ท่านยายหลินพูดออกมาอย่างลำบากใจ “แม่นาง ข้ามีเรื่องอยากรบกวนเจ้าอีกแล้ว”เจี่ยนอันอันขมวดคิ้วขึ้น ในใจคิดหรือว่าเสี่ยวโต้วจื่อจะเกิดอะไรขึ้นอีก?ยังไม่ทันรอให้นางได้ถามออกไป ท่านยายหลินก็พูดออกมาอย่างร้อนรน “ครั้งนี้ไม่ใช่เสี่ยวโต้วจื่อ แต่เป็นลูกชายของข้าหลินเซิงและลูกสะใภ้ของข้าก็เกิดป่วยขึ้น”“ข้าอยากจะเชิญแม่นางไปยังบ้านของข้า เพื่อรักษาให้พวกเขาสองคนจะได้หรือไม่?”ตั้งแต่ที่เจี่ยนอันอันรักษาร่างกายให้เสี่ยวโต้วจื่อจนหาย ท่านยายหลินก็รับรู้แล้วว่าทักษะการแพทย์ของเจี่ยนอันอันนั้นยอดเยี่ยมวันนี้ในตอนที่นางทำอาหารอยู่ที่บ้าน ปรากฏว่าลูกชายของนางหลินเซิงและลูกสะใภ้จู่ๆ ก็ร้องออกมาว่าปวดท้องทั้งสองล้มลงบนเตียง ก่อนจะส่งเสียงร้องออกมาไม่หยุดทันใดนั้นท่านยายหลินก็นึกถึงเจี่ยนอันอันขึ้นมา จึงวิ่งมาเชิญนางที่นี้เพื่อไปรักษาเจี่ยนอันอันได้ยินแล้ว ก็รีบรับปากไปบ้านนางทันทีฉู่จวินสิงได้ยินคำของท่านยายหลิน ก็รีบเดินก้าวใหญ่ออกมา“ข้าจะไปกับเจ้า”ให้เจี่ยนอันอันไปคนเดียว เขาไม่วางใจเจี่ยนอันอันไม่ได้ปฏิเสธ พากันตามไปยังบ้านท่านยายหลินซ่างตงเยว่รีบตามไปด้วยนางในฐานะที่เป็นสา
“แม่นาง ข้ารู้ว่าวิชาแพทย์ของเจ้าสูงส่ง แต่ถ้าผ่าท้องลูกสะใภ้ข้า นางก็ต้องตายน่ะสิ”ท่านยายหลินพูดแล้ว ขอบตาก็พลันแดงเรื่อเจี่ยนอันอันเข้าใจความกังวลของท่านยายหลินอย่างไรเสียนั่นก็คือลูกสะใภ้ของอีกฝ่าย หากระหว่างการผ่าตัดเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นมาก็อาจเป็นอันตรายได้เจี่ยนอันอันถาม “ท่านยายแซ่อะไรหรือเจ้าคะ?”ท่านยายหลินไม่เข้าใจ จนป่านนี้แล้ว ทำไมฝ่ายตรงข้ามต้องถามถึงแซ่ของนางด้วย?แต่นางยังคงตอบว่า “ข้าแซ่หลิน”เจี่ยนอันอันถามอีกครั้ง “ท่านยายหลิน หลายวันมานี้ลูกสะใภ้ของท่านมักบ่นว่าปวดท้องและอาเจียนแห้งๆ อยู่บ่อยครั้งใช่ไหมเจ้าคะ?”ท่านยายหลินพยักหน้า ที่เจี่ยนอันอันพูดมาไม่ผิดไปเลยสักนิดช่วงหลายวันนี้ลูกสะใภ้ของนางมักพูดว่าปวดท้อง แม้แต่ข้าวปลาก็ยังกินไม่ลงท่านยายหลินอยากให้ลูกสะใภ้พักผ่อนอยู่ที่บ้าน ไม่ต้องไปทำนาแล้วแต่ลูกสะใภ้เป็นคนขยันขันแข็งมาแต่ไหนแต่ไร นางเป็นห่วงข้าวในนาจึงยืนกรานตามไปด้วยแต่พอกลับมาก็ดูเหมือนว่าลูกสะใภ้เป็นต้องล้มป่วยหนักไปเสียทุกคราเสื้อผ้าบนร่างล้วนเปียกชุ่มด้วยเหงื่อเย็นลูกชายของท่านยายหลินก็สงสารภรรยามากเหมือนกัน เกลี้ยกล่อมนางว่าไม
ท่านยายหลินเดินเข้ามาในเวลานั้นเองนางเห็นลูกชายกับลูกสะใภ้ไม่ร้องว่าปวดท้องอีกก็ทราบว่าพวกเขาได้รับการรักษาแล้วนางรีบเข้ามาพูดกับคนทั้งสองว่า “พวกเจ้าเชื่อคำพูดของแม่นางคนนี้เถอะ”“นางสามารถรักษาเสี่ยวโต้วจื่อได้ก็ต้องรักษาอาการป่วยของอาหรงได้เหมือนกัน”หลินเซิงลูกชายของท่านยายหลินเหลือบมองเจี่ยนอันอันเล็กน้อย สุดท้ายก็ตอบตกลง“เช่นนั้นก็รบกวนแม่นางช่วยรักษาอาหรงด้วย” หลินเซิงกล่าวพลางลุกขึ้นลงจากเตียงอุ่นสตรีที่ถูกเรียกว่าอาหรงเห็นพวกเขาล้วนยินยอมให้ผ่าเปิดท้องนางแล้วแม้นางจะหวาดกลัวมาก แต่กลับไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีเจี่ยนอันอันบอกให้คนอื่นๆ ออกไปก่อน แล้วบอกให้ท่านยายหลินยกน้ำร้อนที่ต้มเสร็จแล้วเข้ามาท่านยายหลินและหลินเซิงรออยู่ข้างนอกด้วยความร้อนใจ แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปดูเสี่ยวโต้วจื่อกระตุกมือหลินเซิงเบาๆ ถามอย่างกลัวๆ “ท่านพ่อ ทำไมท่านแม่ถึงยังไม่ออกมาอีก?”หลินเซิงเห็นใบหน้าเสี่ยวโต้วจื่อยังเปื้อนน้ำตาอยู่ก็รีบใช้แขนเสื้อเช็ดใบหน้าให้ลูกชาย“แม่เจ้ากำลังรับการรักษาอยู่ อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”เสี่ยวโต้วจื่อได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีกภายในห้อง เจี่ยนอันอันบอกใ
เจี่ยนอันอันหยิบขวดยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาอาการอักเสบออกมาส่งให้หลินเซิง“รอจนภรรยาของท่านฟื้นแล้วก็ให้นางกินยานี้”หลินเซิงมองดูขวดยาในมือ เขาไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อนเลย“นี่สำหรับรักษาอะไรหรือ?” หลินเซิงถามด้วยสีหน้าสงสัย“ยานี้ใช้รักษาอาการอักเสบให้นาง ให้นางกินวันละสามเวลา ครั้งละสองเม็ดก็พอแล้ว”หลินเซิงรีบยัดยานั้นไว้ในอกเสื้อ ด้วยกลัวว่าจะทำหายเจี่ยนอันอันเห็นว่าตรงนี้ไม่มีเรื่องอะไรแล้วจึงจะจากไปท่านยายหลินและหลินเซิงรีบกล่าวขอบคุณเจี่ยนอันอันเจี่ยนอันอันยิ้มกล่าว “งั้นพวกข้าไปก่อนนะ พรุ่งนี้เช้าข้าจะมาอีกครั้ง”ตอนกลับไป ฉู่จวินสิงนึกสงสัยใคร่รู้อยู่บ้างเจี่ยนอันอันรักษาอาหรงผู้นั้นอย่างไรกันนะ?เจี่ยนอันอันยิ้มกว้างให้ฉู่จวินสิง “เรื่องนี้เป็นความลับ”ฉู่จวินสิงส่ายหน้ายิ้มๆ ไม่ได้ถามอะไรมากไปกว่านั้นเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เจี่ยนอันอันก็ไปที่บ้านของท่านยายหลินอีกครั้งเวลานั้นอาหรงนอนอยู่บนเตียงอุ่น ความเจ็บแปลบแล่นมาจากบาดแผลบนท้องนางอยากแกะแผ่นปิดแผลบนท้องออกมาดูเหลือเกิน แต่ก็กลัวว่าจะกระทบบาดแผลเห็นว่าเจี่ยนอันอันมาแล้ว ท่านยายหลินก็รีบมาต้อนรับ“แม่นาง
ฉู่จวินสิงชอบท่าทางกินข้าวของเจี่ยนอันอันมากนางกินข้าวอย่างมูมมามเหมือนหิวโหยมาหลายวันในปากของนางเต็มไปด้วยอาหาร สองแก้มกลมป่องท่าทางเหมือนหนูตัวน้อยๆ อย่างไรอย่างนั้นเห็นข้างริมฝีปากของเจี่ยนอันอันเต็มไปด้วยคราบน้ำมัน ไม่มีเค้าของคุณหนูตระกูลใหญ่เลยสักนิดแววตาฉู่จวินสิงก็ฉายรอยยิ้มออกมาเขาชอบนิสัยที่ไม่เสแสร้งแกล้งทำเช่นนี้ของเจี่ยนอันอันไม่เหมือนสตรีอื่นที่ชอบแสร้งทำเป็นอ่อนโยนอ่อนแอกินข้าวก็ต้องกินทีละคำเล็กๆ เสแสร้งจนชวนให้เขารำคาญใจหลังเจี่ยนอันอันกินข้าวเสร็จ ฉู่จวินสิงก็หยิบผ้าแพรเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำมันตรงมุมปากให้เจี่ยนอันอัน“ดูเจ้ากินข้าวเข้าสิ มุมปากมีแต่น้ำมัน”เจี่ยนอันอันยิ้มกว้างให้ฉู่จวินสิงแล้วแย่งผ้าแพรเช็ดหน้ามาเช็ดริมฝีปากอย่างส่งเดชฉู่จวินสิงถูกการกระทำของเจี่ยนอันอันทำให้นึกขันจนหัวเราะออกมาเบาๆเจี่ยนอันอันยัดผ้าแพรเช็ดหน้าเปื้อนน้ำมันใส่มือฉู่จวินสิงแล้วก้าวยาวๆ จากไปฉู่จวินสิงมองดูผ้าเช็ดหน้าเปื้อนคราบน้ำมันผืนนั้นแล้วก็ส่ายหน้ายิ้มๆซ่างตงเยว่เห็นดังนั้นก็รีบเข้ามาหานางกล่าวอย่างเกรงใจ “นายน้อยรอง ส่งผ้าแพรเช็ดหน้ามาให้ข้าเถอะเจ้าค่
เจี่ยนอันอันโบกพัดไปมาพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง“อากาศที่นี่ร้อนเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าตอนไหนฝนจะตก”เพิ่งสิ้นเสียงของเจี่ยนอันอัน ท้องฟ้าที่เดิมทียังแจ่มใสก็พลันมีเมฆครึ้มเข้าปกคลุมเจี่ยนอันอันเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ นางคว้าแขนของฉู่จวินสิงแล้วออกแรงเขย่า“ฉู่จวินสิง ท่านว่าข้าเป็นเทพธิดามาจุติไหมนะ”“ข้าเพิ่งพูดว่าอยากให้ฝนตก ท่านดูข้างนอกนั่นสิ จู่ๆ ก็มีเมฆครึ้มเต็มไปหมด”ฉู่จวินสิงปล่อยให้เจี่ยนอันอันแกว่งแขนเขาไปมาตามใจชอบเขาไม่ได้มองออกไปนอกหน้าต่าง แต่จ้องมองเจี่ยนอันอันตาไม่กะพริบเห็นเจี่ยนอันอันมีท่าทางตื่นเต้น มุมปากของเขาก็พลันโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มชวนมองในชั่วขณะนั้นเอง ท้องฟ้านอกหน้าต่างพลันสว่างวาบตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องดังครืนครันเจี่ยนอันอันยิ่งตื่นเต้นกว่าเดิมนางคิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองยังมีความสามารถ ‘เรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝน’ อีกด้วยนางกล่าวออกมาทันทีว่า “ฝนตกหนักๆ หน่อยนะ ดีที่สุดคือตกติดต่อกันสามวันสามคืน”เมื่อเป็นเช่นนี้ งานแต่งงานของนางกับฉู่จวินสิงก็สามารถเลื่อนออกไปได้อีกสองวันเจี่ยนอันอันดีดลูกคิดรางแก้วในใจ ฝนด้านนอกตกหนักกว่าเดิมดังคาดสายฝนกระหน
เจี่ยนอันอันยิ้มตาหยีเล็กน้อย พลางพูดว่า “ฮูหยินรองก็ไม่ต้องกังวลแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโคมแดงก็ดีหรือผ้าแดงก็ดี ข้าล้วนเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” เมื่อฮูหยินรองได้ยิน ดวงตาก็สว่างไสวขึ้นมาทันที “แม้แต่ของพวกนี้อันอันก็เตรียมไว้แล้วหรือ?” ราวกับใช้เวทมนตร์ ในมือของเจี่ยนอันอันพลันมีโคมแดงสองดวงเพิ่มขึ้นมา ฮูหยินรองเห็นเช่นนั้น ก็รีบตะโกนเข้าไปในห้องทันทีว่า “พี่หญิง ท่านรีบออกมาดูสิเจ้าคะ” ฮูหยินใหญ่ที่ได้ยินเสียง ก็เดินออกมาจากห้องทันที เมื่อนางเห็นในมือของเจี่ยนอันอัน กำลังถือโคมแดงอยู่สองดวง นางรีบถามทันทีว่า “อันอัน โคมแดงสองดวงนี้นำมาจากที่ใดกัน?” เจี่ยนอันอันพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ของพวกนี้ข้าล้วนนำมาจากบ้านเดิมเจ้าค่ะ” เมื่อนางกล่าวจบ ในมือก็มีผ้าไหมแดงเพิ่มขึ้นมาอีกผืน ในใจของฮูหยินใหญ่และฮูหยินรองพลันเกิดความยินดีขึ้นมา เมื่อมีของเหล่านี้ พวกนางก็ไม่ต้องกลัวว่าจะจัดห้องหอได้ไม่ดีแล้ว คนทั้งสองเลิกสงสัยในตัวเจี่ยนอันอันไปนานแล้ว เวลานี้ ต่อให้เจี่ยนอันอันเสกคนมีชีวิตออกมา พวกนางก็จะนึกเพียงว่านั่นเป็นคนที่เจี่ยนอันอันเก็บไว้ในถุงเฉียนคุนเท่านั้น ที่พวกนางไ
ฉู่จวินหลุนก็บังคับเก้าอี้รถเข็นออกมาเช่นกัน “จวินสิงกลัวแมลงมาตั้งแต่เด็ก จุดอ่อนนี้ไม่อาจให้ผู้มีจิตคิดร้ายรู้เด็ดขาด” เหยียนเซ่าหันไปมองฉู่จวินหลุน ดวงตาของเขาเฉียบเย็น “ที่จิ้นอ๋องกล่าวคือ หากให้ฝ่าบาทรู้เข้า จะต้องทรงใช้วิธีนี้มาลงมือกับท่านอ๋องของกระหม่อมใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เมื่อฉู่จวินหลุนได้ยินว่าเหยียนเซ่ายังคงเรียกเขาว่าจิ้นอ๋อง ก็โบกมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ยามนี้ข้ามิใช่จิ้นอ๋องอีกแล้ว เจ้าติดตามจวินสิงมานานหลายปี จงรักภักดีมาโดยตลอด” “เช่นนั้นวันหลังเจ้าก็เรียกข้าว่าพี่ใหญ่เถอะ” เหยียนเซ่าประสานคำนับทันที “พ่ะย่ะค่ะจิ้นอ๋อง! โอ้ไม่ใช่ ขอรับพี่ใหญ่!” ในที่สุดเจี่ยนอันอันก็วิ่งจนเหนื่อยแล้ว และก็ขำจนพอแล้วเช่นกัน นางหยุดลง ยิ้มพลางพูดว่า “ฉู่จวินสิง นี่เป็นเพียงแมงมุมปลอมตัวหนึ่งเท่านั้น ดูสิ ทำท่านกลัวซะ” เจี่ยนอันอันพูดจบ ก็ยกมือปิดปากแอบหัวเราะอีกครั้ง เมื่อฉู่จวินสิงเห็นชัดเจนว่าในมือของเจี่ยนอันอันถึงกับเป็นแมงมุมปลอมจริงๆ เขาก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชา คว้ามือของเจี่ยนอันอันดึงนางเข้าไปในห้อง “ฉู่จวินสิง ท่านคงไม่ได้โมโหจริงๆ ใช่ไหม ข้าแค่ล้อท
เจี่ยนอันอันยิ้มเล็กน้อย “พี่เฉียว อย่ามัวยืนเฉย รีบลงชื่อก่อนเถิด”“ประเดี๋ยวเมื่อเจ้าเมืองตานมาถึง ยังต้องให้เขาดูด้วย”เจี่ยนอันอันกล่าวเสียงเบามาก จงใจมิให้เฝิงซานกวงกับลูกน้องเขาได้ยินแต่แม่ลูกตระกูลเฉียวและฉู่จวินสิงกลับได้ยินชัดเจนฉู่จวินสิงมุมปากเชิดขึ้น คิดในใจว่าการจะสั่งสอนคนเช่นเฝิงซานกวง ต้องใช้วิธีนี้จึงจะสาสมเฝิงซานกวงได้ยินไม่ชัดว่าเจี่ยนอันอันพูดเรื่องใด แต่มั่นใจว่าคงมิใช่เรื่องดีแน่นอนเฉียวซื่อรับเอากระดาษและพู่กันไป พลางเขียนชื่อตนเองบนกระดาษด้วยลายมือโย้เย้นางกำลังคิดอยู่ว่าต้องกัดนิ้วตนให้ขาดดีหรือไม่ พลันเห็นเจี่ยนอันอันไม่รู้ไปหยิบแป้นประทับตราจากที่ใดออกมาหนึ่งอันเจี่ยนอันอันกล่าวยิ้มๆ “พี่เฉียว การประทับตราของเราไม่ต้องเสียโลหิต”เฉียวซื่อยิ้มตามเช่นกัน พลางกดนิ้วมือลงบนแป้นนั้น แล้วประทับลายนิ้วลงไปบนสัญญาอีกทีเมื่อต่างลงนามในสัญญาฉบับใหม่เรียบร้อย ฉบับเก่าก็นับว่าเป็นโมฆะไปแต่เจี่ยนอันอันกลับไม่คิดฉีกสัญญาฉบับเก่าทิ้งไป นางจะรอให้เจ้าเมืองตานมาถึง และให้เขาดูเงื่อนไขเอาเปรียบที่อยู่ในนั้นนางใช้วิธีเดียวกันนี้ เขียนสัญญาใหม่ขึ้นมาอีกฉบับ
ยามนี้เขารู้สึกเสียใจยิ่ง เมื่อครู่ไม่ควรกล่าวถึงท่านอารองออกมาเร็วถึงเพียงนั้นแต่บัดนี้ลูกน้องไปเชิญท่านอามาแล้ว ถึงตอนนั้นเขาจะทำอย่างไรดี?เมื่อนึกถึงตรงนี้ เฝิงซานกวงรีบกล่าวต่อลูกน้องอีกคน “เจ้าไปบอกให้อู่เฉียงกลับมา”ลูกน้องผู้นั้นรับคำสั่งกำลังจะรีบวิ่งไปแต่เดินได้ไม่ถึงสองก้าว พลันถูกฉู่จวินสิงขวางหน้าไว้ก่อน“ผู้ใดกล้าขยับเขยื้อน ข้าจะให้ผู้นั้นเลือดนองอาบพื้นดินในบัดดล”ลูกน้องผู้นั้นได้แต่หวาดกลัวจนชะงักงัน พร้อมหันไปมองเฝิงซานกวง“ลูกพี่...”เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ไปก็ไม่ได้อยู่ต่อก็มีความผิดเฝิงซานกวงโกรธจนกำหมัดแน่น เสียงขบฟันดังกรอดจนได้ยินชัด“พวกเจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่?”เขาเริ่มรู้แล้วว่า วันนี้ตนน่าจะเจอจิ้งจอกเขี้ยวลากดินเข้าให้แล้วดูท่าหากไม่ต้อนรับขับสู้พวกเขาให้ดี เกรงว่าอีกประเดี๋ยวจะมีจุดจบที่ไม่สู้งามนักเจี่ยนอันอันเห็นว่าเฝิงซานกวงน่าจะอับจนปัญญา จึงเอาสัญญาที่เฉียวซื่อมอบให้นางออกมา“เฝิงซานกวง นี่คือสัญญาที่เจ้าทำไว้กับเฉียวซื่อ ในนี้มีเงื่อนไขข้อหนึ่ง ข้าอาจต้องแก้ไขเล็กน้อย”เฝิงซานกวงกัดฟันกรอดอีกครั้ง บันดาลโทสะเสียจนใบหน้าที่อยู
พวกเขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรญาติที่เป็นขุนนางของลูกพี่เป็นผู้มีอิทธิพลนัก ดูแลทุกอย่างในอำเภอไถหยางก็ว่าได้เจี่ยนอันอันกล่าวเสียงเย็น “คุยมาตั้งนาน ยังไม่เห็นบอกชื่อว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ข้าว่าคงจะแต่งเรื่องส่งเดชมากกว่า”เฝิงซานกวงถูกเจี่ยนอันอันยุยงอีกครั้ง เดิมทีเขาก็ไม่อยากเอ่ยชื่อเจ้าเมืองออกมาแต่ครั้งนี้เห็นทีไม่พูดก็ไม่ได้เสียแล้ว“ฮึ่ม พูดแล้วพวกเจ้าจะตกใจ ท่านอารองของข้าเป็นเจ้าเมืองแห่งอำเภอไถหยาง”“หากพวกเจ้ากล้าแตะต้องกิจการในเหมืองของข้า ข้าจะให้ท่านอาส่งคนมาจับพวกเจ้าไปขังคุกเสีย!”เมื่อเจี่ยนอันอันได้ยินว่าอารองของเฝิงซานกวงก็คือเจ้าเมืองตานนั่นเอง นางจึงเริ่มมีแผนการในใจ“อ้อ หมายถึงเจ้าเมืองตานผู้นั้นหรอกรึ? ยังนึกว่าเป็นคนใหญ่คนโตที่ใดเสียอีก”“เชิญไปเรียกตัวมาได้เลย แล้วเรามายันกันซึ่งหน้า ให้รู้ไปว่าเขาจะเข้าข้างเจ้า หรือเห็นด้วยกับเรามากกว่า”เฝิงซานกวงมองดูท่าทีของเจี่ยนอันอัน คล้ายไม่กลัวกระทั่งคนเป็นเจ้าเมือง จึงให้ตกใจซ้ำอีกเขาแอบคิดในใจ หรือว่าท่านอารองจะรู้จักกับคนสองคนนี้?จึงหันไปกระซิบกระซาบต่อลูกน้องข้างกาย “รีบไปเชิญอารองข้ามาเดี๋ยวนี้”
เหล่าคนงานที่เข้าออกเหมืองแร่เห็นเหตุการณ์เข้า ต่างก็ตกใจเป็นอย่างมากเพราะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นลูกน้องของนายจ้างถูกผู้อื่นทำร้ายเช่นนี้แม้แต่ละคนจะมีความตกใจ แต่ลึกๆ กลับรู้สึกสะใจมากกว่าเพราะบริวารของเฝิงซานกวงเหล่านี้ ปกติมักจะใช้กำลังกับพวกเขาบ่อยๆทุกครั้งที่พวกเขาขุดหาแร่ออกมาไม่ได้ปริมาณตามที่ต้องการ ลูกน้องเฝิงซานกวงก็พากันมารุมซ้อมพวกเขาอย่างหนัก แต่พวกเขาก็ไม่กล้าไปบอกใครบางคนเคยคิดหนีไปจากที่นี่ แต่ครั้งใดที่มีผู้หลบหนี มักถูกจับกลับมาแล้วซ้อมหนักยิ่งกว่าเดิมอีกที่สำคัญพวกเขาแทบจำไม่ได้ว่าตนคือใคร บ้านช่องอยู่ที่ใดจึงได้แต่ใช้แรงกายแลกกับเงินน้อยนิดเพียงสองอีแปะในแต่ละวัน อดทนทำงานอยู่ที่นี่ต่อไปเมื่อชายสองคนถูกทำร้ายเข้า จึงมีลูกน้องเฝิงซานกวงตามออกมาอีกทุกคนเมื่อเห็นว่ามีคนมาก่อเรื่อง จึงกรูกันเข้าหาฉู่จวินสิงทันทีแต่มิต้องรอให้พวกเขามาเข้าใกล้ ฉู่จวินสิงใช้กำลังภายในซัดออกไปก่อนแล้วทุกคนต่างทยอยล้มลง พลางกลิ้งไปมา ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดทันใดนั้นเอง มีเสียงหนึ่งตะคอกดังขึ้น “ผู้ใดกล้าบังอาจมาก่อเรื่องในเหมืองของข้า อยากตายหรืออย่างไร?”ใบ
แต่บัดนี้นางเปิดร้านมาสิบกว่าวัน ขายได้เพียงรูปสัตว์โลหะไม่กี่ตัวเท่านั้นเฉียวซื่อบอกเล่าสิ่งที่พบเจอให้เจี่ยนอันอันฟัง ทำให้นางเกิดความเข้าใจขึ้นทันทีที่แท้เฉียวซื่อถูกเฝิงซานกวงหลอกลวงมาแต่แรกเจี่ยนอันอันเพียงคิดว่าต่อให้นางซื้อของตกแต่งเหล่านี้กลับไป ก็มิได้ใช้ประโยชน์นักจึงนำหนูโลหะตัวเล็กในมือวางกลับที่เดิมเฉียวซื่อเห็นเจี่ยนอันอันทำเช่นเดียวกับลูกค้าอื่นในร้าน เพียงเข้ามาหยิบดูเล็กน้อย จากนั้นจึงวางของตกแต่งลงไว้ที่เดิมดูแล้วคล้ายไม่สู้ถูกใจผลงานที่นางสร้างสรรค์ออกมาเท่าใดนัก พลันเกิดความรู้สึกท้อแท้ นางคงไม่เหมาะจะทำอาชีพนี้จริงๆ กระมังหากตอนนี้สามียังอยู่ก็คงดี นางจะได้ฝึกวิชาการตีเหล็กจากเขาให้ออกมาเป็นงานอื่นบ้างและเมื่อครู่เจี่ยนอันอันรู้จากปากเฉียวซื่อ ว่าเฝิงซานกวงได้เปิดกิจการเหมืองแร่แห่งหนึ่งทุกวันจะมีคนงานไปด้านหลังภูเขาที่อยู่ห่างไกล ขุดเอาแร่เหล็กและหยกออกมา เพื่อนำกลับมาถลุงเป็นเครื่องหยกและของใช้ที่ทำจากเหล็กนางเห็นเฉียวซื่อคล้ายมีอาการท้อใจ จึงกล่าวยิ้มแย้ม “พี่เฉียว ท่านพาข้าไปดูที่เหมืองของเฝิงซานกวงก่อน ข้ามีสิ่งของบางอย่างต้องการจะซื้อ”
เจี่ยนอันอันหยิบมากวาดตาดูก็มองความผิดปกติบนนั้นออกได้ในทันที“เงื่อนไขในนี้เข้มงวดเกินไปแล้ว ถ้าฝ่ายไหนยุติสัญญาจะต้องชดเชยให้อีกฝ่ายเป็นเงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึง”“เจ้าหมอนี่ช่างกล้าเขียน สัญญานี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเงื่อนไขแบบมัดมือชกกันชัดๆ”“ข้าว่าท่านไม่ร่วมงานกับเขาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย”คำพูดของเจี่ยนอันอันทำให้เฉียวซื่อใจหายวูบนางรู้จักตัวหนังสือแค่ไม่กี่ตัว นอกจากเขียนชื่อตัวเองเป็นแล้ว เงื่อนไขในนั้นนางอ่านไม่เข้าใจเลยสักนิดเฝินซานกวงเป็นคนอ่านให้นางฟัง นางรู้สึกว่าเงื่อนไขสมเหตุสมผลมากจึงลงนามในสัญญากับอีกฝ่ายแต่คิดไม่ถึงเลยว่า เฝิงซานกวงจะกล้าเล่นเล่ห์กับนางแบบนี้เดิมนั้นนางอยากยกเลิกสัญญากับอีกฝ่าย แต่กลับได้ยินเฝิงซานกวงพูดว่า ถ้านางกล้าเป็นฝ่ายยกเลิกสัญญาก็จะต้องชดเชยเงินให้เฝิงซานกวงเป็นเงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึงตอนนั้นเฉียวซื่อตกใจยิ่งนักนางเคยไปถามเถ้าแก่ร้านข้างเคียง ฝ่ายตรงข้ามก็บอกว่าเงื่อนไขนี้เขียนไว้อย่างชัดเจน ต้องจ่ายเงินชดเชยให้อีกฝ่ายหนึ่งแสนตำลึงจริงๆเงินจำนวนมหาศาลเช่นนี้ นางจะไปหาเงินมากมายขนาดนี้มาจากที่ไหนถึงตอนนี้เฉียวซื่อจึงตระหนักว่
ตอนนี้เขาทำได้เพียงอดทนอดกลั้นต่อความเจ็บปวด ยอมรับการทุบตีจากเฉียวอี้บริเวณรอบๆ มีคนล้อมเข้ามามุงดูจำนวนมาก พวกเขาต่างชี้ไม้ชี้มือมาทางชายผู้นั้น“คนคนนี้แค่เห็นก็รู้แล้วว่าต้องไม่ใช่คนดีแน่ ดูหน้าตาทรงโจรของเขาสิ แปดส่วนคงเป็นเพราะไปหาเรื่องคนอื่นก่อน ถึงได้ถูกเด็กคนนั้นซ้อมเอาแบบนี้”“เมื่อครู่ข้าได้ยินแล้ว เขาไปลงไม้ลงมือกับแม่ของเด็กคนนั้น ข้าว่าตีเขายังน้อยไป ควรแจ้งความมากกว่า”คนมุงบริเวณรอบๆ ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานาเฉียวอี้ควงหมัดทักทายใบหน้าของชายผู้นั้นหนักกว่าเดิมในไม่ช้า เฉียวอี้ก็ตีจนรู้สึกเจ็บกำปั้น แต่เขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนกระทั่งอัดศีรษะชายผู้นั้นจนบวมเป่งเหมือนหมู เฉียวอี้ถึงได้หยุดมือพร้อมหอบหายใจแม้ว่ากำปั้นของเฉียวอี้จะไม่ใหญ่ แต่ครั้นทุบตีคนก็ร้ายกาจยิ่งนักเห็นใบหน้าชายผู้นั้นเขียวช้ำไปหมด เฉียวอี้ก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากเจี่ยนอันอันกล่าวกับชายผู้นั้นว่า “หากวันหน้าเจ้ายังกล้ามาคุกคามแม่ลูกตระกูลเฉียวอีก ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าสบายแบบนี้แน่ ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!”ชายผู้นั้นไม่กล้าพูดมาก ลุกขึ้นมากุมศีรษะแล้วเผ่นหนีไปคนมุงบริเวณรอบๆ เ
เจี่ยนอันอันกับฉู่จวินสิงสบตากัน“พวกเจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้” ฉู่จวินสิงว่าแล้วก็ก้าวยาวๆ ตรงไปทางตรอกน้อยชายผู้นั้นเห็นว่าฉู่จวินสิงตรงมาทางเขาก็หันหลังเตรียมวิ่งหนีแต่เขาวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกถีบเข้าที่เอวเสียแล้วชายผู้นั้นถูกถีบกระเด็นไปไกล คว่ำหน้าอยู่บนพื้นร้องโอดโอยออกมาอย่างทนไม่ไหวฉู่จวินสิงย่างสามขุมตรงเข้าไปหาแล้วหิ้วคอเสื้อของชายผู้นั้นขึ้นมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย“ไปกับข้า!”ฉู่จวินสิงกล่าวพลางผลักชายผู้นั้นตรงออกไปนอกตรอกชายผู้นั้นได้ลิ้มรสความร้ายกาจของฉู่จวินสิงแล้วย่อมไม่กล้าวิ่งหนีส่งเดชเขาไม่อยากถูกถีบอีกหรอกนะ จนถึงตอนนี้เอวยังระบมอยู่เลยฉู่จวินสิงผลักชายผู้นั้นมาถึงตรงหน้าเจี่ยนอันอันกับเฉียวอี้แล้วกล่าวเสียงเข้ม “บอกมา ระหว่างเจ้ากับเด็กคนนี้เป็นเรื่องอะไรกันแน่?”ชายผู้นั้นมองเฉียวอี้ แววตาเต็มไปด้วยความขุ่นแค้น“คุณชายท่านนี้ ข้าไม่รู้จักเขาเสียหน่อย เขาวิ่งออกมาถนนใหญ่เอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลยนะ”ขณะที่ชายผู้นั้นพูดก็ถลึงตาใส่เฉียวอี้อย่างดุร้ายเฉียวอี้เห็นฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมรับ เขาเงยหน้าขึ้นมาด้วยความโมโห แล้วตวาดใส่ชายผู้นั้นว่า“ท่านโก
เจี่ยนอันอันเห็นว่าฉู่จวินสิงก่อสร้างเป็น นางก็วางใจไปได้มากนางยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ใช่กระโจม แต่เป็นโรงเรือนสำหรับเพาะปลูกแบบหนึ่ง”นางมีความคิดคร่าวๆ ในใจแล้วจึงรีบกลับบ้านไปกับฉู่จวินสิงนางหยิบกระดาษและปากกาออกมาจากในมิติ แล้ววาดภาพร่างบนโต๊ะฉู่จวินสิงนั่งอยู่ข้างๆ ตั้งใจดูภาพร่างโรงเรือนที่เจี่ยนอันอันวาดที่นี่ไม่มีเหล็กเส้น เจี่ยนอันอันยังไม่อยากใช้เงินจำนวนมากไปซื้อจากในร้านค้านางต้องการสร้างโรงเรือนสำหรับคนในหมู่บ้านทุกคน เหล็กเส้นที่ต้องใช้จึงมีไม่น้อยหากใช้เงินไปซื้อมา นั่นไม่ใช่จำนวนเงินน้อยๆ เลยนางไม่อยากใช้เงินพวกนั้นในมิติมากเกินไป นางยังรอที่จะสนับสนุนฉู่จวินสิงขึ้นนั่งบัลลังก์ฮ่องเต้หลังจากการทำสงครามกลับเมืองจิงโจวในวันหน้าเมื่อถึงตอนนั้น เงินทองของล้ำค่าเหล่านั้นในมิติก็จะได้นำไปใช้แล้วฮ่องเต้จนกรอบคนหนึ่งที่ไม่สามารถจ่ายเบี้ยหวัดให้เหล่าขุนนางได้ ทั้งยังไม่สามารถทำให้ชาวบ้านอยู่ดีมีสุข กับฮ่องเต้ที่มั่งคั่งร่ำรวยคนหนึ่ง เงินในมือสามารถซื้อเมืองทั้งเมืองได้ชาวบ้านกับเหล่าขุนนางจะเอนเอียงไปทางคนไหนมากกว่า นั่นไม่ต้องพูดก็สามารถรู้ได้แล้วในไม่ช้า เจี่ยน