ร้านสะดวกซื้อในหมู่บ้าน
"กินกาแฟดีกว่า" ลินายืนเลือกระหว่างนมกับกาแฟที่เรียงกันอยู่ในตู้เย็นขนาดใหญ่แต่เธอยังไม่ทันได้หยิบอะไรก็ต้องตกใจ เพราะว่าเธอเห็นคนหน้าเหมือนกับปาวกะมากกำลังมาเดินเลือกซื้อนมใส่รถเข็นไปประมาณเกือบสิบขวดใหญ่ได้ หญิงสาวต้องรีบหลบเข้าไปอีกฝั่งตรงชั้นวางขนมขบเคี้ยว ในขณะที่ผู้ชายร่างสูงที่เธอหลบอยู่นั้นกำลังเดินเข็นรถเข็นมา 'เขาต้องชดใช้ เธอรู้ไหม เขามาอยู่บนโลกมนุษย์นี้แล้ว' จู่ๆ ลินาก็นึกคำพูดของผีผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา งั้นก็แสดงว่าพลังของเขาอาจจะหมดไปด้วยถึงได้มาเดินซื้อนมกินแบบนี้ แต่เธอก็หลบหน้าได้ไม่เท่าไหร่เขาก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของหญิงสาว "ปาวกะ" ลินาอุทานเรียกชื่อของเขาอยู่ในลำคอ "เจ้า!" นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนแกมเขียวเพ่งมองมายังลินา ทำให้เธอเกิดรู้สึกประหม่าทันที หญิงสาวยืนสบตากับเขาและนี่ครั้งแรกที่รู้สึกว่าเธอสบตากับเขานานกว่าทุกครั้ง ดวงตาของเขามันไม่ได้เป็นสีแดงเหมือนครั้งก่อนๆ และที่สำคัญดวงตาของเขา…สวยจัง ปาวกะเปลี่ยนทรงผมใหม่หรือบางทีมันอาจจะเป็นทรงเดิมที่ไม่ได้ถูกเซทขึ้น เหมือนครั้งที่แล้วที่เจอกัน ผมหน้าม้าที่ถูกปล่อยลงมาปกคิ้วมันสะท้อนกับไฟบนเพดานของร้านสะดวกซื้อ ทำให้เห็นความเงางามของเส้นผมนั้นอย่างน่าหลงใหล "ข้าชื่อ อคิราห์" เขาตอบเสียงราบเรียบ "อ๋อ…สงสัยฉันทักคนผิดค่ะ ขอโทษนะคะ" ลินาโค้งคำนับให้เขา จะเป็นไปได้ไงหน้าเหมือนกันอย่างกับแกะขนาดนี้หญิงสาวยืนเกาหัวอย่างงงๆ "เจ้าเลิกขอพรพร่ำเพ้อได้แล้ว มันน่ารำคาญ" น้ำเสียงใหญ่โทนต่ำพูดขึ้น ทำให้เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความสูงที่ต่างกันเกือบสามสิบเซนติเมตร "คะ" ลินายังไม่ทันได้พูดอะไรตอบ เขาก็เดินเข็นรถออกไปจ่ายเงิน เธอมองตามหลังผู้ชายร่างสูงใหญ่นั้นไป และเขาใส่ชุดสีดำทั้งชุดอย่างกับพวกมาเฟียเหมือนที่พ่อของเธอพูดไว้ไม่มีผิด …..และเขาเหมือนปาวกะมาก ครืดๆ ครืดๆ เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของลินาสั่นเพราะมีสายเข้า 'ว่าไงเรย์' หญิงสาวเอ่ยถาม 'ลินา รีบมาบ้านเลยนะพ่อไม่สบาย อยู่ๆ ก็ล้มไปพวกเรากำลังพาพ่อไปหาหมอ' เสียงปลายสายคือเรย์ที่กำลังร้อนใจพูด 'พ่อ..พ่อล้มเหรอ' ลินาไม่รอให้น้องชายของตัวเองตอบอีกครั้ง กลับรีบวิ่งไปสตาร์ทรถยนต์ที่จอดไว้ข้างร้านสะดวกซื้อ ใช่บ้านของเธอมีรถยนต์คันเดียว หญิงสาวร่างบางขับรถไปด้วยใจวิตกกังวลกับอาการป่วยของพ่อเธอเป็นอย่างมาก ระยะทางเพียงแค่หนึ่งกิโลเมตรทำไมมันถึงไกลขนาดนี้ "ลินาๆ มีรถพยาบาลมารับพ่อของเธอไปแล้ว แม่กับน้องชายเธอก็ไปด้วยนะ" หญิงวัยกลางคนที่อยู่ข้างบ้านของลินาตะโกนเข้ามาในบ้าน หลังจากที่เห็นหญิงสาวลงจากรถยนต์มา "ป้าอิง พ่อเป็นยังไงบ้างคะ พ่อรู้สึกตัวไหมคะ" หญิงสาวรีบวิ่งไปยืนเกาะตรงขอบรั้วเพราะบ้านของทั้งสองรั้วติดกัน "พ่อของเธอไม่รู้สึกตัวเลย รถพยาบาลมารับไปแล้ว" หญิงสาวพยักหน้าแล้ววิ่งกลับไปที่รถยนต์ทันที "ลินา อย่าลืมล็อกบ้านดีๆ นะ" ป้าอิงตะโกนมาอีกครั้ง ป้าอิงคือป้าข้างบ้านที่โสดและมีอายุห้าสิบห้าปีแล้ว แกขึ้นชื่อรู้เรื่องของคนในหมู่บ้านดีที่สุด ถึงแม้บางครั้งลินาเองจะรู้สึกรำคาญแกอยู่นิดๆ ที่ชอบอยากรู้อยากเห็นเรื่องคนอื่นไปซะหมด แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลย "ค่ะป้าอิง ขอบคุณนะคะ" ที่โรงพยาบาล "แม่คะ พ่อเป็นยังไงบ้างคะ" ลินาถามแม่ที่กำลังนั่งก้มหน้าร้องไห้สะอื้น "พ่อไม่รู้สึกตัวเลย หมอกำลังช่วยอยู่ ฮือๆ" หญิงสาวสวมกอดแม่ที่กำลังร้องไห้และเรย์ก็มายืนโอบกอดทั้งพี่สาวและแม่ของเขาอีกที หญิงสาวเห็นว่าดวงตาของน้องชายแดงมาก เหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้มา แล้วทีนี้เราจะทำยังไงกันดี หมอบอกว่าพ่อของเธอป่วยเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารระยะสุดท้ายและจะอยู่ได้อีกไม่นาน ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับครอบครัวของเธอด้วย พ่อไม่เคยมีอาการอะไรแบบนั้นเลยหรือหมออาจจะตรวจผิด พ่อต้องทนเจ็บปวดมากแค่ไหนกับโรคร้ายนั่น ลินาคิดพร้อมกับปล่อยน้ำตาให้ไหลรินกับความเสียใจ เธอนอนคว่ำหน้าลง ร้องไห้กับหมอนแบบกลั้นเสียงร้องไห้ไว้ เพราะเธอกลัวว่าเรย์น้องชายของตัวเองจะได้ยินแล้วทำให้เขาใจไม่ดีไปด้วย เพราะทั้งสองคนพี่น้องกลับมาที่บ้านเพื่อเก็บของและกำลังจะออกไปเฝ้าพ่ออีกครั้ง "ได้โปรดเถอะ ช่วยคุ้มครองพ่อของหนูให้ปลอดภัย ช่วยให้พ่อหายป่วยจากโรคร้ายนั้นได้ไหม ช่วยพ่อของหนูเถอะนะ" หญิงสาวนอนพูดแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างกับคนหมดหวัง ใช่เธอหมดหวังแล้วจริงๆ เธอยังทำใจไม่ได้ทุกอย่างมันเร็วเกินไป พอลินากับน้องชายมาถึงที่โรงพยาบาล แม่ของทั้งสองก็วิ่งหน้าตื่นมา บอกว่าพ่อฟื้นแล้ว และอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดทำให้พวกเขาทั้งสามกอดกันร้องไห้ด้วยความดีใจอีกครั้ง ที่บ้านเกิดของลินา กรุ๊งกริ๊งๆ ลินาที่กำลังอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำถึงกับขนลุก เมื่อเสียงกังสดาลกระดิ่งลมที่แขวนตรงประตูดังขึ้นเหมือนมีใครมาโดนมันทำให้เกิดเสียงนั้น หรือจะเป็นเรย์ที่ลืมของเลยกลับมาเอางั้นเหรอ "เรย์…เรย์เหรอ" หญิงสาวตะโกนออกไป เพราะถ้าเป็นพ่อกับแม่ของเธอคงสูงไม่ถึงที่หัวจะชนกังสดาลนั้นหรอก ก็มีแต่…เรย์ ที่สูงพอที่หัวจะชนทำให้เกิดเสียงอยู่บ้างนิดหน่อย แต่เมื่อกี้เสียงมันดังแรงมาก เมื่อเธอเรียกชื่อน้องชายของเธอก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา ทำให้ลินารีบคว้าผ้าขนหนูสีขาวมานุ่งกระโจมอกและรีบเปิดประตูออกไปดูในทันที "ไม่เห็นมีใครเลย อาจจะเป็นลมที่พัดเข้ามาก็ได้" เธอพูดปลอบใจตัวเองไปอย่างนั้น ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าหน้าต่างไม่ได้เปิด แถมประตูก็ยังถูกปิดสนิทอีก "สองทุ่ม" เธอหันไปดูนาฬิกาที่แขวนตรงฝาผนัง ยังไม่ดึกมากพอที่ผีจะมาหลอกคนได้เธอคิดแบบนั้นจึงเดินเข้าไปอาบน้ำต่อ แต่ก็สังเกตเหมือนว่ามีสิ่งมีชีวิตสีขาวนวลที่นอนหายใจจนท้องกระเพื่อมอยู่บนเตียงของเธอ "แมวเหรอ" หญิงสาวจับแมวอุ้มขึ้นมาแต่มันยังคงนอนหลับปุ๋ยตัวอ่อนปวกเปียกเพราะหลับสนิท "พี่น่ะ ตกใจหมดแต่เข้ามาได้ไงเนี่ย คงง่วงมากล่ะสิ" เธอเอาใบหน้าถูกับจมูกสีชมพูของมันอย่างเอ็นดู ขนสีขาวที่ดูสะอาดสะอ้าน แถมยังมีกลิ่นหอมจากน้ำยาปรับผ้านุ่มอีกไม่รู้ว่าแมวของใครหลุดมา แต่ทำไม มันถึงเหมือนแมวที่เธอเจอเมื่อวันก่อนตอนอยู่ในห้องของปาวกะกันล่ะ "ทำไม หนูน่ารักขนาดนี้เนี่ย จุ๊บ" ลินาจุ๊บไปที่ปากสีชมพูของมันเบาๆ พึ่บ! ไฟดับ แล้วจู่ๆ ร่างของเธอที่นุ่งผ้าขนหนูสีขาวกระโจมอกอยู่ ก็ถูกร่างกายที่ใหญ่โตกดทับเอาไว้ "ขโมยยย ชะ..ช่วยด้วย" ร่างบางตะโกนจนสุดเสียงแต่ก็มีมือหนาๆ มาปิดปากไว้ซะก่อน ทำให้เธอดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดใหญ่โตนั้นอย่างไม่มีทางที่จะหลุดออกมาได้ "เมื่อไหร่เจ้าจะเลิกขอพรพร่ำเพรื่อ ข้ารำคาญ" เสียงทุ้มใหญ่น่าเกรงขามนั้นพูดอยู่ข้างใบหูของเธอในระยะลมหายใจร้อนผ่าวของเขาที่รดต้นคอของหญิงสาวจนเธอถึงกับห่อไหล่ "ปาวกะ" ร่างบางพูดขึ้น "อคิราห์ ข้า…อคิราห์" เสียงทุ้มใหญ่พูดย้ำด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ปล่อยก่อน" ร่างบางดันตัวเองออกจากอ้อมแขนที่แข็งแรงของเขาจนสุดกำลัง แล้วจู่ๆ ไฟก็ติดขึ้นมาทำให้เธอเห็นผู้ชายที่ใส่ชุดสีดำที่นอนอยู่บนเตียงได้ถนัดตาแต่เขายังคงนอนหลับตาอยู่ "คุณไม่ควรมาอยู่ที่ห้องนี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นปาวกะหรืออคิราห์" หญิงสาวรีบเอามือปิดป้องหน้าอกตัวเองเมื่อเขาลืมตาขึ้นมามองเธอ ผมหน้าม้าที่ปิดจนถึงคิ้วของเขาพลิ้วไหว เธอคิดว่าเพียงแค่เธอยกผมนั้นขึ้นก็จะรู้ทันทีว่าเขาเป็นปาวกะจริงอย่างที่เธอคิดไว้หรือไม่ หญิงสาวนึกถึงคิ้วที่ยกสูงเหมือนคนตกใจตลอดเวลา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขาที่เจอกันครั้งแรกนั้น มันทำให้หญิงสาวไม่สามารถลืมไปได้เลยจากท้องฟ้าที่เคยเป็นสีฟ้าครามสดใส ก็กลับกลายเป็นสีดำมืดสนิทราวกับกลางคืนที่ไร้แสงของดวงดาวและจันทรา แม้แต่ถนนหนทางยังคงมืดมิดพายุก่อตัวขึ้น มันหมุนราวกับเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่สามารถกลืนกินตึกขนาดสี่สิบชั้นเข้าไปให้หายไปกับตา ผู้คนต่างยกมือไหว้ร้องขอชีวิตจากพระผู้เป็นเจ้า ทั้งสายฝนและพายุต่างพัดโหมกระหน่ำจนรถยนต์ที่กำลังแล่นอยู่ปลิวไปกับแรงหมุนของลมอย่างไร้ทิศทาง ไม่รู้ว่าความเร็วของลมมฤตยูนี้มันแรงแค่ไหนที่สามารถพัดและดูดกลืนกินตึกเข้าไปภายในวงโคจรของมันหญิงสาววัยยี่สิบสองหน้าตาสะสวยร้องไห้สั่นระริกบนรถประจำทางที่ดับเครื่องยนต์สนิท เพราะระบบภายในรถขัดข้องไปหมดทำให้ไม่สามารถเปิดประตูรถออกไปได้ ทุกคนในรถต่างร้องไห้กันระงม เวลานี้เธอคิดถึงพ่อกับแม่และน้องชายของตัวเองที่อยู่ต่างจังหวัดมากเหลือเกิน ถ้ารู้ว่าจะต้องมาตายแบบนี้คงจะทำดีกับพวกเขาให้มากๆ“หรือนี่อาจจะเป็นวันสุดท้ายที่ฉันจะได้อยู่บนโลกใบนี้” หญิงสาวดวงตาคมโตเบิกโพลงจ้องมองไปยังพายุหมุน ที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาทางรถบัสประจำทางที่เธอนั่งอยู่ ผู้คนที่ติดอยู่ในรถต่างมองหาไม้หรือของแข็งเพื่อที่จะทุบกระจกหน้าต่างให้แตกออกไปแต่ทันใด
"เจ้าอยู่ในห้องนี้เงียบๆ ถ้าข้าจัดการปัญหาเสร็จแล้ว จะรีบกลับมา" เมื่อเขาพูดจบก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาของลินาทำให้หญิงสาวตกใจไม่น้อย"นี่มันอะไรกัน หัวใจฉันจะวายตายอยู่แล้ว" ลินารีบเอามือทาบอกของตัวเองผ่อนลมหายใจเข้าออกเพื่อลดความหวาดกลัวนั้น"เขาไปแล้ว ปาวกะ (ปา-วะ-กะ) ไปแล้ว ไปดูผู้หญิงคนนั้นกัน" หญิงสาวที่ยังอยู่ในอาการหวาดกลัวกับสิ่งที่ได้เห็นเมื่อครู่ เธอยังไม่ทันหายตกใจก็กลับได้ยินเสียงคนพูดในห้องนี้อีก แต่ทำไมเธอถึงมองไม่เห็นคนพูดกันล่ะ"เมื่อกี้แกเห็นไหม เขาเอาเลือดของเขาให้เธอดื่ม เธอหายจากอาการบาดเจ็บไปเลย" ลินาถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงพูดพร้อมกับมือที่เย็นเฉียบมาจับที่แขนของเธอ มันเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง"กรี๊ดดด" ลินากรีดร้องดังลั่นห้องนี่ผีหลอกเธอกลางวันแสกๆ เลยเหรอ ความหวาดกลัวทำให้เธอท่องบทสวดนะโมตัสสะ นะโมตัสสะไปด้วยใจสั่นระริกราวกับกลองเพล"อย่าท่องเลยแม่หนู พวกเราไม่กลัวหรอก" เสียงผีผู้หญิงแก่มากระซิบที่ข้างหูของลินา ทำให้หญิงสาวต้องนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่บนเตียง สลับกับเสียงพูดคุยของผีผู้ชาย ที่เธอได้ยินแค่เสียงแต่ไม่เห็นตัวตนของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ"อย่ากลัวพวกเร
"อย่าเลยเปล่าประโยชน์ เพราะเขาไม่ให้เธอไป" เสียงผีผู้ชายพูดขึ้นในลิฟต์ ลินาได้ยินหมดทุกอย่างแต่ก็ต้องแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วอีกอย่างเธอเองก็คิดว่าผีพวกนั้นต้องรู้ว่าเธอได้ยินหมดเพราะเอาแต่พูดใส่หูของเธอไม่หยุดไม่หย่อน "ฉันอยากเป็นคนรักของปาวกะ" เสียงผีสาวพูดขึ้น "ก็ลองดูถ้าเธอไม่กลัวเขาเผาตายซะก่อน ไม่มีใครอยู่ใกล้เขาได้ถ้าเขาไม่อนุญาต" เสียงผีผู้ชายตะเบ็งขึ้น ‘นั่นสิถ้าเขาไม่อนุญาตเธอก็ไม่มีสิทธิ์โดนตัวของเขาสินะ’ ลินาเดินลูบแขนของตัวเองเมื่อนึกถึงความเจ็บปวดที่ชายลึกลับผู้นั้นมอบให้ ร่างกายของเขาร้อนราวกับไฟ ทำไมชายผู้นั้นถึงทนกับความร้อนได้ขนาดนั้น หญิงสาวตัดสินใจเดินออกมาจากลิฟต์และกลับมายังห้องเดิมอีกครั้ง ชายที่เคยนั่งอยู่ตรงโซฟาตัวนี้หายไปแล้ว แต่เธอก็ต้องแปลกใจที่เห็นแมวตัวสีขาวปลอดขาวสะอาดอย่างกับสำลี นอนหลับท้องกระเพื่อมจากการหายใจเข้าออก ลินามองดูอยู่สักพักขนมันคงจะนุ่มมากๆ ดูจมูกสีชมพูนั้นสิ อุ้งเท้าสีชมพูแดงๆ จนหญิงสาวอดไม่ได้ที่จะเอาใบหน้าเข้าไปใกล้แมวที่นอนหลับปุ๋ยอยู่นั้น หรือว่าจะเป็นแมวของปาวกะที่เลี้ยงเอาไว้ หญิงสาวจึงค่อยๆ เอามือลูบขนของมันเบาๆ อย่างเอ็นดู
ร้านสะดวกซื้อในหมู่บ้าน"กินกาแฟดีกว่า" ลินายืนเลือกระหว่างนมกับกาแฟที่เรียงกันอยู่ในตู้เย็นขนาดใหญ่แต่เธอยังไม่ทันได้หยิบอะไรก็ต้องตกใจ เพราะว่าเธอเห็นคนหน้าเหมือนกับปาวกะมากกำลังมาเดินเลือกซื้อนมใส่รถเข็นไปประมาณเกือบสิบขวดใหญ่ได้หญิงสาวต้องรีบหลบเข้าไปอีกฝั่งตรงชั้นวางขนมขบเคี้ยว ในขณะที่ผู้ชายร่างสูงที่เธอหลบอยู่นั้นกำลังเดินเข็นรถเข็นมา'เขาต้องชดใช้ เธอรู้ไหม เขามาอยู่บนโลกมนุษย์นี้แล้ว' จู่ๆ ลินาก็นึกคำพูดของผีผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา งั้นก็แสดงว่าพลังของเขาอาจจะหมดไปด้วยถึงได้มาเดินซื้อนมกินแบบนี้ แต่เธอก็หลบหน้าได้ไม่เท่าไหร่เขาก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของหญิงสาว"ปาวกะ" ลินาอุทานเรียกชื่อของเขาอยู่ในลำคอ"เจ้า!" นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนแกมเขียวเพ่งมองมายังลินา ทำให้เธอเกิดรู้สึกประหม่าทันที หญิงสาวยืนสบตากับเขาและนี่ครั้งแรกที่รู้สึกว่าเธอสบตากับเขานานกว่าทุกครั้ง ดวงตาของเขามันไม่ได้เป็นสีแดงเหมือนครั้งก่อนๆ และที่สำคัญดวงตาของเขา…สวยจังปาวกะเปลี่ยนทรงผมใหม่หรือบางทีมันอาจจะเป็นทรงเดิมที่ไม่ได้ถูกเซทขึ้น เหมือนครั้งที่แล้วที่เจอกัน ผมหน้าม้าที่ถูกปล่อยลงมาปกคิ้วมันสะท้อนกับไฟบนเพดานข
"อย่าเลยเปล่าประโยชน์ เพราะเขาไม่ให้เธอไป" เสียงผีผู้ชายพูดขึ้นในลิฟต์ ลินาได้ยินหมดทุกอย่างแต่ก็ต้องแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วอีกอย่างเธอเองก็คิดว่าผีพวกนั้นต้องรู้ว่าเธอได้ยินหมดเพราะเอาแต่พูดใส่หูของเธอไม่หยุดไม่หย่อน "ฉันอยากเป็นคนรักของปาวกะ" เสียงผีสาวพูดขึ้น "ก็ลองดูถ้าเธอไม่กลัวเขาเผาตายซะก่อน ไม่มีใครอยู่ใกล้เขาได้ถ้าเขาไม่อนุญาต" เสียงผีผู้ชายตะเบ็งขึ้น ‘นั่นสิถ้าเขาไม่อนุญาตเธอก็ไม่มีสิทธิ์โดนตัวของเขาสินะ’ ลินาเดินลูบแขนของตัวเองเมื่อนึกถึงความเจ็บปวดที่ชายลึกลับผู้นั้นมอบให้ ร่างกายของเขาร้อนราวกับไฟ ทำไมชายผู้นั้นถึงทนกับความร้อนได้ขนาดนั้น หญิงสาวตัดสินใจเดินออกมาจากลิฟต์และกลับมายังห้องเดิมอีกครั้ง ชายที่เคยนั่งอยู่ตรงโซฟาตัวนี้หายไปแล้ว แต่เธอก็ต้องแปลกใจที่เห็นแมวตัวสีขาวปลอดขาวสะอาดอย่างกับสำลี นอนหลับท้องกระเพื่อมจากการหายใจเข้าออก ลินามองดูอยู่สักพักขนมันคงจะนุ่มมากๆ ดูจมูกสีชมพูนั้นสิ อุ้งเท้าสีชมพูแดงๆ จนหญิงสาวอดไม่ได้ที่จะเอาใบหน้าเข้าไปใกล้แมวที่นอนหลับปุ๋ยอยู่นั้น หรือว่าจะเป็นแมวของปาวกะที่เลี้ยงเอาไว้ หญิงสาวจึงค่อยๆ เอามือลูบขนของมันเบาๆ อย่างเอ็นดู
"เจ้าอยู่ในห้องนี้เงียบๆ ถ้าข้าจัดการปัญหาเสร็จแล้ว จะรีบกลับมา" เมื่อเขาพูดจบก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาของลินาทำให้หญิงสาวตกใจไม่น้อย"นี่มันอะไรกัน หัวใจฉันจะวายตายอยู่แล้ว" ลินารีบเอามือทาบอกของตัวเองผ่อนลมหายใจเข้าออกเพื่อลดความหวาดกลัวนั้น"เขาไปแล้ว ปาวกะ (ปา-วะ-กะ) ไปแล้ว ไปดูผู้หญิงคนนั้นกัน" หญิงสาวที่ยังอยู่ในอาการหวาดกลัวกับสิ่งที่ได้เห็นเมื่อครู่ เธอยังไม่ทันหายตกใจก็กลับได้ยินเสียงคนพูดในห้องนี้อีก แต่ทำไมเธอถึงมองไม่เห็นคนพูดกันล่ะ"เมื่อกี้แกเห็นไหม เขาเอาเลือดของเขาให้เธอดื่ม เธอหายจากอาการบาดเจ็บไปเลย" ลินาถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงพูดพร้อมกับมือที่เย็นเฉียบมาจับที่แขนของเธอ มันเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง"กรี๊ดดด" ลินากรีดร้องดังลั่นห้องนี่ผีหลอกเธอกลางวันแสกๆ เลยเหรอ ความหวาดกลัวทำให้เธอท่องบทสวดนะโมตัสสะ นะโมตัสสะไปด้วยใจสั่นระริกราวกับกลองเพล"อย่าท่องเลยแม่หนู พวกเราไม่กลัวหรอก" เสียงผีผู้หญิงแก่มากระซิบที่ข้างหูของลินา ทำให้หญิงสาวต้องนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่บนเตียง สลับกับเสียงพูดคุยของผีผู้ชาย ที่เธอได้ยินแค่เสียงแต่ไม่เห็นตัวตนของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ"อย่ากลัวพวกเร
จากท้องฟ้าที่เคยเป็นสีฟ้าครามสดใส ก็กลับกลายเป็นสีดำมืดสนิทราวกับกลางคืนที่ไร้แสงของดวงดาวและจันทรา แม้แต่ถนนหนทางยังคงมืดมิดพายุก่อตัวขึ้น มันหมุนราวกับเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่สามารถกลืนกินตึกขนาดสี่สิบชั้นเข้าไปให้หายไปกับตา ผู้คนต่างยกมือไหว้ร้องขอชีวิตจากพระผู้เป็นเจ้า ทั้งสายฝนและพายุต่างพัดโหมกระหน่ำจนรถยนต์ที่กำลังแล่นอยู่ปลิวไปกับแรงหมุนของลมอย่างไร้ทิศทาง ไม่รู้ว่าความเร็วของลมมฤตยูนี้มันแรงแค่ไหนที่สามารถพัดและดูดกลืนกินตึกเข้าไปภายในวงโคจรของมันหญิงสาววัยยี่สิบสองหน้าตาสะสวยร้องไห้สั่นระริกบนรถประจำทางที่ดับเครื่องยนต์สนิท เพราะระบบภายในรถขัดข้องไปหมดทำให้ไม่สามารถเปิดประตูรถออกไปได้ ทุกคนในรถต่างร้องไห้กันระงม เวลานี้เธอคิดถึงพ่อกับแม่และน้องชายของตัวเองที่อยู่ต่างจังหวัดมากเหลือเกิน ถ้ารู้ว่าจะต้องมาตายแบบนี้คงจะทำดีกับพวกเขาให้มากๆ“หรือนี่อาจจะเป็นวันสุดท้ายที่ฉันจะได้อยู่บนโลกใบนี้” หญิงสาวดวงตาคมโตเบิกโพลงจ้องมองไปยังพายุหมุน ที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาทางรถบัสประจำทางที่เธอนั่งอยู่ ผู้คนที่ติดอยู่ในรถต่างมองหาไม้หรือของแข็งเพื่อที่จะทุบกระจกหน้าต่างให้แตกออกไปแต่ทันใด