เจี่ยนอันอันหยิบขวดยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาอาการอักเสบออกมาส่งให้หลินเซิง“รอจนภรรยาของท่านฟื้นแล้วก็ให้นางกินยานี้”หลินเซิงมองดูขวดยาในมือ เขาไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อนเลย“นี่สำหรับรักษาอะไรหรือ?” หลินเซิงถามด้วยสีหน้าสงสัย“ยานี้ใช้รักษาอาการอักเสบให้นาง ให้นางกินวันละสามเวลา ครั้งละสองเม็ดก็พอแล้ว”หลินเซิงรีบยัดยานั้นไว้ในอกเสื้อ ด้วยกลัวว่าจะทำหายเจี่ยนอันอันเห็นว่าตรงนี้ไม่มีเรื่องอะไรแล้วจึงจะจากไปท่านยายหลินและหลินเซิงรีบกล่าวขอบคุณเจี่ยนอันอันเจี่ยนอันอันยิ้มกล่าว “งั้นพวกข้าไปก่อนนะ พรุ่งนี้เช้าข้าจะมาอีกครั้ง”ตอนกลับไป ฉู่จวินสิงนึกสงสัยใคร่รู้อยู่บ้างเจี่ยนอันอันรักษาอาหรงผู้นั้นอย่างไรกันนะ?เจี่ยนอันอันยิ้มกว้างให้ฉู่จวินสิง “เรื่องนี้เป็นความลับ”ฉู่จวินสิงส่ายหน้ายิ้มๆ ไม่ได้ถามอะไรมากไปกว่านั้นเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เจี่ยนอันอันก็ไปที่บ้านของท่านยายหลินอีกครั้งเวลานั้นอาหรงนอนอยู่บนเตียงอุ่น ความเจ็บแปลบแล่นมาจากบาดแผลบนท้องนางอยากแกะแผ่นปิดแผลบนท้องออกมาดูเหลือเกิน แต่ก็กลัวว่าจะกระทบบาดแผลเห็นว่าเจี่ยนอันอันมาแล้ว ท่านยายหลินก็รีบมาต้อนรับ“แม่นาง
ฉู่จวินสิงชอบท่าทางกินข้าวของเจี่ยนอันอันมากนางกินข้าวอย่างมูมมามเหมือนหิวโหยมาหลายวันในปากของนางเต็มไปด้วยอาหาร สองแก้มกลมป่องท่าทางเหมือนหนูตัวน้อยๆ อย่างไรอย่างนั้นเห็นข้างริมฝีปากของเจี่ยนอันอันเต็มไปด้วยคราบน้ำมัน ไม่มีเค้าของคุณหนูตระกูลใหญ่เลยสักนิดแววตาฉู่จวินสิงก็ฉายรอยยิ้มออกมาเขาชอบนิสัยที่ไม่เสแสร้งแกล้งทำเช่นนี้ของเจี่ยนอันอันไม่เหมือนสตรีอื่นที่ชอบแสร้งทำเป็นอ่อนโยนอ่อนแอกินข้าวก็ต้องกินทีละคำเล็กๆ เสแสร้งจนชวนให้เขารำคาญใจหลังเจี่ยนอันอันกินข้าวเสร็จ ฉู่จวินสิงก็หยิบผ้าแพรเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำมันตรงมุมปากให้เจี่ยนอันอัน“ดูเจ้ากินข้าวเข้าสิ มุมปากมีแต่น้ำมัน”เจี่ยนอันอันยิ้มกว้างให้ฉู่จวินสิงแล้วแย่งผ้าแพรเช็ดหน้ามาเช็ดริมฝีปากอย่างส่งเดชฉู่จวินสิงถูกการกระทำของเจี่ยนอันอันทำให้นึกขันจนหัวเราะออกมาเบาๆเจี่ยนอันอันยัดผ้าแพรเช็ดหน้าเปื้อนน้ำมันใส่มือฉู่จวินสิงแล้วก้าวยาวๆ จากไปฉู่จวินสิงมองดูผ้าเช็ดหน้าเปื้อนคราบน้ำมันผืนนั้นแล้วก็ส่ายหน้ายิ้มๆซ่างตงเยว่เห็นดังนั้นก็รีบเข้ามาหานางกล่าวอย่างเกรงใจ “นายน้อยรอง ส่งผ้าแพรเช็ดหน้ามาให้ข้าเถอะเจ้าค่
เจี่ยนอันอันโบกพัดไปมาพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง“อากาศที่นี่ร้อนเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าตอนไหนฝนจะตก”เพิ่งสิ้นเสียงของเจี่ยนอันอัน ท้องฟ้าที่เดิมทียังแจ่มใสก็พลันมีเมฆครึ้มเข้าปกคลุมเจี่ยนอันอันเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ นางคว้าแขนของฉู่จวินสิงแล้วออกแรงเขย่า“ฉู่จวินสิง ท่านว่าข้าเป็นเทพธิดามาจุติไหมนะ”“ข้าเพิ่งพูดว่าอยากให้ฝนตก ท่านดูข้างนอกนั่นสิ จู่ๆ ก็มีเมฆครึ้มเต็มไปหมด”ฉู่จวินสิงปล่อยให้เจี่ยนอันอันแกว่งแขนเขาไปมาตามใจชอบเขาไม่ได้มองออกไปนอกหน้าต่าง แต่จ้องมองเจี่ยนอันอันตาไม่กะพริบเห็นเจี่ยนอันอันมีท่าทางตื่นเต้น มุมปากของเขาก็พลันโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มชวนมองในชั่วขณะนั้นเอง ท้องฟ้านอกหน้าต่างพลันสว่างวาบตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องดังครืนครันเจี่ยนอันอันยิ่งตื่นเต้นกว่าเดิมนางคิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองยังมีความสามารถ ‘เรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝน’ อีกด้วยนางกล่าวออกมาทันทีว่า “ฝนตกหนักๆ หน่อยนะ ดีที่สุดคือตกติดต่อกันสามวันสามคืน”เมื่อเป็นเช่นนี้ งานแต่งงานของนางกับฉู่จวินสิงก็สามารถเลื่อนออกไปได้อีกสองวันเจี่ยนอันอันดีดลูกคิดรางแก้วในใจ ฝนด้านนอกตกหนักกว่าเดิมดังคาดสายฝนกระหน
เจี่ยนอันอันยิ้มตาหยีเล็กน้อย พลางพูดว่า “ฮูหยินรองก็ไม่ต้องกังวลแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโคมแดงก็ดีหรือผ้าแดงก็ดี ข้าล้วนเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” เมื่อฮูหยินรองได้ยิน ดวงตาก็สว่างไสวขึ้นมาทันที “แม้แต่ของพวกนี้อันอันก็เตรียมไว้แล้วหรือ?” ราวกับใช้เวทมนตร์ ในมือของเจี่ยนอันอันพลันมีโคมแดงสองดวงเพิ่มขึ้นมา ฮูหยินรองเห็นเช่นนั้น ก็รีบตะโกนเข้าไปในห้องทันทีว่า “พี่หญิง ท่านรีบออกมาดูสิเจ้าคะ” ฮูหยินใหญ่ที่ได้ยินเสียง ก็เดินออกมาจากห้องทันที เมื่อนางเห็นในมือของเจี่ยนอันอัน กำลังถือโคมแดงอยู่สองดวง นางรีบถามทันทีว่า “อันอัน โคมแดงสองดวงนี้นำมาจากที่ใดกัน?” เจี่ยนอันอันพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ของพวกนี้ข้าล้วนนำมาจากบ้านเดิมเจ้าค่ะ” เมื่อนางกล่าวจบ ในมือก็มีผ้าไหมแดงเพิ่มขึ้นมาอีกผืน ในใจของฮูหยินใหญ่และฮูหยินรองพลันเกิดความยินดีขึ้นมา เมื่อมีของเหล่านี้ พวกนางก็ไม่ต้องกลัวว่าจะจัดห้องหอได้ไม่ดีแล้ว คนทั้งสองเลิกสงสัยในตัวเจี่ยนอันอันไปนานแล้ว เวลานี้ ต่อให้เจี่ยนอันอันเสกคนมีชีวิตออกมา พวกนางก็จะนึกเพียงว่านั่นเป็นคนที่เจี่ยนอันอันเก็บไว้ในถุงเฉียนคุนเท่านั้น ที่พวกนางไ
ฉู่จวินหลุนก็บังคับเก้าอี้รถเข็นออกมาเช่นกัน “จวินสิงกลัวแมลงมาตั้งแต่เด็ก จุดอ่อนนี้ไม่อาจให้ผู้มีจิตคิดร้ายรู้เด็ดขาด” เหยียนเซ่าหันไปมองฉู่จวินหลุน ดวงตาของเขาเฉียบเย็น “ที่จิ้นอ๋องกล่าวคือ หากให้ฝ่าบาทรู้เข้า จะต้องทรงใช้วิธีนี้มาลงมือกับท่านอ๋องของกระหม่อมใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เมื่อฉู่จวินหลุนได้ยินว่าเหยียนเซ่ายังคงเรียกเขาว่าจิ้นอ๋อง ก็โบกมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ยามนี้ข้ามิใช่จิ้นอ๋องอีกแล้ว เจ้าติดตามจวินสิงมานานหลายปี จงรักภักดีมาโดยตลอด” “เช่นนั้นวันหลังเจ้าก็เรียกข้าว่าพี่ใหญ่เถอะ” เหยียนเซ่าประสานคำนับทันที “พ่ะย่ะค่ะจิ้นอ๋อง! โอ้ไม่ใช่ ขอรับพี่ใหญ่!” ในที่สุดเจี่ยนอันอันก็วิ่งจนเหนื่อยแล้ว และก็ขำจนพอแล้วเช่นกัน นางหยุดลง ยิ้มพลางพูดว่า “ฉู่จวินสิง นี่เป็นเพียงแมงมุมปลอมตัวหนึ่งเท่านั้น ดูสิ ทำท่านกลัวซะ” เจี่ยนอันอันพูดจบ ก็ยกมือปิดปากแอบหัวเราะอีกครั้ง เมื่อฉู่จวินสิงเห็นชัดเจนว่าในมือของเจี่ยนอันอันถึงกับเป็นแมงมุมปลอมจริงๆ เขาก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชา คว้ามือของเจี่ยนอันอันดึงนางเข้าไปในห้อง “ฉู่จวินสิง ท่านคงไม่ได้โมโหจริงๆ ใช่ไหม ข้าแค่ล้อท
เมื่อเจี่ยนอันอันได้ยินว่ามันเทศแตกหน่ออ่อนแล้ว นางก็รีบจูงมือเล็กๆ ของฉู่จื่อซี สาวเท้ายาวจากไปทันที ในตอนที่นางเดินไปถึงหน้าประตู ก็หันไปถลึงตาใส่ฉู่จวินสิงอีกครั้ง “ท่านรอก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวข้าจะกลับมาจัดการท่าน” ฉู่จวินสิงหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็ตามออกมาเช่นกัน คนทั้งสามมาถึงบริเวณที่ปลูกมันเทศ ฉู่จื่อซีนั่งยองลง มือน้อยๆ ชี้ไปที่ต้นอ่อนที่อยู่ในดิน เจี่ยนอันอันนั่งยองลงไปอย่างมีความสุข “โอ้ เร็วขนาดนี้ก็งอกต้นอ่อนแล้ว” “ดูท่าอีกไม่นาน พวกเราก็จะได้กินมันเทศแล้ว” “จื่อซีอยากกินมันเทศหรือไม่?” เมื่อฉู่จื่อซีได้ยินคำพูดของเจี่ยนอันอัน ก็พยักหน้าหนักๆ อย่างมีความสุข เจี่ยนอันอันลูบหัวน้อยๆ ของฉู่จื่อซี “รอจนมันเทศได้ที่แล้ว ข้าก็จะทำมันเทศเผาให้เจ้ากิน” ฉู่จื่อซีชอบกินมันเทศมาก ครั้งก่อนที่กินมันเทศในศาลเจ้าร้าง เขายังกินไม่เต็มอิ่มเลย ยามนี้เมื่อได้ยินเจี่ยนอันอันพูดว่า ในอนาคตจะมีมันเทศเผาให้กิน ใบหน้าน้อยๆ ของเขาก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างเบิกบานทันที ตลอดบ่ายนี้ไม่มีฝนตก เจี่ยนอันอันต้มยาให้ฉู่จื่อซีชุด ให้เขาดื่มลงไป ตอนกลางคืนช่วงที่กำลังนอน เจี่ยนอ
เจี่ยนอันอันซื้อพุทราลูกใหญ่ ถั่วลิสง ลำไย และเมล็ดบัวจำนวนหนึ่งจากร้านค้าในมิติ นางแกะถุงที่ใส่ของสี่อย่างนั้นออกในมิติ เทอาหารด้านในออกมาก่อน จากนั้นค่อยมอบให้ฮูหยินใหญ่ วันนี้อากาศเป็นใจ ฝนไม่ตกแม้แต่หยดเดียว เหล่าข้ารับใช้แขวนโคมแดงขึ้นไปบนประตูบ้านแล้ว และแขวนผ้าไหมสีแดงไว้ที่ประตูทั้งสองข้างด้วย พวกเขายังปูผ้าไหมสีแดงผืนยาวไว้กลางลานบ้าน ตกแต่งลานบ้านจนแดงอร่ามไปทั่ว ทุกคนรอเพียงให้ถึงเวลาเท่านั้น เจี่ยนอันอันกับฉู่จวินสิงก็จะได้กราบไหว้ฟ้าดินเพื่อแต่งงานกันแล้ว คนในหมู่บ้านได้ประจักษ์ว่าลานบ้านของเรือนหลังนี้ครึกครื้นเพียงไร ทุกคนล้วนสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ ส่วนเจี่ยนอันอันและฉู่จวินสิงต่างก็สวมชุดวิวาห์สีแดง เหล่าชาวบ้านจึงรีบวิ่งไปส่งข่าวกันทันที ล้วนบอกต่อกันว่าคนบ้านนั้นจะมีพิธีมงคล ชุดมงคลสีแดงบนร่างคนทั้งสอง เป็นของที่เจี่ยนอันอันซื้อมาจากร้านค้าในมิติ นางยังเอาเครื่องประดับจากในมิติออกมาให้สี่เอ๋อร์สวมให้นางด้วย ซ่างตงเยว่ก็อยากช่วยเช่นกัน ทว่านางไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องเช่นนี้มาก่อน จึงไม่รู้ว่าควรจะช่วยอย่างไร สี่เอ๋อร์ที่กำลังหวีผมให้เจี่ยนอันอ
เมื่อคนทั้งสองมาถึงเรือนหลัก ฮูหยินใหญ่ก็นั่งอยู่บนตั่งอุ่นแล้ว นางมองสองบ่าวสาวที่เดินเข้ามาอย่างยิ้มแย้ม จากนั้น พ่อบ้านหลิวก็ตะโกนว่า “หนึ่งคำนับฟ้าดิน!” เจี่ยนอันอันและฉู่จวินสิงโค้งคำนับไปทุกทิศทาง “สองคำนับบิดามารดา!” คนทั้งสองหมุนกายกลับมา คำนับไปทางฮูหยินผู้เฒ่า “สามีภรรยาคำนับกันและกัน!” คนทั้งสองหันหน้าเข้าหากันและกัน แล้วคำนับลง “เสร็จพิธี ส่งเข้าห้องหอ!” หลังสี่เอ๋อร์และซ่างตงเยว่ได้ยิน ก็รีบเดินเข้ามาประคองเจี่ยนอันอันไปที่ห้องหอ เจี่ยนอันอันที่นั่งอยู่บนเตียงอุ่น ถอนใจออกมาเบาๆ ครั้งหนึ่ง รอจนสี่เอ๋อร์และซ่างตงเยว่ออกไปแล้ว ฉู่จวินสิงจึงก้าวเข้ามา ในตอนที่เขาเปิดผ้าคลุมหน้าสีแดงบนศีรษะเจี่ยนอันอันออก ก็เห็นเจี่ยนอันอันกำลังมองเขาด้วยความเอียงอาย เดิมเจี่ยนอันอันก็งดงามอยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งงามล้ำหาใดเปรียบ ฉู่จวินสิงมองเจี่ยนอันอันด้วยแววตาอ่อนโยน มองจนใบหน้าน้อยๆ ของเจี่ยนอันอันแดงขึ้นมา ฉู่จวินสิงประคองใบหน้าของเจี่ยนอันอันขึ้นมา กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ตอนนี้ตัวข้ามีฐานะต่ำต้อย ที่บ้านก็ไม่มีสิ่งใด” “ได้แต่ทำให้เจ้าต้องมาแต่งงานกับข้าลวกๆ อย่
ในปีนั้นตอนที่เกิดการสังหารหมู่ขึ้น คนในครอบครัวของจงซิ่นเองก็ไม่รอดลูกชายลูกสะใภ้ของเขา ล้วนแต่ตายในน้ำมือของศัตรูจงซิ่นเพื่อที่จะแก้แค้นให้คนในครอบครัว ก็โวยวายที่จะไปฆ่าคนในราชวงศ์ในตอนนั้นเวินอี๋พยายามห้ามเอาไว้อย่างเต็มที่ แล้วยังบอกเขาว่าด้านนอกนั้นวุ่นวายเป็นอย่างมากถึงแม้ว่าเขาจะมีแรงพละกำลังเต็มที่ ทว่าเพียงแค่สองหมัดยากจะเอาชนะสี่มือได้เขาอยากจะแก้แค้นก็ไม่ควรจะรีบร้อนในตอนนี้รอจนเมื่อดึกสงัดผู้คนเงียบสงบลง ค่อยไปแก้แค้นก็ยังไม่สายทว่าจงซิ่นในตอนนั้นถูกความแค้นท่วมท้นทำให้ตาบอดไป เขายืนกรานจะไปแก้แค้นคนที่สังหารครอบครัวเขาจงซิ่นไม่ได้ฟังคำเกลี้ยกล่อมของเวินอี๋ หยิบมีดเล่นยาวแล้วเดินออกไปเวินอี๋กังวลในความปลอดภัยของจงซิ่น แต่ก็ไม่อยากทิ้งจงหลานเอาไว้ที่บ้านเพียงลำพัง พ่อแม่ของจงหลานเพื่อที่จะปกป้องนางแล้ว ถึงได้ตายไปภายใต้คมมีดของศัตรูหากว่านางถูกฆ่า เกรงว่าจงซิ่นคงไม่อาจใช้ชีวิตได้อย่างปกติไปตลอดเพื่อที่จะปกป้องจงหลาน เวินอี๋จึงรออยู่ที่บ้านรอจนเมื่อจงซิ่นกลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่างกาย ก็มองเห็นเวินอี๋นอนอยู่กลางลานบ้านแล้วจงหลานอายุสองขวบนั่งร้อ
และในตอนที่จงซิ่นกำลังสงสัยอยู่นั้น เซิ่งฟางก็เดินเข้ามาในตอนที่รู้ว่าจะไปบ้านของจงซิ่นเพื่อช่วยคน เซิ่งฟางเองก็ไม่ได้คัดค้านฉู่จวินสิงให้จงซิ่นขึ้นมานั่งบนรถม้า ไม่นานนักก็พากันเดินทางไปยังบ้านของจงซิ่นตลอดทาง จงซิ่นอดที่จะมองไปยังเจี่ยนอันอันเป็นระยะๆ ไม่ได้เขาพบว่าเจี่ยนอันอันเต็มไปด้วยความสงบนิ่ง เหมือนว่าจะมีความมั่นใจอย่างเต็มที่ที่จะช่วยเวินอี๋เอาไว้ทว่าไม่ว่าเขาจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าเจี่ยนอันอันอายุยังน้อย ไม่เหมือนกับคนที่มีทักษะทางการแพทย์เจี่ยนอันอันรู้ว่าจงซิ่นกำลังสงสัยในความสามารถขอองตน แต่นางไม่ใส่ใจนางแน่ใจว่าจะรักษาร่างกายเวินอี๋ได้ระหว่างทางไปยังบ้านของจงซิ่น จงซิ่นก็ได้รู้ว่าเจี่ยนอันอันเป็นภรรยาของฉู่จวินสิงรถม้าไม่นานนักก็มาถึงประตูบ้านจงซิ่น จงซิ่นลงมาจากรถม้าก่อน เคาะประตูดังขึ้นประตูถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว เด็กน้อยอายุราวเจ็ดแปดขวบคนหนึ่งโผล่หัวออกมาเมื่อนางเห็นว่าจงซิ่นกลับมาแล้ว ก็รีบเปิดประตูเรือนขึ้น“ท่านปู่ ท่านรีบไปดูเข้า ท่านลุงเวินไม่สบายอีกแล้ว”จงซิ่นได้ยินคำนี้เข้า ก็รีบเดินเข้าไปทว่าเขาเพิ่งจะเดินไปได้เพียงแค่ไม่กี่ก้าว ก็ค
จงซิ่นจ้องมองฉู่จวินสิงขึ้นๆ ลงๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น“ท่านคือเยียนอ๋องคนนั้นที่ถูกเนรเทศมายังเมืองอินเป่ยหรือ?”ฉู่จวินสิงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจำตนเองได้ ก็พยักหน้าออกมา “เป็นข้าเอง”จงซิ่นที่เดิมขมวดคิ้วอยู่ก็ผ่อนคลายลงทันทีเขาเคยได้ยินเวินอี๋พูดออกมา เยียนอ๋องจากแคว้นไท่ยวนทั้งกล้าหาญและเก่งการสู้รบ ทำความดีความชอบให้แคว้นไท่ยวนมาไม่น้อย ส่วนวิชาลูกเตะทลายเมฆานั้น ก็เป็นเยียนอ๋องที่สร้างขึ้นมาจงซิ่นอยากจะพบกับเยียนอ๋องมานานแล้ว กลับไม่คิดเลยว่าจะมาพบกับเขาได้ที่นี่จงซิ่นรีบกำหมัดโค้งกายทำความเคารพฉู่จวินสิง“ข้าน้อยจงซิ่น คารวะเยียนอ๋อง”ฉู่จวินสิงรีบพูดขึ้น “มาตอนนี้ข้าไม่ใช่เยียนอ๋องอะไรนั่นอีกแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องทำความเคารพอะไรเช่นนี้อีก”จงซิ่นยืดตัวขึ้น ใบหน้าค่อยๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มยินดีขึ้นมา“ข้าอยางจะพบกับเยียนอ๋องมานานแล้ว กลับไม่คิดเลยว่า จะมาพบกับท่านที่นี่ได้”จงซิ่นตื่นเต้นมากเช่นนี้ ทำให้ฉู่จวินสิงประหลาดใจเล็กน้อย“ผู้เฒ่าจงไปเรียนลูกเตะทลายเมฆามาจากที่ใดกัน?”วิชาเตะนี้เขาเคยสอนไปเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น และคนคนนั้นก็ตายไปในสนามรบเมื
จ้าวลิ่วกอดความทะเยอทะยานมายังเมืองหลวง แต่ก็พบว่าที่นี้หาเงินได้ไม่ง่ายเหมือนอย่างที่เขาคิดเอาไว้เดิมทีเขาก็ไม่ได้มีความสามารถอะไร ในตอนที่อยู่ที่บ้านก็ไม่เคยไปทำงานที่ทุ่งนาอะไรเลยหลังจากที่มาในเมืองแล้ว เขาถึงกับอึ้งตะลึงไปโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสันสวยงาม แตกต่างไปจากความสงบสุขของหมู่บ้านชิงสุ่ยอย่างสิ้นเชิงจ้าวลิ่วคลุกคลีอยู่ด้านนอกมาสองปี แต่กลับคลุกคลีจนกลายเป็นคนที่ไม่มีคุณธรรมหากว่าถูกครอบครัวจางต้าเห็นเข้า ไม่รู้ว่าจะดุด่าเขาว่าอย่างไรแต่ที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ หญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าเขาจะรู้จักกับพี่ห้าของเขาได้ไม่นานจ้าวลิ่วก็โพล่งออกมา “ข้าไม่รู้จักจ้าวอู่”เขาเพิ่งจะพูดคำนี้ออกมาจบ ก็เสียใจเสียจนอยากจะกัดลิ้นของตนเองทิ้งเสียเมื่อครู่นี้เจี่ยนอันอันไม่ได้พูดถึงชื่อของจ้าวอู่ แต่ตอนนี้เหมือนว่าเขาจะสารภาพมันออกไปเองแล้วเจี่ยนอันอันกลอกตาไปมาให้จ้าวลิ่ว นางไม่ได้เปิดโปงเขา แต่พูดกับเซิ่งฟางออกมา“พี่เซิ่ง ท่านนำตัวเขากลับไปขังที่ว่าการอำเภอเสียก่อน”“รอจนเมื่อเรื่องของพวกเราจัดการกันเรียบร้อยแล้ว ข้าจะกลับมาสั่งสอนเขาให้ดีๆ”เซิ่งฟางพยักหน้า แล้วจ้อง
ผู้คนที่ผ่านไปมาจดจำเซิ่งฟางได้นานแล้ว แต่พวกเขาเพียงแต่ยืนอยู่ด้านข้าง ไม่มีใครช่วยพูดให้จ้าวลิ่วถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังโกรธแค้นอยู่ในใจเพราะเรื่องสังหารหมู่ในปีนั้นแต่พวกเขาก็ไม่ล่วงเกินเจ้าหน้าที่ทางการ ต่างก็พากันคอยเป็นผู้รับชมอยู่ด้านข้างจ้าวลิ่วเมื่อเห็นว่าไม่มีใครคอยช่วยพูดแทนเขา ก็โมโหเป็นอย่างมาก คิดที่จะดิ้นรนให้หลุดรอดออกมาจากมือของจงซิ่นทว่ามือของจงซิ่นที่จับเขาเอาไว้ก็ยิ่งออกแรงมากยิ่งขึ้นจ้าวลิ่วเจ็บเสียจนต้องกัดฟัน ทั่วทั้งกายอดไม่ได้ที่จะสั่นเทาขึ้นมาข้อมือของเขาแทบจะหัก ชายชราผู้นี้ทำไมถึงไม่ยอมปล่อยเขาไปเซิ่งฟางยกมือขึ้น แล้วเหวี่ยงไปยังใบหน้าอีกด้านหนึ่งของจ้าวลิ่วสองฝ่ามือนี้ ทำเสียจนใบหน้าของจ้าวลิ่วบวมจนกลายเป็นหมูมุมปากของจ้าวลิ่วมีเลือดไหลซึมออกมาผู้คนที่ผ่านไปมาคอยดูอยู่ด้านข้าง ก็ตกใจเสียจนต้องก้าวถอยหลังไปพวกเขาต่างก็ลอบยินดีที่ตนเองไม่ได้ปากมากช่วยพูดให้กับจ้าวลิ่วมิฉะนั้นแล้วฝ่ามือนี้ เกรงว่าคงจะตกลงบนใบหน้าของพวกเขาแทนจ้าวลิ่วถูกตบเสียจนวิงเวียนดวงตาพร่ามัว ในตอนนี้เขารู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้วจริงๆเขาควรจะหยิบเอาถุงเงินนั่น ไปร้านอาห
เมื่อเห็นว่ากีบม้ากำลังจะตกลงบนกายของขอทาน ท่ามกลางกลุ่มคนนั้นจู่ๆ ก็มีเสียงคนร้องดังขึ้น“จ้าวลิ่ว เจ้าบ้านี่ไม่ต้องการชีวิตแล้วอย่างนั้นหรือ!”คนนั้นเมื่อพูดจบ ก็รีบพุ่งเข้ามาเตะลงบนกายของจ้าวลิ่วจ้าวลิ่วที่เดิมทีผอมบางอ่อนแรง เมื่อถูกเตะเข้าก็กลิ้งไปริมถนนกีบม้าตกลงบนถนนอย่างแรง ม้าส่งเสียงร้องดังขึ้น หลังจากที่กีบม้าเหยียบลงบนพื้นอย่างแรงเพียงไม่กี่ครั้ง ถึงได้หยุดลง ในตอนที่เจี่ยนอันอันได้ยินคนผู้นั้นเรียกขอทานว่าจ้าวลิ่วนั้น ก็อดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้นางจำที่จ้าวอู่พูดได้ว่า เขามีน้องหกอยู่คนหนึ่งเข้ามาในเมืองเมื่อสองปีก่อนเขาตามหาน้องหกคนนั้นมาสองปีกว่า ก็ตามหาไม่พบส่วนน้องหกคนนั้นของเขา ชื่อว่าจ้าวลิ่วเจี่ยนอันอันมองไปยังจ้าวลิ่วด้วยความสงสัย พบเพียงใบหน้าของเขาสกปรกอย่างมากไม่มีทางที่จะมองรูปลักษณ์เดิมได้ชัดเจนจ้าวลิ่วลุกขึ้นมา แล้วรีบไปยังเบื้องหน้าของคนที่เตะเขาอย่างไม่ยินยอม“ตาเฒ่านี่ เตะข้าทำอะไรกัน?”“เจ้ารู้หรือไม่ที่เจ้าเพิ่งจะทำไปเมื่อครู่นี้ มาทำลายเรื่องดีๆ ของข้าไปอย่างสิ้นเชิง”เจี่ยนอันอันมองไปยังคนที่เตะจ้าวลิ่ว ก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นชา
“หวังว่าท่านจะรักษาคำพูด” เจี่ยนอันอันพูดจบ ก็โบกมือขึ้น “ท่านไปได้แล้ว เรื่องที่ท่านมายังที่ว่าการอำเภอ ห้ามบอกผู้อื่น”เจ้าเมืองตานรีบตอบรับออกมา เขาหันไปมองยังเซิ่งฟาง ก็พบว่าอีกฝ่ายพยักหน้าให้กับเขาหลังจากที่เจ้าเมืองตานโค้งคำนับให้กับทั้งสี่คนแล้ว ก็รีบเดินออกไปในตอนที่เขามายังที่ว่าการอำเภอนั้น ไม่ได้นั่งเกี้ยว และก็ไม่ได้สวมเครื่องแบบทางการมา เพียงแต่สวมเสื้อผ้าธรรมดาเท่านั้นเขาเองก็กลัวว่าตนเองจะสะดุดตาจนเกินไป แล้วถูกคนของผู้ว่ามณฑลจงโจวจดจำได้เข้าหลังจากที่เดินออกจากที่ว่าการอำเภอแล้วนั้น เจ้าเมืองตานก็รีบมุ่งหน้ากลับไปยังจวนของตนเองเขาก้มหน้าเดินอย่างเร่งรีบ จนชนเข้ากับคนผู้หนึ่งเจ้าเมืองตานเงยหน้าขึ้น ก็พบกับขอทานที่ทั่วทั้งเนื้อตัวสกปรกมอมแมม ถูกเขาชนจนล้มลงกับพื้นขอทานล้มลงร้อง “โอ๊ย” ออกมา ใบหน้าที่สกปรกนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเจ้าเมืองตานรีบร้อนกลับไปยังจวน จึงไม่ได้สนใจขอทานนั่น เขาส่งเสียงเย็นชา ก่อนจะรีบจากไปที่เขาไม่รู้ก็คือ ในตอนที่เขาชนเข้ากับขอทานเมื่อครู่นี้นั้น ถุงเงินตรงเอวของเขา ได้ตกไปอยู่ในมือของขอทานนั่นแล้วขอทานส่งเสียงร้องดัง “โอ๊ย”
สายตาของเจี่ยนอันอันจ้องเขม็งไปยังใบหน้าของเจ้าเมืองตาน อย่างจะคิดมองหาท่าทีโกหกจากสีหน้าของเขาในตอนที่เจ้าเมืองพูดออกมานั้น สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึม สายตาเผยให้เห็นความโกรธแค้นออกมาดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้พูดโกหก สายตาของเจี่ยนอันอันดูเย็นชา จนทำให้ในใจของเจ้าเมืองตานที่มองดูเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาเขาไม่กล้าที่จะสบสายตากับเจี่ยนอันอัน จึงทำได้เพียงมองไปยังทิศทางอื่นเจี่ยนอันอันพูดออกมาอย่างเย็นชา “ท่านเพิ่งจะพูดออกมาว่า ท่านสนิทชิดเชื้อกันท่านผู้ว่ามณฑลจงโจว”“แล้วทำไมท่านยังจะนำเรื่องนี้มาบอกพวกเราอีก”“ท่านไม่กลัวหรือว่าคำที่ท่านพูดออกมาเหล่านี้ จะลอยเข้าหูผู้ว่ามณฑลจงโจวเข้า?”แน่นอกว่าเจ้าเมืองตานย่อมหวาดกลัว เพียงแต่ว่าเขาไม่อยากสมคบคิดกับคนชั่วอีกในตอนแรกที่เขามีความสัมพันธ์อันดีกับผู้ว่ามณฑลจงโจวนั้น ทั้งหมดก็เป็นเพียงเพราะว่าพวกเขาล้วนแต่เป็นคนบ้านเกิดเดียวกัน เขาถือว่าผู้ว่ามณฑลเป็นคนสนิท ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะหารือกับอีกฝ่ายมาโดยตลอดเพียงแต่ที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงนั้น ผู้ว่ามณฑลจงโจวจะเข้าร่วมสมคบคิดกับคนที่มาเพื่อทำการสังหารหมู่ในปีนั้นไม่เพียงแต่เท่านี้ เขาเพื่
เขาไม่คิดเลยว่าอ๋องเจ็ดที่มาทำการสังหารหมู่ในปีนั้น จะสมคบคิดกันกับผู้ว่ามณฑลจงโจวส่วนอ๋องเจ็ดคนนั้น ตอนนี้ก็กลายฮ่องเต้ของแคว้นไท่ยวนแล้วในใจของเจ้าเมืองตานเต้นรัวเขาไม่รู้ว่าควรจะเคาะประตูดีหรือไม่ แล้วนำเรื่องที่เซิ่งฟางกลับมาแล้ว แถมยังกลายเป็นนายอำเภอบอกกับท่านผู้ว่าการมณฑลจงโจวไปคนในห้องโถงทั้งสองคน ไม่รู้เลยว่ายังมีคนแอบฟังอยู่ด้านนอกอีกคนผู้ว่ามณฑลจงโจวให้ทหารองค์รักษ์ออกไป ก็เพราะว่าไม่อยากให้คนนอกมาได้ยินเขาพูดคุยอยู่กับแขกนอกจากนี้แล้วแขกลึกลับคนนั้น บางทีอาจจะอาศัยสถานะที่สูงส่งกว่าตน ไม่ได้เห็นคนในที่ว่าการอยู่ในสายตาเลยหากว่ามีคนกล้าลอบฟัง เขาจะต้องตัดลิ้นของอีกฝ่ายทิ้งเป็นแน่ รวมทั้งตัดแขนขา ให้คนที่แอบฟังนั้น ทั้งชาตินี้เขียนไม่ได้พูดไม่ได้ไปตลอด!ไม่นานนัก เสียงของท่านผู้ว่ามณฑลจงโจวก็ดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้าเมืองเซิ่งฟางในปีนั้น ช่างไม่รู้ทันสถานการณ์เลย”“หากว่าเขานำของสมบัติของเมืองอินเป่ยมอบให้แล้ว เขาเองก็คงไม่ถึงขั้นถูกจับเช่นนี้”เมื่อผู้ว่ามณฑลจงโจวพูดมาถึงตรงนี้ ก็เย้ยหยันออกมาอย่างน่าหวาดกลัว คนลึกลับผู้นั้นก็พูดเย้ยหยันขึ้นมา “ยังเป็นตาเฒ่าเช