ผู้หญิงคนนั้นมองตุลแววตาเศร้า เธอทำเหมือนฉันไม่มีตัวตนอยู่ตรงนี้ทั้งที่เมื่อครู่เพิ่งโดนจิกหัวตบไป “พราวกลับมาเพราะอยากขอโทษ พราวถูกพ่อบังคับให้แต่งงาน ตุลช่วยพราวได้ไหมพราวไม่อยากแต่งงานกับผู้ชายคนนั้น” เธอแสร้งทำเสียงเศร้าให้อีกคนสงสาร แต่ฉันกลับรู้สึกสมเพชผู้หญิงคนนี้เอามาก ๆ “คิดว่าพี่ชายฉันอยากจะแต่งงานกับเธอนักหรือไง” ฉันพูดสวนกลับเสียงดัง “กลับไป” ตุลยังคงพูดย้ำคำเดิมแต่เป็นน้ำเสียงที่แผ่วเบาไม่ได้ตวาดบอกเหมือนตอนแรก อดีตแฟนเก่าของเขาทำเป็นบีบน้ำตาก่อนจะเดินไปขึ้นรถ สังเกตว่าในตอนนี้ตุลกำมือแน่น “แค่นี้ก็หวั่นไหวแล้วเหรอ” ฉันถามคู่หมั้นของตัวเองอย่างหาเรื่อง “ก็ไล่ให้กลับไปแล้วทำขนาดนี้ยังไม่พอใจอีกรึไง” ตุลเองก็พูดเหมือนมีอารมณ์นิด ๆ เขาไม่เก็บอาการเลย แบบนี้ไม่ให้ฉันคิดมากได้ยังไง “แววตาของตุลอยากจะรั้งเธอเอาไว้มากกว่าไล่เธอกลับไปด้วยซ้ำ”“ถ้าจะชวนทะเลาะก็กลับบ้านไป” เขาตวาดบอกเบา ๆ “ไล่พี่งั้นเหรอ?” “แค่ไม่อยากทะเลาะ” “มันก็คือการไล่นั่นแหละ สิ่งที่ควรทำคือพูดกับพี่ดี ๆ สิ ผู้หญิงคนนั้นพูดอะไรตุลก็ได้ยิน จะให้พี่อยู่เฉย ๆ ยิ้มยินดีกับคำพูดแบบนั้นน่ะเหรอ”“ก็ไม่ควรใ
ฉันยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาออกจากแก้ม ก่อนจะเดินผ่านหน้าของตุลออกมาจากห้อง แต่ทว่าเดินได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกรั้งแขนเอาไว้“ปล่อย” สิ้นสุดเสียงฉันก็สะบัดแขนแรง ๆ เพื่อให้หลุดจากการจับกุม แต่ก็ถูกอีกคนบีบรัดแรงขึ้น “พูดแบบนั้นหมายความว่ายังไง อะไรคือเลื่อนงานหมั้น อะไรคือยกเลิก?” เขาจ้องหน้าฉันเขม็งราวกับว่ามีความผิดมากมาย ทั้งที่ไม่ได้ผิดอะไรเลยคนที่ผิดคือเขาต่างหาก “มันก็เป็นอย่างที่ตุลต้องการไม่ใช่เหรอ” ฉันพยายามกลั้นเสียงสะอื้นถึงแม้ว่าตอนนี้หยดน้ำตาจะไหลอาบเปื้อนแก้มสองข้างก็ตาม“มันไม่ใช่แบบนั้น…” เขากำลังจะพูดต่อแต่ฉันขัดขึ้นมาก่อน “แต่สิ่งที่พี่ได้ยินมันทำให้เข้าใจว่าตอนนี้ตุลต้องการอะไร ไม่ใช่แบบนั้นแล้วเป็นแบบไหนเหรอ” “ที่พูดไปยอมรับว่าสับสนแต่ก็ไม่ได้คิดจะยกเลิกงานหมั้นไหมวะ” เขาตอบแบบใส่อารมณ์ทั้งที่ควรจะพูดดี ๆ อีกทั้งแววตาที่ดูเหมือนกำลังหงุดหงิดคู่นั้นมันคืออะไร ฉันทำผิดอะไร“พี่ให้เวลาตุลสับสนมากี่ครั้งแล้ว ถ้าถึงขนาดนี้ยังสับสนอีกแล้วพี่ต้องรอเหรอ ต้องให้เวลาตุลใช่ไหม”“ก็บอกว่าไม่อยากยกเลิกงานหมั้น” “พี่เหนื่อยแล้วตุล ที่ผ่านมาพี่พยายามจีบ พี่พยายามมาตลอด พยายามอยู่ฝ่ายเด
ถึงแม้ว่าเขาจะใช้คำพูดและน้ำเสียงที่อ่อนลงแต่ฉันก็ไม่อยากจะพูดคุยอะไรอีก เรื่องนั้นมันทำให้เจ็บจุกจนไม่อยากเห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ ฉันสะบัดแขนออกแรง ๆ ก่อนจะจ้องหน้าตุลเขม็งแล้วตวาดเสียงดัง “อย่ามายุ่งกับพี่อีก!!” “จะให้เลิกยุ่งได้ไงวะ อีกไม่กี่วันก็จะหมั้นกันแล้วอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ไหม”“อ๋อ! นี่พี่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่งั้นเหรอ” “ก็ใช่ไง”“ถ้ามาแล้วพูดแบบนี้คราวหน้าอย่าโผล่หน้ามาให้เห็นอีกนะ” ฉันหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาแล้วจับมันนัดใส่มือของไนท์“พี่ฝากจ่ายหน่อยนะไนท์” พูดจบฉันก็เดินออกจากร้านเหล้าตรงมายังรถของตัวเอง เมื่อเข้ามาในรถก็สตาร์ทเตรียมจะขับออกไปจากร้านแต่ดันถูกตุลมายืนขวางหน้ารถเอาไว้ แสงไฟหน้ารถสาดส่องไปตรงร่างของตุลที่ยืนจ้องมาที่ฉัน สายตาของเขาแน่วแน่ไม่มีท่าทีว่าจะหลบให้เลยสักนิด ฉันพ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถแล้วเดินมาหาคนที่ยืนดักหน้ารถอยู่ จากนั้นก็ฟาดมือไปที่หน้าเขาเต็มแรง “จะคุยกันดี ๆ ได้หรือยัง” เพี๊ยะ! สิ้นสุดคำถามนั้นฉันก็ตบหน้าเขาอีกครั้ง “ถ้าตบจนพอใจแล้ว…” ไม่รอให้พูดจบฉันรีบฟาดมือลงบนใบหน้าเขาทันทีเป็นครั้งที่สาม “ตอบมาสิว่าตอนนี้ต
Talk ตุลผมกลับมาที่อู่แทนที่จะกลับบ้าน วันนี้ตั้งใจจะพูดกับลิลดี ๆ แต่พอเห็นว่าเธออยู่กับไอ้นั่นมันก็ทำให้โกรธจนระงับอารมณ์ไม่ได้ ผมยอมรับความผิดที่ตัวเองสับสนเพราะการที่พราวกับมาทำให้ความรู้สึกเก่า ๆ ของผมมันหวนคืนอีกครั้ง เธอคือผู้หญิงที่ผมรักและเป็นผู้หญิงที่ทิ้งผมไปอย่างไม่เหลือเยื่อใย การกลับมาเจอกันอีกครั้งทำให้หัวใจของผมมันเต้นแรง แต่มันไม่ใช่ความรู้สึกที่อยากจะให้ความสัมพันธ์ของเรากลับมาเป็นเหมือนเดิม ผมก็ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ได้ ยอมรับความผิดที่วันนั้นผมคุยกับพราวลับหลังลิล ตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าทำแบบนั้นไปทำไม ในหัวมันเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย ผมแค่อยากให้ลิลให้เวลาผมอีกสักนิดเพื่อปรับตัว แต่เธอกลับมาได้ยินสิ่งที่ผมคุยกับไอ้กัน ทุกอย่างที่พูดมันทำให้เธอคิดว่าผมยังมีใจให้คนเก่า และตอนนั้นผมก็ไม่สามารถแสดงความชัดเจนให้เธอมั่นใจได้ หน้ามันชาเมื่อได้ยินคำพูดที่บอกว่าจะยกเลิกงานหมั้น ในหัวของผมคิดแค่ว่าเรื่องแค่นี้ถึงกับจะยกเลิกงานหมั้นเลยหรือไง ทั้งที่ผมก็แค่คุยเท่านั้นไม่ได้กลับไปมีความสัมพันธ์กับแฟนเก่า ผมให้เวลาเธออย่างที่เคยทำเพราะคิดว่าถ้าปล่อยให้เธอกลับบ้า
ตอนนี้ทุกคนเงียบบรรยากาศภายในห้องรับแขกเริ่มอึดอัด ฉันก็ไม่ได้อยากจะตัดสินใจแบบนี้แต่ถ้าปล่อยให้เรื่องหมั้นเกิดขึ้น… มันคงยากที่จะถอย “ผมขอคุยกับลิล…”“ไม่คุย! เราไม่มีเรื่องต้องคุยกันแล้วตุล” ฉันพูดแทรก ถึงแววตาของเขาจะเศร้าแค่ไหนก็คงไม่เท่าวันที่ฉันรู้สึกเจ็บมากที่สุด “มีปัญหาแล้วทำไมไม่ยอมหันหน้าเคลียร์กันตั้งแต่แรก ทำตัวเป็นเด็กไปได้!!” ฉันรู้ว่าพ่อหงุดหงิดมาก ๆ ที่งานหมั้นถูกยกเลิกกะทันหัน “ลุงอยากให้หนูลิลใจเย็น ๆ ก่อนนะ อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจแบบนั้น เปิดโอกาสให้ตาตุลได้อธิบายก่อน” “หนูต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ค่ะ” ฉันยกมือไหว้พ่อของตุลเพื่อให้ท่านเห็นใจ “ตอนนี้หนูเหนื่อยไม่อยากพยายามทำอะไรเพื่อใครอีกแล้ว” “… ยกเลิกงานหมั้นก็ได้ครับ ลิลคงลำบากใจมากที่ต้องหมั้นกับผม” ในที่สุดฉันก็ได้ยินคำนี้ออกจากปากของตุล มันเจ็บปวดราวกับมีมีดหลายเล่มกำลังทิ่มแทงที่อก ไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากจะได้ยินเลยสักนิด แต่มันคือทางออกที่ดีสำหรับเราสองคน “พูดว่ายกเลิกแล้วคิดว่ามันทำได้ง่าย ๆ รึไง งานจะเริ่มพรุ่งนี้ไม่ใช่เดือนหน้าจะทำอะไรทำไมไม่คิดถึงหน้าพ่อบ้างฮะ!!!” พ่อพูดเสียงดังด้วยท่าทางที่หัวเสียมาก ๆ “ไ
ฉันเดินหนีขึ้นมาบนห้องถึงแม้มันจะดูไร้มารยาทไปหน่อยแต่บอกตามตรงว่าไม่พอใจกับการตัดสินของพ่อเอามาก ๆ ตอนนี้ฉันกำลังคิดว่าควรจะทำยังไงดี ควรจะหนีหรือทำตามที่พ่อพูด แล้วถ้ายอมเรื่องมันจะจบง่าย ๆ หรือเปล่า เฮ้อ!! ทำไมถึงจนมุมแบบนี้นะ ฉันทิ้งตัวนอนลงบนเตียงอย่างคิดหนัก ความรู้สึกอยากหนีคน ๆ หนึ่งไปไกล ๆ ทั้งที่ยังรักเขามันเจ็บปวดแบบนี้นี่เอง…เวลา 03:00 น. ฉันถูกปลุกให้ตื่นจากความฝันเพื่อเดินทางไปเตรียมตัวสำหรับเข้าพิธีหมั้น ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะยอมทำตามที่พ่อบอก เพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องเป็นราวไปมากกว่านี้ “อยู่กับหนูไม่ได้เหรอคะ” ฉันอ้อนพี่ชาย เฮียเป็นคนขับรถมาส่งที่โรงแรมแต่ต้องรีบกลับบ้านเพราะมีอีกหลายอย่างที่ต้องจัดเตรียมในตอนเช้า “เดี๋ยวตอนเช้าเฮียก็มาที่โรงแรม อย่างอแงเป็นเด็กแบบนี้สิ” “หนูไม่อยากเจอหน้าเขาเลย”“ไม่ต้องห่วงหลังจบงานหมั้นเฮียจะรีบพาไปต่างประเทศ” “ขอบคุณเฮียมากนะคะที่คอยอยู่ข้าง ๆ แล้วก็เข้าใจหนู” “น้องสาวเฮียทั้งคน” เฮียเฟยยกมือขึ้นมายีผมของฉันเบา ๆ อย่างเอ็นดู ก่อนที่เราจะแยกกัน ฉันเดินเข้ามาในโรงแรม มีพนักงานคอยเดินนำพาไปยังห้องที่ใช้แต่งตัว แต่ก่อนจะเดิน
ฝ่ามือหนาเริ่มซุกซนบีบเคล้นหน้าอกของฉันพร้อมกับริมฝีปากหนาที่จูบหนัก ๆ “อื้อ~” ฉันร้องท้วงในลำคอและดิ้นแรง ๆ แต่ถูกกดทับเอาไว้จึงหนีไปไหนไม่ได้ ผ่านไปครู่หนึ่งริมฝีปากก็ยอมถอนจูบออกไป ก่อนจะเปลี่ยนมาซุกไซร้ที่ซอกคอแทน “ตุลถ้าทำแบบนี้เราจะแต่งตัวไม่ทันนะ” “เพราะฉะนั้นต้องรีบทำใช่ไหม” “มะ… ไม่ใช่ ปล่อยนะ!! ถ้าทำต่ออย่าคิดว่าจะเจอหน้าพี่อีก” เหมือนคำขู่ของฉันมันไร้ประโยชน์เพราะคนด้านบนเริ่มเลื่อนฝ่ามือมาดึงกางเกงของฉันลงจนพ้นเรียวขา ก่อนจะจัดการถอดกางเกงของตัวเอง เรียวขาสองข้างของฉันถูกจับให้อ้าออกกว้าง ๆ ก่อนที่แก่นกายใหญ่จะถูขึ้นลงช้า ๆ แล้วค่อย ๆ สอดใส่เข้ามา จากที่ดิ้นฉันก็หยุดนิ่งทันทีเพราะรู้ว่าหนีไม่ได้แล้ว เมื่อเห็นว่าฉันหยุดนิ่งตุลก็หยัดตัวขึ้น เขามองหน้าฉันครู่หนึ่งโดยที่ไม่ได้พูดอะไร และฉันก็เป็นฝ่ายพูดก่อน“นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายของเรา” สิ้นสุดคำพูดของฉันเสียงทุ้มก็ตอบกลับทันควัน “มันไม่มีทางเป็นครั้งสุดท้าย” เอวสอบเริ่มทำงานกระแทกความเป็นชายเสียดสีร่องแคบถี่ขึ้นตามจังหวัดและเริ่มมีเสียงเนื้อกระทบกันดังขึ้นเรื่อย ๆ พอเห็นว่าฉันนอนนิ่งตุลก็ใช้นิ้วใหญ่แตะลงมาบนติ่งเกส
มันผิดตั้งแต่ฉันคิดที่จะเปิดประตูให้เขาเข้ามาแล้วแหละ แผนถึงได้พังแบบนี้ไง “จะไปไหน?” ไม่ถามเปล่า ตุลค่อย ๆ เดินมาใกล้ฉันเรื่อย ๆ “จะไปไหนมันก็เรื่องของพี่ ทำไมต้องบอกด้วยล่ะ” “ถามว่า จะ ไป ไหน” ครั้งนี้เขากัดฟันถามเสียงแข็ง ใครบ้างจะไม่กลัว ยิ่งเจอสายตาดุดันแบบนั้นจ้องมองอีก ก่อนหน้านี้เขายังสับสนกับตัวเอง ตอนนี้ไม่เป็นแบบนั้นแล้วรึไง พอฉันถอยก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าสำคัญงั้นเหรอ“พี่ซื้อคอนโดไว้ก็เลยเก็บเสื้อผ้าจะย้ายไปอยู่คอนโด” ที่พูดไปแค่หาข้ออ้าง แต่เหมือนอีกคนจะไม่เชื่อ “ทำไมไม่พูดความจริง” “…” ฉันเม้มปากถอยหลังหนีเพราะเราสองคนอยู่ใกล้กันเกินไปแล้ว “ถ้ายอมให้ไปแล้วจะกลับมาไหม จะไปนานแค่ไหน จะกลับมาเมื่อไหร่ แล้วเรื่องของเรามันยังเป็นเหมือนเดิมอยู่ใช่ไหม” คนตรงหน้าถามเสียงสั่นดวงตาคู่นั้นมันเริ่มแดงก่ำขึ้นเรื่อย ๆ “ไปไม่นานหรอกเดี๋ยวพี่ก็กลับ” ฉันตอบคล้ายกำลังปลอบใจเขาอยู่ “ไปด้วยได้ไหม” สีหน้าของเขาเริ่มงอแงเหมือนเด็ก“จะไปได้ยังไง…” ยังพูดไม่จบเสียงของตุลก็แทรกขึ้นมา “เพราะไม่อยากเจอหน้าสินะถึงได้คิดหนีไปไกล ๆ” “ถ้าตุลไม่ลังเลตั้งแต่แรกพี่คงไม่อยากหนีไปไหนหรอก” พอพูดฉั