ต้องใช้เวลาครู่ใหญ่ กว่าเอมมิกาจะเรียกสติกลับคืนมา ถึงได้รีบพาตัวเองกลับมาที่โต๊ะ ก่อนจะพบเข้ากับภาพที่ทำให้ตกใจ “นี่มันอะไรกันคะเสี่ย!” คู่ค้าคนสำคัญของเธอไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว ข้างๆ เขา ยังมีผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันถึงสองคนนั่งอยู่ด้วย แต่สิ่งที่ทำให้เธอกลัว เห็นจะหนีไม่พ้นสายตาของพวกมัน! ที่จ้องมองเธอขึ้นลง ราวกับกำลังสำรวจสินค้าอยู่ก็ไม่ปาน “เสี่ยมาคิดๆ ดูแล้ว เงินตั้งห้าล้านมันเยอะเกินไปหน่อยเลยชวนเพื่อนๆ มาสนุกด้วยกัน หนูเอมคงไม่มีปัญหาหรอกใช่ไหม...” คำตอบที่ได้ทำให้เธอหน้าชา แต่ครั้นจะปฏิเสธก็ไม่กล้า ด้วยกลัวว่าจะไม่ได้เงินห้าล้านไปช่วยครอบครัวที่กำลังถูกบีบจากเจ้าหนี้สารเลว คนที่คงไม่ทุกข์ร้อนอะไรมากนัก หากเงินจำนวนที่ว่านั้น มันจะต้องแลกมาด้วยความทรงจำเลวร้ายที่สุดของเธอ! “ไปกันเถอะอาหนูเอม เสี่ยจองห้องข้างบนเอาไว้แล้ว” เธอไม่มีทางเลือกอื่นเลยนอกจากจำต้องเดินไปตามแรงฉุด แต่เหมือนชีวิตเธอจะไม่หมดสิ้นความซวยลงง่ายๆ เพราะระหว่างทางนั้นเธอกลับต้องมาเดินสวนกับใครอีกคน เข้าโดยบังเอิญเข้าอีกรอบ! ซึ่งเขา...ก็ไม่แม้แต่จะหันมา
“ฉันจะขายหรือไม่ขาย แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วย ปล่อยนะ ฉันเจ็บ!” เธอยอมถูกเสี่ยพวกนั้นรุมโทรมจนหมดแรง ยอมละทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมดที่มีของตัวเอง ดีกว่าต้องมาทนเห็นหน้าคนเลวตรงหน้านานไปมากกว่านี้! เกลียดเขาไม่รู้จะสรรหาคำใดมาเอ่ย มันถึงจะสาสมกับสิ่งที่เขาทำกับเธอ! “ถ้าร่านอยากขายนัก! ผมก็จะซื้อไว้เอาบุญเอง! แต่ราคาค่างวดคงต้องดูกันอีกที!” สิ้นคำนั้นมือหนาก็กระชากต้นคอของคนถือดีเข้ามาใกล้ ก่อนจะบดริมฝีปากเข้าหาหล่อนอย่างแรง ท่ามกลางความรู้สึกที่ว่า...ไม่มีความจำเป็นอะไร ที่เขาต้องอ่อนโยนกับผู้หญิงที่ซื้อได้ด้วยเงิน โดยเฉพาะคนถือดีตรงหน้าคนนี้แล้ว ยิ่งไม่จำเป็นไปกันใหญ่! “อื้อ! ปล่อยนะ!” แรงเท่ามดหรือจะสู้แรงของเขาได้ แค่คิดว่าทั้งหมดนี้หล่อนทำเพราะหวังผลบางอย่าง เขาก็รู้สึกสะอิดสะเอียนเต็มกลืน แต่กระนั้นลึกๆ ในใจก็ยังแสดงความรู้สึกต้องห้ามบางอย่างออกมาอยู่ดี จูบที่เต็มไปด้วยความหยาบคาย ทำให้หญิงสาวรู้สึกแสบร้อนไปทั่วทั้งริมฝีปาก แต่ถึงกระนั้นคนใจร้ายก็ยังไม่คิดจะใจอ่อนยอมอ่อนข้อให้กันเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นเพราะว่าเขามีความเชื่ออย่างหนึ่ง ว่าอาการขัดขืนท
“อีกนิดเดียว อดทนหน่อย...” เพราะความเป็นคนที่ปลอบโยนใครไม่เป็น นี่จึงถือเป็นคำพูดที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่สมองจะคิดออก แต่กระนั้นกานต์ก็ยังพยายามอย่างยิ่งที่จะค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป แม้การทำแบบนั้น มันจะยิ่งทำให้เขาทรมานเจียนตายก็ตาม“ฉันไม่ไหว...อื้อ!”ไม่ไหวก็ต้องไหว เพราะทั้งหมดนี้หล่อนเป็นคนเลือกเอง ไม่ใช่เขา! ชายหนุ่มคิด ก่อนจะอาศัยจังหวะที่อีกคนเผลอ กดแทรกตัวตนให้จมดิ่งเข้าสู่ความคับแน่นเพียงรวดเดียว ท่ามกลางเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้น แต่นั่นกลับใช่สิ่งที่เขาต้องให้ความสนใจไม่! เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้...ที่เขาลืมป้องกัน! นี่ต่างหากคือสิ่งที่มันน่าหงุดหงิดเอามากๆ แต่กระนั้นจะให้หยุดกลางครันเพื่อไปหาถุงยางมาใส่ก็ใช่เรื่อง มาถึงขั้นนี้แล้วก็มีแต่ต้องไปต่อ…ต้องไปต่อให้สุดเท่านั้น! “อ๊ะ! คุณ เบาหน่อย ฉันเจ็บ...” แรงกระแทกกระทั้นที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เอมมิกาต้องเอ่ยบอกเขาด้วยน้ำเสียงปนแรงสะอื้น หากแต่แทนที่จะเมตตา เขากลับเพิ่มแรงขยับโยก...ราวกับจะตอกย้ำให้ได้รู้ ว่าคนอย่างเธอไม่มีสิทธิ์มาออกคำสั่งกับคนอย่างเขาทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นยาวนานราวกับจะไม
“เงียบ!” เป็นกานต์ที่ตวาดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน ก่อนจะพาคนดื้อเงียบในอ้อมแขนไปส่ง พร้อมทั้งยืนรออยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน กระทั่งอีกฝ่ายเดินกลับออกมา ถึงได้อุ้มกลับมาส่งที่เตียงให้ตามเดิม “อีกสามวันผมจะไปรับ เตรียมตัวให้พร้อม และอย่าคิดตุกติกอะไรอีก เพราะว่าผมจะไม่ใจดี!” นั่นถึงเขาไม่บอก เธอก็รู้อยู่แล้วว่าเขาใจร้ายแค่ไหน ดูจากสิ่งที่เขาทำกับเธอมาตลอดคืนก็พอจะทำให้รู้ ว่าผู้ชายคนนี้ใจดีกับใครไม่เป็น! อาการดื้อเงียบของคนข้างกาย ทำให้ชายหนุ่มเริ่มกลับมามีอารมณ์ขึ้นอีกรอบ เขาตวัดมือเพียงครั้งเดียว ร่างบอบบางแต่ทว่ากลับอวบอิ่มในบางจุด ก็ปลิวว่อนเข้ามาหาตัวอย่างง่ายดาย นั่นยิ่งเพิ่มความชัดเจนในเรื่องที่ว่าหล่อนบอบบางเกินไปสำหรับเขาให้ได้รู้ แต่ถึงจะรู้ไปก็เท่านั้น มันไม่ได้ทำให้เขานึกอยากจะหยุดสิ่งที่คิดจะทำอยู่ดี! “อีกสักรอบก่อนกลับก็แล้วกัน!” เพราะอยากเอาชนะความอวดดีของหล่อน เสียงเข้มถึงได้เอ่ยขึ้น และไม่ลืมกระชากต้นแขนที่เต็มไปด้วยร่องรอยรักเข้าหาตัวอย่างแรง เป็นผลให้อีกคนเริ่มขัดขืน เมื่อสำนึกได้ว่าเขากำลังจะทำอะไรกับร่างกายตน! “ฉะ...ฉัน
“ออกรถ!”และก็เป็นเสียงของคนข้างกายที่เอ่ยขึ้น ก่อนที่รถจะค่อยๆ เคลื่อนตัวออกมา โดยที่เธอทำได้แต่หันไปมองบ้านที่อาศัยอยู่มานานหลายปีเป็นครั้งสุดท้าย คงอีกนานทีเดียวกว่าจะได้กลับมา “เอามาด้วยทำไม สกปรกขนาดนั้น!” นานร่วมนาทีกว่าที่เสียงเข้มของคนข้างกายจะเอ่ยขึ้น และเหมือนว่าเขาจะพูดกับเธอ “อะไรคะ” “ตุ๊กตานั่น” ไม่เพียงแค่น้ำเสียงเท่านั้น ที่แสดงให้ได้เห็นถึงความรังเกียจของสำคัญในมือ สายตาของเขาที่มองมาก็เช่นกัน “มันชื่อหนูหวานค่ะ ไม่ได้ชื่อตุ๊กตานั่น และฉันไม่มีทางทิ้งมันแน่ เพราะว่ามันเป็นเพื่อนรักของฉัน!” และถ้าให้เลือกระหว่างตุ๊กตาตัวนี้กับคนน่ารังเกียจอย่างเขา แน่นอนว่าเธอเลือกตุ๊กตาสุดรักของเธออย่างไม่ลังเล! “แต่ผมไม่ชอบ ทิ้งไปซะ!” และที่เห็นว่าจะไม่ชอบมากกว่านั้น เห็นจะหนีไม่พ้นคนที่ชอบลองดีกับคนอย่างเขาด้วยการขัดคำสั่ง! “คุณไม่ชอบมันก็เรื่องของคุณสิแต่ฉันชอบ และอีกอย่างถ้าจำไม่ผิด…ฉันขอให้คุณมาชอบมันเสียเมื่อไหร่กัน!” ตุ๊กตาตัวนี้สำคัญกับเธอมาก เพราะมันเป็นตัวแทนของคนไกลที่ได้มอบให้กันในวันเกิด ก่อนท
“สวัสดีค่ะ...คุณท่าน” กระทั่งเมื่อตั้งสติได้ เธอถึงได้เอ่ยทักทายคนตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มที่ได้ซักซ้อมมาตลอดการเดินทาง “ไหว้พระเถอะจ๊ะ ต่อไปนี้ก็เรียกฉันว่าย่าตามเจ้ากานต์มันเถอะนะ หน้าตาสะสวยหมดจด ผิวพรรณก็ดี เหลนฉันออกมาขี้คร้านจะน่ารักน่าชังทีเดียว แล้วนี่...จะเริ่มกันเมื่อไหร่” หนนี้เจ้าของเสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจเลือกที่จะหันไปถามหลานชายที่เอาแต่ยืนเงียบนิ่ง ราวกับคนไม่รู้สึกรู้สาตามนิสัยที่แก้ยังไงก็ไม่หายของเจ้าตัว “ผมอยากให้น้องชินกับที่นี่ไปสักระยะก่อนครับย่า ค่อยปล่อย” ซึ่งเสียงเข้มก็ขานตอบกลับไปด้วยท่าทีปกติ ต่างจากคนฟัง ที่เอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าสบตาใครเพราะกลัวจะเผลอทำตัวมีพิรุธออกมาให้ใครได้เห็น “เอาเถอะ เรื่องนี้ย่าจะไม่เข้าไปยุ่ง แต่รีบหน่อยก็ดี ย่าน่ะแก่มากแล้ว อยากอยู่เห็นหน้าเหลน จะได้ตายตาหลับตามปู่ของแกไป” ชายหนุ่มเพียงแต่พยักหน้ารับ ก่อนจะขอตัวพาคู่หมั้นกลับออกไปพักผ่อน ซึ่งอีกคนก็ไม่ได้ว่าอะไร...ท่านเฝ้ารอจนกระทั่งทั้งสองพากันเดินหายลับสายตาออกไปจากห้องแล้ว ถึงได้ต่อสายหาใครบางคน “ครับ คุณท่าน...” “ว่างรึเปล่า เข้ามาพบฉ
“ขนุนบอกฉันว่าเธอไม่สบาย” แม้จะพยายามทำเป็นไม่สนใจ แต่ลึกๆ แล้วเขาก็ยังอยากรู้ความเป็นไปของหล่อนอยู่ดี และทุกวันหลังเลิกงาน ก็มักจะได้รับรู้สิ่งเหล่านั้นผ่านการบอกเล่าของเด็กขนุน ที่เขาจ้างให้มาดูแลเธอเป็นพิเศษด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะเหงาเกินไปที่ต้องนั่งๆ นอนๆ อยู่ในบ้านหลังนี้เพียงลำพัง “ปวดท้องประจำเดือนค่ะ” เพราะข้อตกลงระหว่างกันคือห้ามมีความลับเด็ดขาด หญิงสาวจึงบอกอาการที่เป็นอยู่ออกไปตามตรง และถึงเธอไม่บอก ก็เชื่อว่าเขาต้องซักไซ้ให้ต้องบอกอยู่ดี “ถ้าอย่างนั้นก็นอนพัก เดี๋ยวผมจะให้เด็กขนุนขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อน” เขาว่า ก่อนจะตั้งใจขยับหนี หวังให้คนไม่สบายได้พักผ่อน หากแต่ก็ถูกมือบอบบางคว้าต้นแขนเอาไว้ ก่อนที่จะได้ทันลุกเดินกลับออกไป “คะ...คุณอยู่เป็นเพื่อนฉันก่อนได้ไหมคะ ไว้ฉันหลับคุณค่อยออกไป” เธอไม่ชอบคนพวกนั้น และคนเดียวที่เธอไว้ใจก็มีแค่เขา ถึงจะไม่อยากยอมรับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่อาจหนีความจริงที่ว่าพ้น คนถูกขอร้องมีท่าทีลังเลอยู่เพียงครู่ แต่สุดท้ายก็ยอมใจอ่อนทิ้งตัวนอนลงบนเตียง และไม่ลืมรั้งร่างบอบบางเข้ามากอด “นอ
ประโยคสุดท้ายที่คนใจร้ายทิ้งท้ายเอาไว้ หลังจากกระชากชุดที่เธอสวมใส่อยู่จนขาดวิ่นไม่เหลือโครงเดิมให้ได้เห็นนั้น ส่งผลทำให้ตลอดทั้งวันที่เหลือของเอมมิกาเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่กระนั้นพอสำนึกได้ว่าตัวเองมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไร เธอจึงค่อยๆ วางทุกสิ่งลง เพราะช้าเร็วอย่างไร..เธอก็ต้องทำมันอยู่ดี เขาเริ่มต้นด้วยการกระชากเธอเข้าไปจูบ มันเป็นจูบที่ไร้ซึ่งความอ่อนโยน เชกเช่นเดียวกันนิสัยใจคอของเขาไม่ผิดเพี้ยน เนิ่นนานหลายนาทีทีเดียว กว่าที่เขาจะสำนึกได้ว่าจูบบ้าๆ พวกนี้ไม่อาจทำให้เขาได้ ‘ลูก’ สมใจอยาก ถึงได้ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออก“อ๊ะ! เจ็บค่ะ...”ความเจ็บร้าวที่กำลังได้รับ แม้จะไม่เท่ากับครั้งแรก แต่ก็ยังหลงเหลือความรู้สึกให้ได้สัมผัส อาจเพราะขนาดที่ต่างกันจนเกินไป หรือว่าเพราะคนตรงหน้าอ่อนโยนไม่เป็น ก็สุดที่จะรู้ได้!“คะ…คุณกานต์เบาหน่อยค่ะ ฉันเจ็บ!” หญิงสาวกล่าวย้ำอีกครั้ง เมื่ออีกฝ่ายดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผ่อนแรงลงเลยแม้แต่น้อย “อดทนหน่อย อีกเดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว อ่าส์...คุณแน่นดีจัง!” เขาปลอบ ทั้งๆ ที่ก็ยังไม่รู้หรอกว่า เรื่องราวมันจะเป็นแบบที่พูดรึเปล่า แต่ท
“คุณโสก็สวยค่ะ เหมาะสมกับพี่คีมากด้วย งานแต่งของพวกคุณเอมอาจไม่ได้ไป ถ้ายังไงขออวยพรล่วงหน้าเลยก็แล้วกันนะคะ” เจ้าของเสียงหวานขานรับ ก่อนจะหันไปมองรักแรกของตัวเองนานร่วมนาที…”เอมขอให้พี่คีมีความสุขมากๆ นะคะ เอมเชื่อว่าคุณโสจะทำให้พี่คีมีความสุขค่ะ” ถ้าเพียงแต่เขายอมเปิดใจสักนิด บางทีอาจได้เห็นบางสิ่งจากดวงตาคู่สวยคู่นั้น ที่จนกระทั่งตอนนี้มันก็ยังจดจ้องอยู่ที่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ทั้งหมดนี้ทำให้เธอเหมือนได้ย้อนกลับไปมองดูตัวเองอีกครั้ง ตัวเองที่เคยตกหลุมรักผู้ชายคนนี้ ก่อนที่ความเป็นจริงจะผลักให้เธอตื่นจากฝัน ตื่นขึ้นมาพบว่าเธอกับเขานั้นแตกต่างกันแค่ไหน แต่กับผู้หญิงตรงหน้านี้โชคดีกว่าเธอมากที่เกิดมามีพร้อมทุกสิ่ง จะเหลือก็แค่ต้องพยายามอีกสักนิด ทำให้พี่คีรักให้ได้ก็เท่านั้น! “ช่างเรื่องของพี่เถอะ ว่าแต่เอมเถอะ มั่นใจแล้วจริงๆ ใช่ไหม ว่าทั้งหมดนี้คือความรัก” เรื่องราวระหว่างเอมมิกากับผู้ชายคนนั้นเกิดขึ้นเร็วเกินไป นั่นเลยทำให้เขาไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเป็นความรักอย่างที่เธอบอกจริงๆ เพราะหากไม่ใช่ความรัก เอมมิกาก็ยังพอมีโอกาสจบทุกสิ่ง และถ้าหากเธอเลือกแบบนั้น
หลังจากได้เมียกลับคืนมา กานต์ก็แทบไม่ยอมให้อีกฝ่ายคลาดสายตาไปไหน การกระทำนั้นเองที่มันทำให้เอมมิการู้สึกอึดอัดไม่น้อยสุดท้ายเมื่อทนไม่ไหวถึงได้ตัดสินใจเปิดอกพูดคุยกับเขาตรงๆ “เอมไปแค่ร้านกาแฟเอง พี่กานต์ไม่ต้องไปด้วยก็ได้” ทะเบียนสมรสก็ยอมจดด้วยแล้วแท้ๆ ไม่รู้จะกลัวเธอหนีไปไหนอีก “ก็พี่อยากไปด้วย” “เอมไม่หนีไปไหนแล้วค่ะ นี่พี่กานต์ไม่เชื่อใจเอมเหรอคะ” “ก็ได้ครับ แต่ห้าโมงต้องถึงบ้านนะ ไม่อย่างงั้นพี่จะออกไปรับด้วยตัวเองจริงๆ” หญิงสาวรับคำพร้อมรอยยิ้ม และไม่ลืมขยับไปจูบเบาๆ ที่แก้มสาก แทนคำขอบคุณที่เขาทำตัวน่ารักมากขึ้นไปทุกวัน แม้จะจดทะเบียนกันแล้ว หากแต่สิ่งที่กานต์หวังจะทำให้ภรรยานั้นกลับเป็นสิ่งที่สร้างความปวดหัวให้กับเขาไม่น้อย และถ้าไม่ใช่เพราะอยากเห็นเมียรักมีความสุขที่ได้สวมใส่ชุดเจ้าสาวสวยๆ ให้ตายเขาก็คงไม่มานั่งอยู่ที่นี่ตรงนี้ ต่อหน้าผู้เป็นป้าของเธอแน่! “แค่รักอย่างเดียวมันไม่ได้หรอกนะคะ ถึงยัยเอมจะเป็นหลาน แต่ดิฉันกับสามีก็เลี้ยงดูมาเป็นอย่างดีไม่ต่างอะไรกับลูกแท้ๆ ของตัวเองเลยสักนิด แล้วอยู
“นี่เมลต้องหางานใหม่อีกแล้วเหรอคะ เสียดายจัง!” อีกฝ่ายบ่นอุบอิบ ก่อนจะลอบยิ้มเมื่อเพื่อนสนิทยืนยันบางสิ่งกลับมาเบาๆ “ไว้ผมจะหางานที่เหมาะสมกับคุณให้ ต้องขอโทษคุณด้วยจริงๆ” เพราะเมียไม่ปลื้ม เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องขอร้องให้เพื่อยุติการทำหน้าที่พี่เลี้ยงของลูกเป็นการถาวรนับตั้งแต่วันนั้นที่เอมมิกาหนีไป ซึ่งอีกฝ่ายก็พร้อมที่จะเข้าใจถึงความจำเป็นของเขา “เมลจะยกโทษให้ ถ้าคุณตามหาน้องเอมให้เจอ ถ้าไม่เจอก็อย่าฝันเลย ว่าเมลจะยอมให้อภัย!” นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้สนทนากับอีกฝ่ายตามลำพัง ก่อนที่จะส่งเธอไปทำงานในสำนักงานของไร่ ซึ่งก็เหมือนว่าเมลจะชอบงานนั้นมากกว่างานพี่เลี้ยงเสียอีก! “นายครับ”เสียงเรียกจากคนสนิททำให้คนที่กำลังคิดอะไรเงียบๆ ตามลำพังเงยหน้าขึ้น ทันทีที่ได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ก็รู้ได้ทันทีว่างานที่เขาสั่งให้ไปทำนั้น คงจะล้มเหลวไม่เป็นท่าเหมือนทุกที “จ้างนักสืบเพิ่มอีก แพงแค่ไหนฉันก็พร้อมจ่าย!” ขอแค่ให้เขาได้เจอเมียอีกครั้ง ต่อให้ต้องเสียมากกว่านี้เขาก็พร้อมจ่ายอย่างไม่ลังเล ให้มันรู้กันไปเลยว่านักสืบพวกนั้นจะไร้ประสิทธิภาพถึ
ร่องรอยของคราบน้ำตาหยดแล้วหยดเล่ายังหลงเหลือให้ได้เห็น มันทำให้อดคิดไม่ได้เลยว่ากว่าจะข่มใจเขียนไอ้จดหมายบ้าๆ ฉบับนี้เสร็จ เมียเขาต้องเสียน้ำตาไปมากสักแค่ไหนกัน! แล้วเรื่องอะไรต้องมาบอกให้เขากับลูกแบ่งพื้นที่ว่างให้คนอื่น ในเมื่อที่ตรงนั้นมันเป็นของเธอ เธอเท่านั้นไม่ใช่ใครที่ไหนก็ได้! กานต์ใช้เวลาตลอดทั้งวันที่เหลือหมดไปกับการตามหาแม่ของลูกในสถานที่ที่คิดเอาเองว่าเธอน่าจะไป นี่ถ้าไม่ติดว่าเคยเห็นการปะทะคารมของเมียกับคุณหญิงนั่นในงานเลี้ยงมาก่อนเขาอาจจะบุกไปที่บ้านของหมอนั่นแล้ว สุดท้ายที่ทำได้ก็มีแค่ขอให้พี่สาวเมียช่วยสืบให้ ก่อนจะพบว่าเอมมิกาไม่ได้ไปอยู่กับหมอนั่น ‘เอมเขาก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ เวลารู้สึกอะไรมักจะไม่ค่อยพูดออกมา แม้แต่สิเองก็ยังไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าน้องต้องเจอกับอะไรบ้าง รบกวนคุณช่วยตามหายัยเอมให้เจอทีนะคะ ถึงตอนนั้นถ้าพวกคุณไม่รักน้องสาวของสิแล้วก็ไม่เป็นไร น้องแค่คนเดียวสิดูแลเองได้’ เป็นสิตาที่ตัดสินใจเอ่ยขึ้น หลังจากได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับน้องสาวของตัวเองจนจบ แน่นอนว่าพอได้รู้มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิด ที่ปล่อย
ตีห้าไม่ขาดไม่เกิน คนที่ไม่ได้นอนเลยตลอดทั้งคืนก็ค่อยๆ ขยับลุก สิ่งแรกที่ทำคือไปเคาะประตูห้องพี่เลี้ยงเพื่อขอลูกคืน ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมส่งแกให้แต่โดยดี นั่นเลยทำให้เธอมีโอกาสได้จูบลาลูกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะต้องปล่อยแกไว้กับพ่อไปตลอดกาล “เป็นเด็กดีของพ่อกับย่าทวดนะปกป้อง แม่ขอโทษที่อยู่กับหนูไม่ได้” เธออยากอยู่กับลูก อยากอยู่กับเขาในทุกช่วงชีวิต แต่เพราะรู้ว่าตัวเองเป็นใคร จึงไม่กล้าแม้แต่จะคิดไปไกลเกินกว่านี้ มีเพียงสิ่งเดียวที่เธอมั่นใจ นั่นคือลูกของเธอจะมีความสุขหากอยู่ที่นี่ แกจะมีพ่อที่พร้อมจะดูแล ซ้ำยังมีย่าทวดคอยปกป้องตามชื่อที่ท่านเป็นคนตั้งให้ตั้งแต่วันแรกที่รู้เพศ หญิงสาวใช้เวลาพักใหญ่ก่อนจะพาลูกกลับไปส่งคืนให้กับพี่เลี้ยงสาว ที่ในอนาคตอีกฝ่ายอาจมีโอกาสขยับไปเป็นอะไรที่มากกว่านั้น ดูได้จากที่หลายๆ คนที่เหมือนจะรักและเอ็นดูมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะคุณย่าของกานต์ ที่มักจะชวนอีกฝ่ายไปกินข้าวด้วยบ่อยๆ แต่เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องที่เธอให้ความสนใจเท่ากับเรื่องลูกชายเธอ ขอแค่อีกฝ่ายรักและพร้อมที่จะปกป้องแก เธอรับได้ทั้งนั้นถ้าหากอนาคตลูกเธอจะต้อ
เอมมิกาไม่ได้บอกเล่าถึงเงื่อนไขที่มีต่ออีกคนให้พ่อของลูกได้รับรู้ กานต์จึงคิดเอาเองว่าบางทีย่าของเขาอาจจะแค่โกรธ ไม่นานความรู้สึกเหล่านั้นก็คงบางเบาลงจึงไม่ได้เอะใจสงสัย ในขณะที่เอมมิกาเองก็ทำตัวเป็นปกติ ด้วยรู้ดีว่าเวลาที่จะได้อยู่กับพ่อของลูกนั้น เหลือน้อยลงทุกวัน… “วันนี้หนูทำอะไรบ้างครับ แล้วคนที่บ้านใหญ่มากวนใจรึเปล่า” เป็นเสียงเข้มที่ดังขึ้นอย่างอดห่วงไม่ไหว แม้จะรู้ดีว่าเนื้อแท้ของผู้เป็นย่านั้นไม่ใช่คนใจร้ายอะไรเลย แต่ก็ไม่อยากไว้ใจอยู่ดี “เอมอ่านหนังสือค่ะ ส่วนคุณย่าท่านไม่ได้ทำอะไร นอกจากให้คนเอาของพวกนี้มาให้” พอเห็นของที่ว่ากานต์ก็ถึงกับลอบยิ้ม เพราะแต่ละอย่างนั้นคือของบำรุงครรภ์แทบจะทั้งสิ้น ลองมาแบบนี้ดูท่าว่าเรื่องที่จะทำให้ย่ายอมใจอ่อน ให้อภัยกันคงไม่ยากอย่างที่คิด เขาก็แค่ต้องรอเวลาให้ท่านใจเย็นลงกว่านี้อีกนิดก็เท่านั้น… หลายเดือนต่อมา ตลอดหลายเดือนมานี้ทุกคนดูแลเธอเป็นอย่างดี ในขณะที่เธอเองก็มีความสุขทุกวันที่ได้อยู่ที่นี่ ตราบเท่าที่เขายังอยู่ตรงนี้ด้วยกัน ส่วนอดีตคนรักของเขานั้นถูกไล่ออกไปจากที่นี่ตั้
ความจริงที่ได้รับรู้หลังจากหมอถูกตามตัวมาดูอาการของคนที่อยู่ๆ ก็หมดสติไปนั้น สร้างความรู้สึกหลากหลายให้แก่ทุกคนในบ้านเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกานต์ ที่แทบไม่ยอมให้คนที่กำลัง ‘อุ้มท้อง’ ลูกของเขา ได้คาดสายตาไปไหนเลยสักนาทีเดียว“ไหนๆ แม่นี่ก็ตั้งท้องแล้ว ก็รอจนเด็กคลอด แล้วค่อยให้เงินสักก้อนไปก็แล้วกัน ยังไงเสีย ย่าจะไม่มีวันรับหลานสะใภ้ที่ปมหลังเต็มไปด้วยคำโกหกแบบนี้แน่!”คำกล่าวนี้เองที่มันทำให้คนฟังเจ็บจนพูดไม่ออกไปนานร่วมนาที แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอต้องมานั่งฟังใครสักคนถากถางถึงความไม่เหมาะ จะต่างกันก็แค่ตัวละครกับสถานที่เท่านั้น แต่จะโทษใครได้นอกจากตัวของเธอเอง ที่เลือกเกิดไม่ได้ “เรื่องทั้งหมดคนผิดคือผม ถ้าย่าคิดอยากจะโกรธใครสักคน ก็ขอให้คนๆ นั้นเป็นผมเถอะครับ!” เป็นกานต์ที่เอ่ยขึ้นมาบ้าง ซึ่งถ้าว่ากันตามความจริงแล้ว เขาคือคนที่ทำทุกอย่าง ในขณะที่เอมมิกาเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในเกมเท่านั้น เธอไม่ได้ผิดอะไรเลยสักนิด เธอก็แค่ทำทุกอย่างเพื่อช่วยครอบครัวที่กำลังตกที่นั่งลำบาก เป็นเขาเองเสียมากกว่าที่เป็นคนเริ่มต้นทุกอย่าง! “กับแกย่าก็โกรธ แต่ย่าโกรธผู้หญ
“เขาเคยเป็นรักแรกของเอมค่ะ” แม้จะรู้เรื่องอยู่ก่อนแล้ว แต่พอได้มายินมันชัดๆ จากปากคนที่เพิ่งจะเดินตามมาสมทบ ก็เหมือนจะยิ่งทำให้เขาโกรธมากขึ้นกว่าเดิมอยู่ดี “แต่พี่เป็นผัว เพราะฉะนั้นพี่ขอใช้สิทธิ์ที่มีสั่ง ว่าจากนี้ห้ามเอมไปเจอกับหมอนั่นอีก!” แค่วันนี้เท่านั้นที่เขาจะยอมให้ หลังจากวันนี้อย่าได้หวังเลยว่าเขาจะใจกว้างเหมือนอย่างวันนี้อีก ไม่มีวัน “ทีพี่กานต์ยังไปเจอกับอดีตคนรักได้เลย แบบนี้มันจะไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอคะ” คนได้ฟังยิ้มรับ ก่อนจะขยับเข้าไปโอบกอดคนแสนงอนจากด้านหลัง ราวกับต้องการจะง้องอน “ถ้างั้นพี่จะสั่งให้คนไล่ฐิตาภาออกเดี๋ยวนี้เลย โอเคไหม!” “ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ค่ะ แค่อย่าปล่อยให้เขาเข้าใกล้เหมือนวันนี้อีกก็พอ เอมหวง” คำว่า ‘หวง’ ของเธอนั้นมีผลรุนแรงต่ออีกคนไม่น้อย แน่นอนว่าเขาไม่ได้ให้สิทธิ์หวงกับใครง่ายๆ เช่นกัน และเมื่อได้รับไปแล้ว เอมมิกาต้องอยู่หวงเขาไปทั้งชีวิต! ห้ามไปไหนทั้งนั้น! การที่จะเสาะหาโอกาสได้อยู่กับอดีตคนรักนั้นว่ายากแล้ว แต่การทำงานในแต่ละวันกลับยากยิ่ง
หลังจากใช้เวลาจัดการกับธุระที่กรุงเทพนานเกือบหกวัน ทั้งหมดก็พากันกลับ พร้อมฐิตาภาที่ขอติดสอยห้อยตามมาด้วย หากแต่การกลับมาในครั้งนี้ของเธอนั้น คือกลับมาในฐานะลูกน้องกินเงินเดือนคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่แม่เลี้ยงของกานต์อีกต่อไป “งานหนักแบบนั้น คุณฐิตาเธอจะทำไหวเหรอคะ” เป็นเอมมิกาที่เอ่ยถามขึ้น หลังจากทราบจากคนอื่นๆ ถึงงานแรกที่ผู้หญิงคนนั้นได้รับมอบหมายให้ไปทำ “ไม่ไหวก็ลาออกไป”เขาถือว่าเขาได้ช่วยเท่าที่พอจะช่วยได้ไปแล้ว ส่วนอีกฝ่ายจะไปรอดหรือไม่นั้น มันไม่ใช่เรื่องสำคัญที่เขาต้องไปใส่ใจเลยสักนิด หากเป็นบางสิ่งที่มันกำลังขัดหูขัดตาอยู่ตอนนี้ก็ว่าไปอย่าง “กางเกงที่ใส่มีสั้นกว่านี้อีกไหม พี่จะได้ขนไปเผาทีเดียว” คนได้ฟังถึงกลับหน้ามุ้ยเมื่อได้ยิน ก่อนจะพบว่าตัวการที่ทำให้เสื้อผ้าหลายชุดของเธอหายไปจากตู้เสื้อผ้าดูเหมือนจะอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด “สั้นที่ไหนกันคะ คนอื่นๆ เขาก็ใส่กันทั้งนั้น” อดีตคนรักของเขาสั้นกว่านี้อีก ไม่เห็นเขาจะว่าอะไรสักคำ “ใครอยากใส่ก็ใส่ไป แต่ต้องไปใช่คนของพี่…” เขาตอบก่อนจะขยับเข้ามาใกล้