“ให้เอมไปแทนได้ไหมคะ ตาไม่อยากไป! ตากับแดนเรารักกันคุณแม่ก็รู้!” เป็นเสียงของสิตา บุตรสาวเพียงคนเดียวของครอบครัว รุจินันท์ ที่เอ่ยขึ้นหลังจากได้ทราบเรื่องบางอย่างจากปากมารดาผู้ให้กำเนิด ที่ในวันนี้นางจนปัญญาจะปิดเรื่อง ‘บางอย่าง’ กับลูกแล้วจริงๆ ถึงได้ตัดสินใจสภาพทุกอย่างออกมา
“รักแล้วมันกินเข้าไปได้ไหมห๊ะ! แกอย่าทำเสียเรื่องจะได้ไหมยัยตา ตอนนี้ครอบครัวของเรากำลังแย่ ดูหนี้สินที่พ่อแกทิ้งเอาไว้เสียก่อน อีกอย่างทางนั้นเองก็เขาบอกชัดเจนว่าต้องการแก ไม่ใช่ใครที่ไหนก็ได้!” ลองหาก ‘ทางนั้น’ ไม่ชี้ชัด ว่าคนที่ต้องการตัวคือบุตรสาวแท้ๆ ของนางแล้วล่ะก็ คุณบัวบุษยาคงยกหลานสาวของสามีผู้ลาลับให้ไปนานแล้ว
ใครเลยจะอยากเห็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตัวเองไปเป็นนางบำเรอขัดหนี้ หนี้ที่นางกับลูกไม่ได้เป็นคนก่อ แต่ต้องเป็นฝ่ายชดใช้ เพราะสามีผู้ซึ่งเป็นเจ้าของหนี้ตัวจริงมาด่วนชิงตายไปเสียก่อนด้วยภาวะโรคหัวใจล้มเหลว
ซึ่งหลังจากที่ไอ้แก่นั่นตายไปได้ไม่เท่าไหร่ เจ้าหนี้ก็ส่งคนบุกมาถึงบ้าน พร้อมเอกสารสำคัญหลายฉบับ นั่นเองที่มันทำให้นางได้รู้ความจริง ว่าที่ผ่านมารายได้จากการประกอบธุรกิจส่งออกผ้าไหมของครอบครัวนั้นตกต่ำลงเป็นอย่างมาก เพราะค่านิยมของผู้คนที่มีต่อผ้าไหมนับวันยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ และเพื่อต้องการพยุงฐานะทางสังคมเอาไว้ สามีของนางจึงตัดสินใจไปกู้เงินมาก้อนหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด ก่อเกิดกลายมาเป็นหนี้สินขึ้นมาอย่างที่เห็น!
คราแรกนางปฏิเสธเสียงแข็ง ว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรเกี่ยวกับหนี้ก้อนนั้น เพราะสามีไม่เคยพูดหรือเอ่ยถึงมันให้ได้ยินเลยสักครั้ง แต่เมื่ออีกฝ่ายยืนยันมาว่าจะดำเนินเรื่องทางกฎหมายหากทางนางยังคงยืนยันที่จะปัดความรับผิดชอบ นางจึงจำใจต้องแบกรับหนี้ก้อนนั้นเอาไว้ ด้วยไม่อยากให้ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล ที่เป็นถึงหม่อมเจ้าต้องเสื่อมเสีย เพียงเพราะความเลือกผัวผิดของตัวเอง!
“เห็นแก่ความปองดองครั้งเก่าครั้งที่คุณแม่ของผมยังมีชีวิตอยู่ ผมยินดีล้างหนี้ให้ถ้าเพียงแต่คุณหญิงยอมยกสิตาให้ผม”
แม้ฝ่ายนั้นจะไม่ได้บอกชัดถึงสถานะที่จะมอบให้ แต่นางก็พอรู้มาว่า ‘กานต์’ ผู้เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของครอบครัวนั้นใช้ผู้หญิงเปลืองแค่ไหน จึงค่อนข้างลำบากใจที่จะพูดเรื่องนี้กับลูกจนกระทั่งเมื่อสามวันก่อน ที่ฝ่ายนั้นส่งคนมาสอบถามถึงคำตอบ
”นายให้ผมเรียนคุณหญิงว่า หากยังไม่ได้รับคำตอบในเร็ววันนี้ ข้อเสนอที่เคยคุยกันไว้ คงต้องขอยกเลิกทั้งหมดครับ” คำพูดนั้นทำให้รู้ ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เดือดร้อนเลยสักนิด หากทางนางจะปฏิเสธ นั่นยิ่งทำให้รู้สึกมืดแปดด้าน จนสุดท้ายจึงตัดสินใจเล่าเรื่องทุกอย่างให้ลูกได้ฟัง เผื่อว่าบางทีสิตาจะยอมรับข้อเสนอ เพื่อช่วยครอบครัวให้หลุดพ้นจากสถานการณ์บ้าๆ เหล่านี้
“ตาไม่อยากทำนี่คะ! ทำไมคุณแม่ต้องบังคับตาด้วย” สิตายังคงยืนยันเสียงแข็ง แม้จะเข้าใจถึงความจำเป็นของผู้เป็นแม่ ว่าท่านคงหมดหนทางแล้วจริงๆ ถึงได้ยอมสารภาพความจริงให้เธอได้รู้ หลังจากปิดมานานหลายเดือน แต่ถึงรู้ เธอก็ไม่อยากทำอยู่ดี
หนึ่งเลยก็คือเธอมีคนที่เธอรักอยู่แล้ว และเหตุผลที่สำคัญไปมากกว่าอะไรทั้งหมดนั้น คือตอนนี้เธอกำลังตั้งท้องลูกของเขาอยู่ แล้วแบบนี้จะให้เธอตอบตกลงทางนั้นไปได้อย่างไรกัน!
ในเมื่อเธอกำลังจะมีลูกกับผู้ชายที่เธอรัก! ชีวิตคู่ของเธอกับคนรักกำลังจะเริ่มต้นขึ้น เธอไม่อยากทำลายทุกอย่างลงเพียงเพราะเรื่องหนี้สินของครอบครัว อีกทั้งยังเป็นหนี้ที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อ แล้วทำไมเธอจะต้องเป็นคนชดใช้ด้วย มันไม่ยุติธรรมเลย!
“ไม่อยากทำแกก็ต้องทำ! ไม่อย่างนั้นทั้งแกแล้วก็ฉัน เตรียมตัวย้ายไปอยู่ในสลัมได้เลย! หรือถ้าคิดว่าไอ้แฟนกระจอกๆ ของแกมันจะช่วยอะไรได้ก็ลองดูสิ ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าน้ำหน้าอย่างมันจะมีปัญญาช่วยแกได้สักกี่น้ำ!” คำประชดนั้นทำใจคนฟังเจ็บปวดไม่น้อย ด้วยพอจะรู้ดีว่าคนรักของเธอนั้นไม่ใช่ลูกผู้ดีมีเงินมาจากที่ไหน เขาเป็นแค่พนักงานบริษัทกินเงินเดือนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นเธอเอง...ที่ตกหลุมรักในความธรรมดานี้ของเขา และก็เป็นเธอเองอีกเช่นเคย ที่จะไม่ยอมให้หนี้สินของผู้เป็นพ่อ มาทำลายความรักดีๆ ของเธอกับคนรัก!
ไม่มีวัน!
“พี่ตา...ไม่เป็นไรนะคะ” เอมมิกา ที่แอบฟังบทสนทนาของทั้งสองคนอยู่นานจำต้องรีบพาตัวเองเข้ามาหาผู้เป็นพี่ ซึ่งแม้อีกฝ่ายจะไม่ใช่พี่แท้ๆ แต่สิตากลับไม่เคยแสดงท่าทีไม่ต้อนรับให้เธอได้เห็นเลยสักครั้ง นับตั้งแต่วันที่คุณลุงปราบพาเธอเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ หลังจากที่พ่อกับแม่ของเธอเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุ “เอม! เอมอยู่ตรงนี้นานรึยัง ละ...แล้วนี่เราได้ยินอะไรไปแล้วบ้าง” สิตาเอ่ยถามน้องรักด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออย่างหนัก นาทีนี้เธอกลัวว่าอีกฝ่ายจะมาทันได้ยินคำพูดที่มันเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวของตัวเองเมื่อครู่ จนเมื่อน้องเลือกที่จะเงียบ จึงรู้ได้ด้วยตัวเองว่าเอมมิกาคงได้ยินหมดทุกอย่าง นั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาครามครัน ที่ชั่วนาทีหนึ่งเกิดนึกอยากจะโยนปัญหาของครอบครัวไปให้คนตรงหน้าที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรต้องแบกรับ ทั้งๆ ที่ผ่านมานั้น... อีกฝ่ายช่วยเหลือครอบครัวมาก็มาก เป็นเธอเสียมากกว่าที่ปัดความรับผิดชอบต่อทุกสิ่ง เลือกที่จะบินไปเรียนต่อ ปล่อยให้หน้าที่ดูแลพ่อกับแม่ตกเป็นของน้องไป “พี่ขอโทษนะเอม พี่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น พี่ขอโทษจริงๆ” เธอไม่อยากใ
“พราวขออนุญาตจัดการให้นะคะ” หนนี้เมื่อเขาไม่ตอบ เธอจึงคิดเอาเองว่าความเงียบของเขาคือคำอนุญาต ถึงได้ขยับเข้าไปใกล้ สูดกลิ่นยั่วเย้าของสิ่งตรงหน้าที่มีขนาดใหญ่เกินชาย ก่อนที่จะอ้าปากครอบมันไว้ในปากในนาทีถัดมา การกระทำอุกอาจนี้ได้รับการยืนยันถึงความพออกพอใจด้วยเสียงเข้มที่ครางขึ้นอย่างสุขสม สิ่งนี้ยิ่งทำให้หญิงสาวเริ่มลำพองใจ ขยับปากเข้าออกเป็นจังหวะ ไม่นานเธอก็ทำให้เขาปลดปล่อย แต่แทนที่จะรังเกียจ หญิงสาวกลับกลืนกินความสุขสมของเขา ก่อนจะปาดเลียทำความสะอาดให้อย่างเอาอกเอาใจ ภาพนั้นเร้าอารมณ์คนมองอย่างถึงที่สุด หากแต่ช่างน่าเสียดายที่ตอนนี้...เวลาของหล่อนนั้นหมดลงแล้ว! “หมดเวลา! ผมต้องไปแล้ว ที่เหลือคุณจัดการต่อเองก็แล้วกัน ผมอนุญาตให้ใช้ห้องน้ำได้ ส่วนเรื่องอื่น...จะมีคนจัดการให้ทีหลัง” ทว่ายังไม่ทันที่ได้รับรางวัล ร่างสูงใหญ่กลับขยับหนีพร้อมจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองให้กลับคืนเป็นปกติ ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง อย่างไม่นึกแยแสคนข้างในเลยสักนิด ว่าหล่อนจะค้างคาสักแค่ไหนกับอารมณ์ที่ยังไม่ได้ปลดปล่อย เพราะว่ามันไม่ใช่หน้าที่ที่เขาจะต้องใส่ใจ! ความจริงแล้วผู้หญิงพวกนี้สำหรั
ไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าจะพาครอบครัวก้าวผ่านปัญหาในครั้งนี้ไปให้ได้ด้วยวิธีไหน!เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็ไม่เห็นจะมีทางออกเลยสักทาง “ทางนั้นเขาส่งคนมาข่มขู่อีกแล้วเหรอคะ” ไม่ผิดไปจากนี้แน่ ไม่อย่างนั้นบ้านทั้งหลัง คงไม่กระจัดกระจายไปด้วยข้าวของมากมายแบบนี้ ลำพังแค่ป้าเธอทำทุกอย่างคนเดียวไม่ได้หรอก! “ไม่ใช่แค่นั้นนะ! ก่อนกลับพวกมันยังพากันยกแจกันจีนโบราณของฉันติดมือไปด้วย นี่ฉันจะทำยังไงดียัยเอม! แกพอจะมีเพื่อนฝูงให้หยิบยืมเงินมาสักหน่อยไหม” อย่างน้อยถ้าจ่ายดอกไปก่อน บางทีทางนั้นอาจให้เวลานางกับครอบครับเพิ่มขึ้นอีกสักนิดก็ไหนว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์อันดีงามที่เคยมีร่วมกันมาไง! มาทำแบบนี้มันเท่ากับหยามศักดิ์ศรีกันชัดๆ แล้วนี่น่ะหรือ คือสิ่งที่นางผู้สืบสายเลือดหม่อมสมควรจะได้รับ! “ไม่มีหรอกค่ะคุณป้า เพื่อนเอมแต่ละคน ก็ลูกชาวบ้านหาเช้ากินค่ำกันทั้งนั้น” เอมมิกาตอบกลับผู้เป็นป้าอย่างจนใจ ใช่ว่าไม่อยากช่วย แต่เพื่อนของเธอแต่ละคนก็มีชีวิตลำบากไม่ต่างจากเธอเท่าไหร่ ครั้นจะให้แบกหน้าไปหยิบยืมมา ก็คงได้มากสุดแค่หลักพันเท่านั้น “แล้วนี่ฉันจะทำยังไงดี!
“ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณคือ...” “ผมชื่อศาตราครับ นายให้ผมมารับคุณขึ้นไปพบข้างบน” เอมมิกาพยักหน้ารับทราบ ก่อนจะเดินตามชายคนดังกล่าวไปยังลิฟต์วีไอพี ที่รู้เพราะมีแค่เธอกับเขาเท่านั้นที่มีสิทธิ์ขึ้น ในขณะที่คนอื่นนั้นต้องไปใช้ตัวถัดไป หญิงสาวถูกพามายังห้องๆ หนึ่งซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นห้องที่ดีที่สุดของโรงแรมแห่งนี้ เธอเรียกความกล้าให้ตัวเองอยู่ครู่ใหญ่ เพื่อเงยหน้าขึ้น หลังจากที่ก้มมันอยู่นาน นับตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาในห้องนี้ ห้องที่มีใครบางคนนั่งรอเธออยู่ที่โซฟามุมห้องด้วยท่าทีปกติ ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรเลยกับการมาของเธอ “ฉันชื่อเอมมิกาค่ะ เป็นหลานสาวของคุณลุงปราบ ลูกหนี้ของคุณ” เธอกล่าวแนะนำตัวเองเพียงสั้นๆ เพราะไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะบอกเรื่องราวของตัวเอง ให้กับคนตรงหน้าได้รับรู้ไปมากกว่านี้ ยิ่งเห็นสายตาของเขาที่มองมา ยิ่งทำให้รู้สึกไม่ถูกชะตาด้วย คนที่ใช้สายตาเหยียดหยามยามมองคนอื่น คงไม่ใช่คนดีเท่าไหร่นัก! ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้อยากจะตัดสินคนแค่ภายนอกหรอกนะ แต่เพราะสายตาของเขาตอนนี้ มันบอกให้เธอรู้ว่าเขาคงเป็นคนแบบนั้นจริงๆ เขาคงคิด...ว่าผู้หญิงทุกค
“ถ้าเรื่องที่คุณจะพูดมีแค่นี้ ผมคงต้องขอตัว ฝากไปบอกคุณป้าคุณด้วย ว่าถ้าภายในวันนี้ผมยังไม่ได้รับคำตอบที่ถูกใจ ก็ เตรียมตัวเก็บกระเป๋าเอาไว้ได้เลย เพราะว่าครั้งนี้ผมจะไม่ใจดีเหมือนที่แล้วๆ มาอีก!” เขาคิดว่าตัวเองให้เวลาครอบครัวนี้มานานเกินพอแล้ว จากนี้ไปคือของจริง และจะไม่มีการปราณีใดๆ อีก ในเมื่อเขาหยิบยื่นน้ำใจไปให้แล้วแต่ไม่ยอมรับ ก็พอกันที! “ให้ฉันไปแทนได้ไหมคะ!” เอมมิกาตัดสินใจเอ่ยขึ้นในวินาทีสุดท้าย ก่อนที่เขาจะได้ทันลุกขึ้นและเดินหนีกันไป แน่นอนว่านี่เป็นทางออกเดียวที่คิดออก ทางเดียวจริงๆ “ว่าไงนะ พูดอีกทีสิ!” ไม่บ่อยนักที่จะมีคำพูดของใครสักคนหยุดเขาเอาไว้ได้ นี่นับว่าเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเลยทีเดียว “ให้ฉันไปแทนพี่ตาได้ไหมคะ! ฉันสัญญา ว่าจะชดใช้ให้คุณทุกบาททุกสตางค์แทนครอบครัวของเรา!” คุณลุงกับคุณป้ามีบุญคุณกับเธอมาก หากไม่ได้พวกท่านยื่นมือเข้ามาช่วย เธอเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะมีชีวิตอยู่มาถึงวันนี้รึเปล่า ไม่ว่าเรื่องไหนถ้ามันจะช่วยพวกท่านได้เธอยินดีทำ ต่อให้สิ่งนั้นมันจะทำให้เธอต้องสูญสิ้นความเป็นคนก็ช่าง นาทีนี้เธอยอมทำทุกอย่างข
ถ้าวันนี้เธอทำให้เขาพอใจได้ หนี้ทั้งหมดของครอบครัวก็จะกลายเป็นโมฆะ พี่สาวกับป้าจะได้มีความสุข ในขณะที่เธอต่อให้จะต้องไปตกนรกที่ไหนก็ยอมทั้งนั้น ขอแค่ทำให้ครอบครัวผ่านพ้นเรื่องบ้าๆ พวกนี้ไปให้ได้ ต้องแลกด้วยอะไรเธอยอมทั้งนั้น!“คะ...คุณต้องรับปากมาก่อนว่าจะเลิกยะ...”“ผมจะไม่รับปากอะไรทั้งนั้น ตราบใดที่ยังไม่ได้เห็นด้วยตาว่าคุณมีดีมากพอที่จะทำให้ผมยอมเสียเวลาด้วย!” ไม่มีทางให้เธอได้เลือกแล้วจริงๆ หากไม่ตัดสินใจทำตอนนี้ โอกาสที่ว่าคงไม่วนกลับมาอีกแล้ว และนั่นก็หมายถึงความซวยคงตกไปอยู่ที่ป้า หรือไม่ก็พี่สาวของเธอ‘ลุงฝากป้ากับยัยตาด้วยนะเอม อนาคตสองคนนั้นอาจสร้างปัญหาให้เอมไปบ้าง แต่เอมก็อย่าทอดทิ้งพวกเขาเลยนะลูก เรามีกันแค่นี้ ถือว่าลุงขอร้อง...เอมจะรับปากลุงได้ไหม’ คงเป็นคำพูดนี้ของคุณลุงผู้ลาลับ ที่ทำให้มือของเธอเริ่มกลับมามีเรี่ยวแรงขึ้นอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถบังคับมันไม่ให้สั่นได้ ยามที่ต้องมาเปลือยกายต่อหน้าผู้ชายแปลกหน้า ที่เพิ่งจะได้พบเจอกันวันนี้เป็นวันแรกกระทั่งชุดราคาแพงของพี่สาวที่ผู้เป็นป้าเอามาให้ยืมสวมใส่หลุดพ้นไปจากร่าง ก็ยังไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากป
“ขอโทษค่ะที่มาสาย เสี่ยรอนานไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานที่เต็มไปด้วยความฝืนใจ หากแต่จะให้ทำยังไงได้ ในเมื่อตอนนี้เวลานี้ เธอไม่มีทางอื่นไหนให้ได้เลือกอีกแล้ว “นานกว่านี้เสี่ยก็รอได้ ไหนหนูเอมว่ามีเรื่องอะไรจะคุยกับเสี่ยว่ามาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ เรามันคนกันเองทั้งนั้น” เธอจำเป็นต้องใช้ความกล้าเป็นอย่างมากสำหรับเรื่องที่กำลังจะเอ่ยออกไป แต่ในเมื่อไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้ว และคนตรงหน้าก็ดูเหมือนจะเป็นทางออกเดียวที่มี จึงยอมรับทั้งๆ ที่ใจไม่อยากทำ “เอม...มีความจำเป็นต้องใช้เงินห้าล้าน เสี่ยยังจำข้อเสนอที่เคยบอกเอมไว้ได้ไหมคะ เอมยินดีรับข้อเสนอนั้น แลกกับเงินห้าล้าน ซึ่งนั่นหมายถึงว่าเสี่ยจะได้ทุกอย่างที่ต้องการ” เธอไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ทางออกเดียวที่พอจะมองเห็นก็คงมีแต่เสี่ยพิบูรณ์ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนทุกครั้งที่พบหน้า ว่าท่านต้องการเธอไปเป็นเด็กเลี้ยงลับๆ ซึ่งที่ผ่านมาเธอก็บอกปัดไปโดยตลอด ไม่นึกด้วยซ้ำว่าจะมีวันนี้ วันที่ต้องเป็นฝ่ายนัดท่านออกมาเสนอตัวให้ด้วยตัวเอง! “ห้าล้านมันจะไม่แพงไปหน่อยเหรอ เสี่ยคิดว่า...สักสองล้านกำลังดี” หา
ต้องใช้เวลาครู่ใหญ่ กว่าเอมมิกาจะเรียกสติกลับคืนมา ถึงได้รีบพาตัวเองกลับมาที่โต๊ะ ก่อนจะพบเข้ากับภาพที่ทำให้ตกใจ “นี่มันอะไรกันคะเสี่ย!” คู่ค้าคนสำคัญของเธอไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว ข้างๆ เขา ยังมีผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันถึงสองคนนั่งอยู่ด้วย แต่สิ่งที่ทำให้เธอกลัว เห็นจะหนีไม่พ้นสายตาของพวกมัน! ที่จ้องมองเธอขึ้นลง ราวกับกำลังสำรวจสินค้าอยู่ก็ไม่ปาน “เสี่ยมาคิดๆ ดูแล้ว เงินตั้งห้าล้านมันเยอะเกินไปหน่อยเลยชวนเพื่อนๆ มาสนุกด้วยกัน หนูเอมคงไม่มีปัญหาหรอกใช่ไหม...” คำตอบที่ได้ทำให้เธอหน้าชา แต่ครั้นจะปฏิเสธก็ไม่กล้า ด้วยกลัวว่าจะไม่ได้เงินห้าล้านไปช่วยครอบครัวที่กำลังถูกบีบจากเจ้าหนี้สารเลว คนที่คงไม่ทุกข์ร้อนอะไรมากนัก หากเงินจำนวนที่ว่านั้น มันจะต้องแลกมาด้วยความทรงจำเลวร้ายที่สุดของเธอ! “ไปกันเถอะอาหนูเอม เสี่ยจองห้องข้างบนเอาไว้แล้ว” เธอไม่มีทางเลือกอื่นเลยนอกจากจำต้องเดินไปตามแรงฉุด แต่เหมือนชีวิตเธอจะไม่หมดสิ้นความซวยลงง่ายๆ เพราะระหว่างทางนั้นเธอกลับต้องมาเดินสวนกับใครอีกคน เข้าโดยบังเอิญเข้าอีกรอบ! ซึ่งเขา...ก็ไม่แม้แต่จะหันมา
“คุณโสก็สวยค่ะ เหมาะสมกับพี่คีมากด้วย งานแต่งของพวกคุณเอมอาจไม่ได้ไป ถ้ายังไงขออวยพรล่วงหน้าเลยก็แล้วกันนะคะ” เจ้าของเสียงหวานขานรับ ก่อนจะหันไปมองรักแรกของตัวเองนานร่วมนาที…”เอมขอให้พี่คีมีความสุขมากๆ นะคะ เอมเชื่อว่าคุณโสจะทำให้พี่คีมีความสุขค่ะ” ถ้าเพียงแต่เขายอมเปิดใจสักนิด บางทีอาจได้เห็นบางสิ่งจากดวงตาคู่สวยคู่นั้น ที่จนกระทั่งตอนนี้มันก็ยังจดจ้องอยู่ที่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ทั้งหมดนี้ทำให้เธอเหมือนได้ย้อนกลับไปมองดูตัวเองอีกครั้ง ตัวเองที่เคยตกหลุมรักผู้ชายคนนี้ ก่อนที่ความเป็นจริงจะผลักให้เธอตื่นจากฝัน ตื่นขึ้นมาพบว่าเธอกับเขานั้นแตกต่างกันแค่ไหน แต่กับผู้หญิงตรงหน้านี้โชคดีกว่าเธอมากที่เกิดมามีพร้อมทุกสิ่ง จะเหลือก็แค่ต้องพยายามอีกสักนิด ทำให้พี่คีรักให้ได้ก็เท่านั้น! “ช่างเรื่องของพี่เถอะ ว่าแต่เอมเถอะ มั่นใจแล้วจริงๆ ใช่ไหม ว่าทั้งหมดนี้คือความรัก” เรื่องราวระหว่างเอมมิกากับผู้ชายคนนั้นเกิดขึ้นเร็วเกินไป นั่นเลยทำให้เขาไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเป็นความรักอย่างที่เธอบอกจริงๆ เพราะหากไม่ใช่ความรัก เอมมิกาก็ยังพอมีโอกาสจบทุกสิ่ง และถ้าหากเธอเลือกแบบนั้น
หลังจากได้เมียกลับคืนมา กานต์ก็แทบไม่ยอมให้อีกฝ่ายคลาดสายตาไปไหน การกระทำนั้นเองที่มันทำให้เอมมิการู้สึกอึดอัดไม่น้อยสุดท้ายเมื่อทนไม่ไหวถึงได้ตัดสินใจเปิดอกพูดคุยกับเขาตรงๆ “เอมไปแค่ร้านกาแฟเอง พี่กานต์ไม่ต้องไปด้วยก็ได้” ทะเบียนสมรสก็ยอมจดด้วยแล้วแท้ๆ ไม่รู้จะกลัวเธอหนีไปไหนอีก “ก็พี่อยากไปด้วย” “เอมไม่หนีไปไหนแล้วค่ะ นี่พี่กานต์ไม่เชื่อใจเอมเหรอคะ” “ก็ได้ครับ แต่ห้าโมงต้องถึงบ้านนะ ไม่อย่างงั้นพี่จะออกไปรับด้วยตัวเองจริงๆ” หญิงสาวรับคำพร้อมรอยยิ้ม และไม่ลืมขยับไปจูบเบาๆ ที่แก้มสาก แทนคำขอบคุณที่เขาทำตัวน่ารักมากขึ้นไปทุกวัน แม้จะจดทะเบียนกันแล้ว หากแต่สิ่งที่กานต์หวังจะทำให้ภรรยานั้นกลับเป็นสิ่งที่สร้างความปวดหัวให้กับเขาไม่น้อย และถ้าไม่ใช่เพราะอยากเห็นเมียรักมีความสุขที่ได้สวมใส่ชุดเจ้าสาวสวยๆ ให้ตายเขาก็คงไม่มานั่งอยู่ที่นี่ตรงนี้ ต่อหน้าผู้เป็นป้าของเธอแน่! “แค่รักอย่างเดียวมันไม่ได้หรอกนะคะ ถึงยัยเอมจะเป็นหลาน แต่ดิฉันกับสามีก็เลี้ยงดูมาเป็นอย่างดีไม่ต่างอะไรกับลูกแท้ๆ ของตัวเองเลยสักนิด แล้วอยู
“นี่เมลต้องหางานใหม่อีกแล้วเหรอคะ เสียดายจัง!” อีกฝ่ายบ่นอุบอิบ ก่อนจะลอบยิ้มเมื่อเพื่อนสนิทยืนยันบางสิ่งกลับมาเบาๆ “ไว้ผมจะหางานที่เหมาะสมกับคุณให้ ต้องขอโทษคุณด้วยจริงๆ” เพราะเมียไม่ปลื้ม เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องขอร้องให้เพื่อยุติการทำหน้าที่พี่เลี้ยงของลูกเป็นการถาวรนับตั้งแต่วันนั้นที่เอมมิกาหนีไป ซึ่งอีกฝ่ายก็พร้อมที่จะเข้าใจถึงความจำเป็นของเขา “เมลจะยกโทษให้ ถ้าคุณตามหาน้องเอมให้เจอ ถ้าไม่เจอก็อย่าฝันเลย ว่าเมลจะยอมให้อภัย!” นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้สนทนากับอีกฝ่ายตามลำพัง ก่อนที่จะส่งเธอไปทำงานในสำนักงานของไร่ ซึ่งก็เหมือนว่าเมลจะชอบงานนั้นมากกว่างานพี่เลี้ยงเสียอีก! “นายครับ”เสียงเรียกจากคนสนิททำให้คนที่กำลังคิดอะไรเงียบๆ ตามลำพังเงยหน้าขึ้น ทันทีที่ได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ก็รู้ได้ทันทีว่างานที่เขาสั่งให้ไปทำนั้น คงจะล้มเหลวไม่เป็นท่าเหมือนทุกที “จ้างนักสืบเพิ่มอีก แพงแค่ไหนฉันก็พร้อมจ่าย!” ขอแค่ให้เขาได้เจอเมียอีกครั้ง ต่อให้ต้องเสียมากกว่านี้เขาก็พร้อมจ่ายอย่างไม่ลังเล ให้มันรู้กันไปเลยว่านักสืบพวกนั้นจะไร้ประสิทธิภาพถึ
ร่องรอยของคราบน้ำตาหยดแล้วหยดเล่ายังหลงเหลือให้ได้เห็น มันทำให้อดคิดไม่ได้เลยว่ากว่าจะข่มใจเขียนไอ้จดหมายบ้าๆ ฉบับนี้เสร็จ เมียเขาต้องเสียน้ำตาไปมากสักแค่ไหนกัน! แล้วเรื่องอะไรต้องมาบอกให้เขากับลูกแบ่งพื้นที่ว่างให้คนอื่น ในเมื่อที่ตรงนั้นมันเป็นของเธอ เธอเท่านั้นไม่ใช่ใครที่ไหนก็ได้! กานต์ใช้เวลาตลอดทั้งวันที่เหลือหมดไปกับการตามหาแม่ของลูกในสถานที่ที่คิดเอาเองว่าเธอน่าจะไป นี่ถ้าไม่ติดว่าเคยเห็นการปะทะคารมของเมียกับคุณหญิงนั่นในงานเลี้ยงมาก่อนเขาอาจจะบุกไปที่บ้านของหมอนั่นแล้ว สุดท้ายที่ทำได้ก็มีแค่ขอให้พี่สาวเมียช่วยสืบให้ ก่อนจะพบว่าเอมมิกาไม่ได้ไปอยู่กับหมอนั่น ‘เอมเขาก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ เวลารู้สึกอะไรมักจะไม่ค่อยพูดออกมา แม้แต่สิเองก็ยังไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าน้องต้องเจอกับอะไรบ้าง รบกวนคุณช่วยตามหายัยเอมให้เจอทีนะคะ ถึงตอนนั้นถ้าพวกคุณไม่รักน้องสาวของสิแล้วก็ไม่เป็นไร น้องแค่คนเดียวสิดูแลเองได้’ เป็นสิตาที่ตัดสินใจเอ่ยขึ้น หลังจากได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับน้องสาวของตัวเองจนจบ แน่นอนว่าพอได้รู้มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิด ที่ปล่อย
ตีห้าไม่ขาดไม่เกิน คนที่ไม่ได้นอนเลยตลอดทั้งคืนก็ค่อยๆ ขยับลุก สิ่งแรกที่ทำคือไปเคาะประตูห้องพี่เลี้ยงเพื่อขอลูกคืน ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมส่งแกให้แต่โดยดี นั่นเลยทำให้เธอมีโอกาสได้จูบลาลูกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะต้องปล่อยแกไว้กับพ่อไปตลอดกาล “เป็นเด็กดีของพ่อกับย่าทวดนะปกป้อง แม่ขอโทษที่อยู่กับหนูไม่ได้” เธออยากอยู่กับลูก อยากอยู่กับเขาในทุกช่วงชีวิต แต่เพราะรู้ว่าตัวเองเป็นใคร จึงไม่กล้าแม้แต่จะคิดไปไกลเกินกว่านี้ มีเพียงสิ่งเดียวที่เธอมั่นใจ นั่นคือลูกของเธอจะมีความสุขหากอยู่ที่นี่ แกจะมีพ่อที่พร้อมจะดูแล ซ้ำยังมีย่าทวดคอยปกป้องตามชื่อที่ท่านเป็นคนตั้งให้ตั้งแต่วันแรกที่รู้เพศ หญิงสาวใช้เวลาพักใหญ่ก่อนจะพาลูกกลับไปส่งคืนให้กับพี่เลี้ยงสาว ที่ในอนาคตอีกฝ่ายอาจมีโอกาสขยับไปเป็นอะไรที่มากกว่านั้น ดูได้จากที่หลายๆ คนที่เหมือนจะรักและเอ็นดูมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะคุณย่าของกานต์ ที่มักจะชวนอีกฝ่ายไปกินข้าวด้วยบ่อยๆ แต่เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องที่เธอให้ความสนใจเท่ากับเรื่องลูกชายเธอ ขอแค่อีกฝ่ายรักและพร้อมที่จะปกป้องแก เธอรับได้ทั้งนั้นถ้าหากอนาคตลูกเธอจะต้อ
เอมมิกาไม่ได้บอกเล่าถึงเงื่อนไขที่มีต่ออีกคนให้พ่อของลูกได้รับรู้ กานต์จึงคิดเอาเองว่าบางทีย่าของเขาอาจจะแค่โกรธ ไม่นานความรู้สึกเหล่านั้นก็คงบางเบาลงจึงไม่ได้เอะใจสงสัย ในขณะที่เอมมิกาเองก็ทำตัวเป็นปกติ ด้วยรู้ดีว่าเวลาที่จะได้อยู่กับพ่อของลูกนั้น เหลือน้อยลงทุกวัน… “วันนี้หนูทำอะไรบ้างครับ แล้วคนที่บ้านใหญ่มากวนใจรึเปล่า” เป็นเสียงเข้มที่ดังขึ้นอย่างอดห่วงไม่ไหว แม้จะรู้ดีว่าเนื้อแท้ของผู้เป็นย่านั้นไม่ใช่คนใจร้ายอะไรเลย แต่ก็ไม่อยากไว้ใจอยู่ดี “เอมอ่านหนังสือค่ะ ส่วนคุณย่าท่านไม่ได้ทำอะไร นอกจากให้คนเอาของพวกนี้มาให้” พอเห็นของที่ว่ากานต์ก็ถึงกับลอบยิ้ม เพราะแต่ละอย่างนั้นคือของบำรุงครรภ์แทบจะทั้งสิ้น ลองมาแบบนี้ดูท่าว่าเรื่องที่จะทำให้ย่ายอมใจอ่อน ให้อภัยกันคงไม่ยากอย่างที่คิด เขาก็แค่ต้องรอเวลาให้ท่านใจเย็นลงกว่านี้อีกนิดก็เท่านั้น… หลายเดือนต่อมา ตลอดหลายเดือนมานี้ทุกคนดูแลเธอเป็นอย่างดี ในขณะที่เธอเองก็มีความสุขทุกวันที่ได้อยู่ที่นี่ ตราบเท่าที่เขายังอยู่ตรงนี้ด้วยกัน ส่วนอดีตคนรักของเขานั้นถูกไล่ออกไปจากที่นี่ตั้
ความจริงที่ได้รับรู้หลังจากหมอถูกตามตัวมาดูอาการของคนที่อยู่ๆ ก็หมดสติไปนั้น สร้างความรู้สึกหลากหลายให้แก่ทุกคนในบ้านเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกานต์ ที่แทบไม่ยอมให้คนที่กำลัง ‘อุ้มท้อง’ ลูกของเขา ได้คาดสายตาไปไหนเลยสักนาทีเดียว“ไหนๆ แม่นี่ก็ตั้งท้องแล้ว ก็รอจนเด็กคลอด แล้วค่อยให้เงินสักก้อนไปก็แล้วกัน ยังไงเสีย ย่าจะไม่มีวันรับหลานสะใภ้ที่ปมหลังเต็มไปด้วยคำโกหกแบบนี้แน่!”คำกล่าวนี้เองที่มันทำให้คนฟังเจ็บจนพูดไม่ออกไปนานร่วมนาที แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอต้องมานั่งฟังใครสักคนถากถางถึงความไม่เหมาะ จะต่างกันก็แค่ตัวละครกับสถานที่เท่านั้น แต่จะโทษใครได้นอกจากตัวของเธอเอง ที่เลือกเกิดไม่ได้ “เรื่องทั้งหมดคนผิดคือผม ถ้าย่าคิดอยากจะโกรธใครสักคน ก็ขอให้คนๆ นั้นเป็นผมเถอะครับ!” เป็นกานต์ที่เอ่ยขึ้นมาบ้าง ซึ่งถ้าว่ากันตามความจริงแล้ว เขาคือคนที่ทำทุกอย่าง ในขณะที่เอมมิกาเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในเกมเท่านั้น เธอไม่ได้ผิดอะไรเลยสักนิด เธอก็แค่ทำทุกอย่างเพื่อช่วยครอบครัวที่กำลังตกที่นั่งลำบาก เป็นเขาเองเสียมากกว่าที่เป็นคนเริ่มต้นทุกอย่าง! “กับแกย่าก็โกรธ แต่ย่าโกรธผู้หญ
“เขาเคยเป็นรักแรกของเอมค่ะ” แม้จะรู้เรื่องอยู่ก่อนแล้ว แต่พอได้มายินมันชัดๆ จากปากคนที่เพิ่งจะเดินตามมาสมทบ ก็เหมือนจะยิ่งทำให้เขาโกรธมากขึ้นกว่าเดิมอยู่ดี “แต่พี่เป็นผัว เพราะฉะนั้นพี่ขอใช้สิทธิ์ที่มีสั่ง ว่าจากนี้ห้ามเอมไปเจอกับหมอนั่นอีก!” แค่วันนี้เท่านั้นที่เขาจะยอมให้ หลังจากวันนี้อย่าได้หวังเลยว่าเขาจะใจกว้างเหมือนอย่างวันนี้อีก ไม่มีวัน “ทีพี่กานต์ยังไปเจอกับอดีตคนรักได้เลย แบบนี้มันจะไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอคะ” คนได้ฟังยิ้มรับ ก่อนจะขยับเข้าไปโอบกอดคนแสนงอนจากด้านหลัง ราวกับต้องการจะง้องอน “ถ้างั้นพี่จะสั่งให้คนไล่ฐิตาภาออกเดี๋ยวนี้เลย โอเคไหม!” “ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ค่ะ แค่อย่าปล่อยให้เขาเข้าใกล้เหมือนวันนี้อีกก็พอ เอมหวง” คำว่า ‘หวง’ ของเธอนั้นมีผลรุนแรงต่ออีกคนไม่น้อย แน่นอนว่าเขาไม่ได้ให้สิทธิ์หวงกับใครง่ายๆ เช่นกัน และเมื่อได้รับไปแล้ว เอมมิกาต้องอยู่หวงเขาไปทั้งชีวิต! ห้ามไปไหนทั้งนั้น! การที่จะเสาะหาโอกาสได้อยู่กับอดีตคนรักนั้นว่ายากแล้ว แต่การทำงานในแต่ละวันกลับยากยิ่ง
หลังจากใช้เวลาจัดการกับธุระที่กรุงเทพนานเกือบหกวัน ทั้งหมดก็พากันกลับ พร้อมฐิตาภาที่ขอติดสอยห้อยตามมาด้วย หากแต่การกลับมาในครั้งนี้ของเธอนั้น คือกลับมาในฐานะลูกน้องกินเงินเดือนคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่แม่เลี้ยงของกานต์อีกต่อไป “งานหนักแบบนั้น คุณฐิตาเธอจะทำไหวเหรอคะ” เป็นเอมมิกาที่เอ่ยถามขึ้น หลังจากทราบจากคนอื่นๆ ถึงงานแรกที่ผู้หญิงคนนั้นได้รับมอบหมายให้ไปทำ “ไม่ไหวก็ลาออกไป”เขาถือว่าเขาได้ช่วยเท่าที่พอจะช่วยได้ไปแล้ว ส่วนอีกฝ่ายจะไปรอดหรือไม่นั้น มันไม่ใช่เรื่องสำคัญที่เขาต้องไปใส่ใจเลยสักนิด หากเป็นบางสิ่งที่มันกำลังขัดหูขัดตาอยู่ตอนนี้ก็ว่าไปอย่าง “กางเกงที่ใส่มีสั้นกว่านี้อีกไหม พี่จะได้ขนไปเผาทีเดียว” คนได้ฟังถึงกลับหน้ามุ้ยเมื่อได้ยิน ก่อนจะพบว่าตัวการที่ทำให้เสื้อผ้าหลายชุดของเธอหายไปจากตู้เสื้อผ้าดูเหมือนจะอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด “สั้นที่ไหนกันคะ คนอื่นๆ เขาก็ใส่กันทั้งนั้น” อดีตคนรักของเขาสั้นกว่านี้อีก ไม่เห็นเขาจะว่าอะไรสักคำ “ใครอยากใส่ก็ใส่ไป แต่ต้องไปใช่คนของพี่…” เขาตอบก่อนจะขยับเข้ามาใกล้