ตุลเงียบไปครู่ใหญ่เหมือนว่าเขากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ในหัว ฉันค่อย ๆ หยัดตัวขึ้นนั่ง จู่ ๆ มันก็รู้สึกนอยด์ที่เห็นอีกคนเงียบไปแบบนี้“อย่าเอาอดีตมารวมกับปัจจุบัน” “ตอนนี้พี่คือปัจจุบันของตุลใช่ไหม?” ฉันมองใบหน้าคมคายอย่างมีความหวังในคำตอบ ตุลมองอยู่แป๊บหนึ่งก่อนที่เขาจะพยักหน้าแทนคำพูด เอาจริง ๆ ฉันอยากได้ยินเป็นคำพูดมากกว่า มันคงจะใจชื้นและดีใจมากกว่าการเห็นเขาพยักหน้าแบบนี้ “ทำไมไม่พูดล่ะ พยักหน้าแบบนั้นคืออะไร” ฉันถามด้วยน้ำเสียงที่ปนหาเรื่องนิด ๆ “แบบไหนคำตอบก็เหมือนเดิม”“ก็แล้วทำไมไม่เลือกพูดมันออกมาแทนการพยักหน้า” ถ้าไม่ตอบคำถามแบบตรงประเด็นฉันก็จะถามเขาแบบนี้แหละทั้งวัน เหมือนฉันจะถามเซ้าซี้มากจนเกินไปสังเกตเห็นว่าเมื่อกี้ตุลลอบถอนหายใจออกมาด้วย“เริ่มไปกันใหญ่แล้ว” ตุลส่ายหน้าไปมาช้า ๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง เขาเอามือมาจับแก้มฉันเบา ๆ พลางใช้นิ้วเขี่ยเล่นที่จมูกอย่างเอ็นดู ก่อนจะพูดต่อ “ตอนนี้ยังชัดเจนไม่พอหรือไง”ฉันกำลังอึ้งกับการกระทำเมื่อครู่จึงไม่ได้ตอบคำถามในทันที หัวใจดวงน้อยมันเต้นแรงขึ้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ นี่มันครั้งแรกเลยนะที่ตุลจับแก้มฉันในเชิงหยอกล้อแล้วมองด้วยแววตาที
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ความสัมพันธ์ของฉันกับตุลดีขึ้นตามลำดับ เราเรียนรู้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมทั้งความหื่นของเขาก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ฉันไม่ได้ไปที่อู่เพราะช่วงนี้ตุลมีสอบจึงอยากให้เขาเต็มที่กับการอ่านหนังสือสอบมากกว่าหมกหมุ่นเรื่องบนเตียง แน่นอนว่าถ้าฉันไปเขาคงไม่เป็นอันได้อ่านหนังสือสอบแน่ ๆ แต่ไม่ใช่ว่ารายนั้นไม่อยากให้ไปหาหรอกนะ เขาอ้อนทุกวันเพื่อจะให้ไปหาที่อู่ แต่ฉันยืนยันหนักแน่นว่าจะไปหลังจากที่เขาสอบเสร็จแล้วและห้ามมาที่บ้านฉันด้วย พอหลังจากที่ตุลสอบเสร็จแล้วเราก็จะหมั้นกัน ตอนนี้ทั้งฝ่ายพ่อของฉันและพ่อของตุลกำลังเตรียมงาน เพราะงานหมั้นจะถูกจัดขึ้นในอาทิตย์หน้า คิดว่าต้องหมั้นกับเขามันก็ทำเอาฉันเขินแทบบ้า หลายครั้งที่คิดว่าตอนนี้ตัวเองกำลังฝันอยู่ พูดได้เต็มปากว่าตอนนี้ความรักของฉันมันสมบูรณ์แบบมาก ๆ ผู้ชายปากร้ายเย็นชา ไร้ความรู้สึก ฉันไม่เคยคิดว่าตุลจะมีด้านที่อ่อนโยน แต่พอได้มาเห็นอีกด้านที่อ่อนโยนของเขามันยิ่งทำให้ตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำอีก #โต๊ะอาหาร ตอนนี้ฉันกำลังนั่งกินข้าวกับพ่อสองคน ส่วนเฮียไม่ได้กลับมานอนที่บ้านตั้งแต่พ่อกลับมาจากต่างประเทศ ที่หลบหน้าพ่อก็เพราะถ้า
ฉันรีบออกมาหาตุลที่ยืนรอที่รถ พอเห็นฉันเขาก็ขมวดคิ้วเข้มในเชิงตั้งคำถาม “ทำไมไม่ให้เข้าไปในบ้าน?” “พ… พ่อกับเฮียมีแขกน่ะ เราออกไปกินข้าวนอกบ้านกันดีกว่า” พูดจบฉันก็รีบเปิดประตูออกเข้ามานั่งในรถของตุล “ไหนว่าจะคุยเรื่องงานหมั้น จะออกไปกินข้าวนอกบ้านทำไมแล้วเป็นอะไรทำดูรีบร้อนขนาดนี้” ทำไมวันนี้เขาขี้สงสัยมากกว่าทุกวันจังนะ ถามนู้นถามนี่อยู่ได้ “พ… พี่หิว รีบ ๆ ขึ้นรถได้ไหม” ฉันทำเป็นหงุดหงิดเพื่อแสดงละครว่าตัวเองโมโหหิวมาก ๆ ตุลไม่ตอบอะไร เขาเดินอ้อมมาเปิดประตูทางฝั่งคนขับแล้วขับรถออกไปจากบ้าน ในขณะที่รถกำลังแล่นอยู่ฉันก็ได้ส่งข้อความให้เฮีย บอกว่าจะออกมากินข้าวนอกบ้านและบอกอีกว่าที่ทำแบบนี้เพราะมีเหตุผล เฮียยังไม่เปิดข้อความอ่านในทันทีเพราะคงจะกำลังหัวเสียให่พ่ออยู่ #ร้านอาหารหรู ตอนนี้ฉันนั่งคิดมากสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว สมองคิดไปต่าง ๆนานา จนมันจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว“เป็นอะไรทำไมเอาแต่เงียบ เหม่อถึงใคร?” เสียงทุ้มทำให้ฉันที่กำลังเหม่อสะดุ้งแล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง “พี่ พี่คิดเรื่องบริษัทน่ะ” “ถ้าเหนื่อยมากก็พักอยู่บ้าน” “อื้อ” ฉันพยักหน้าตอบก่อนจะเงียบไปอีก แต่
ฉันกระชากแขนตุลอย่างเอาเรื่องจนคนรอบ ๆ เริ่มหันมามอง ตุลจึงดึงฉันออกมาจากคลับ เขาพามายังรถที่จอดเอาไว้ด้านหน้าร้าน“ขอเหตุผลที่มันฟังขึ้นหน่อยนะ” ฉันสะบัดมือออกแล้วกอดอกจ้องหน้าว่าที่คู่หมั้นเขม็ง “ไอ้กันชวน มาแค่แป๊บเดียวจะกลับแล้ว” จู่ ๆ เขาก็ใช้เสียงอ้อนกับฉัน “ไม่คิดจะบอกกันเลยเหรอ?” “ก็คิดว่ามาแป๊บเดียวไม่ต้องบอกก็ได้” “แป๊บเดียวที่ว่านี่มันกี่ชั่วโมง” “สองชั่วโมง” “ยังไงก็ควรบอกกันหน่อย” มันรู้สึกไม่โอเคจริง ๆ ที่จะไปไหนแล้วเขาไม่ยอมบอก เหมือนว่าฉันไม่ได้สำคัญอะไรเลย “แล้วมากับใคร ทำไมไม่บอก” ครั้งนี้ตุลถามกลับด้วยท่าทางหาเรื่อง “พี่มากับเฮีย ตุลบอกว่าจะนอนก็เลยไม่บอกก่อนและพี่ก็มาแค่แป๊บเดียว” “ถ้างั้นก็หายกัน” “หายกันอะไร?” ฉันขมวดคิ้วกับคำพูดของคนตรงหน้า “ก็ต่างคนต่างไม่บอกว่ามา แปลว่าหายกัน” “แต่นี่คลับเฮียพี่จะมามันก็ไม่แปลก ตุลนัดใครเอาไว้หรือเปล่า?” ฉันเริ่มคิดว่าเขาอาจจะนัดเจอใครบางคนถึงได้แอบมาแบบนี้“ถ้าจะนัดเจอคนอื่นคงไม่มาที่นี่” คำตอบของเขามันยิ่งตอกย้ำความคิดมากของฉัน ทั้งที่เลือกตอบให้สบายใจได้แต่กลับพูดอะไรแบบนี้ออกมา“ดูทำหน้า กำลังคิดมากอีกแล้วใช่ไห
ยืนนิ่งไปครู่หนึ่งตุลก็ก้มลงมาเอาปากจุ๊บกับปากฉัน เขายิ้มมุมปากก่อนจะพูด “แบบนี้ใช่ไหมที่เรียกว่าการกระทำ” “บ้า จะเที่ยวจูบทุกเวลาไม่ได้นะ”ตุลไหวไหล่อย่างเจ้าเล่ห์ จากนั้นเขาก็จับมือฉันพาเดินมาร่วมวงกับเพื่อน “นี่มึงก็ใกล้หมั้นแล้วดิ” กันถามตุล “อืม” “ระวังนะมึง เขาว่าคนจะแต่งงาน หมั้น บวช มันจะมีมาร” คำเตือนของกันทำให้ฉันที่ไม่คิดอะไรแล้วกลับมาเริ่มวิตกอีกครั้ง“มารอะไรของมึงวะ” “จะไปรู้เหรอวะ โบราณเขาว่าไว้”“มึงอะเพ้อเจ้อสัตว์” ตุลส่ายหน้าไปมา เขาทำเหมือนคำเตือนของเพื่อนมันไร้สาระ“ห้ามคิดตามคำพูดมัน” คงจะเห็นว่าฉันเงียบไปเขาจึงพูดดึงสติ ฉันเองก็พยักหน้าแล้วยิ้มจาง ๆ ให้ “อย่าคิดมากนะลิล ฉันแต่งกับอลันไม่เห็นจะมีอะไรเลย”“อื้อ ๆ ฉันไม่ได้คิดมากสักหน่อย”“ไอ้เชี้ยกัน! มึงจะพูดทำลายบรรยากาศทำซากอะไรวะ” อลันบ่นเพื่อนสนิทอย่างหงุดหงิด “พี่โอเค ๆ มาชนแก้วกัน” พอสถานการณ์เริ่มตึงเครียดฉันก็ต้องรีบทำตัวให้ปกติ จะมัวคิดมากแล้วพาให้งานกร่อยไม่ได้บรรยากาศในวงเหล้าเริ่มกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ตุลมักจะเอาหน้ามาซุกซอกคอฉันบ้าง จับเส้นผมไปดมบ้าง เขานี่เริ่มแปลกขึ้นทุ
ฉันเดินมาหยุดตรงหน้าของตุลนั่นจึงทำให้สายตาของเขาเปลี่ยนมาโฟกัสฉันแทน“กลับเข้าห้องดีกว่านะ” พูดจบฉันก็จับมือหนาแล้วพาเดินกลับมาในห้องผู้หญิงคนนั้นเขามองอย่างตกใจ ดวงตาคู่นั้นเอาแต่จับจ้องฉันและตุลจนกระทั่งฉันปิดประตูเสียงดังใส่“เรากลับกันเถอะนะตุล พี่ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว” เมื่อเดินมาที่เตียงฉันก็รีบหันมาบอก แต่ทว่าตอนนี้เขากลับยังเหม่อลอย “ตุล!!” ฉันตวาดเรียกชื่อคู่หมั้นเสียงดังจนเขาสะดุ้ง “ว… ว่าไงนะ” เขาไม่ได้ฟังฉันเลยจริง ๆ “ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นใครเหรอ?” ทั้งที่รู้อยู่แล้วฉันก็อยากจะถาม อยากรู้ว่าเขาจะตอบความจริงหรือโกหก “รู้อยู่แล้วจะถามทำไม” “รู้สึกยังไงที่เจอเธอ”“ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น”ฉันไม่เชื่อได้ไหมว่าเขาไม่รู้สึกอะไรเลย สายตาที่มองแบบนั้นจะให้เชื่อได้ยังไง “เรากลับกันดีกว่าไหม พี่ไม่สบายใจเลยถ้าต้องอยู่ร่วมกับแฟนเก่าของตุลแบบนั้น” ฉันพยายามใจเย็นไม่โวยวาย เพราะทั้งคู่จบกันไปแค่ไม่อยากให้ต้องเจอหน้ากันแบบนี้ “จะกลับทำไม พ่ออุตส่าห์ตั้งใจอยากให้เราสองคนมาผ่อนคลายก่อนหมั้นนะ” “แล้วจะให้พี่อยู่ร่วมกับผู้หญิงคนนั้นน่ะเหรอ”“ก็ต่างคนต่างอยู่ไง”“ตุลทำได้ไหมล่ะ ต่างค
มีเพียงพ่อของตุลที่เหมือนจะเข้าใจเหตุการณ์ในตอนนี้ แปลว่าท่านคงจะเคยเจอแฟนเก่าของตุล มันก็ไม่แปลกที่เขาจะเคยพาไปแนะนำให้พ่อรู้จัก เพราะเขารักเธอมากนี่ แต่ตอนนี้มันคืออะไร เขาดูหงุดหงิดที่เห็นแฟนเก่าของตัวเองตักอาหารให้เฮียโดยไม่สนใจความรู้สึกของฉัน “เป็นอะไรกันหรือเปล่าลูก” พ่อฉันถาม “เปล่าครับ” ตุลชิงตอบจากนั้นเขาก็นั่งลง ถึงจะยังกินข้าวไม่อิ่มแต่ตอนนี้ฉันคงไม่มีอารมณ์มากินอะไรทั้งนั้น ฉันกับตุลนั่งเงียบจนกระทั่งทุกคนแยกย้ายกันกลับเข้าบ้านเพื่อพักผ่อนในขณะที่ทุกคนเข้าบ้านกันหมดแล้วส่วนฉันกำลังเดินใช้เท้าเตะทรายเบา ๆ ริมหาดเพื่อระบายความรู้สึกที่มันอึดอัดในใจ โดยมีตุลเดินตามหลังมาเงียบ ๆ เดินอยู่แบบนี้นานเกือบครึ่งชั่วโมงแต่เขาไม่ยอมปริปากพูดอะไร จนกระทั่งฉันทนไม่ไหวฉันหยุดเดินแล้วหมุนตัวหันกลับมาประจันหน้ากับตุล เขาเองก็หยุดชะงักแต่ไม่กล้าเงยหน้ามามอง “ตอนกินข้าวตุลเป็นอะไรเหรอ บอกพี่หน่อยสิ” “…” อีกคนที่ถูกถามยังคงเงียบอยู่ น่าจะตอบกันบ้างยิ่งเงียบไปแบบนี้ฉันยิ่งเจ็บปวด “ถ้าไม่พูดพี่ก็จะคิดไปเองว่าตุลยังรู้สึกกับผู้หญิงคนนั้นอยู่” “บอกว่าไม่รู้สึกจะถามมากเพื่อ!!” เขาเงยห
ในขณะที่ร้องไห้ไม่มีแม้แต่คำปลอบใจจากคนที่กอดอยู่ เขานิ่งและเงียบเอาแต่กอดฉันเอาไว้อยู่แบบนั้นจนฉันเริ่มหยุดร้องและตั้งสติ “… ขอโทษแปลว่ายอมรับใช่ไหม ยอมรับว่ายังรักเธอใช่ไหม”“ไม่ถึงขั้นที่ยังรักอยู่ แต่ขอเวลาได้ไหมมาเจอกะทันหันแบบนี้มันตั้งตัวไม่ทันจริง ๆ”“ขอเวลาอีกแล้วเหรอตุล”ฉันถอนหายใจออกมาเพราะความเหนื่อยก่อนจะแกะมือหนาออกแล้วค่อย ๆ หมุนตัวหันมาประจันหน้า “ถ้าพี่ให้เวลากับตุลพี่จะไม่เสียใจใช่ไหม”“อืม” เขาก้มหน้าลงแล้วตอบเบา ๆ เหมือนไม่มีความมั่นใจเลย แต่ฉันกลับเต็มใจจะให้เวลาผู้ชายคนนี้ ฉันแค่คิดว่าถ้าให้เวลาเขาได้ปรับตัวมันคงดีกว่า การที่ฉันดีกับเขามาก ๆ คงทำให้เขาเกรงใจและไม่กล้าที่จะทำผิด“อื้อ พี่จะให้เวลาแต่ต้องห้ามทำให้พี่เสียความรู้สึกอย่างวันนี้อีกนะ”“จะไม่ทำอีก” ตุลเอานิ้วก้อยขึ้นมาชูตรงหน้าเพื่อให้ฉันเอานิ้วของตัวเองไปเกี่ยวกัน “พรุ่งนี้กลับกรุงเทพกันนะ ถ้าอยู่ตรงนี้แล้วไม่สบายใจก็กลับ” ครั้งนี้ตุลเป็นคนชวนกลับด้วยตัวเอง มันยิ่งทำให้ฉันมั่นใจว่าเขากำลังปรับจูนความรู้สึกของตัวเองจริง ๆ “อื้อ ขอบคุณนะที่เลือกจะทำให้พี่สบายใจ” ตุลจูบลงมาบนหน้าผากของฉันแล้วจูงมื