จี้ซือหานเอียงหน้ามา มองดูใบหน้างามหมดจดของอีกฝ่าย ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงได้เอ่ยปาก"หมู่นี้คุณเย็นชากับผมมาก"หลังจากพูดประโยคนี้ออกมา ใจเขาตื่นกลัวราวกับรัวกลองเขารู้สึกกลัวมากว่า เธอจะถือโอกาสนี้กล่าวแยกทางหรือเปล่าแต่ถ้าไม่พูด เขาก็ทนสภาพเมินเฉยห่างเหินแบบนี้ต่อไปไม่ไหวซูหว่านรู้สึกตกใจ พร้อมกับเลิกค้ิ้ว "ฉันหรือเย็นชากับคุณ?"ซูหว่านยังไม่รู้ตัวว่าเพราะมัวแต่ทำงาน จึงละเลยความรู้สึกของชายหนุ่มเบื้องหลังไป จึงมีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยเธอเย็นชาต่อเขาเมื่อไหร่กัน ทั้งที่ยุ่งแสนยุ่ง ยังเคยเจียดเวลาไปพบเขาอยู่ แค่นี้ยังไม่พออีกหรือ?จี้ซือหานไม่นึกว่าเธอจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ จึงถามด้วยความไม่สบายใจ "คุณ...ยังคิดแต่งงานกับผมหรือเปล่า"คิ้วได้รูปของซูหว่าน ขมวดมากยิ่งขึ้น "ฉันไม่แต่งกับคุณแล้วจะแต่งกับใคร"เธอรู้สึกว่าจี้ซือหานมีท่าทีแปลกๆ จึงออกแรงเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนเขา หันมามองหน้า "คืนนี้คุณเป็นอะไรกันแน่"จี้ซือหานเพิ่งตั้งสติกลับมา สายตาจับจ้องที่ใบหน้าตึงเครียดของอีกฝ่าย พร้อมเหยียดปากขึ้นเบาๆ เผยรอยยิ้มเล็กน้อยที่แท้หว่านหว่านของเขา ที่ห่างเหินและเย็นชา
ซูหว่านเพื่อต้องการให้ตนมีสินสมรส จึงทุมแรงกายแรงใจในการออกแบบ แต่แม้จะรีบเร่งเพียงไหน ก็ยังไม่ทันฤกษ์วิวาห์ที่ใกล้จะถึงอยู่ดี...สุดท้ายเธอเขียนพิมพ์เขียวได้เพียงแปดภาพเท่านั้น ขณะส่งมอบให้เสิ่นหนานอี้ เธอเหนื่อยจนแทบหมดแรง "รีบเอาไปส่ง จะได้แลกกับเงินมา"เสิ่นหนานอี้นั่งที่โต๊ะทำงาน กัดกินแอ๊ปเปิ้ลพลาง สองตามองซูหว่านตั้งแต่หัวจรดเท้า "จะแต่งงานกับผู้ชายที่รวยสุดในเอเซียอยู่แล้ว เธอยังจะโหมงานทำไมอีก"ถ้าตอนนี้เป็นเขา มีเศรษฐีนีมาขอแต่งงานด้วย อย่าว่าแต่เขียนแบบเลย แม้แต่ดินสอหุ้มด้วยทองคำก็จะไม่เหลียวแลอีก มีคนเลี้ยงดูแล้ว ยังจะทำงานให้เหนื่อยทำไมซูหว่านฟุบอยู่บนโต๊ะ มือยังพลิกดู PPT ของโปรเจ็คต่อไป พูดคล้ายกับหมดแรง "อาจารย์เสิ่น ฉันก็ต้องเตรียมสินสอดไว้ให้ตัวเองบ้างสิ"เธอไม่มีครอบครัว จึงต้องเตรียมทุกอย่างไว้ให้ตัวเอง ผู้ชายมาแต่งกับเธออย่างมีหน้ามีตา เธอก็ควรออกเรือนอย่างสมศักดิ์ศรีเหมือนกันเมื่อนึกถึงคำว่าออกเรือนอย่างสมศักดิ์ศรี ซูหว่านก็ให้ตาลุกวาวขึ้น มองไปทางกระเป๋าของเสิ่นหนานอี้ "อาจารย์เสิ่น โปรเจ็คของกลุ่มบริษัทจี้เข้าบัญชีมาหลายร้อนล้าน คุณได้ส่วนแบ่ง 30% คิดว่
ซูหว่านบอกให้บอดี้การ์ดปล่อยคนเข้ามา แล้วเชิญเคซีย์มายังห้องรับแขก ให้ป้าม่านยกกาแฟมาให้เขาชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่บนโซฟา ทั้งสีหน้าท่าทางล้วนคล้ายคลึงกับจิเหยียนโจวเป็นอย่างมาก สิ่งเดียวที่แตกต่าง ก็คือดวงตาคู่นั้นดวงตาของจิเหยียนโจว ดูลุ่มลึกซ่อนความนัยและคมกริบ ในขณะที่ดวงตาของเคซีย์ ค่อนข้างกระจ่างและเปิดเผยกว่า คล้ายกับไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้นพวกเขาต่างมีบุคลิกที่คล้ายกัน แลดูง่ายๆ สบายๆ แต่การพูดจามีความแตกต่าง เทียบกับจิเหยียนโจวแล้ว เคซีย์ดูเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าหลังจากซูหว่านได้พิจารณาเขาแล้วก็ได้นั่งลง พร้อมถามถึงจุดประสงค์ที่มา "คุณเคซีย์ มาหาฉันมีธุระอะไรหรือคะ"เคซีย์ไม่ได้รีบตอบคำถามของเธอ นอกจากเหลือบตาขึ้น มองดูบอดี้การ์ดหญิงสิบกว่าคนที่อยู่ข้างหลังเธอรวมถึงชายหนุ่มแปลกหน้าที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะอาหาร มือถือลูกแอ๊ปเปิ้ลแล้วกัดเอาๆ สายตาก็จ้องมองเขาไม่หยุดเคซีย์สำรวจรอบข้างแล้ว ก็ละสายตากลับมาที่ซูหว่านตามเดิมเห็นเธอมีอาการตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ใบหน้าสุภาพอ่อนโยน ยังคงแฝงด้วยรอยยิ้มเป็นกันเอง"คุณหนู ไม่ต้องกลัว ผมแค่จะมาถามว่า ลูกสาวผมกั่วกัวตอนนี้อยู่ไหน?"ลูกสาวเขา
ในสายตาของซูหว่าน จิเหยียนโจวน่าจะเป็นศัตรูหัวใจของเคซีย์ แต่เคซีย์กลับยอมให้ลูกสาวตน ไปอยู่กับศัตรูหัวใจแปดเดือนเต็มซึ่งทำให้ซูหว่านยากจะเข้าใจ หลังจากก้มหน้าคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้ตั้งคำถามอีก "คุณเคซีย์คะ คุณก็รู้ว่าถ้าปล่อยให้เด็กอยู่กับผู้ใหญ่นานๆ อาจเกิดความผูกพันได้ แล้วทำไมยังให้เวลาตั้งแปดเดือน คุณไม่คิดว่านานไปหน่อยหรือ?"เคซีย์คล้ายกับรู้ว่าซูหว่านต้องถามเช่นนี้ จึงแทบไม่ต้องคิด ตอบออกมาตามตรง "ที่ผมกำหนดเวลายาวนาน จริงๆ ก็เป็นความเห็นแก่ตัวส่วนหนึ่ง เพราะอยากให้กั่วกัวไปอยู่กับเขา ให้รู้ว่าชูยียังมีเลือดเนื้อเชื้อไขคนนี้อยู่ในโลกผมหวังว่าเขาจะเห็นแก่ข้อนี้ จนยอมปล่อยวางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชูยี และปล่อยวางตัวเขาเองด้วย ต่อไปจะได้ไม่มาตอแยผมกับลูกอีก..."ซูหว่านขมวดคิ้วถามต่อ "แล้วไม่กลัวว่าถ้าเขาอยู่กับกั่วกัวนานๆ จะเกิดความรักความผูกพันขึ้น จนไม่ยอมคืนลูกให้คุณหรือคะ"เคซีย์ส่ายหน้า "ไม่หรอก เห็นแก่คำสั่งเสียของชูยี เขาต้องคืนกั่วกัวมาให้ผมแน่"ได้ยินประโยคนี้เข้า ซูหว่านก็ยิ่งมึนงงมากขึ้น ในเมื่อจิเหยียนโจวรู้ว่าพี่ใหญ่มีคำสั่งเสียถึงเขา แล้วทำไมคราวก่อนเขายอมเลือก
ซูหว่านไม่นึกว่าที่เขาพูดเรื่องอดีตมากมาย ไม่ใช่เพื่อพรรณนาความคิดถึงพี่สาวของเธอ แต่เพื่อจะตำหนิเธอต่างหากจนเธอต้องพิจารณาเขาอีกครั้ง รู้สึกว่าภายนอกดูเป็นคนง่ายๆ ก็จริง แต่เบื้องหลังอ่านยากยิ่งกว่าจิเหยียนโจวซะอีกเธอเดาความคิดของเคซีย์ไม่ออก และไม่อยากตอบคำถามเขาอีก แต่กลับใช้ความนัยที่เขาแฝงในคำพูด ย้อนกลับไปถามแทน"ในเมื่อพี่ฉันมีแต่จิเหยียนโจวคนเดียว แล้วทำไมตอนหลังถึงเลือกคุณ ที่สำคัญทำไมจิเหยียนโจวถึงติดคุกได้"เคซีย์ไม่นึกว่าซูหว่านยังคงปกป้องจิเหยียนโจวอยู่ ทันใดนั้นแววตาก็เกิดความระแวงมากขึ้น "ขออภัยที่ผมบอกคุณไม่ได้"คิ้วงามของซูหว่านขมวดขึ้นอีกครั้ง "เพราะอะไรคะ?"เคซีย์วางถ้วยกาแฟลง สองมือพนม สีหน้าจริงจัง พร้อมกับการตอบคำถาม "เพราะคุณเป็นคนของจิเหยียนโจว ฉะนั้นต้องขอโทษด้วย"กล่าวจบก็ลุกขึ้นเดินไปทางประตู ซูหว่านรีบเรียกเขาไว้ "คุณเคซีย์ เดี๋ยวก่อนค่ะ"เคซีย์หยุดชะงัก หันมามองซูหว่าน แววตาระแวดระวังดูผ่อนคลายลงมาก "คุณซูยังมีธุระอะไรอีก"ซูหว่านเดินไปตรงหน้าเขา เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่สูงกว่าตนเกือบหนึ่งช่วงศีรษะ พลางอธิบาย "ฉันไม่ใช่คนของจิเหยียนโจว เพียงแต่ร
"น้าเล็ก..."เสียงพูดอ้อแอ้ของกั่วกัว ดังออกมาจากจอภาพ ทำเอาซูหว่านรู้สึกอุ่นใจ"กั่วกัว คิดถึงน้าเล็กไหมจ๊ะ""คิดถึง..."กั่วกัวพยักหน้า ถือโทรศัพท์ไว้ในมือ พร้อมหมุนกล้องไปทางด้านหลังจากนั้นก็จ่อที่หน้าตัวเอง ใช้มือน้อยปิดปากไว้ พูดเสียงเบา"น้าเล็ก คุณอาแปลกพาหนูมาเที่ยวสุสาน และหนูก็เห็นรูปถ่ายของน้าด้วย""แต่ว่า คุณอาแปลกบอกว่าคนในรูปไม่ใช่น้า แต่เป็นแม่หนูต่างหาก...""น้าเล็กขา คนที่นอนอยู่ใต้แผ่นป้าย คือแม่ของหนูจริงหรือคะ"กั่วกัวกะพริบขนตางอนยาวของเธอ พร้อมมองน้าเล็กที่อยู่ในจอด้วยความไร้เดียงสาเมื่อเห็นใบหน้าใสซื่อของกั่วกัว ทำให้หัวใจของซูหว่าน จู่ๆ ก็เกิดความเจ็บปวดขึ้นมาไม่รู้ว่าเพราะเธอเห็นใจกั่วกัว หรือเพราะหัวใจที่ได้จากพี่สาว กำลังมองดูลูกสาวตนเอง แล้วรู้สึกปวดใจกันแน่เธอจึงยกมือขึ้น จับที่หน้าอกโดยข้างในมีหัวใจที่เจ็บจนใกล้จะหยุดเต้น น้ำเสียงสั่นเครือขณะปลอบใจกั่วกัว "คุณอาแปลกหลอกหนูน่ะจ้ะ อย่าไปเชื่อเขา"กั่วกัวได้คำตอบจากน้าเล็กเช่นนี้ จึงสูดลมหายใจเข้าลึก แม้แต่ใบหน้ากลมแป้น ก็พลอยผ่อนคลายลงอย่างมาก"แต่ป่าปี๊บอกว่า แม่ไปอยู่บนสวรรค์ รอหนูอายุครบ
ซูหว่านสุดจะกลั้นน้ำตา จนไหลพรั่งพรูออกมาที่แท้เด็กน้อยไร้เดียงสาผู้นี้ รู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้วกั่วกัวดูในจอเห็นน้าเล็กร้องไห้ จึงรีบเอามือถือจ่อหน้า พร้อมส่งเสียงจุ๊บๆ ไปหลายคำ"น้าเล็กไม่ร้องไห้ กั่วกัวจะไม่พูดเหลวไหลอีกแล้วน่ะคะ"ซูหว่านเห็นกั่วกัวอายุยังน้อย แต่รู้จักห่วงใยความรู้สึกคนอื่น ก็ยิ่งรู้สึกปวดใจเธอเองก็ไร้พ่อขาดแม่ จนกลายเป็นเด็กที่โลกส่วนตัวสูง อ่อนไหวง่าย และแคร์ความรู้สึกคนอื่นมากกว่าตัวเองเสมอไม่นึกว่ากั่วกัวก็เหมือนเธอ อายุยังน้อย แต่รู้จักสังเกตสีหน้าคนอื่น แถมยังใส่ใจคนอื่นอีกต่างหากซูหว่านนึกถึงว่าอีกหน่อยกั่วกัวโตขึ้น คงจะกลายเป็นคนช่างคิดเหมือนตัวเอง ก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหลอีก"กั่วกัว หนูไม่ต้องกลัวมากหรอกนะ อยู่กับน้าเล็ก หนูอยากพูดอะไรก็พูด ไม่ต้องกลัวโน่นกลัวนี่"กั่วกัวคล้ายจะเข้าใจ ใบหน้ากลมแป้นพยักหน้าเบาๆ "งั้นน้าเล็กก็อย่าร้องไห้ ได้ไหมคะ"ซูหว่านตอบกลับว่า 'ได้' พลางเอานิ้วมือปาดน้ำตาออกไป "กั่วกัว ตอนนี้พวกหนูพักอยู่ที่ไหน?"กั่วกัวถือโทรศัพท์ แล้วหมุนไปรอบทิศ หันหน้าจอไปทางบ้านที่อยู่ใต้สุสานลงไป "เราอยู่บ้านนั้นน่ะค่ะ"คุณอาแปลกก
ซูหว่านลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ไม่ได้โทรศัพท์ออกไปเธอคิดว่าหากไม่สบายใจ การตัดสินใจอาจจะผิดพลาดได้ รอให้สงบสติแล้วค่อยว่าใหม่เถอะเธอจึงเก็บมือถือขึ้น คิดออกจากห้องหนังสือ จู่ๆ ก็มีชายร่างสูงหนึ่งเมตรเก้าสิบเซนโผล่พรวดเข้ามาอีกเขาสวมเสื้อโค้ทสีดำตัวใหญ่ ข้างในเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว ด้านหน้าไม่ได้ติดกระดุม จึงเผยให้เห็นแผงอกที่เซ็กซี่ถัดจากเสื้อเชิ้ตลงไป ภายใต้เข็มขัดหนังสีดำ เป็นกางเกงสแล็คทรงสลิม ห่อหุ้มขาเรียวยาวสองข้างไว้ชายหนุ่มยืนย้อนแสง ทำให้เห็นสีหน้าไม่ชัด แต่รู้ว่ามีไอเย็นชาออกจากร่างกาย ซึ่งทำให้อุณหภูมิในห้องลดลงไปอีกหลายองศาเสิ่นหนานอี้กำลังแกะเปลือกส้มสบายๆ อยู่ พร้อมอุ้มหมาน้อย 'พี่เสิ่น' อยู่ในมือ จู่ๆ เกิดอาการหนาวสั่นขึ้น"เอ๋ ทำไมรู้สึกอากาศเย็นขึ้นล่ะ"เสิ่นหนานอี้กอดพี่เสิ่นไว้แน่น คิดอาศัยไออุ่นจากน้องหมาหน่อยแต่พี่เสิ่นกลับโดดลงจากอ้อมแขนของเขา ขาสั้นดุ๊กดิ๊กพริบตาก็หนีเข้าห้องครัว หายวับไปในทันทีเสิ่นหนานอี้ประนามเจ้าหมาน้อย "ขออุ้มหน่อยก็ไม่ได้ ยังกล้ามาใช่แซ่เดียวกับฉันหน่อย มันไม่คู่ควร"หลังจากประนามเจ้าหมาน้อย จู่ๆ ก็มีเงามืดทาบลงมา สะท้อนลงที่ห