เมื่อกินอาหารเที่ยงแล้ว เจี่ยนอันอันก็ไปปรุงยาให้ฉู่จื่อซีหลังจากที่ฉู่จื่อซีดื่มยาขมไปแล้ว ใบหน้าเล็กก็ย่นจนกลายเป็นลูกบอลเจี่ยนอันอันหยิบอมยิ้มให้ฉู่จื่อซี ก่อนจะบอกว่าที่เป็นไม้ๆ นั้นไม่อาจกินเข้าไปได้ฉู่จื่อซีถืออมยิ้มเอาไว้ ในตอนที่เจี่ยนอันอันพูดออกมานั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นมาเขาได้ยินเสียงของเจี่ยนอันอันพูดอย่างไม่ชัดเจน ถึงแม้ว่าเสียงจะเบา แต่ก็ยังลอยดังเข้ามาในหูเขาฉู่จื่อซีอ้าปาก ลองให้ตัวเองส่งเสียงออกมาทว่าเขาก็ผิดหวังอย่างรวดเร็วปากของเขายังคงไม่อาจส่งเสียงใดออกมาได้เจี่ยนอันอันมองเห็นความแปลกประหลาดของฉู่จื่อซี นางคุกเข่าลงถามขึ้น “จื่อซีได้ยินเสียงของข้าแล้วใช่หรือไม่?”ฉู่จื่อซีตั้งใจเงี่ยหูฟังท่ามกลางความไม่ชัดเจน เสียงไพเราะเสียงหนึ่งลอยเข้ามาในหูของเขาเขาพยักหน้าอย่างแรง ก่อนจะชี้ไปที่ลำคอของตนเอง แล้วโบกไม้โบกมือเจี่ยนอันอันยิ้มแล้วลูบหัวเล็กๆ ของฉู่จื่อซี“จื่อซีไม่ต้องกังวลไป ตอนนี้เจ้าสามารถได้ยินเสียงแล้ว ก็หมายความว่าอาการป่วยของเจ้าดีขึ้นกว่าครึ่งแล้ว”“ดื่มยาขมไปอีกสองวัน เจ้าก็สามารถพูดได้แล้ว”ฉู่จื่อซีเอียงใบหูฟังเสียงของเจ
ท่านยายหลินพูดออกมาอย่างลำบากใจ “แม่นาง ข้ามีเรื่องอยากรบกวนเจ้าอีกแล้ว”เจี่ยนอันอันขมวดคิ้วขึ้น ในใจคิดหรือว่าเสี่ยวโต้วจื่อจะเกิดอะไรขึ้นอีก?ยังไม่ทันรอให้นางได้ถามออกไป ท่านยายหลินก็พูดออกมาอย่างร้อนรน “ครั้งนี้ไม่ใช่เสี่ยวโต้วจื่อ แต่เป็นลูกชายของข้าหลินเซิงและลูกสะใภ้ของข้าก็เกิดป่วยขึ้น”“ข้าอยากจะเชิญแม่นางไปยังบ้านของข้า เพื่อรักษาให้พวกเขาสองคนจะได้หรือไม่?”ตั้งแต่ที่เจี่ยนอันอันรักษาร่างกายให้เสี่ยวโต้วจื่อจนหาย ท่านยายหลินก็รับรู้แล้วว่าทักษะการแพทย์ของเจี่ยนอันอันนั้นยอดเยี่ยมวันนี้ในตอนที่นางทำอาหารอยู่ที่บ้าน ปรากฏว่าลูกชายของนางหลินเซิงและลูกสะใภ้จู่ๆ ก็ร้องออกมาว่าปวดท้องทั้งสองล้มลงบนเตียง ก่อนจะส่งเสียงร้องออกมาไม่หยุดทันใดนั้นท่านยายหลินก็นึกถึงเจี่ยนอันอันขึ้นมา จึงวิ่งมาเชิญนางที่นี้เพื่อไปรักษาเจี่ยนอันอันได้ยินแล้ว ก็รีบรับปากไปบ้านนางทันทีฉู่จวินสิงได้ยินคำของท่านยายหลิน ก็รีบเดินก้าวใหญ่ออกมา“ข้าจะไปกับเจ้า”ให้เจี่ยนอันอันไปคนเดียว เขาไม่วางใจเจี่ยนอันอันไม่ได้ปฏิเสธ พากันตามไปยังบ้านท่านยายหลินซ่างตงเยว่รีบตามไปด้วยนางในฐานะที่เป็นสา
“แม่นาง ข้ารู้ว่าวิชาแพทย์ของเจ้าสูงส่ง แต่ถ้าผ่าท้องลูกสะใภ้ข้า นางก็ต้องตายน่ะสิ”ท่านยายหลินพูดแล้ว ขอบตาก็พลันแดงเรื่อเจี่ยนอันอันเข้าใจความกังวลของท่านยายหลินอย่างไรเสียนั่นก็คือลูกสะใภ้ของอีกฝ่าย หากระหว่างการผ่าตัดเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นมาก็อาจเป็นอันตรายได้เจี่ยนอันอันถาม “ท่านยายแซ่อะไรหรือเจ้าคะ?”ท่านยายหลินไม่เข้าใจ จนป่านนี้แล้ว ทำไมฝ่ายตรงข้ามต้องถามถึงแซ่ของนางด้วย?แต่นางยังคงตอบว่า “ข้าแซ่หลิน”เจี่ยนอันอันถามอีกครั้ง “ท่านยายหลิน หลายวันมานี้ลูกสะใภ้ของท่านมักบ่นว่าปวดท้องและอาเจียนแห้งๆ อยู่บ่อยครั้งใช่ไหมเจ้าคะ?”ท่านยายหลินพยักหน้า ที่เจี่ยนอันอันพูดมาไม่ผิดไปเลยสักนิดช่วงหลายวันนี้ลูกสะใภ้ของนางมักพูดว่าปวดท้อง แม้แต่ข้าวปลาก็ยังกินไม่ลงท่านยายหลินอยากให้ลูกสะใภ้พักผ่อนอยู่ที่บ้าน ไม่ต้องไปทำนาแล้วแต่ลูกสะใภ้เป็นคนขยันขันแข็งมาแต่ไหนแต่ไร นางเป็นห่วงข้าวในนาจึงยืนกรานตามไปด้วยแต่พอกลับมาก็ดูเหมือนว่าลูกสะใภ้เป็นต้องล้มป่วยหนักไปเสียทุกคราเสื้อผ้าบนร่างล้วนเปียกชุ่มด้วยเหงื่อเย็นลูกชายของท่านยายหลินก็สงสารภรรยามากเหมือนกัน เกลี้ยกล่อมนางว่าไม
ท่านยายหลินเดินเข้ามาในเวลานั้นเองนางเห็นลูกชายกับลูกสะใภ้ไม่ร้องว่าปวดท้องอีกก็ทราบว่าพวกเขาได้รับการรักษาแล้วนางรีบเข้ามาพูดกับคนทั้งสองว่า “พวกเจ้าเชื่อคำพูดของแม่นางคนนี้เถอะ”“นางสามารถรักษาเสี่ยวโต้วจื่อได้ก็ต้องรักษาอาการป่วยของอาหรงได้เหมือนกัน”หลินเซิงลูกชายของท่านยายหลินเหลือบมองเจี่ยนอันอันเล็กน้อย สุดท้ายก็ตอบตกลง“เช่นนั้นก็รบกวนแม่นางช่วยรักษาอาหรงด้วย” หลินเซิงกล่าวพลางลุกขึ้นลงจากเตียงอุ่นสตรีที่ถูกเรียกว่าอาหรงเห็นพวกเขาล้วนยินยอมให้ผ่าเปิดท้องนางแล้วแม้นางจะหวาดกลัวมาก แต่กลับไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีเจี่ยนอันอันบอกให้คนอื่นๆ ออกไปก่อน แล้วบอกให้ท่านยายหลินยกน้ำร้อนที่ต้มเสร็จแล้วเข้ามาท่านยายหลินและหลินเซิงรออยู่ข้างนอกด้วยความร้อนใจ แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปดูเสี่ยวโต้วจื่อกระตุกมือหลินเซิงเบาๆ ถามอย่างกลัวๆ “ท่านพ่อ ทำไมท่านแม่ถึงยังไม่ออกมาอีก?”หลินเซิงเห็นใบหน้าเสี่ยวโต้วจื่อยังเปื้อนน้ำตาอยู่ก็รีบใช้แขนเสื้อเช็ดใบหน้าให้ลูกชาย“แม่เจ้ากำลังรับการรักษาอยู่ อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”เสี่ยวโต้วจื่อได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีกภายในห้อง เจี่ยนอันอันบอกใ
เจี่ยนอันอันหยิบขวดยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาอาการอักเสบออกมาส่งให้หลินเซิง“รอจนภรรยาของท่านฟื้นแล้วก็ให้นางกินยานี้”หลินเซิงมองดูขวดยาในมือ เขาไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อนเลย“นี่สำหรับรักษาอะไรหรือ?” หลินเซิงถามด้วยสีหน้าสงสัย“ยานี้ใช้รักษาอาการอักเสบให้นาง ให้นางกินวันละสามเวลา ครั้งละสองเม็ดก็พอแล้ว”หลินเซิงรีบยัดยานั้นไว้ในอกเสื้อ ด้วยกลัวว่าจะทำหายเจี่ยนอันอันเห็นว่าตรงนี้ไม่มีเรื่องอะไรแล้วจึงจะจากไปท่านยายหลินและหลินเซิงรีบกล่าวขอบคุณเจี่ยนอันอันเจี่ยนอันอันยิ้มกล่าว “งั้นพวกข้าไปก่อนนะ พรุ่งนี้เช้าข้าจะมาอีกครั้ง”ตอนกลับไป ฉู่จวินสิงนึกสงสัยใคร่รู้อยู่บ้างเจี่ยนอันอันรักษาอาหรงผู้นั้นอย่างไรกันนะ?เจี่ยนอันอันยิ้มกว้างให้ฉู่จวินสิง “เรื่องนี้เป็นความลับ”ฉู่จวินสิงส่ายหน้ายิ้มๆ ไม่ได้ถามอะไรมากไปกว่านั้นเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เจี่ยนอันอันก็ไปที่บ้านของท่านยายหลินอีกครั้งเวลานั้นอาหรงนอนอยู่บนเตียงอุ่น ความเจ็บแปลบแล่นมาจากบาดแผลบนท้องนางอยากแกะแผ่นปิดแผลบนท้องออกมาดูเหลือเกิน แต่ก็กลัวว่าจะกระทบบาดแผลเห็นว่าเจี่ยนอันอันมาแล้ว ท่านยายหลินก็รีบมาต้อนรับ“แม่นาง
ฉู่จวินสิงชอบท่าทางกินข้าวของเจี่ยนอันอันมากนางกินข้าวอย่างมูมมามเหมือนหิวโหยมาหลายวันในปากของนางเต็มไปด้วยอาหาร สองแก้มกลมป่องท่าทางเหมือนหนูตัวน้อยๆ อย่างไรอย่างนั้นเห็นข้างริมฝีปากของเจี่ยนอันอันเต็มไปด้วยคราบน้ำมัน ไม่มีเค้าของคุณหนูตระกูลใหญ่เลยสักนิดแววตาฉู่จวินสิงก็ฉายรอยยิ้มออกมาเขาชอบนิสัยที่ไม่เสแสร้งแกล้งทำเช่นนี้ของเจี่ยนอันอันไม่เหมือนสตรีอื่นที่ชอบแสร้งทำเป็นอ่อนโยนอ่อนแอกินข้าวก็ต้องกินทีละคำเล็กๆ เสแสร้งจนชวนให้เขารำคาญใจหลังเจี่ยนอันอันกินข้าวเสร็จ ฉู่จวินสิงก็หยิบผ้าแพรเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำมันตรงมุมปากให้เจี่ยนอันอัน“ดูเจ้ากินข้าวเข้าสิ มุมปากมีแต่น้ำมัน”เจี่ยนอันอันยิ้มกว้างให้ฉู่จวินสิงแล้วแย่งผ้าแพรเช็ดหน้ามาเช็ดริมฝีปากอย่างส่งเดชฉู่จวินสิงถูกการกระทำของเจี่ยนอันอันทำให้นึกขันจนหัวเราะออกมาเบาๆเจี่ยนอันอันยัดผ้าแพรเช็ดหน้าเปื้อนน้ำมันใส่มือฉู่จวินสิงแล้วก้าวยาวๆ จากไปฉู่จวินสิงมองดูผ้าเช็ดหน้าเปื้อนคราบน้ำมันผืนนั้นแล้วก็ส่ายหน้ายิ้มๆซ่างตงเยว่เห็นดังนั้นก็รีบเข้ามาหานางกล่าวอย่างเกรงใจ “นายน้อยรอง ส่งผ้าแพรเช็ดหน้ามาให้ข้าเถอะเจ้าค่
เจี่ยนอันอันโบกพัดไปมาพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง“อากาศที่นี่ร้อนเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าตอนไหนฝนจะตก”เพิ่งสิ้นเสียงของเจี่ยนอันอัน ท้องฟ้าที่เดิมทียังแจ่มใสก็พลันมีเมฆครึ้มเข้าปกคลุมเจี่ยนอันอันเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ นางคว้าแขนของฉู่จวินสิงแล้วออกแรงเขย่า“ฉู่จวินสิง ท่านว่าข้าเป็นเทพธิดามาจุติไหมนะ”“ข้าเพิ่งพูดว่าอยากให้ฝนตก ท่านดูข้างนอกนั่นสิ จู่ๆ ก็มีเมฆครึ้มเต็มไปหมด”ฉู่จวินสิงปล่อยให้เจี่ยนอันอันแกว่งแขนเขาไปมาตามใจชอบเขาไม่ได้มองออกไปนอกหน้าต่าง แต่จ้องมองเจี่ยนอันอันตาไม่กะพริบเห็นเจี่ยนอันอันมีท่าทางตื่นเต้น มุมปากของเขาก็พลันโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มชวนมองในชั่วขณะนั้นเอง ท้องฟ้านอกหน้าต่างพลันสว่างวาบตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องดังครืนครันเจี่ยนอันอันยิ่งตื่นเต้นกว่าเดิมนางคิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองยังมีความสามารถ ‘เรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝน’ อีกด้วยนางกล่าวออกมาทันทีว่า “ฝนตกหนักๆ หน่อยนะ ดีที่สุดคือตกติดต่อกันสามวันสามคืน”เมื่อเป็นเช่นนี้ งานแต่งงานของนางกับฉู่จวินสิงก็สามารถเลื่อนออกไปได้อีกสองวันเจี่ยนอันอันดีดลูกคิดรางแก้วในใจ ฝนด้านนอกตกหนักกว่าเดิมดังคาดสายฝนกระหน
เจี่ยนอันอันยิ้มตาหยีเล็กน้อย พลางพูดว่า “ฮูหยินรองก็ไม่ต้องกังวลแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโคมแดงก็ดีหรือผ้าแดงก็ดี ข้าล้วนเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” เมื่อฮูหยินรองได้ยิน ดวงตาก็สว่างไสวขึ้นมาทันที “แม้แต่ของพวกนี้อันอันก็เตรียมไว้แล้วหรือ?” ราวกับใช้เวทมนตร์ ในมือของเจี่ยนอันอันพลันมีโคมแดงสองดวงเพิ่มขึ้นมา ฮูหยินรองเห็นเช่นนั้น ก็รีบตะโกนเข้าไปในห้องทันทีว่า “พี่หญิง ท่านรีบออกมาดูสิเจ้าคะ” ฮูหยินใหญ่ที่ได้ยินเสียง ก็เดินออกมาจากห้องทันที เมื่อนางเห็นในมือของเจี่ยนอันอัน กำลังถือโคมแดงอยู่สองดวง นางรีบถามทันทีว่า “อันอัน โคมแดงสองดวงนี้นำมาจากที่ใดกัน?” เจี่ยนอันอันพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ของพวกนี้ข้าล้วนนำมาจากบ้านเดิมเจ้าค่ะ” เมื่อนางกล่าวจบ ในมือก็มีผ้าไหมแดงเพิ่มขึ้นมาอีกผืน ในใจของฮูหยินใหญ่และฮูหยินรองพลันเกิดความยินดีขึ้นมา เมื่อมีของเหล่านี้ พวกนางก็ไม่ต้องกลัวว่าจะจัดห้องหอได้ไม่ดีแล้ว คนทั้งสองเลิกสงสัยในตัวเจี่ยนอันอันไปนานแล้ว เวลานี้ ต่อให้เจี่ยนอันอันเสกคนมีชีวิตออกมา พวกนางก็จะนึกเพียงว่านั่นเป็นคนที่เจี่ยนอันอันเก็บไว้ในถุงเฉียนคุนเท่านั้น ที่พวกนางไ
เจี่ยนอันอันไม่อยากเสียเวลาอีกแล้วจึงก้าวยาวๆ ออกไปข้างนอกคนทั้งสี่ขึ้นไปนั่งบนรถม้าแล้วตรงไปยังจวนผู้ว่าการมณฑลจงโจวจวนผู้ว่าการมณฑลจงโจวไม่ได้อยู่ในอำเภอไถหยาง แต่อยู่ในเมืองหลักระหว่างทางพวกเจี่ยนอันอันรู้สึกหิว แต่ตอนนี้พวกนางไม่มีกะจิตกะใจจะไปกินข้าวในร้านอาหารเลยสักนิดเจี่ยนอันอันซื้อขนมปังกับน้ำจากร้านค้าในมิติแล้วแจกจ่ายให้พวกฉู่จวินสิงสามคนพวกเขาไม่เคยเห็นขนมปังมาก่อน ต่างมองห่อขนมปังอย่างอึ้งงัน ไม่รู้ว่าควรกินอย่างไรเจี่ยนอันอันบอกพวกเขาว่าต้องฉีกซองออกเสียก่อนจึงจะสามารถกินอาหารที่อยู่ข้างในได้คนทั้งสามฉีกซองขนมปังโดยเลียนแบบท่าทางของเจี่ยนอันอันกลิ่นหอมของขนมปังลอยเข้าจมูก ประกอบกับคนทั้งสี่กำลังหิวจึงรีบกัดกินคำโตเซิ่งฟางกินพลางถามว่า “อันอัน นี่คืออะไรหรือ เหตุใดจึงนุ่มอร่อยเช่นนี้?”เจี่ยนอันอันดื่มน้ำคำหนึ่ง กลืนขนมปังในปากลงไป“นี่คือของว่างที่ข้าทำขึ้นมาในบ้าน ข้าตั้งชื่อให้มันว่าขนมปัง”“ที่ข้ายังมีอีกเยอะ พวกท่านกินให้เต็มที่”“ขนมปังค่อนข้างติดคอ พวกท่านกินน้ำตามไปด้วย”ฉู่จวินสิงเคยเห็นน้ำแร่มาก่อน เขารู้ว่าควรเปิดของสิ่งนี้อย่างไรเขาหมุน
ในปีนั้นตอนที่เกิดการสังหารหมู่ขึ้น คนในครอบครัวของจงซิ่นเองก็ไม่รอดลูกชายลูกสะใภ้ของเขา ล้วนแต่ตายในน้ำมือของศัตรูจงซิ่นเพื่อที่จะแก้แค้นให้คนในครอบครัว ก็โวยวายที่จะไปฆ่าคนในราชวงศ์ในตอนนั้นเวินอี๋พยายามห้ามเอาไว้อย่างเต็มที่ แล้วยังบอกเขาว่าด้านนอกนั้นวุ่นวายเป็นอย่างมากถึงแม้ว่าเขาจะมีแรงพละกำลังเต็มที่ ทว่าเพียงแค่สองหมัดยากจะเอาชนะสี่มือได้เขาอยากจะแก้แค้นก็ไม่ควรจะรีบร้อนในตอนนี้รอจนเมื่อดึกสงัดผู้คนเงียบสงบลง ค่อยไปแก้แค้นก็ยังไม่สายทว่าจงซิ่นในตอนนั้นถูกความแค้นท่วมท้นทำให้ตาบอดไป เขายืนกรานจะไปแก้แค้นคนที่สังหารครอบครัวเขาจงซิ่นไม่ได้ฟังคำเกลี้ยกล่อมของเวินอี๋ หยิบมีดเล่นยาวแล้วเดินออกไปเวินอี๋กังวลในความปลอดภัยของจงซิ่น แต่ก็ไม่อยากทิ้งจงหลานเอาไว้ที่บ้านเพียงลำพัง พ่อแม่ของจงหลานเพื่อที่จะปกป้องนางแล้ว ถึงได้ตายไปภายใต้คมมีดของศัตรูหากว่านางถูกฆ่า เกรงว่าจงซิ่นคงไม่อาจใช้ชีวิตได้อย่างปกติไปตลอดเพื่อที่จะปกป้องจงหลาน เวินอี๋จึงรออยู่ที่บ้านรอจนเมื่อจงซิ่นกลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่างกาย ก็มองเห็นเวินอี๋นอนอยู่กลางลานบ้านแล้วจงหลานอายุสองขวบนั่งร้อ
และในตอนที่จงซิ่นกำลังสงสัยอยู่นั้น เซิ่งฟางก็เดินเข้ามาในตอนที่รู้ว่าจะไปบ้านของจงซิ่นเพื่อช่วยคน เซิ่งฟางเองก็ไม่ได้คัดค้านฉู่จวินสิงให้จงซิ่นขึ้นมานั่งบนรถม้า ไม่นานนักก็พากันเดินทางไปยังบ้านของจงซิ่นตลอดทาง จงซิ่นอดที่จะมองไปยังเจี่ยนอันอันเป็นระยะๆ ไม่ได้เขาพบว่าเจี่ยนอันอันเต็มไปด้วยความสงบนิ่ง เหมือนว่าจะมีความมั่นใจอย่างเต็มที่ที่จะช่วยเวินอี๋เอาไว้ทว่าไม่ว่าเขาจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าเจี่ยนอันอันอายุยังน้อย ไม่เหมือนกับคนที่มีทักษะทางการแพทย์เจี่ยนอันอันรู้ว่าจงซิ่นกำลังสงสัยในความสามารถขอองตน แต่นางไม่ใส่ใจนางแน่ใจว่าจะรักษาร่างกายเวินอี๋ได้ระหว่างทางไปยังบ้านของจงซิ่น จงซิ่นก็ได้รู้ว่าเจี่ยนอันอันเป็นภรรยาของฉู่จวินสิงรถม้าไม่นานนักก็มาถึงประตูบ้านจงซิ่น จงซิ่นลงมาจากรถม้าก่อน เคาะประตูดังขึ้นประตูถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว เด็กน้อยอายุราวเจ็ดแปดขวบคนหนึ่งโผล่หัวออกมาเมื่อนางเห็นว่าจงซิ่นกลับมาแล้ว ก็รีบเปิดประตูเรือนขึ้น“ท่านปู่ ท่านรีบไปดูเข้า ท่านลุงเวินไม่สบายอีกแล้ว”จงซิ่นได้ยินคำนี้เข้า ก็รีบเดินเข้าไปทว่าเขาเพิ่งจะเดินไปได้เพียงแค่ไม่กี่ก้าว ก็ค
จงซิ่นจ้องมองฉู่จวินสิงขึ้นๆ ลงๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น“ท่านคือเยียนอ๋องคนนั้นที่ถูกเนรเทศมายังเมืองอินเป่ยหรือ?”ฉู่จวินสิงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจำตนเองได้ ก็พยักหน้าออกมา “เป็นข้าเอง”จงซิ่นที่เดิมขมวดคิ้วอยู่ก็ผ่อนคลายลงทันทีเขาเคยได้ยินเวินอี๋พูดออกมา เยียนอ๋องจากแคว้นไท่ยวนทั้งกล้าหาญและเก่งการสู้รบ ทำความดีความชอบให้แคว้นไท่ยวนมาไม่น้อย ส่วนวิชาลูกเตะทลายเมฆานั้น ก็เป็นเยียนอ๋องที่สร้างขึ้นมาจงซิ่นอยากจะพบกับเยียนอ๋องมานานแล้ว กลับไม่คิดเลยว่าจะมาพบกับเขาได้ที่นี่จงซิ่นรีบกำหมัดโค้งกายทำความเคารพฉู่จวินสิง“ข้าน้อยจงซิ่น คารวะเยียนอ๋อง”ฉู่จวินสิงรีบพูดขึ้น “มาตอนนี้ข้าไม่ใช่เยียนอ๋องอะไรนั่นอีกแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องทำความเคารพอะไรเช่นนี้อีก”จงซิ่นยืดตัวขึ้น ใบหน้าค่อยๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มยินดีขึ้นมา“ข้าอยางจะพบกับเยียนอ๋องมานานแล้ว กลับไม่คิดเลยว่า จะมาพบกับท่านที่นี่ได้”จงซิ่นตื่นเต้นมากเช่นนี้ ทำให้ฉู่จวินสิงประหลาดใจเล็กน้อย“ผู้เฒ่าจงไปเรียนลูกเตะทลายเมฆามาจากที่ใดกัน?”วิชาเตะนี้เขาเคยสอนไปเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น และคนคนนั้นก็ตายไปในสนามรบเมื
จ้าวลิ่วกอดความทะเยอทะยานมายังเมืองหลวง แต่ก็พบว่าที่นี้หาเงินได้ไม่ง่ายเหมือนอย่างที่เขาคิดเอาไว้เดิมทีเขาก็ไม่ได้มีความสามารถอะไร ในตอนที่อยู่ที่บ้านก็ไม่เคยไปทำงานที่ทุ่งนาอะไรเลยหลังจากที่มาในเมืองแล้ว เขาถึงกับอึ้งตะลึงไปโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสันสวยงาม แตกต่างไปจากความสงบสุขของหมู่บ้านชิงสุ่ยอย่างสิ้นเชิงจ้าวลิ่วคลุกคลีอยู่ด้านนอกมาสองปี แต่กลับคลุกคลีจนกลายเป็นคนที่ไม่มีคุณธรรมหากว่าถูกครอบครัวจางต้าเห็นเข้า ไม่รู้ว่าจะดุด่าเขาว่าอย่างไรแต่ที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ หญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าเขาจะรู้จักกับพี่ห้าของเขาได้ไม่นานจ้าวลิ่วก็โพล่งออกมา “ข้าไม่รู้จักจ้าวอู่”เขาเพิ่งจะพูดคำนี้ออกมาจบ ก็เสียใจเสียจนอยากจะกัดลิ้นของตนเองทิ้งเสียเมื่อครู่นี้เจี่ยนอันอันไม่ได้พูดถึงชื่อของจ้าวอู่ แต่ตอนนี้เหมือนว่าเขาจะสารภาพมันออกไปเองแล้วเจี่ยนอันอันกลอกตาไปมาให้จ้าวลิ่ว นางไม่ได้เปิดโปงเขา แต่พูดกับเซิ่งฟางออกมา“พี่เซิ่ง ท่านนำตัวเขากลับไปขังที่ว่าการอำเภอเสียก่อน”“รอจนเมื่อเรื่องของพวกเราจัดการกันเรียบร้อยแล้ว ข้าจะกลับมาสั่งสอนเขาให้ดีๆ”เซิ่งฟางพยักหน้า แล้วจ้อง
ผู้คนที่ผ่านไปมาจดจำเซิ่งฟางได้นานแล้ว แต่พวกเขาเพียงแต่ยืนอยู่ด้านข้าง ไม่มีใครช่วยพูดให้จ้าวลิ่วถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังโกรธแค้นอยู่ในใจเพราะเรื่องสังหารหมู่ในปีนั้นแต่พวกเขาก็ไม่ล่วงเกินเจ้าหน้าที่ทางการ ต่างก็พากันคอยเป็นผู้รับชมอยู่ด้านข้างจ้าวลิ่วเมื่อเห็นว่าไม่มีใครคอยช่วยพูดแทนเขา ก็โมโหเป็นอย่างมาก คิดที่จะดิ้นรนให้หลุดรอดออกมาจากมือของจงซิ่นทว่ามือของจงซิ่นที่จับเขาเอาไว้ก็ยิ่งออกแรงมากยิ่งขึ้นจ้าวลิ่วเจ็บเสียจนต้องกัดฟัน ทั่วทั้งกายอดไม่ได้ที่จะสั่นเทาขึ้นมาข้อมือของเขาแทบจะหัก ชายชราผู้นี้ทำไมถึงไม่ยอมปล่อยเขาไปเซิ่งฟางยกมือขึ้น แล้วเหวี่ยงไปยังใบหน้าอีกด้านหนึ่งของจ้าวลิ่วสองฝ่ามือนี้ ทำเสียจนใบหน้าของจ้าวลิ่วบวมจนกลายเป็นหมูมุมปากของจ้าวลิ่วมีเลือดไหลซึมออกมาผู้คนที่ผ่านไปมาคอยดูอยู่ด้านข้าง ก็ตกใจเสียจนต้องก้าวถอยหลังไปพวกเขาต่างก็ลอบยินดีที่ตนเองไม่ได้ปากมากช่วยพูดให้กับจ้าวลิ่วมิฉะนั้นแล้วฝ่ามือนี้ เกรงว่าคงจะตกลงบนใบหน้าของพวกเขาแทนจ้าวลิ่วถูกตบเสียจนวิงเวียนดวงตาพร่ามัว ในตอนนี้เขารู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้วจริงๆเขาควรจะหยิบเอาถุงเงินนั่น ไปร้านอาห
เมื่อเห็นว่ากีบม้ากำลังจะตกลงบนกายของขอทาน ท่ามกลางกลุ่มคนนั้นจู่ๆ ก็มีเสียงคนร้องดังขึ้น“จ้าวลิ่ว เจ้าบ้านี่ไม่ต้องการชีวิตแล้วอย่างนั้นหรือ!”คนนั้นเมื่อพูดจบ ก็รีบพุ่งเข้ามาเตะลงบนกายของจ้าวลิ่วจ้าวลิ่วที่เดิมทีผอมบางอ่อนแรง เมื่อถูกเตะเข้าก็กลิ้งไปริมถนนกีบม้าตกลงบนถนนอย่างแรง ม้าส่งเสียงร้องดังขึ้น หลังจากที่กีบม้าเหยียบลงบนพื้นอย่างแรงเพียงไม่กี่ครั้ง ถึงได้หยุดลง ในตอนที่เจี่ยนอันอันได้ยินคนผู้นั้นเรียกขอทานว่าจ้าวลิ่วนั้น ก็อดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้นางจำที่จ้าวอู่พูดได้ว่า เขามีน้องหกอยู่คนหนึ่งเข้ามาในเมืองเมื่อสองปีก่อนเขาตามหาน้องหกคนนั้นมาสองปีกว่า ก็ตามหาไม่พบส่วนน้องหกคนนั้นของเขา ชื่อว่าจ้าวลิ่วเจี่ยนอันอันมองไปยังจ้าวลิ่วด้วยความสงสัย พบเพียงใบหน้าของเขาสกปรกอย่างมากไม่มีทางที่จะมองรูปลักษณ์เดิมได้ชัดเจนจ้าวลิ่วลุกขึ้นมา แล้วรีบไปยังเบื้องหน้าของคนที่เตะเขาอย่างไม่ยินยอม“ตาเฒ่านี่ เตะข้าทำอะไรกัน?”“เจ้ารู้หรือไม่ที่เจ้าเพิ่งจะทำไปเมื่อครู่นี้ มาทำลายเรื่องดีๆ ของข้าไปอย่างสิ้นเชิง”เจี่ยนอันอันมองไปยังคนที่เตะจ้าวลิ่ว ก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นชา
“หวังว่าท่านจะรักษาคำพูด” เจี่ยนอันอันพูดจบ ก็โบกมือขึ้น “ท่านไปได้แล้ว เรื่องที่ท่านมายังที่ว่าการอำเภอ ห้ามบอกผู้อื่น”เจ้าเมืองตานรีบตอบรับออกมา เขาหันไปมองยังเซิ่งฟาง ก็พบว่าอีกฝ่ายพยักหน้าให้กับเขาหลังจากที่เจ้าเมืองตานโค้งคำนับให้กับทั้งสี่คนแล้ว ก็รีบเดินออกไปในตอนที่เขามายังที่ว่าการอำเภอนั้น ไม่ได้นั่งเกี้ยว และก็ไม่ได้สวมเครื่องแบบทางการมา เพียงแต่สวมเสื้อผ้าธรรมดาเท่านั้นเขาเองก็กลัวว่าตนเองจะสะดุดตาจนเกินไป แล้วถูกคนของผู้ว่ามณฑลจงโจวจดจำได้เข้าหลังจากที่เดินออกจากที่ว่าการอำเภอแล้วนั้น เจ้าเมืองตานก็รีบมุ่งหน้ากลับไปยังจวนของตนเองเขาก้มหน้าเดินอย่างเร่งรีบ จนชนเข้ากับคนผู้หนึ่งเจ้าเมืองตานเงยหน้าขึ้น ก็พบกับขอทานที่ทั่วทั้งเนื้อตัวสกปรกมอมแมม ถูกเขาชนจนล้มลงกับพื้นขอทานล้มลงร้อง “โอ๊ย” ออกมา ใบหน้าที่สกปรกนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเจ้าเมืองตานรีบร้อนกลับไปยังจวน จึงไม่ได้สนใจขอทานนั่น เขาส่งเสียงเย็นชา ก่อนจะรีบจากไปที่เขาไม่รู้ก็คือ ในตอนที่เขาชนเข้ากับขอทานเมื่อครู่นี้นั้น ถุงเงินตรงเอวของเขา ได้ตกไปอยู่ในมือของขอทานนั่นแล้วขอทานส่งเสียงร้องดัง “โอ๊ย”
สายตาของเจี่ยนอันอันจ้องเขม็งไปยังใบหน้าของเจ้าเมืองตาน อย่างจะคิดมองหาท่าทีโกหกจากสีหน้าของเขาในตอนที่เจ้าเมืองพูดออกมานั้น สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึม สายตาเผยให้เห็นความโกรธแค้นออกมาดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้พูดโกหก สายตาของเจี่ยนอันอันดูเย็นชา จนทำให้ในใจของเจ้าเมืองตานที่มองดูเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาเขาไม่กล้าที่จะสบสายตากับเจี่ยนอันอัน จึงทำได้เพียงมองไปยังทิศทางอื่นเจี่ยนอันอันพูดออกมาอย่างเย็นชา “ท่านเพิ่งจะพูดออกมาว่า ท่านสนิทชิดเชื้อกันท่านผู้ว่ามณฑลจงโจว”“แล้วทำไมท่านยังจะนำเรื่องนี้มาบอกพวกเราอีก”“ท่านไม่กลัวหรือว่าคำที่ท่านพูดออกมาเหล่านี้ จะลอยเข้าหูผู้ว่ามณฑลจงโจวเข้า?”แน่นอกว่าเจ้าเมืองตานย่อมหวาดกลัว เพียงแต่ว่าเขาไม่อยากสมคบคิดกับคนชั่วอีกในตอนแรกที่เขามีความสัมพันธ์อันดีกับผู้ว่ามณฑลจงโจวนั้น ทั้งหมดก็เป็นเพียงเพราะว่าพวกเขาล้วนแต่เป็นคนบ้านเกิดเดียวกัน เขาถือว่าผู้ว่ามณฑลเป็นคนสนิท ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะหารือกับอีกฝ่ายมาโดยตลอดเพียงแต่ที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงนั้น ผู้ว่ามณฑลจงโจวจะเข้าร่วมสมคบคิดกับคนที่มาเพื่อทำการสังหารหมู่ในปีนั้นไม่เพียงแต่เท่านี้ เขาเพื่