เจี่ยนอันอันซื้อพุทราลูกใหญ่ ถั่วลิสง ลำไย และเมล็ดบัวจำนวนหนึ่งจากร้านค้าในมิติ นางแกะถุงที่ใส่ของสี่อย่างนั้นออกในมิติ เทอาหารด้านในออกมาก่อน จากนั้นค่อยมอบให้ฮูหยินใหญ่ วันนี้อากาศเป็นใจ ฝนไม่ตกแม้แต่หยดเดียว เหล่าข้ารับใช้แขวนโคมแดงขึ้นไปบนประตูบ้านแล้ว และแขวนผ้าไหมสีแดงไว้ที่ประตูทั้งสองข้างด้วย พวกเขายังปูผ้าไหมสีแดงผืนยาวไว้กลางลานบ้าน ตกแต่งลานบ้านจนแดงอร่ามไปทั่ว ทุกคนรอเพียงให้ถึงเวลาเท่านั้น เจี่ยนอันอันกับฉู่จวินสิงก็จะได้กราบไหว้ฟ้าดินเพื่อแต่งงานกันแล้ว คนในหมู่บ้านได้ประจักษ์ว่าลานบ้านของเรือนหลังนี้ครึกครื้นเพียงไร ทุกคนล้วนสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ ส่วนเจี่ยนอันอันและฉู่จวินสิงต่างก็สวมชุดวิวาห์สีแดง เหล่าชาวบ้านจึงรีบวิ่งไปส่งข่าวกันทันที ล้วนบอกต่อกันว่าคนบ้านนั้นจะมีพิธีมงคล ชุดมงคลสีแดงบนร่างคนทั้งสอง เป็นของที่เจี่ยนอันอันซื้อมาจากร้านค้าในมิติ นางยังเอาเครื่องประดับจากในมิติออกมาให้สี่เอ๋อร์สวมให้นางด้วย ซ่างตงเยว่ก็อยากช่วยเช่นกัน ทว่านางไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องเช่นนี้มาก่อน จึงไม่รู้ว่าควรจะช่วยอย่างไร สี่เอ๋อร์ที่กำลังหวีผมให้เจี่ยนอันอ
เมื่อคนทั้งสองมาถึงเรือนหลัก ฮูหยินใหญ่ก็นั่งอยู่บนตั่งอุ่นแล้ว นางมองสองบ่าวสาวที่เดินเข้ามาอย่างยิ้มแย้ม จากนั้น พ่อบ้านหลิวก็ตะโกนว่า “หนึ่งคำนับฟ้าดิน!” เจี่ยนอันอันและฉู่จวินสิงโค้งคำนับไปทุกทิศทาง “สองคำนับบิดามารดา!” คนทั้งสองหมุนกายกลับมา คำนับไปทางฮูหยินผู้เฒ่า “สามีภรรยาคำนับกันและกัน!” คนทั้งสองหันหน้าเข้าหากันและกัน แล้วคำนับลง “เสร็จพิธี ส่งเข้าห้องหอ!” หลังสี่เอ๋อร์และซ่างตงเยว่ได้ยิน ก็รีบเดินเข้ามาประคองเจี่ยนอันอันไปที่ห้องหอ เจี่ยนอันอันที่นั่งอยู่บนเตียงอุ่น ถอนใจออกมาเบาๆ ครั้งหนึ่ง รอจนสี่เอ๋อร์และซ่างตงเยว่ออกไปแล้ว ฉู่จวินสิงจึงก้าวเข้ามา ในตอนที่เขาเปิดผ้าคลุมหน้าสีแดงบนศีรษะเจี่ยนอันอันออก ก็เห็นเจี่ยนอันอันกำลังมองเขาด้วยความเอียงอาย เดิมเจี่ยนอันอันก็งดงามอยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งงามล้ำหาใดเปรียบ ฉู่จวินสิงมองเจี่ยนอันอันด้วยแววตาอ่อนโยน มองจนใบหน้าน้อยๆ ของเจี่ยนอันอันแดงขึ้นมา ฉู่จวินสิงประคองใบหน้าของเจี่ยนอันอันขึ้นมา กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ตอนนี้ตัวข้ามีฐานะต่ำต้อย ที่บ้านก็ไม่มีสิ่งใด” “ได้แต่ทำให้เจ้าต้องมาแต่งงานกับข้าลวกๆ อย่
เจี่ยนอันอันรับน้ำชามาจากซ่างตงเยว่ คุกเข่าคารวะลงเบื้องหน้าฮูหยินใหญ่ “สะใภ้ขอคารวะฮูหยินใหญ่ ขอเชิญฮูหยินใหญ่ดื่มชาเจ้าค่ะ” ฮูหยินใหญ่รีบรับน้ำชาไป จากนั้นยิ้มแย้มอย่างเบิกบานว่า “ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ก็ควรเปลี่ยนมาเรียกข้าว่าท่านแม่ได้แล้ว” เจี่ยนอันอันก้มหัวลงอย่างกระดากอายอยู่บ้าง จากนั้นก็ส่งเสียงเรียกออกมาว่า “ท่านแม่!” “ลูกสะใภ้ที่ดี ชานี้แม่จะดื่มแล้ว” ฮูหยินใหญ่หัวเราะอย่างมีความสุข ยกชาในถ้วยดื่มจนหมด ฉู่จวินสิงและเจี่ยนอันอันสองสามีภรรยาเดินออกมาจากเรือนหลัก ในเวลานี้ เหล่าสาวใช้ได้จัดเตรียมอาหารอันน่ารับประทานไว้เต็มโต๊ะแล้ว ท่านปู่เฉินผู้เป็นผู้ใหญ่บ้าน หิ้วสุราสองไหเดินมาที่เบื้องหน้าของคนทั้งสอง “วันนี้พวกท่านทั้งสองเข้าพิธีวิวาห์กัน ตัวข้าที่เป็นผู้ใหญ่บ้านไม่มีของขวัญแสดงความยินดีใดจะมอบให้ นี่เป็นสุราชั้นดีที่ถูกเก็บจนฝุ่นจับมานานหลายปี พวกท่านก็รับไว้เถอะ” หลังฉู่จวินสิงกล่าวคำขอบคุณ ก็ให้บ่าวรับใช้ในบ้านรับสุราไป ท่านยายหลินก็เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน นางหิ้วไข่ไก่สิบฟองเข้ามา กล่าวกับคนทั้งสองว่า “แม่นางมีจิตใจงดงาม ช่วยรักษาโรคให
ฉู่จวินสิงดึงมือของเจี่ยนอันอันกลับไปที่ห้อง เจี่ยนอันอันนั่งลงข้างเตียงอุ่น ก้มศีรษะลงอย่างประหม่าเล็กน้อย ฉู่จวินสิงดื่มสุราไปไม่น้อย เขานั่งลงข้างกายของเจี่ยนอันอัน แล้วโอบเอวนางไว้เบาๆ เมื่อเจี่ยนอันอันรู้สึกว่าช่วงเอวถูกกระชับแน่นเข้า หัวใจก็พลันเต้นแรงขึ้นมาทันที “เอ่อ เรื่องนั้น ท่านก็เหนื่อยแล้ว รีบไปนอนเถิด” เจี่ยนอันอันผลักฉู่จวินสิงเบาๆ และยังช่วยประคองเขาไปนอนบนเตียงอุ่นอีกด้วย ในตอนที่เจี่ยนอันอันจะจากไปนั่นเอง มือก็ถูกฉู่จวินสิงดึงไว้ จากนั้นร่างของนางก็ไหวเอน ถูกฉู่จวินสิงดึงไปอยู่บนตัวของเขา เจี่ยนอันอันนอนทาบอยู่บนแผ่นอกของฉู่จวินสิง หัวใจทั้งดวงเต้นแรงยิ่งกว่าเดิม นางอยากลุกขึ้นจากตัวของฉู่จวินสิง แต่กลับถูกเขากอดไว้แน่น “ฉู่จวินสิง ท่านปล่อยข้าก่อน” เจี่ยนอันอันพูดจบ ก็จะไปปลดมือของฉู่จวินสิงออก แต่นางยิ่งดิ้นรน ก็ยิ่งถูกฉู่จวินสิงกอดไว้แน่นขึ้น “อย่าขยับ ให้ข้ากอดสักครู่ก่อน” เสียงของฉู่จวินสวินทุ้มต่ำอย่างน่าฟัง ใบหน้าดวงน้อยของเจี่ยนอันอันพลันแดงเรื่อขึ้นมาทันที นางรู้ว่าตัวเองดิ้นรนไปก็ไร้ประโยชน์ จึงได้แต่นอนทับอยู่บนแผ่นอกของฉู่จวิ
เมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองยังถูกฉู่จวินสิงกอดอยู่ เจี่ยนอันอันก็รีบจับแขนของฉู่จวินสิงออก จากนั้นรีบลงจากเตียงอุ่นแล้ววิ่งออกไป หลังเปลี่ยนชุดแต่งงานออกในห้องเก็บของแล้ว เจี่ยนอันอันจึงได้ก้าวออกมา เวลานี้ฮูหยินใหญ่ตื่นขึ้นมาแล้ว เจี่ยนอันอันยังคิดจะยกน้ำชาให้นางอีกครั้ง ฮูหยินใหญ่กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เหตุใดอันอันจึงไม่นอนต่ออีกสักหน่อย เมื่อคืนจวินสิงคงไม่ได้รังแกเจ้ากระมัง” เมื่อเจี่ยนอันอันคิดถึงเรื่องเมื่อคืน ก็ก้มหน้าลงด้วยความเขินอายเล็กน้อย นางไม่ได้ตอบคำถามของฮูหยินใหญ่ แต่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปแทน “ข้ายังไม่ได้ยกน้ำชาให้ท่านแม่เลยเจ้าค่ะ” เจี่ยนอันอันกล่าว จากนั้นก็ให้ซ่างตงเยว่ไปยกน้ำชามา ฮูหยินใหญ่นั่งอยู่ในเรือนอย่างมีความสุข ในไม่ช้า ซ่างตงเยว่ก็ยกชาถ้วยหนึ่งมามอบให้เจี่ยนอันอัน เจี่ยนอันอันคุกเข่าลงเบื้องหน้าของฮูหยินใหญ่ จากนั้นยกน้ำชาส่งให้นาง “ลูกขอคารวะน้ำชาท่านแม่เจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่รับน้ำชาไป ดื่มลงไปคำหนึ่งด้วยอย่างเบิกบาน จากนั้นก็ประคองเจี่ยนอันอันขึ้นมา เมื่อเจี่ยนอันอันทำตามพิธีเสร็จเรียบร้อย ก็ไปนั่งลงที่ข้างกายของฮูหยินใหญ่ “เพลานี้เสบีย
ฟางอิ๋งก้าวเข้ามา พร้อมกล่าวอย่างไม่อยากเชื่อว่า “จื่อซี เจ้าพูดอีกสักคำให้แม่ฟังสิ” ฉู่จื่อซีเหลือบมองเจี่ยนอันอัน เห็นนางยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้า เขาจึงอ้าปากเปล่งเสียง ‘อา’ ออกมาคำหนึ่ง ฟางอิ๋งตื่นเต้นจนรู้สึกจมูกแสบร้อนทันที จากนั้นน้ำตาก็พรั่งพรูออกมา ฉู่จวินหลุนก็ตื่นเต้นอย่างมากเช่นกัน ในที่สุดลูกของเขาก็สามารถเปล่งเสียงออกมาได้แล้ว เขากุมมือของฟางอิ๋งไว้แน่น ขณะที่มองฉู่จื่อซีด้วยดวงตาเปล่งประกาย “พวกท่านล้อมทำสิ่งใดกันอยู่ตรงนั้น?” เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังขึ้นมา เมื่อเจี่ยนอันอันมองไปที่ฉู่จวินสิง ก็เห็นว่าเขาเปลี่ยนกลับไปเป็นชุดที่ใส่ในยามปกติแล้ว เขาสาวเท้าไปที่ข้างกายของเจี่ยนอันอัน จากนั้นก็จับมือของนางไว้อย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง เจี่ยนอันอันเล่าเรื่องที่ฉู่จื่อซีสามารถเปล่งเสียงออกมาได้แล้วให้ฉู่จวินสิงฟัง ฉู่จวินสิงก็ดีใจอย่างมากเช่นกัน เขายื่นมือออกไปลูบหัวของฉู่จื่อซี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาที่เขามีปฏิสัมพันธ์กับฉู่จื่อซีอย่างสนิทสนมเช่นนี้ ฉู่จื่อซีหวาดกลัวท่านอารองผู้นี้อย่างมากมาโดยตลอด แต่ไรมาเขาก็ไม่กล้าเข้าใกล้อารองนัก แต่คิดไม่ถึงว่า วันนี้เขา
เจี่ยนอันอันให้เหล่าสาวใช้นำมันเทศเผาเสร็จแล้วเข้ามา ให้ทุกคนได้ลิ้มลองเช่นกัน เมื่อทุกคนได้กินมันเทศเผา ต่างก็ชมติดต่อกันว่ามันเทศอร่อย มีเพียงฉู่จวินสิงที่มองมันเทศที่อยู่เบื้องหน้า แล้วไม่เกิดความรู้สึกอยากกิน เขารู้สึกต่อต้านการกินมันเทศเล็กน้อย เพราะไม่อยากถูกมันเทศทำให้ติดคออีกครั้ง เจี่ยนอันอันมองความรู้สึกต่อต้านของฉู่จวินสิงออก นางจึงกินมันเทศที่แสนหอมกรุ่น จากนั้นจงใจทำเสียงดูดปากกินอย่างเอร็ดอร่อยที่ข้างหูของฉู่จวินสิง “เจ้ามันเทศนี้ช่างอร่อยจริงๆ ทั้งหวานทั้งหอม หากท่านไม่กิน พลาดโอกาสนี้ไปก็ไม่มีโอกาสหน้าแล้วนะ” ฉู่จวินสิงถูกเสียงดูดปากของเจี่ยนอันอัน กระตุ้นความอยากขึ้นมา เขาหยิบมันเทศที่อยู่เบื้องหน้าขึ้นมา กัดลงไปคำหนึ่ง ทันใดนั้น กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของมันเทศเผา ก็อบอวลไปทั่วปากของเขา ฉู่จวินฉิงคิดไม่ถึงว่ามันเทศนี้จะมีรสชาติที่เลิศล้ำถึงเพียงนี้ อร่อยกว่ามันเทศที่พวกเขากินในศาลเจ้าร้างเป็นร้อยเท่าเลยทีเดียว เจี่ยนอันอันยิ้มตาหยีมองฉู่จวินสิง “นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยเท่านั้น มันเทศที่ข้าปลูกรับรองว่าต้องยอดเยี่ยมที่สุดอย่างแน่นอน หากท่า
อาหรงรู้สึกจมูกแสบร้อน ดวงตาแดงก่ำขึ้นมาครอบครัวของนางยากจน ต่อให้คิดอยากจะนำเงินมาตอบแทนเจี่ยนอันอันก็ยังไม่มีวิธีนางคิดถึงแม่ไก่ที่วางไข่ที่บ้านก็รีบเดินออกจากห้องไป ไปอุ้มแม่ไก่ออกมาจากเล้าไก่“แม่นาง ที่บ้านข้าไม่มีอะไรเลย มีเพียงแค่แม่ไก่ที่วางไข่นี่”“ขอให้ท่านช่วยรับเอาไว้ มิฉะนั้นแล้ว ในใจของข้าคงจะรู้สึกเสียใจจริงๆ”ในใจของเจี่ยนอันอันคิด ที่บ้านไม่มีไข่ไก่ให้กินจริงๆฉู่จื่อซียังคงต้องเจริญเติบโต ต้องการสารอาหารเป็นจำนวนมากถึงแม้ว่านางจะสามารถซื้อมาจากร้านค้าได้ ทว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็จะทำให้คนอื่นสงสัยได้ตอนนี้ดีแล้ว มีแม่ไก่ที่ออกไข่ได้ตัวนี้นางก็สามารถใช้ประโยชน์จากจุดนี้ เพื่อซื้อไข่ไก่จากร้านค้าได้มากยิ่งขึ้นรอจนเมื่อทุกคนถามถึง นางสามารถบอกได้ว่าเป็นแม่ไก่ตัวนี้ออกไข่มาเจี่ยนอันอันรับแม่ไก่มาอย่างพึงพอใจนางอุ้มแม่ไก่เอาไว้ หลังจากที่บอกลากับท่านยายหลินและอาหรง ก็กลับบ้านไปเด็กรับใช้ทั้งหลายเมื่อเห็นว่านางอุ้มไก่ตัวหนึ่งออกมา ก็รีบสร้างเล้าไก่ขึ้นมาทันทีเจี่ยนอันอันมอบแม่ไก่ให้เด็กรับใช้ แล้วไปปรุงยาให้ฉู่จื่อซีไม่นานยาก็ปรุงจนเสร็จ ในขณะที่เจ
ในปีนั้นตอนที่เกิดการสังหารหมู่ขึ้น คนในครอบครัวของจงซิ่นเองก็ไม่รอดลูกชายลูกสะใภ้ของเขา ล้วนแต่ตายในน้ำมือของศัตรูจงซิ่นเพื่อที่จะแก้แค้นให้คนในครอบครัว ก็โวยวายที่จะไปฆ่าคนในราชวงศ์ในตอนนั้นเวินอี๋พยายามห้ามเอาไว้อย่างเต็มที่ แล้วยังบอกเขาว่าด้านนอกนั้นวุ่นวายเป็นอย่างมากถึงแม้ว่าเขาจะมีแรงพละกำลังเต็มที่ ทว่าเพียงแค่สองหมัดยากจะเอาชนะสี่มือได้เขาอยากจะแก้แค้นก็ไม่ควรจะรีบร้อนในตอนนี้รอจนเมื่อดึกสงัดผู้คนเงียบสงบลง ค่อยไปแก้แค้นก็ยังไม่สายทว่าจงซิ่นในตอนนั้นถูกความแค้นท่วมท้นทำให้ตาบอดไป เขายืนกรานจะไปแก้แค้นคนที่สังหารครอบครัวเขาจงซิ่นไม่ได้ฟังคำเกลี้ยกล่อมของเวินอี๋ หยิบมีดเล่นยาวแล้วเดินออกไปเวินอี๋กังวลในความปลอดภัยของจงซิ่น แต่ก็ไม่อยากทิ้งจงหลานเอาไว้ที่บ้านเพียงลำพัง พ่อแม่ของจงหลานเพื่อที่จะปกป้องนางแล้ว ถึงได้ตายไปภายใต้คมมีดของศัตรูหากว่านางถูกฆ่า เกรงว่าจงซิ่นคงไม่อาจใช้ชีวิตได้อย่างปกติไปตลอดเพื่อที่จะปกป้องจงหลาน เวินอี๋จึงรออยู่ที่บ้านรอจนเมื่อจงซิ่นกลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่างกาย ก็มองเห็นเวินอี๋นอนอยู่กลางลานบ้านแล้วจงหลานอายุสองขวบนั่งร้อ
และในตอนที่จงซิ่นกำลังสงสัยอยู่นั้น เซิ่งฟางก็เดินเข้ามาในตอนที่รู้ว่าจะไปบ้านของจงซิ่นเพื่อช่วยคน เซิ่งฟางเองก็ไม่ได้คัดค้านฉู่จวินสิงให้จงซิ่นขึ้นมานั่งบนรถม้า ไม่นานนักก็พากันเดินทางไปยังบ้านของจงซิ่นตลอดทาง จงซิ่นอดที่จะมองไปยังเจี่ยนอันอันเป็นระยะๆ ไม่ได้เขาพบว่าเจี่ยนอันอันเต็มไปด้วยความสงบนิ่ง เหมือนว่าจะมีความมั่นใจอย่างเต็มที่ที่จะช่วยเวินอี๋เอาไว้ทว่าไม่ว่าเขาจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าเจี่ยนอันอันอายุยังน้อย ไม่เหมือนกับคนที่มีทักษะทางการแพทย์เจี่ยนอันอันรู้ว่าจงซิ่นกำลังสงสัยในความสามารถขอองตน แต่นางไม่ใส่ใจนางแน่ใจว่าจะรักษาร่างกายเวินอี๋ได้ระหว่างทางไปยังบ้านของจงซิ่น จงซิ่นก็ได้รู้ว่าเจี่ยนอันอันเป็นภรรยาของฉู่จวินสิงรถม้าไม่นานนักก็มาถึงประตูบ้านจงซิ่น จงซิ่นลงมาจากรถม้าก่อน เคาะประตูดังขึ้นประตูถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว เด็กน้อยอายุราวเจ็ดแปดขวบคนหนึ่งโผล่หัวออกมาเมื่อนางเห็นว่าจงซิ่นกลับมาแล้ว ก็รีบเปิดประตูเรือนขึ้น“ท่านปู่ ท่านรีบไปดูเข้า ท่านลุงเวินไม่สบายอีกแล้ว”จงซิ่นได้ยินคำนี้เข้า ก็รีบเดินเข้าไปทว่าเขาเพิ่งจะเดินไปได้เพียงแค่ไม่กี่ก้าว ก็ค
จงซิ่นจ้องมองฉู่จวินสิงขึ้นๆ ลงๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น“ท่านคือเยียนอ๋องคนนั้นที่ถูกเนรเทศมายังเมืองอินเป่ยหรือ?”ฉู่จวินสิงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจำตนเองได้ ก็พยักหน้าออกมา “เป็นข้าเอง”จงซิ่นที่เดิมขมวดคิ้วอยู่ก็ผ่อนคลายลงทันทีเขาเคยได้ยินเวินอี๋พูดออกมา เยียนอ๋องจากแคว้นไท่ยวนทั้งกล้าหาญและเก่งการสู้รบ ทำความดีความชอบให้แคว้นไท่ยวนมาไม่น้อย ส่วนวิชาลูกเตะทลายเมฆานั้น ก็เป็นเยียนอ๋องที่สร้างขึ้นมาจงซิ่นอยากจะพบกับเยียนอ๋องมานานแล้ว กลับไม่คิดเลยว่าจะมาพบกับเขาได้ที่นี่จงซิ่นรีบกำหมัดโค้งกายทำความเคารพฉู่จวินสิง“ข้าน้อยจงซิ่น คารวะเยียนอ๋อง”ฉู่จวินสิงรีบพูดขึ้น “มาตอนนี้ข้าไม่ใช่เยียนอ๋องอะไรนั่นอีกแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องทำความเคารพอะไรเช่นนี้อีก”จงซิ่นยืดตัวขึ้น ใบหน้าค่อยๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มยินดีขึ้นมา“ข้าอยางจะพบกับเยียนอ๋องมานานแล้ว กลับไม่คิดเลยว่า จะมาพบกับท่านที่นี่ได้”จงซิ่นตื่นเต้นมากเช่นนี้ ทำให้ฉู่จวินสิงประหลาดใจเล็กน้อย“ผู้เฒ่าจงไปเรียนลูกเตะทลายเมฆามาจากที่ใดกัน?”วิชาเตะนี้เขาเคยสอนไปเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น และคนคนนั้นก็ตายไปในสนามรบเมื
จ้าวลิ่วกอดความทะเยอทะยานมายังเมืองหลวง แต่ก็พบว่าที่นี้หาเงินได้ไม่ง่ายเหมือนอย่างที่เขาคิดเอาไว้เดิมทีเขาก็ไม่ได้มีความสามารถอะไร ในตอนที่อยู่ที่บ้านก็ไม่เคยไปทำงานที่ทุ่งนาอะไรเลยหลังจากที่มาในเมืองแล้ว เขาถึงกับอึ้งตะลึงไปโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสันสวยงาม แตกต่างไปจากความสงบสุขของหมู่บ้านชิงสุ่ยอย่างสิ้นเชิงจ้าวลิ่วคลุกคลีอยู่ด้านนอกมาสองปี แต่กลับคลุกคลีจนกลายเป็นคนที่ไม่มีคุณธรรมหากว่าถูกครอบครัวจางต้าเห็นเข้า ไม่รู้ว่าจะดุด่าเขาว่าอย่างไรแต่ที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ หญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าเขาจะรู้จักกับพี่ห้าของเขาได้ไม่นานจ้าวลิ่วก็โพล่งออกมา “ข้าไม่รู้จักจ้าวอู่”เขาเพิ่งจะพูดคำนี้ออกมาจบ ก็เสียใจเสียจนอยากจะกัดลิ้นของตนเองทิ้งเสียเมื่อครู่นี้เจี่ยนอันอันไม่ได้พูดถึงชื่อของจ้าวอู่ แต่ตอนนี้เหมือนว่าเขาจะสารภาพมันออกไปเองแล้วเจี่ยนอันอันกลอกตาไปมาให้จ้าวลิ่ว นางไม่ได้เปิดโปงเขา แต่พูดกับเซิ่งฟางออกมา“พี่เซิ่ง ท่านนำตัวเขากลับไปขังที่ว่าการอำเภอเสียก่อน”“รอจนเมื่อเรื่องของพวกเราจัดการกันเรียบร้อยแล้ว ข้าจะกลับมาสั่งสอนเขาให้ดีๆ”เซิ่งฟางพยักหน้า แล้วจ้อง
ผู้คนที่ผ่านไปมาจดจำเซิ่งฟางได้นานแล้ว แต่พวกเขาเพียงแต่ยืนอยู่ด้านข้าง ไม่มีใครช่วยพูดให้จ้าวลิ่วถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังโกรธแค้นอยู่ในใจเพราะเรื่องสังหารหมู่ในปีนั้นแต่พวกเขาก็ไม่ล่วงเกินเจ้าหน้าที่ทางการ ต่างก็พากันคอยเป็นผู้รับชมอยู่ด้านข้างจ้าวลิ่วเมื่อเห็นว่าไม่มีใครคอยช่วยพูดแทนเขา ก็โมโหเป็นอย่างมาก คิดที่จะดิ้นรนให้หลุดรอดออกมาจากมือของจงซิ่นทว่ามือของจงซิ่นที่จับเขาเอาไว้ก็ยิ่งออกแรงมากยิ่งขึ้นจ้าวลิ่วเจ็บเสียจนต้องกัดฟัน ทั่วทั้งกายอดไม่ได้ที่จะสั่นเทาขึ้นมาข้อมือของเขาแทบจะหัก ชายชราผู้นี้ทำไมถึงไม่ยอมปล่อยเขาไปเซิ่งฟางยกมือขึ้น แล้วเหวี่ยงไปยังใบหน้าอีกด้านหนึ่งของจ้าวลิ่วสองฝ่ามือนี้ ทำเสียจนใบหน้าของจ้าวลิ่วบวมจนกลายเป็นหมูมุมปากของจ้าวลิ่วมีเลือดไหลซึมออกมาผู้คนที่ผ่านไปมาคอยดูอยู่ด้านข้าง ก็ตกใจเสียจนต้องก้าวถอยหลังไปพวกเขาต่างก็ลอบยินดีที่ตนเองไม่ได้ปากมากช่วยพูดให้กับจ้าวลิ่วมิฉะนั้นแล้วฝ่ามือนี้ เกรงว่าคงจะตกลงบนใบหน้าของพวกเขาแทนจ้าวลิ่วถูกตบเสียจนวิงเวียนดวงตาพร่ามัว ในตอนนี้เขารู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้วจริงๆเขาควรจะหยิบเอาถุงเงินนั่น ไปร้านอาห
เมื่อเห็นว่ากีบม้ากำลังจะตกลงบนกายของขอทาน ท่ามกลางกลุ่มคนนั้นจู่ๆ ก็มีเสียงคนร้องดังขึ้น“จ้าวลิ่ว เจ้าบ้านี่ไม่ต้องการชีวิตแล้วอย่างนั้นหรือ!”คนนั้นเมื่อพูดจบ ก็รีบพุ่งเข้ามาเตะลงบนกายของจ้าวลิ่วจ้าวลิ่วที่เดิมทีผอมบางอ่อนแรง เมื่อถูกเตะเข้าก็กลิ้งไปริมถนนกีบม้าตกลงบนถนนอย่างแรง ม้าส่งเสียงร้องดังขึ้น หลังจากที่กีบม้าเหยียบลงบนพื้นอย่างแรงเพียงไม่กี่ครั้ง ถึงได้หยุดลง ในตอนที่เจี่ยนอันอันได้ยินคนผู้นั้นเรียกขอทานว่าจ้าวลิ่วนั้น ก็อดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้นางจำที่จ้าวอู่พูดได้ว่า เขามีน้องหกอยู่คนหนึ่งเข้ามาในเมืองเมื่อสองปีก่อนเขาตามหาน้องหกคนนั้นมาสองปีกว่า ก็ตามหาไม่พบส่วนน้องหกคนนั้นของเขา ชื่อว่าจ้าวลิ่วเจี่ยนอันอันมองไปยังจ้าวลิ่วด้วยความสงสัย พบเพียงใบหน้าของเขาสกปรกอย่างมากไม่มีทางที่จะมองรูปลักษณ์เดิมได้ชัดเจนจ้าวลิ่วลุกขึ้นมา แล้วรีบไปยังเบื้องหน้าของคนที่เตะเขาอย่างไม่ยินยอม“ตาเฒ่านี่ เตะข้าทำอะไรกัน?”“เจ้ารู้หรือไม่ที่เจ้าเพิ่งจะทำไปเมื่อครู่นี้ มาทำลายเรื่องดีๆ ของข้าไปอย่างสิ้นเชิง”เจี่ยนอันอันมองไปยังคนที่เตะจ้าวลิ่ว ก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นชา
“หวังว่าท่านจะรักษาคำพูด” เจี่ยนอันอันพูดจบ ก็โบกมือขึ้น “ท่านไปได้แล้ว เรื่องที่ท่านมายังที่ว่าการอำเภอ ห้ามบอกผู้อื่น”เจ้าเมืองตานรีบตอบรับออกมา เขาหันไปมองยังเซิ่งฟาง ก็พบว่าอีกฝ่ายพยักหน้าให้กับเขาหลังจากที่เจ้าเมืองตานโค้งคำนับให้กับทั้งสี่คนแล้ว ก็รีบเดินออกไปในตอนที่เขามายังที่ว่าการอำเภอนั้น ไม่ได้นั่งเกี้ยว และก็ไม่ได้สวมเครื่องแบบทางการมา เพียงแต่สวมเสื้อผ้าธรรมดาเท่านั้นเขาเองก็กลัวว่าตนเองจะสะดุดตาจนเกินไป แล้วถูกคนของผู้ว่ามณฑลจงโจวจดจำได้เข้าหลังจากที่เดินออกจากที่ว่าการอำเภอแล้วนั้น เจ้าเมืองตานก็รีบมุ่งหน้ากลับไปยังจวนของตนเองเขาก้มหน้าเดินอย่างเร่งรีบ จนชนเข้ากับคนผู้หนึ่งเจ้าเมืองตานเงยหน้าขึ้น ก็พบกับขอทานที่ทั่วทั้งเนื้อตัวสกปรกมอมแมม ถูกเขาชนจนล้มลงกับพื้นขอทานล้มลงร้อง “โอ๊ย” ออกมา ใบหน้าที่สกปรกนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเจ้าเมืองตานรีบร้อนกลับไปยังจวน จึงไม่ได้สนใจขอทานนั่น เขาส่งเสียงเย็นชา ก่อนจะรีบจากไปที่เขาไม่รู้ก็คือ ในตอนที่เขาชนเข้ากับขอทานเมื่อครู่นี้นั้น ถุงเงินตรงเอวของเขา ได้ตกไปอยู่ในมือของขอทานนั่นแล้วขอทานส่งเสียงร้องดัง “โอ๊ย”
สายตาของเจี่ยนอันอันจ้องเขม็งไปยังใบหน้าของเจ้าเมืองตาน อย่างจะคิดมองหาท่าทีโกหกจากสีหน้าของเขาในตอนที่เจ้าเมืองพูดออกมานั้น สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึม สายตาเผยให้เห็นความโกรธแค้นออกมาดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้พูดโกหก สายตาของเจี่ยนอันอันดูเย็นชา จนทำให้ในใจของเจ้าเมืองตานที่มองดูเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาเขาไม่กล้าที่จะสบสายตากับเจี่ยนอันอัน จึงทำได้เพียงมองไปยังทิศทางอื่นเจี่ยนอันอันพูดออกมาอย่างเย็นชา “ท่านเพิ่งจะพูดออกมาว่า ท่านสนิทชิดเชื้อกันท่านผู้ว่ามณฑลจงโจว”“แล้วทำไมท่านยังจะนำเรื่องนี้มาบอกพวกเราอีก”“ท่านไม่กลัวหรือว่าคำที่ท่านพูดออกมาเหล่านี้ จะลอยเข้าหูผู้ว่ามณฑลจงโจวเข้า?”แน่นอกว่าเจ้าเมืองตานย่อมหวาดกลัว เพียงแต่ว่าเขาไม่อยากสมคบคิดกับคนชั่วอีกในตอนแรกที่เขามีความสัมพันธ์อันดีกับผู้ว่ามณฑลจงโจวนั้น ทั้งหมดก็เป็นเพียงเพราะว่าพวกเขาล้วนแต่เป็นคนบ้านเกิดเดียวกัน เขาถือว่าผู้ว่ามณฑลเป็นคนสนิท ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะหารือกับอีกฝ่ายมาโดยตลอดเพียงแต่ที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงนั้น ผู้ว่ามณฑลจงโจวจะเข้าร่วมสมคบคิดกับคนที่มาเพื่อทำการสังหารหมู่ในปีนั้นไม่เพียงแต่เท่านี้ เขาเพื่
เขาไม่คิดเลยว่าอ๋องเจ็ดที่มาทำการสังหารหมู่ในปีนั้น จะสมคบคิดกันกับผู้ว่ามณฑลจงโจวส่วนอ๋องเจ็ดคนนั้น ตอนนี้ก็กลายฮ่องเต้ของแคว้นไท่ยวนแล้วในใจของเจ้าเมืองตานเต้นรัวเขาไม่รู้ว่าควรจะเคาะประตูดีหรือไม่ แล้วนำเรื่องที่เซิ่งฟางกลับมาแล้ว แถมยังกลายเป็นนายอำเภอบอกกับท่านผู้ว่าการมณฑลจงโจวไปคนในห้องโถงทั้งสองคน ไม่รู้เลยว่ายังมีคนแอบฟังอยู่ด้านนอกอีกคนผู้ว่ามณฑลจงโจวให้ทหารองค์รักษ์ออกไป ก็เพราะว่าไม่อยากให้คนนอกมาได้ยินเขาพูดคุยอยู่กับแขกนอกจากนี้แล้วแขกลึกลับคนนั้น บางทีอาจจะอาศัยสถานะที่สูงส่งกว่าตน ไม่ได้เห็นคนในที่ว่าการอยู่ในสายตาเลยหากว่ามีคนกล้าลอบฟัง เขาจะต้องตัดลิ้นของอีกฝ่ายทิ้งเป็นแน่ รวมทั้งตัดแขนขา ให้คนที่แอบฟังนั้น ทั้งชาตินี้เขียนไม่ได้พูดไม่ได้ไปตลอด!ไม่นานนัก เสียงของท่านผู้ว่ามณฑลจงโจวก็ดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้าเมืองเซิ่งฟางในปีนั้น ช่างไม่รู้ทันสถานการณ์เลย”“หากว่าเขานำของสมบัติของเมืองอินเป่ยมอบให้แล้ว เขาเองก็คงไม่ถึงขั้นถูกจับเช่นนี้”เมื่อผู้ว่ามณฑลจงโจวพูดมาถึงตรงนี้ ก็เย้ยหยันออกมาอย่างน่าหวาดกลัว คนลึกลับผู้นั้นก็พูดเย้ยหยันขึ้นมา “ยังเป็นตาเฒ่าเช