต้องมากพิธี ร่างกายของท่านเพิ่งจะหายดีได้ไม่นาน ยังต้องระมัดระวังให้มาก”“ขอบคุณแม่นางเจี่ยนมากที่รักษาอาการป่วยของข้าจนหาย เดิมทีข้าคิดว่าไม่กี่วันนี้ก็จะไปเยี่ยมท่านกับใต้เท้าที่หมู่บ้านชิงสุ่ย”“ไม่คิดเลยว่าท่านจะมาเอง”เวินอี๋มองออก ว่าที่นี่มีเพียงแค่เจี่ยนอันอันและเหยียนซวงสองคนเท่านั้นฉู่จวินสิงดูเหมือนว่าจะไม่ได้ตามมาด้วยเขาถามออกมาอย่างประหลาดใจ “ใต้เท้าของข้าเหตุใดถึงได้ไม่มากับท่านด้วย?”เจี่ยนอันอันยิ้มออกมา “ข้าให้เขาคอยดูแลอยู่ที่เรือน”เจี่ยนอันอันพูดจบ ก็หันไปมองยังจงซิ่น“ท่านผู้เฒ่าจง ข้าอยากจะถามสักหน่อย ว่าในอำเภอไถหยางนี่พอจะมีโรงโอสถดีๆ อยู่หรือไม่?”“ข้าอยากจะซื้อวัตถุดิบยาบางอย่าง เพื่อรักษาอาการป่วยให้น้องชายของเหยียนซวง”จงซิ่นเมื่อได้ยินว่าจะรักษาอาการป่วยให้เหยียนอวี่ เขาก็ขมวดคิ้วออกมา แล้วส่ายศีรษะเบาๆ“วัตถุดิบทำยาทั้งหมดที่ขายอยู่ในโรงโอสถของอำเภอไถหยางล้วนมีแต่ของธร
“ยังไม่รีบตามไปอีก!” เซิ่งฟางขมวดคิ้วขึ้น แล้วออกคำสั่งเจ้าหน้าที่ทางการ เจ้าหน้าที่ทางการทั้งสองไม่กล้าชักช้า รีบตามออกไป เจี่ยนอันอันเมื่อเห็นว่าที่นี้ไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับนางแล้ว จึงมาเบื้องหน้าของเซิ่งฟาง “พี่เซิ่ง ข้ายังมีเรื่องให้ต้องจัดการอีก เช่นนี้ก็ไม่รบกวนท่านจัดการเรื่องคดีความแล้ว”“น้องอันอันรีบไปจัดการเรื่องของเจ้าเถอะ ที่นี่ไม่ได้เงียบสงบเหมือนกับหมู่บ้านชิงสุ่ย เจ้าจะต้องระวังให้มาก” เจี่ยนอันอันยิ้มแล้วพยักหน้าออกมา กลับไปยังด้านหน้ารถม้า ส่งสัญญาณให้เหยียนซวงขึ้นรถม้าไปหลังจากที่เหยียนซวงขึ้นรถม้าไปแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา “แม่นางเจี่ยนรู้จักกับนายอำเภออย่างนั้นหรือ?”“ข้าได้ยินท่านลุงจงบอกว่า นายอำเภอก่อนหน้านั้นเคยเป็นเจ้าเมืองอินเป่ย” “ภายหลังเกิดสงครามวุ่นวายในเมืองอินเป่ย นายอำเภอเองก็ถูกทรยศ กลายเป็นคนบาปของเมืองอินเป่ย”เจี่ยนอันอันกลับไม่คิดเลยว่า จงซิ่นจะบอกเหยียนซวงมากมายเช่นนี้ “ผู้เฒ่าจงยังพูดอะไรกับเจ้าอีก?” เจี่ยนอันอันประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านลุงจงยังบอกว่า อันที่จริงแล้วนายอำเภอเป็นคนดีมาก” “ในตอนที่เขาเป็นเจ้าเมืองนั้
เจี่ยนอันอันไม่ได้พูดถึงจุดประสงค์ที่ตัวเองมาที่นี่ แต่เป็นพูดกับเซิ่งฟางว่า "พี่เซิ่ง คนผู้นี้ได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย ท่านรีบนำเปลหามมาเถอะ"เจ้าหน้าที่ทางการเข้าใจทันที รีบวิ่งไปหยิบเปลหามมาเจี่ยนอันอันลุกขึ้นยืน มองไปยังเหล่าเจ้าหน้าที่ทางการที่ยกสวีจงฉือขึ้นใส่เปลหาม เดิมทีนางคิดจะออกไปทันที เพราะอย่างไรแล้วก็ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องไปทำแต่กลับได้ยินเสียงชายคนหนึ่งตะโกนออกมาเสียงดังว่า "เป็นนางนั่นแหล่ะที่แทงเขาไปหลายแผล!"เจี่ยนอันอันมองตรงไปตามเสียง ก็มองเห็นชายหนุ่มที่ก่อนหน้านั้นวิ่งออกมาจากกลุ่มคน กำลังยกมือชี้มาทางนางคำพูดของชายหนุ่ม ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็หันไปมองยังเขาชายหนุ่มเผชิญกับสายตาของทุกคน ใบหน้าไม่มีความหวาดกลัวใดๆเขายืนยันว่าเป็นเจี่ยนอันอันที่แทงคนผู้นั้นจนบาดเจ็บทุกคนต่างก็พากันไม่แน่ใจ ทยอยมองไปยังเจี่ยนอันอันเจี่ยนอันอันขมวดคิ้วแน่น จ้องมองอีกฝ่ายขึ้นๆ ลงๆชายคนนั้นดูน่าเกลียดและหยาบคาย ดวงตาเป็นประกายวิบวับเพียงแค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีเจี่ยนอันอันส่งเสียงดังถามออกมา "ขอถามเจ้าหน่อย เจ้าใช้ตาข้างไหนที่เห็นว่าข้าแทงคนผู้นั้นจนบา
เจี่ยนอันอันไม่คุ้นเคยกับอำเภอไถหยาง แต่นางก็ไม่อยากไปหาเซิ่งฟางที่ที่ว่าการอำเภอเพราะอย่างไรแล้วเซิ่งฟางก็เป็นถึงนายอำเภอ แต่ละวันก็มีภาระหน้าที่ราชการพัวพัน จะไปมีเวลาว่างที่ไหนเพื่อนำนางไปหาโรงโอสถกันนางคิดถึงจงซิ่นขึ้นมา บางทีเขาอาจจะช่วยเหลือนางได้เมื่อคิดถึงตรงนี้ เจี่ยนอันอันก็พูดขึ้น "ข้าจะไปหาผู้เฒ่าจง เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนน้องชายเถิด"เจี่ยนอันอันพูดเสร็จก็จะออกไป กลับได้ยินเหยียนซวงพูดขึ้น "ข้าอยากไปกับท่านด้วย"เหยียนซวงเหลือบมองไปยังเหยียนอวี่ เขายังคงหลับตาอยู่ โดยไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลยและต่อให้นางจะคอยเฝ้าอยู่ข้างกายของเหยียนอวี่ ก็ทำได้เพียงแค่ร้อนรนอยู่ไม่สู้ไปด้วยกันกับเจี่ยนอันอัน เผื่อว่าอาจจะช่วยเหลืออะไรนางได้บ้าง"เช่นนั้นก็ดี เจ้าไปกับข้า"เจี่ยนอันอันพูดขึ้น พลางเดินก้าวใหญ่ออกไปจากห้องทั้งสองคนนั่งบนรถม้า มุ่งหน้าไปทิศทางเรือนของจงซิ่นและเพิ่งจะเดินทางไปได้เพียงแค่ครึ่งทางเท่านั้น ก็พบว่าตรงที่ไม่ไกลออกไปนั้น มีกลุ่มคนบางส่วนคอยรุมล้อมกันอยู่เจี่ยนอันอันไม่ได้สนใจ นางขับรถม้ามุ่งหน้าต่อไปยังเบื้องหน้าทว่าในตอนที่รถม้ามาถึงข้างๆ ข
รอจนเมื่อเหยียนซวงเปลี่ยนเสร็จแล้ว เจี่ยนอันอันจึงเก็บผ้าสีแดงแล้วใช้ผงสลายศพ โรยลงบนผ้าที่เพิ่งจะเปลี่ยนไปเมื่อครู่นี้ทันใดนั้นผ้าก็เปลี่ยนเป็นแอ่งน้ำทันทีเหยียนซวงไม่คิดเลยว่า เจี่ยนอันอันไม่เพียงไม่รังเกียจที่นางสกปรก ยังช่วยนางทำลายผ้าที่เลอะประจำเดือนของนางอย่างใส่ใจในใจของนางยิ่งรู้สึกของคุณเจี่ยนอันอันมากยิ่งขึ้นเจี่ยนอันอันเมื่อเห็นว่าเหยียนซวงยังคงยืนอึ้งตะลึงอยู่ที่นั่น นางก็ตบไปยังไหล่ของเหยียนซวง“พวกเรารีบไปอำเภอไถหยางกันเถอะ น้องชายของเจ้ายังรอให้เจ้ากลับไป”เมื่อคิดว่าน้องชายยังคงรอนางอยู่ที่บ้าน เหยียนซวงก็รีบเร่งฝีเท้าขึ้นทั้งสองคนนั่งบนรถม้า ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นเหยียนซวงเป็นคนขับรถม้านางไม่อยากให้เจี่ยนอันอันเหนื่อยล้าอีก นอกจากนี้แล้วเจี่ยนอันอันยังช่วยนางมากมายนางรับบทคนขับรถ รีบเดินทางมุ่งหน้าไปยังอำเภอไถหยางเจี่ยนอันอันเหลือบมองไปยังคราบเลือดบนรถม้า นางอาศัยโอกาสที่เหยียนซวงไม่ได้หันมามองนางรีบหยิบขวดน้ำออกมาจากห้วงมิติ แล้วล้างคราบเลือดทั้งหมดออกไปจนสะอาดเพราะว่าเหยียนซวงรีบกลับไปหาน้องชาย รถม้าก็ถูกนางขับไปอย่างรวดเร็วครึ่งชั่วยามผ่านไป