เมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองยังถูกฉู่จวินสิงกอดอยู่ เจี่ยนอันอันก็รีบจับแขนของฉู่จวินสิงออก จากนั้นรีบลงจากเตียงอุ่นแล้ววิ่งออกไป หลังเปลี่ยนชุดแต่งงานออกในห้องเก็บของแล้ว เจี่ยนอันอันจึงได้ก้าวออกมา เวลานี้ฮูหยินใหญ่ตื่นขึ้นมาแล้ว เจี่ยนอันอันยังคิดจะยกน้ำชาให้นางอีกครั้ง ฮูหยินใหญ่กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เหตุใดอันอันจึงไม่นอนต่ออีกสักหน่อย เมื่อคืนจวินสิงคงไม่ได้รังแกเจ้ากระมัง” เมื่อเจี่ยนอันอันคิดถึงเรื่องเมื่อคืน ก็ก้มหน้าลงด้วยความเขินอายเล็กน้อย นางไม่ได้ตอบคำถามของฮูหยินใหญ่ แต่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปแทน “ข้ายังไม่ได้ยกน้ำชาให้ท่านแม่เลยเจ้าค่ะ” เจี่ยนอันอันกล่าว จากนั้นก็ให้ซ่างตงเยว่ไปยกน้ำชามา ฮูหยินใหญ่นั่งอยู่ในเรือนอย่างมีความสุข ในไม่ช้า ซ่างตงเยว่ก็ยกชาถ้วยหนึ่งมามอบให้เจี่ยนอันอัน เจี่ยนอันอันคุกเข่าลงเบื้องหน้าของฮูหยินใหญ่ จากนั้นยกน้ำชาส่งให้นาง “ลูกขอคารวะน้ำชาท่านแม่เจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่รับน้ำชาไป ดื่มลงไปคำหนึ่งด้วยอย่างเบิกบาน จากนั้นก็ประคองเจี่ยนอันอันขึ้นมา เมื่อเจี่ยนอันอันทำตามพิธีเสร็จเรียบร้อย ก็ไปนั่งลงที่ข้างกายของฮูหยินใหญ่ “เพลานี้เสบีย
ฟางอิ๋งก้าวเข้ามา พร้อมกล่าวอย่างไม่อยากเชื่อว่า “จื่อซี เจ้าพูดอีกสักคำให้แม่ฟังสิ” ฉู่จื่อซีเหลือบมองเจี่ยนอันอัน เห็นนางยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้า เขาจึงอ้าปากเปล่งเสียง ‘อา’ ออกมาคำหนึ่ง ฟางอิ๋งตื่นเต้นจนรู้สึกจมูกแสบร้อนทันที จากนั้นน้ำตาก็พรั่งพรูออกมา ฉู่จวินหลุนก็ตื่นเต้นอย่างมากเช่นกัน ในที่สุดลูกของเขาก็สามารถเปล่งเสียงออกมาได้แล้ว เขากุมมือของฟางอิ๋งไว้แน่น ขณะที่มองฉู่จื่อซีด้วยดวงตาเปล่งประกาย “พวกท่านล้อมทำสิ่งใดกันอยู่ตรงนั้น?” เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังขึ้นมา เมื่อเจี่ยนอันอันมองไปที่ฉู่จวินสิง ก็เห็นว่าเขาเปลี่ยนกลับไปเป็นชุดที่ใส่ในยามปกติแล้ว เขาสาวเท้าไปที่ข้างกายของเจี่ยนอันอัน จากนั้นก็จับมือของนางไว้อย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง เจี่ยนอันอันเล่าเรื่องที่ฉู่จื่อซีสามารถเปล่งเสียงออกมาได้แล้วให้ฉู่จวินสิงฟัง ฉู่จวินสิงก็ดีใจอย่างมากเช่นกัน เขายื่นมือออกไปลูบหัวของฉู่จื่อซี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาที่เขามีปฏิสัมพันธ์กับฉู่จื่อซีอย่างสนิทสนมเช่นนี้ ฉู่จื่อซีหวาดกลัวท่านอารองผู้นี้อย่างมากมาโดยตลอด แต่ไรมาเขาก็ไม่กล้าเข้าใกล้อารองนัก แต่คิดไม่ถึงว่า วันนี้เขา
เจี่ยนอันอันให้เหล่าสาวใช้นำมันเทศเผาเสร็จแล้วเข้ามา ให้ทุกคนได้ลิ้มลองเช่นกัน เมื่อทุกคนได้กินมันเทศเผา ต่างก็ชมติดต่อกันว่ามันเทศอร่อย มีเพียงฉู่จวินสิงที่มองมันเทศที่อยู่เบื้องหน้า แล้วไม่เกิดความรู้สึกอยากกิน เขารู้สึกต่อต้านการกินมันเทศเล็กน้อย เพราะไม่อยากถูกมันเทศทำให้ติดคออีกครั้ง เจี่ยนอันอันมองความรู้สึกต่อต้านของฉู่จวินสิงออก นางจึงกินมันเทศที่แสนหอมกรุ่น จากนั้นจงใจทำเสียงดูดปากกินอย่างเอร็ดอร่อยที่ข้างหูของฉู่จวินสิง “เจ้ามันเทศนี้ช่างอร่อยจริงๆ ทั้งหวานทั้งหอม หากท่านไม่กิน พลาดโอกาสนี้ไปก็ไม่มีโอกาสหน้าแล้วนะ” ฉู่จวินสิงถูกเสียงดูดปากของเจี่ยนอันอัน กระตุ้นความอยากขึ้นมา เขาหยิบมันเทศที่อยู่เบื้องหน้าขึ้นมา กัดลงไปคำหนึ่ง ทันใดนั้น กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของมันเทศเผา ก็อบอวลไปทั่วปากของเขา ฉู่จวินฉิงคิดไม่ถึงว่ามันเทศนี้จะมีรสชาติที่เลิศล้ำถึงเพียงนี้ อร่อยกว่ามันเทศที่พวกเขากินในศาลเจ้าร้างเป็นร้อยเท่าเลยทีเดียว เจี่ยนอันอันยิ้มตาหยีมองฉู่จวินสิง “นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยเท่านั้น มันเทศที่ข้าปลูกรับรองว่าต้องยอดเยี่ยมที่สุดอย่างแน่นอน หากท่า
อาหรงรู้สึกจมูกแสบร้อน ดวงตาแดงก่ำขึ้นมาครอบครัวของนางยากจน ต่อให้คิดอยากจะนำเงินมาตอบแทนเจี่ยนอันอันก็ยังไม่มีวิธีนางคิดถึงแม่ไก่ที่วางไข่ที่บ้านก็รีบเดินออกจากห้องไป ไปอุ้มแม่ไก่ออกมาจากเล้าไก่“แม่นาง ที่บ้านข้าไม่มีอะไรเลย มีเพียงแค่แม่ไก่ที่วางไข่นี่”“ขอให้ท่านช่วยรับเอาไว้ มิฉะนั้นแล้ว ในใจของข้าคงจะรู้สึกเสียใจจริงๆ”ในใจของเจี่ยนอันอันคิด ที่บ้านไม่มีไข่ไก่ให้กินจริงๆฉู่จื่อซียังคงต้องเจริญเติบโต ต้องการสารอาหารเป็นจำนวนมากถึงแม้ว่านางจะสามารถซื้อมาจากร้านค้าได้ ทว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็จะทำให้คนอื่นสงสัยได้ตอนนี้ดีแล้ว มีแม่ไก่ที่ออกไข่ได้ตัวนี้นางก็สามารถใช้ประโยชน์จากจุดนี้ เพื่อซื้อไข่ไก่จากร้านค้าได้มากยิ่งขึ้นรอจนเมื่อทุกคนถามถึง นางสามารถบอกได้ว่าเป็นแม่ไก่ตัวนี้ออกไข่มาเจี่ยนอันอันรับแม่ไก่มาอย่างพึงพอใจนางอุ้มแม่ไก่เอาไว้ หลังจากที่บอกลากับท่านยายหลินและอาหรง ก็กลับบ้านไปเด็กรับใช้ทั้งหลายเมื่อเห็นว่านางอุ้มไก่ตัวหนึ่งออกมา ก็รีบสร้างเล้าไก่ขึ้นมาทันทีเจี่ยนอันอันมอบแม่ไก่ให้เด็กรับใช้ แล้วไปปรุงยาให้ฉู่จื่อซีไม่นานยาก็ปรุงจนเสร็จ ในขณะที่เจ
“ข้าจะไปดูตรงที่ดิน ว่าจะสามารถปลูกธัญพืชออกมาได้หรือไม่”เจี่ยนอันอันพูดออกมา ก็เดินมุ่งหน้าออกจากประตูจวนไปมุมปากของฉู่จวินสิงยกยิ้มขึ้นมา เขาเดินตามเจี่ยนอันอันออกจากประตูจวนไปติดๆทั้งสองคนมาถึงยังที่ดิน ก็มองเห็นซ่างชิวและอวี๋ว่านกำลังทำงานอยู่ที่นั่นที่ดินของครอบครัวซ่างชิวตอนนี้สามารถปลูกพืชพันธุ์อาหารได้แล้ว เขากำลังยุ่งอยู่กับการหว่านเมล็ดพืชทั้งสองคนเมื่อเห็นว่าเจี่ยนอันอันและฉู่จวินสิงมาถึง ก็รีบวางงานในมือลง“วันนี้อากาศร้อนจริงๆ ทั้งสองท่านทำไมถึงไม่พักผ่อนอยู่ที่บ้านกัน?”ซ่างชิวพูดออกมา ก็เดินไปยังทั้งสองคนในตอนนี้ใบหน้าของเขาและอวี๋ว่านดูเข้มและแดงขึ้น ร่างกายและเสื้อผ้าต่างก็เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อดูเหมือนว่าจะทำงานมาทั้งเช้าแล้วเจี่ยนอันอันยิ้มออกมา “อาหารที่บ้านก็กินกันไปเกือบหมดแล้ว ข้าอยากจะมาปลูกพวกธัญพืชบ้าง”ซ่างชิวและอวี๋ว่านไม่คิดเลยว่าเจี่ยนอันอันยังจะมีธัญพืชหลงเหลืออยู่ที่พวกเขานั้นมีเพียงแค่ข้าวโพดเท่านั้นที่สามารถเพาะปลูกได้ ยังไม่เคยเพาะปลูกธัญพืชอื่นเลยที่นี้แห้งแล้งตลอดทั้งปี ดินจึงสามารถปลูกได้เพียงแค่ข้าวโพดที่สามารถทดต่อความแห้งแล
เจี่ยนอันอันตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เดินมุ่งหน้าไปยังที่ดินของตนเองนางลอบคิดในใจ ไม่เสียแรงที่เป็นน้ำพุวิญญาณจริงๆ ถึงได้แสดงประสิทธิภาพได้รวดเร็วถึงเพียงนี้รอจนเมื่อพวกเขามาถึงยังที่ดินนั้น ก็มองเห็นต้นอ่อนเล็กๆ สูงขึ้นมากแล้วซ่างชิวทั้งสามคนพากันมองหน้ากัน ใบหน้าแต่ละคนก็เผยท่าทีตกตะลึงออกมาเขาทำการเพาะปลูกมานานตั้งหลายปี ก็ไม่เคยพบธัญพืชที่เติบโตได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ทุกคนมองไปยังที่ดินโดยไม่หันเหสายตาไปไหน ก็พบว่าธัญพืชที่เพิ่งจะเพาะปลูกลงไปไม่นานมานี้มีต้นอ่อนเติบโตขึ้นมาอีกจำนวนหนึ่งในที่สุดอวี๋ว่านก็อดที่จะถามออกมาไม่ได้ “แม่นางเจี่ยน เมล็ดพันธุ์ที่ท่านปลูกลงไปทำไมถึงได้เติบโตได้รวดเร็วเพียงนี้กัน?”เจี่ยนอันอันคิดวิธีรับมือเอาไว้แล้ว นางลุกขึ้นยืน ยิ้มแล้วพูดกับพวกซ่างชิวทั้งสามคน“ข้าเคยอยู่ในวัดลัทธิเต๋า แล้วถูกท่านเจ้าอาวาสชี้แนะมาก่อน”“เขาบอกว่าข้ามีชะตาชีวิตสูงส่ง แต่ในชะตานั้นกลับมีคราวเคราะห์อยู่ จะต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากชั่วระยะหนึ่ง”“เขาเห็นว่าข้าขอคำชี้แนะอย่างจริงใจ จึงได้มอบสูตรลับสูตรหนึ่งให้ข้ามา”“น้ำที่ข้าใช้สูตรลับนี้ศึกษาออกมา สามารถทำให้ไม่ว่
เพราะอย่างไรครอบครัวของเจี่ยนอันอันก็เป็นคนจากต่างถิ่น เขาเกรงว่าคนจะพูดกันมากจนเกินไปหากว่าการจัดการของเขา จะไปทำให้ชาวบ้านคนอื่นๆ เกิดความไม่พอใจขึ้นมาอีกเกรงว่าวันหน้าอาจจะก่อให้เกิดปัญหาวุ่นวายที่ไม่จำเป็นขึ้นมาได้ท่านปู่เฉินพูดกับพวกของซ่างชิวทั้งสามคนว่า “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะไปเรียกชาวบ้านคนอื่นๆ มาหารือเรื่องนี้กันที่นี่”เขาพูดจบ ก็รีบไปหาคนตามเรือนของชาวบ้านไม่นานนักชาวบ้านในหมู่บ้านชิงสุ่ย ต่างก็ตามท่านปู่เฉินมายังเรือนของเขาภายในลานถูกชาวบ้านออกันจนแน่นขนัดทุกคนต่างก็ไม่รู้ว่าตกลงแล้วท่านปู่เฉินจะหารือเรื่องอะไรท่านปู่เฉินพูดออกมาเสียงดัง “ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะหารือกับทุกคน”“ตอนนี้เรือนของจางต้าไม่มีคนพักอาศัยอยู่แล้ว ข้าอยากจัดการให้ครอบครัวของแม่นางเจี่ยนเข้าพักยังเรือนของจางต้า”“ไม่รู้ว่าทุกคนคิดเห็นกันเช่นไร”ในใจของท่านปู่เฉินเป็นกังวลเล็กน้อย เกรงว่าจะมีชาวบ้านคัดค้านออกมาชาวบ้านต่างก็พากันมองหน้ากัน ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่พูดออกมาซ่างชิวเมื่อเห็นเข้า ก็รีบพูดออกมาเสียงดัง “แม่นางเจี่ยนรักษาอาการป่วยตงเยว่ของข้าจนหาย ข้าเห็นด้วยกับการจัด
ทั้งหลายคนตามท่านปู่เฉินมายังเรือนของเจี่ยนอันอันพร้อมกันเจี่ยนอันอันในตอนนี้กำลังปลูกมันเทศอยู่ในลานบ้าน เมื่อเห็นว่าท่านปู่เฉินมาอีกครั้งอีกทั้งที่มาพร้อมกับเขานั้น ยังมีชาวบ้านอีกหลายคนที่ก่อนหน้านั้นถูกพิษน้ำยาคูหยาเข้าเจี่ยนอันอันพอจะเดาได้ ท่านปู่เฉินจะต้องมาช่วยร้องขอให้พวกเขาเป็นแน่นางขมวดคิ้วแน่น รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อยเจี่ยนอันอันไม่คิดจะใส่ใจพวกเขา สนใจเพียงแต่ปลูกมันเทศของตนฉู่จวินสิงที่ย่อกายอยู่ด้านข้าง คอยมองเจี่ยนอันอันปลูกมันเทศอยู่เมื่อเห็นทั้งกลุ่มคนมาถึง เขาก็หันไปเหลือบมองยังเจี่ยนอันอันได้ยินเพียงแค่นางพูดพึมพำออกมาเสียงเบา “ไม่ต้องสนใจพวกเขา”ฉู่จวินสิงที่เดิมทีก็เย็นชากับคนนอก แน่นอนว่าย่อมไม่ใส่ใจต่อท่านปู่เฉินและชาวบ้านเหล่านั้นท่านปู่เฉินเมื่อเห็นว่าเจี่ยนอันอันดูมีท่าทีไม่พอใจนัก เขาก็หันไปขยิบตาให้ชาวบ้านเหล่านั้นชาวบ้านทั้งหลายไม่นานนักก็เข้าใจขึ้นมา พวกเขาเดินก้าวใหญ่ไปยังเจี่ยนอันอันยังไม่ทันรอให้พวกเขาได้เข้าใกล้ ก็ถูกกำลังภายในอันรุนแรงกระแทกจนกระเด็นลอยไปชาวบ้านทั้งหลายตกลงบนพื้น ต่างพากันกุมหน้าอก ส่งเสียงกรีดร้องเจ็บปวดอ
เจี่ยนอันอันยิ้มเล็กน้อย “พี่เฉียว อย่ามัวยืนเฉย รีบลงชื่อก่อนเถิด”“ประเดี๋ยวเมื่อเจ้าเมืองตานมาถึง ยังต้องให้เขาดูด้วย”เจี่ยนอันอันกล่าวเสียงเบามาก จงใจมิให้เฝิงซานกวงกับลูกน้องเขาได้ยินแต่แม่ลูกตระกูลเฉียวและฉู่จวินสิงกลับได้ยินชัดเจนฉู่จวินสิงมุมปากเชิดขึ้น คิดในใจว่าการจะสั่งสอนคนเช่นเฝิงซานกวง ต้องใช้วิธีนี้จึงจะสาสมเฝิงซานกวงได้ยินไม่ชัดว่าเจี่ยนอันอันพูดเรื่องใด แต่มั่นใจว่าคงมิใช่เรื่องดีแน่นอนเฉียวซื่อรับเอากระดาษและพู่กันไป พลางเขียนชื่อตนเองบนกระดาษด้วยลายมือโย้เย้นางกำลังคิดอยู่ว่าต้องกัดนิ้วตนให้ขาดดีหรือไม่ พลันเห็นเจี่ยนอันอันไม่รู้ไปหยิบแป้นประทับตราจากที่ใดออกมาหนึ่งอันเจี่ยนอันอันกล่าวยิ้มๆ “พี่เฉียว การประทับตราของเราไม่ต้องเสียโลหิต”เฉียวซื่อยิ้มตามเช่นกัน พลางกดนิ้วมือลงบนแป้นนั้น แล้วประทับลายนิ้วลงไปบนสัญญาอีกทีเมื่อต่างลงนามในสัญญาฉบับใหม่เรียบร้อย ฉบับเก่าก็นับว่าเป็นโมฆะไปแต่เจี่ยนอันอันกลับไม่คิดฉีกสัญญาฉบับเก่าทิ้งไป นางจะรอให้เจ้าเมืองตานมาถึง และให้เขาดูเงื่อนไขเอาเปรียบที่อยู่ในนั้นนางใช้วิธีเดียวกันนี้ เขียนสัญญาใหม่ขึ้นมาอีกฉบับ
ยามนี้เขารู้สึกเสียใจยิ่ง เมื่อครู่ไม่ควรกล่าวถึงท่านอารองออกมาเร็วถึงเพียงนั้นแต่บัดนี้ลูกน้องไปเชิญท่านอามาแล้ว ถึงตอนนั้นเขาจะทำอย่างไรดี?เมื่อนึกถึงตรงนี้ เฝิงซานกวงรีบกล่าวต่อลูกน้องอีกคน “เจ้าไปบอกให้อู่เฉียงกลับมา”ลูกน้องผู้นั้นรับคำสั่งกำลังจะรีบวิ่งไปแต่เดินได้ไม่ถึงสองก้าว พลันถูกฉู่จวินสิงขวางหน้าไว้ก่อน“ผู้ใดกล้าขยับเขยื้อน ข้าจะให้ผู้นั้นเลือดนองอาบพื้นดินในบัดดล”ลูกน้องผู้นั้นได้แต่หวาดกลัวจนชะงักงัน พร้อมหันไปมองเฝิงซานกวง“ลูกพี่...”เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ไปก็ไม่ได้อยู่ต่อก็มีความผิดเฝิงซานกวงโกรธจนกำหมัดแน่น เสียงขบฟันดังกรอดจนได้ยินชัด“พวกเจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่?”เขาเริ่มรู้แล้วว่า วันนี้ตนน่าจะเจอจิ้งจอกเขี้ยวลากดินเข้าให้แล้วดูท่าหากไม่ต้อนรับขับสู้พวกเขาให้ดี เกรงว่าอีกประเดี๋ยวจะมีจุดจบที่ไม่สู้งามนักเจี่ยนอันอันเห็นว่าเฝิงซานกวงน่าจะอับจนปัญญา จึงเอาสัญญาที่เฉียวซื่อมอบให้นางออกมา“เฝิงซานกวง นี่คือสัญญาที่เจ้าทำไว้กับเฉียวซื่อ ในนี้มีเงื่อนไขข้อหนึ่ง ข้าอาจต้องแก้ไขเล็กน้อย”เฝิงซานกวงกัดฟันกรอดอีกครั้ง บันดาลโทสะเสียจนใบหน้าที่อยู
พวกเขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรญาติที่เป็นขุนนางของลูกพี่เป็นผู้มีอิทธิพลนัก ดูแลทุกอย่างในอำเภอไถหยางก็ว่าได้เจี่ยนอันอันกล่าวเสียงเย็น “คุยมาตั้งนาน ยังไม่เห็นบอกชื่อว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ข้าว่าคงจะแต่งเรื่องส่งเดชมากกว่า”เฝิงซานกวงถูกเจี่ยนอันอันยุยงอีกครั้ง เดิมทีเขาก็ไม่อยากเอ่ยชื่อเจ้าเมืองออกมาแต่ครั้งนี้เห็นทีไม่พูดก็ไม่ได้เสียแล้ว“ฮึ่ม พูดแล้วพวกเจ้าจะตกใจ ท่านอารองของข้าเป็นเจ้าเมืองแห่งอำเภอไถหยาง”“หากพวกเจ้ากล้าแตะต้องกิจการในเหมืองของข้า ข้าจะให้ท่านอาส่งคนมาจับพวกเจ้าไปขังคุกเสีย!”เมื่อเจี่ยนอันอันได้ยินว่าอารองของเฝิงซานกวงก็คือเจ้าเมืองตานนั่นเอง นางจึงเริ่มมีแผนการในใจ“อ้อ หมายถึงเจ้าเมืองตานผู้นั้นหรอกรึ? ยังนึกว่าเป็นคนใหญ่คนโตที่ใดเสียอีก”“เชิญไปเรียกตัวมาได้เลย แล้วเรามายันกันซึ่งหน้า ให้รู้ไปว่าเขาจะเข้าข้างเจ้า หรือเห็นด้วยกับเรามากกว่า”เฝิงซานกวงมองดูท่าทีของเจี่ยนอันอัน คล้ายไม่กลัวกระทั่งคนเป็นเจ้าเมือง จึงให้ตกใจซ้ำอีกเขาแอบคิดในใจ หรือว่าท่านอารองจะรู้จักกับคนสองคนนี้?จึงหันไปกระซิบกระซาบต่อลูกน้องข้างกาย “รีบไปเชิญอารองข้ามาเดี๋ยวนี้”
เหล่าคนงานที่เข้าออกเหมืองแร่เห็นเหตุการณ์เข้า ต่างก็ตกใจเป็นอย่างมากเพราะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นลูกน้องของนายจ้างถูกผู้อื่นทำร้ายเช่นนี้แม้แต่ละคนจะมีความตกใจ แต่ลึกๆ กลับรู้สึกสะใจมากกว่าเพราะบริวารของเฝิงซานกวงเหล่านี้ ปกติมักจะใช้กำลังกับพวกเขาบ่อยๆทุกครั้งที่พวกเขาขุดหาแร่ออกมาไม่ได้ปริมาณตามที่ต้องการ ลูกน้องเฝิงซานกวงก็พากันมารุมซ้อมพวกเขาอย่างหนัก แต่พวกเขาก็ไม่กล้าไปบอกใครบางคนเคยคิดหนีไปจากที่นี่ แต่ครั้งใดที่มีผู้หลบหนี มักถูกจับกลับมาแล้วซ้อมหนักยิ่งกว่าเดิมอีกที่สำคัญพวกเขาแทบจำไม่ได้ว่าตนคือใคร บ้านช่องอยู่ที่ใดจึงได้แต่ใช้แรงกายแลกกับเงินน้อยนิดเพียงสองอีแปะในแต่ละวัน อดทนทำงานอยู่ที่นี่ต่อไปเมื่อชายสองคนถูกทำร้ายเข้า จึงมีลูกน้องเฝิงซานกวงตามออกมาอีกทุกคนเมื่อเห็นว่ามีคนมาก่อเรื่อง จึงกรูกันเข้าหาฉู่จวินสิงทันทีแต่มิต้องรอให้พวกเขามาเข้าใกล้ ฉู่จวินสิงใช้กำลังภายในซัดออกไปก่อนแล้วทุกคนต่างทยอยล้มลง พลางกลิ้งไปมา ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดทันใดนั้นเอง มีเสียงหนึ่งตะคอกดังขึ้น “ผู้ใดกล้าบังอาจมาก่อเรื่องในเหมืองของข้า อยากตายหรืออย่างไร?”ใบ
แต่บัดนี้นางเปิดร้านมาสิบกว่าวัน ขายได้เพียงรูปสัตว์โลหะไม่กี่ตัวเท่านั้นเฉียวซื่อบอกเล่าสิ่งที่พบเจอให้เจี่ยนอันอันฟัง ทำให้นางเกิดความเข้าใจขึ้นทันทีที่แท้เฉียวซื่อถูกเฝิงซานกวงหลอกลวงมาแต่แรกเจี่ยนอันอันเพียงคิดว่าต่อให้นางซื้อของตกแต่งเหล่านี้กลับไป ก็มิได้ใช้ประโยชน์นักจึงนำหนูโลหะตัวเล็กในมือวางกลับที่เดิมเฉียวซื่อเห็นเจี่ยนอันอันทำเช่นเดียวกับลูกค้าอื่นในร้าน เพียงเข้ามาหยิบดูเล็กน้อย จากนั้นจึงวางของตกแต่งลงไว้ที่เดิมดูแล้วคล้ายไม่สู้ถูกใจผลงานที่นางสร้างสรรค์ออกมาเท่าใดนัก พลันเกิดความรู้สึกท้อแท้ นางคงไม่เหมาะจะทำอาชีพนี้จริงๆ กระมังหากตอนนี้สามียังอยู่ก็คงดี นางจะได้ฝึกวิชาการตีเหล็กจากเขาให้ออกมาเป็นงานอื่นบ้างและเมื่อครู่เจี่ยนอันอันรู้จากปากเฉียวซื่อ ว่าเฝิงซานกวงได้เปิดกิจการเหมืองแร่แห่งหนึ่งทุกวันจะมีคนงานไปด้านหลังภูเขาที่อยู่ห่างไกล ขุดเอาแร่เหล็กและหยกออกมา เพื่อนำกลับมาถลุงเป็นเครื่องหยกและของใช้ที่ทำจากเหล็กนางเห็นเฉียวซื่อคล้ายมีอาการท้อใจ จึงกล่าวยิ้มแย้ม “พี่เฉียว ท่านพาข้าไปดูที่เหมืองของเฝิงซานกวงก่อน ข้ามีสิ่งของบางอย่างต้องการจะซื้อ”
เจี่ยนอันอันหยิบมากวาดตาดูก็มองความผิดปกติบนนั้นออกได้ในทันที“เงื่อนไขในนี้เข้มงวดเกินไปแล้ว ถ้าฝ่ายไหนยุติสัญญาจะต้องชดเชยให้อีกฝ่ายเป็นเงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึง”“เจ้าหมอนี่ช่างกล้าเขียน สัญญานี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเงื่อนไขแบบมัดมือชกกันชัดๆ”“ข้าว่าท่านไม่ร่วมงานกับเขาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย”คำพูดของเจี่ยนอันอันทำให้เฉียวซื่อใจหายวูบนางรู้จักตัวหนังสือแค่ไม่กี่ตัว นอกจากเขียนชื่อตัวเองเป็นแล้ว เงื่อนไขในนั้นนางอ่านไม่เข้าใจเลยสักนิดเฝินซานกวงเป็นคนอ่านให้นางฟัง นางรู้สึกว่าเงื่อนไขสมเหตุสมผลมากจึงลงนามในสัญญากับอีกฝ่ายแต่คิดไม่ถึงเลยว่า เฝิงซานกวงจะกล้าเล่นเล่ห์กับนางแบบนี้เดิมนั้นนางอยากยกเลิกสัญญากับอีกฝ่าย แต่กลับได้ยินเฝิงซานกวงพูดว่า ถ้านางกล้าเป็นฝ่ายยกเลิกสัญญาก็จะต้องชดเชยเงินให้เฝิงซานกวงเป็นเงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึงตอนนั้นเฉียวซื่อตกใจยิ่งนักนางเคยไปถามเถ้าแก่ร้านข้างเคียง ฝ่ายตรงข้ามก็บอกว่าเงื่อนไขนี้เขียนไว้อย่างชัดเจน ต้องจ่ายเงินชดเชยให้อีกฝ่ายหนึ่งแสนตำลึงจริงๆเงินจำนวนมหาศาลเช่นนี้ นางจะไปหาเงินมากมายขนาดนี้มาจากที่ไหนถึงตอนนี้เฉียวซื่อจึงตระหนักว่
ตอนนี้เขาทำได้เพียงอดทนอดกลั้นต่อความเจ็บปวด ยอมรับการทุบตีจากเฉียวอี้บริเวณรอบๆ มีคนล้อมเข้ามามุงดูจำนวนมาก พวกเขาต่างชี้ไม้ชี้มือมาทางชายผู้นั้น“คนคนนี้แค่เห็นก็รู้แล้วว่าต้องไม่ใช่คนดีแน่ ดูหน้าตาทรงโจรของเขาสิ แปดส่วนคงเป็นเพราะไปหาเรื่องคนอื่นก่อน ถึงได้ถูกเด็กคนนั้นซ้อมเอาแบบนี้”“เมื่อครู่ข้าได้ยินแล้ว เขาไปลงไม้ลงมือกับแม่ของเด็กคนนั้น ข้าว่าตีเขายังน้อยไป ควรแจ้งความมากกว่า”คนมุงบริเวณรอบๆ ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานาเฉียวอี้ควงหมัดทักทายใบหน้าของชายผู้นั้นหนักกว่าเดิมในไม่ช้า เฉียวอี้ก็ตีจนรู้สึกเจ็บกำปั้น แต่เขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนกระทั่งอัดศีรษะชายผู้นั้นจนบวมเป่งเหมือนหมู เฉียวอี้ถึงได้หยุดมือพร้อมหอบหายใจแม้ว่ากำปั้นของเฉียวอี้จะไม่ใหญ่ แต่ครั้นทุบตีคนก็ร้ายกาจยิ่งนักเห็นใบหน้าชายผู้นั้นเขียวช้ำไปหมด เฉียวอี้ก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากเจี่ยนอันอันกล่าวกับชายผู้นั้นว่า “หากวันหน้าเจ้ายังกล้ามาคุกคามแม่ลูกตระกูลเฉียวอีก ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าสบายแบบนี้แน่ ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!”ชายผู้นั้นไม่กล้าพูดมาก ลุกขึ้นมากุมศีรษะแล้วเผ่นหนีไปคนมุงบริเวณรอบๆ เ
เจี่ยนอันอันกับฉู่จวินสิงสบตากัน“พวกเจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้” ฉู่จวินสิงว่าแล้วก็ก้าวยาวๆ ตรงไปทางตรอกน้อยชายผู้นั้นเห็นว่าฉู่จวินสิงตรงมาทางเขาก็หันหลังเตรียมวิ่งหนีแต่เขาวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกถีบเข้าที่เอวเสียแล้วชายผู้นั้นถูกถีบกระเด็นไปไกล คว่ำหน้าอยู่บนพื้นร้องโอดโอยออกมาอย่างทนไม่ไหวฉู่จวินสิงย่างสามขุมตรงเข้าไปหาแล้วหิ้วคอเสื้อของชายผู้นั้นขึ้นมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย“ไปกับข้า!”ฉู่จวินสิงกล่าวพลางผลักชายผู้นั้นตรงออกไปนอกตรอกชายผู้นั้นได้ลิ้มรสความร้ายกาจของฉู่จวินสิงแล้วย่อมไม่กล้าวิ่งหนีส่งเดชเขาไม่อยากถูกถีบอีกหรอกนะ จนถึงตอนนี้เอวยังระบมอยู่เลยฉู่จวินสิงผลักชายผู้นั้นมาถึงตรงหน้าเจี่ยนอันอันกับเฉียวอี้แล้วกล่าวเสียงเข้ม “บอกมา ระหว่างเจ้ากับเด็กคนนี้เป็นเรื่องอะไรกันแน่?”ชายผู้นั้นมองเฉียวอี้ แววตาเต็มไปด้วยความขุ่นแค้น“คุณชายท่านนี้ ข้าไม่รู้จักเขาเสียหน่อย เขาวิ่งออกมาถนนใหญ่เอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลยนะ”ขณะที่ชายผู้นั้นพูดก็ถลึงตาใส่เฉียวอี้อย่างดุร้ายเฉียวอี้เห็นฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมรับ เขาเงยหน้าขึ้นมาด้วยความโมโห แล้วตวาดใส่ชายผู้นั้นว่า“ท่านโก
เจี่ยนอันอันเห็นว่าฉู่จวินสิงก่อสร้างเป็น นางก็วางใจไปได้มากนางยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ใช่กระโจม แต่เป็นโรงเรือนสำหรับเพาะปลูกแบบหนึ่ง”นางมีความคิดคร่าวๆ ในใจแล้วจึงรีบกลับบ้านไปกับฉู่จวินสิงนางหยิบกระดาษและปากกาออกมาจากในมิติ แล้ววาดภาพร่างบนโต๊ะฉู่จวินสิงนั่งอยู่ข้างๆ ตั้งใจดูภาพร่างโรงเรือนที่เจี่ยนอันอันวาดที่นี่ไม่มีเหล็กเส้น เจี่ยนอันอันยังไม่อยากใช้เงินจำนวนมากไปซื้อจากในร้านค้านางต้องการสร้างโรงเรือนสำหรับคนในหมู่บ้านทุกคน เหล็กเส้นที่ต้องใช้จึงมีไม่น้อยหากใช้เงินไปซื้อมา นั่นไม่ใช่จำนวนเงินน้อยๆ เลยนางไม่อยากใช้เงินพวกนั้นในมิติมากเกินไป นางยังรอที่จะสนับสนุนฉู่จวินสิงขึ้นนั่งบัลลังก์ฮ่องเต้หลังจากการทำสงครามกลับเมืองจิงโจวในวันหน้าเมื่อถึงตอนนั้น เงินทองของล้ำค่าเหล่านั้นในมิติก็จะได้นำไปใช้แล้วฮ่องเต้จนกรอบคนหนึ่งที่ไม่สามารถจ่ายเบี้ยหวัดให้เหล่าขุนนางได้ ทั้งยังไม่สามารถทำให้ชาวบ้านอยู่ดีมีสุข กับฮ่องเต้ที่มั่งคั่งร่ำรวยคนหนึ่ง เงินในมือสามารถซื้อเมืองทั้งเมืองได้ชาวบ้านกับเหล่าขุนนางจะเอนเอียงไปทางคนไหนมากกว่า นั่นไม่ต้องพูดก็สามารถรู้ได้แล้วในไม่ช้า เจี่ยน