ตอนนี้ทุกคนเงียบบรรยากาศภายในห้องรับแขกเริ่มอึดอัด ฉันก็ไม่ได้อยากจะตัดสินใจแบบนี้แต่ถ้าปล่อยให้เรื่องหมั้นเกิดขึ้น… มันคงยากที่จะถอย “ผมขอคุยกับลิล…”“ไม่คุย! เราไม่มีเรื่องต้องคุยกันแล้วตุล” ฉันพูดแทรก ถึงแววตาของเขาจะเศร้าแค่ไหนก็คงไม่เท่าวันที่ฉันรู้สึกเจ็บมากที่สุด “มีปัญหาแล้วทำไมไม่ยอมหันหน้าเคลียร์กันตั้งแต่แรก ทำตัวเป็นเด็กไปได้!!” ฉันรู้ว่าพ่อหงุดหงิดมาก ๆ ที่งานหมั้นถูกยกเลิกกะทันหัน “ลุงอยากให้หนูลิลใจเย็น ๆ ก่อนนะ อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจแบบนั้น เปิดโอกาสให้ตาตุลได้อธิบายก่อน” “หนูต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ค่ะ” ฉันยกมือไหว้พ่อของตุลเพื่อให้ท่านเห็นใจ “ตอนนี้หนูเหนื่อยไม่อยากพยายามทำอะไรเพื่อใครอีกแล้ว” “… ยกเลิกงานหมั้นก็ได้ครับ ลิลคงลำบากใจมากที่ต้องหมั้นกับผม” ในที่สุดฉันก็ได้ยินคำนี้ออกจากปากของตุล มันเจ็บปวดราวกับมีมีดหลายเล่มกำลังทิ่มแทงที่อก ไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากจะได้ยินเลยสักนิด แต่มันคือทางออกที่ดีสำหรับเราสองคน “พูดว่ายกเลิกแล้วคิดว่ามันทำได้ง่าย ๆ รึไง งานจะเริ่มพรุ่งนี้ไม่ใช่เดือนหน้าจะทำอะไรทำไมไม่คิดถึงหน้าพ่อบ้างฮะ!!!” พ่อพูดเสียงดังด้วยท่าทางที่หัวเสียมาก ๆ “ไ
ฉันเดินหนีขึ้นมาบนห้องถึงแม้มันจะดูไร้มารยาทไปหน่อยแต่บอกตามตรงว่าไม่พอใจกับการตัดสินของพ่อเอามาก ๆ ตอนนี้ฉันกำลังคิดว่าควรจะทำยังไงดี ควรจะหนีหรือทำตามที่พ่อพูด แล้วถ้ายอมเรื่องมันจะจบง่าย ๆ หรือเปล่า เฮ้อ!! ทำไมถึงจนมุมแบบนี้นะ ฉันทิ้งตัวนอนลงบนเตียงอย่างคิดหนัก ความรู้สึกอยากหนีคน ๆ หนึ่งไปไกล ๆ ทั้งที่ยังรักเขามันเจ็บปวดแบบนี้นี่เอง…เวลา 03:00 น. ฉันถูกปลุกให้ตื่นจากความฝันเพื่อเดินทางไปเตรียมตัวสำหรับเข้าพิธีหมั้น ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะยอมทำตามที่พ่อบอก เพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องเป็นราวไปมากกว่านี้ “อยู่กับหนูไม่ได้เหรอคะ” ฉันอ้อนพี่ชาย เฮียเป็นคนขับรถมาส่งที่โรงแรมแต่ต้องรีบกลับบ้านเพราะมีอีกหลายอย่างที่ต้องจัดเตรียมในตอนเช้า “เดี๋ยวตอนเช้าเฮียก็มาที่โรงแรม อย่างอแงเป็นเด็กแบบนี้สิ” “หนูไม่อยากเจอหน้าเขาเลย”“ไม่ต้องห่วงหลังจบงานหมั้นเฮียจะรีบพาไปต่างประเทศ” “ขอบคุณเฮียมากนะคะที่คอยอยู่ข้าง ๆ แล้วก็เข้าใจหนู” “น้องสาวเฮียทั้งคน” เฮียเฟยยกมือขึ้นมายีผมของฉันเบา ๆ อย่างเอ็นดู ก่อนที่เราจะแยกกัน ฉันเดินเข้ามาในโรงแรม มีพนักงานคอยเดินนำพาไปยังห้องที่ใช้แต่งตัว แต่ก่อนจะเดิน
ฝ่ามือหนาเริ่มซุกซนบีบเคล้นหน้าอกของฉันพร้อมกับริมฝีปากหนาที่จูบหนัก ๆ “อื้อ~” ฉันร้องท้วงในลำคอและดิ้นแรง ๆ แต่ถูกกดทับเอาไว้จึงหนีไปไหนไม่ได้ ผ่านไปครู่หนึ่งริมฝีปากก็ยอมถอนจูบออกไป ก่อนจะเปลี่ยนมาซุกไซร้ที่ซอกคอแทน “ตุลถ้าทำแบบนี้เราจะแต่งตัวไม่ทันนะ” “เพราะฉะนั้นต้องรีบทำใช่ไหม” “มะ… ไม่ใช่ ปล่อยนะ!! ถ้าทำต่ออย่าคิดว่าจะเจอหน้าพี่อีก” เหมือนคำขู่ของฉันมันไร้ประโยชน์เพราะคนด้านบนเริ่มเลื่อนฝ่ามือมาดึงกางเกงของฉันลงจนพ้นเรียวขา ก่อนจะจัดการถอดกางเกงของตัวเอง เรียวขาสองข้างของฉันถูกจับให้อ้าออกกว้าง ๆ ก่อนที่แก่นกายใหญ่จะถูขึ้นลงช้า ๆ แล้วค่อย ๆ สอดใส่เข้ามา จากที่ดิ้นฉันก็หยุดนิ่งทันทีเพราะรู้ว่าหนีไม่ได้แล้ว เมื่อเห็นว่าฉันหยุดนิ่งตุลก็หยัดตัวขึ้น เขามองหน้าฉันครู่หนึ่งโดยที่ไม่ได้พูดอะไร และฉันก็เป็นฝ่ายพูดก่อน“นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายของเรา” สิ้นสุดคำพูดของฉันเสียงทุ้มก็ตอบกลับทันควัน “มันไม่มีทางเป็นครั้งสุดท้าย” เอวสอบเริ่มทำงานกระแทกความเป็นชายเสียดสีร่องแคบถี่ขึ้นตามจังหวัดและเริ่มมีเสียงเนื้อกระทบกันดังขึ้นเรื่อย ๆ พอเห็นว่าฉันนอนนิ่งตุลก็ใช้นิ้วใหญ่แตะลงมาบนติ่งเกส
มันผิดตั้งแต่ฉันคิดที่จะเปิดประตูให้เขาเข้ามาแล้วแหละ แผนถึงได้พังแบบนี้ไง “จะไปไหน?” ไม่ถามเปล่า ตุลค่อย ๆ เดินมาใกล้ฉันเรื่อย ๆ “จะไปไหนมันก็เรื่องของพี่ ทำไมต้องบอกด้วยล่ะ” “ถามว่า จะ ไป ไหน” ครั้งนี้เขากัดฟันถามเสียงแข็ง ใครบ้างจะไม่กลัว ยิ่งเจอสายตาดุดันแบบนั้นจ้องมองอีก ก่อนหน้านี้เขายังสับสนกับตัวเอง ตอนนี้ไม่เป็นแบบนั้นแล้วรึไง พอฉันถอยก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าสำคัญงั้นเหรอ“พี่ซื้อคอนโดไว้ก็เลยเก็บเสื้อผ้าจะย้ายไปอยู่คอนโด” ที่พูดไปแค่หาข้ออ้าง แต่เหมือนอีกคนจะไม่เชื่อ “ทำไมไม่พูดความจริง” “…” ฉันเม้มปากถอยหลังหนีเพราะเราสองคนอยู่ใกล้กันเกินไปแล้ว “ถ้ายอมให้ไปแล้วจะกลับมาไหม จะไปนานแค่ไหน จะกลับมาเมื่อไหร่ แล้วเรื่องของเรามันยังเป็นเหมือนเดิมอยู่ใช่ไหม” คนตรงหน้าถามเสียงสั่นดวงตาคู่นั้นมันเริ่มแดงก่ำขึ้นเรื่อย ๆ “ไปไม่นานหรอกเดี๋ยวพี่ก็กลับ” ฉันตอบคล้ายกำลังปลอบใจเขาอยู่ “ไปด้วยได้ไหม” สีหน้าของเขาเริ่มงอแงเหมือนเด็ก“จะไปได้ยังไง…” ยังพูดไม่จบเสียงของตุลก็แทรกขึ้นมา “เพราะไม่อยากเจอหน้าสินะถึงได้คิดหนีไปไกล ๆ” “ถ้าตุลไม่ลังเลตั้งแต่แรกพี่คงไม่อยากหนีไปไหนหรอก” พอพูดฉั
#ภายในบ้าน ตอนแรกฉันคิดว่ามีคนอยู่แต่พอเข้ามาบ้านมันเงียบและวังเวง แถมมองไปรอบ ๆ บริเวณนี้ไม่มีบ้านหลังอื่นตั้งอยู่เลย ยิ่งทำให้บรรยากาศวังเวงคูณสองขึ้นไปอีก “นอนห้องนั้นนะ”“อ่ะ” ฉันสะดุ้งกับเสียงพูด ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่หันมาเจอตุล ถึงจะไม่อยากอยู่กับเขาแต่ตอนนี้การมีเขาอยู่ใกล้ ๆ มันทำให้สบายใจมากที่สุด “กลัวผีขนาดนั้น?”“เปล่าไม่ได้กลัว” ฉันพยายามแสดงท่าทางให้ปกติที่สุด “ให้พี่นอนห้องนั้นใช่ไหม” “หมายถึงเราสองคนนอนห้องนั้นต่างหาก” พูดจบเขาก็ทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่ “ทำไมต้องนอนห้องเดียวกันด้วยในเมื่อไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว” “เพิ่งหมั้นไม่ทันไรจะมาพูดว่าไม่ได้เป็นอะไรกันแบบนี้ เสียใจฉิบ!!” ดูก็รู้ว่าความเสียใจของเขามันเป็นแค่การแสดง “ห้ามตามมานะ” ฉันเหนื่อยที่จะพูดแล้วจริง ๆ อยากพักแล้วพรุ่งนี้ค่อยคิดหาวิธีว่าจะเอายังไงต่อ “บ้านหลังนี้มีห้องนอนแค่ห้องเดียว” พอฉันจะเดินเข้าห้องตุลก็พูดขัดขึ้น ทำให้ต้องชะงัก บ้านหลังนี้เป็นบ้านชั้นเดียวสไตล์โมเดิร์น ไม่น่าเชื่อว่าจะมีห้องนอนเพียงแค่ห้องเดียว เมื่อไม่เชื่อฉันจึงใช้สายตากวาดมองไปรอบ ๆ บ้าน ทำให้เริ่มหวั่นใจเพราะนอกจากห้องโ
ฉันเดินตามตุลไปที่ครัว เห็นว่าเขากำลังตั้งใจทำอาหารและสายตาก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์ที่กำลังเปิดยูทูบดู แล้วไหนบอกว่าไม่มีสัญญาณ!! ถ้าไม่มีแล้วเขาจะเล่นอินเตอร์เน็ตได้ยังไง “ไหนบอกว่าไม่มีสัญญาณไง แล้วดูยูทูบได้ยังไง” ฉันกอดอกถามพร้อมกับใช้สายตามองอย่างหาเรื่อง ตุลหันมาแต่มือยังจับตะหลิวผัดบางอย่างในกระทะอยู่ เขายิ้มก่อนจะตอบ “อัปโหลดคลิปเอาไว้ในเครื่องไง มีคลิปสอนทำอาหารเป็นร้อยคลิปเลยนะ” “นี่คงจะวางแผนมาอย่างดีเลยสินะ” “ก็ประมาณนั้น” เขาหันกลับไปมองกระทะแล้วพูด “เพิ่งหัดทำครั้งแรก อร่อยไม่อร่อยก็ต้องกินนะรู้ไหม ห้ามคายทิ้ง” “ไม่กิน” ฉันกระชากเสียงตอบก่อนจะเดินกระแทกเท้าออกมาจากครัว แล้วเดินออกมาหน้าบ้าน ฉันยืนที่หน้าบ้านมองทิวทัศน์ตรงหน้าที่สวยราวกับภาพวาด “สวยจัง” มันอดเอ่ยปากออกมาไม่ได้จริง ๆ บ้านหลังนี้ตั้งอยู่จุดที่สูงจึงทำให้มองเห็นวิวรอบ ๆ ได้ร้อยแปดสิบองศาเลยทีเดียว ตรงหน้ามีภูเขามองเห็นสุดลูกหูลูกตาและมีหมอกลงบาง ๆ มันเป็นภาพที่สวยมาก ๆ จนไม่อาจละสายตา ชีวิตของฉันอยู่แค่ในเมืองไม่ได้เจอความสวยงามของธรรมชาติแบบนี้มานานมากแล้ว จึงทำให้เคลิบเคลิ้ม “นี่มันไม่ใช่เวลามาเคลิ
ใบหน้าคมคายโน้มลงมาซุกซอกคอพร้อมกับใช้ริมฝีปากหยักขบเม้มผิวอ่อนจนรู้สึกเจ็บจี๊ดเบา ๆ ทั้งที่รู้ว่ามันต้องเป็นรอยแดงแน่ ๆ ทว่าฉันกลับครวญครางออกมาอย่างพึงพอใจ “หอมจัง” “อื้อ” มือหนาดึงผมของฉันเบา ๆ เพื่อให้ใบหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ปลายจมูกโด่งจะค่อย ๆ ไล้ผิวจากบริเวณซอกคอไต่ขึ้นมายังพวงแก้มและจบที่ใบหู ลมหายใจอุ่น ๆ ถูกพ่นเข้ามาข้างในชวนให้ซ่านสยิวจนต้องห่อตัวเกร็งฝ่ามือใหญ่เลื่อนมาบีบเคล้นหน้าอกสองข้างเบา ๆ ก่อนจะสอดล้วงมือเข้ามาในสาบเสื้อเพื่อสัมผัสผิวเนื้ออ่อนนุ่ม ปลายนิ้วเฉียดโดนยอดถันผ่าน ๆ ทำเอาขนอ่อนตามร่างกายลุกชูชัน ใจฉันอยากผลักเขาออกแทบแย่ แต่เรี่ยวแรงกลับน้อยนิดเหลือเกิน “ขอถอดเสื้อได้ไหม?” ตุลกระซิบขอเสียงกระเส่าข้างใบหู ในเวลานี้รู้สึกว่าเสียงของเขามันมีเสน่ห์จนฉันเคลิบเคลิ้มหนักกว่าเดิม มันไม่ใช่การขอเพื่อรอฟังคำตอบ แต่เป็นการขอเพื่อกระตุ้นอารมณ์ ชายเสื้อของฉันถูกถกขึ้นมากองเอาไว้บนเนินหน้าอก สายตาของตุลคู่นั้นหื่นกามมากกว่าฉันที่ถูกวางยาเสียอีก ริมฝีปากหนาก้มลงงับปลายจุกไว้ในโพรงปากอุ่น ก่อนจะตะโบมดูดกลืนเม็ดไตที่แข็งสู้ลิ้นอย่างหื่นกระหายราวกับอดอยากมานานจน
Talk - ลลิลแสงแดดยามเช้าเป็นนาฬิกาปลุกทำให้ฉันตื่นจากฝัน มันรู้สึกปวดเนื้อระบมตัวไปหมด เมื่อลืมตาขึ้นสมองก็เริ่มประมวลผลเหตุการณ์ที่สุดแสนจะอับอายเมื่อวานจำได้ว่าฉันกินข้าวแล้วรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ และมารู้ทีหลังว่าอาหารนั้นผสมยาปลุกเซ็กซ์ แน่นอนว่าตอนนี้ฉันนอนเปลือยกายไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้า ก้มมองที่ตัวมันมีแต่ไปด้วยรอยแดงเต็มไปหมด ในขณะที่กำลังคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ประตูห้องน้ำก็ได้เปิดออกก่อนที่ร่างของตุลจะเดินยิ้มร่าออกมาจากห้องน้ำอย่างอารมณ์ดี “ตื่นแล้วเหรอครับที่รัก ^_^” “อื้อตื่นแล้ว” “หิวไหม ทำอาหารเช้าไว้ให้แล้วนะ เมื่อวานคงจะเสียพลังงานไปเยอะ ^_^”“ตุลช่วยหยิบผ้าขนหนูให้พี่หน่อยสิ” เขาทำตามอย่างว่าง่าย ไม่นานผ้าขนหนูก็ถูกยื่นมาตรงหน้า ไม่รอช้าฉันรีบคว้ามันมาพันตัวก่อนจะลุกขึ้นยื่นประจันหน้ากับผู้ชายที่อายุน้อยกว่าเพี๊ยะ!! นี่คือเสียงมือของฉันที่ฟาดลงบนใบหน้าคมคายอย่างแรง “ต้องทำขนาดนี้เลยหรือไง พอใจแล้วใช่ไหม” สิ้นสุดคำถาม ฉันก็ฟาดมือไปที่ใบหน้าเขาอีกครั้งโดยไม้รอฟังคำตอบ“… ลิลฟังก่อนได้ไหม”“รู้ไหมว่าการใช้วิธีแบบนั้นมันเลวทรามต่ำช้าขนาดไหน!!”“ข… ขอโทษ ไม่คิดว่าจะโ