บทนำ
วสันตฤดูเป็นช่วงเวลาน่ายินดี ยิ่งน่ายินดีเมื่อเช้านี้มีเสียงแตรดังก้องทั่วถนนสายหลักเมืองจงเหนียน
ขบวนสังคีตเดินนำหน้าอาชาเจ้าบ่าว ตามด้วยรถม้าเจ้าสาวประดับเพชรพลอยห้อยผ้าแดงอลังการ
ขบวนแห่งความสุขนี้กำลังมุ่งหน้าไปยังจวนเจ้าเมือง..เพื่อรับตัวเจ้าสาว
“อีกไม่นานคงมาถึงแล้วกระมัง”
เสียงสาวใช้ในห้องนอนเอ่ยขึ้นยามเสียงดนตรีอึกทึกดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ตัวเจ้าสาวหน้าคันฉ่องเองก็ได้ยิน
เงาสะท้อนจากภายในนั้นจึงยิ่งดูหมองหม่น ราวกับเป็นวันตายเสียอย่างนั้น
“คุณหนู.. บ่าวคลุมผ้าเลยนะเจ้าคะ”
“อืม”
นางตอบรับสั้นห้วน ก่อนภาพเบื้องหน้าจะกลายเป็นสีแดงเฉกเช่นผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวที่บังตาไว้
วันนี้เป็นวันแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์สองแคว้น เจ้าบ่าวคือแม่ทัพผู้องอาจเกรียงไกรแห่งแคว้นโจวหนาน นามว่าสวี่ห่าวซวน ส่วนเจ้าสาวคือโฉมสะคราญบุตรสาวเจ้าเมืองจงเหนียน นามว่าลู่เจียวจู
หากนึกภาพตามใครๆก็คงว่าช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมราวกิ่งทองใบหยก
ใครจะคิด..ว่าการแต่งงานนี้ต้องแลกด้วยอะไรบ้าง
อย่างแรกคืออิสรภาพของข้า ประการต่อมาคือความปลอดภัยของข้า เพราะต้องแต่งเข้าบ้านของอดีตศัตรู
“เฮ้อ!”
เสียงถอนหายใจก้องในห้องอันเงียบงัน สาวใช้ที่ช่วยจัดอาภรณ์งดงามอยู่ก็สะดุ้งร้องเตือน “คุณหนู ร่าเริงหน่อยเถอะเจ้าค่ะ”
“จริงเจ้าค่ะ วันแต่งงานทั้งที”
“แต่งให้คนที่ไม่รัก เป็นพวกเจ้าจะร่าเริงได้หรือ”
ถึงไม่รู้ว่านางกำลังมีสีหน้าแบบไหน แต่เพียงฟังน้ำเสียงก็รู้แล้วว่าไม่สบอารมณ์อย่างมาก
“อย่างน้อยก็ช่วยนำความสงบมาให้เมืองจงเหนียนของเราได้นะเจ้าคะ”
อา...ใช่ เพราะผู้ครองแคว้นโจวหนานสั่งบุตรชายที่รั้งตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ผู้นั้นบุกโจมตีเมืองเราไม่หยุด บิดาข้าถึงได้ต้องใช้วิธีนี้เป็นทางออก
เดิมทีผู้ครองแคว้นโจวหนานอันยิ่งใหญ่ไม่ถูกกับเจ้าเมืองจงเหนียน ตลอดร้อยปีไม่เคยมีความปรองดองเพราะทั้งสองฝั่งพุ่งหอกดาบและเกาทัณฑ์ใส่ฝั่งตรงข้ามมาโดยตลอด
จะมามีคราวโชคของชาวเมืองก็ตอนที่เจ้าแคว้นโจวหนานคนใหม่เกิดความคิดอันใดไม่ทราบ ถึงยอมทำพันธะสงบศึก โดยมีข้อแม้ว่าเจ้าเมืองจงเหนียนต้องส่งบุตรสาวให้แต่งกับบุตรชายแม่ทัพของเขา
ว่าให้ง่าย คือข้ากลายเป็นเครื่องบรรณาการ ต้องสังเวยตนเพื่อบ้านเมือง
แต่เอาเถิด.. มันก็มิใช่ว่าจะถึงขั้นยอมรับไม่ได้ อย่างน้อยไม่มีคนตายเพิ่มก็นับว่าเป็นเรื่องดี
และในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องเดินหน้าต่อ
ลู่เจียวจูพยายามปลุกกำลังใจตัวเอง ยามที่นางลุกขึ้นแล้ว ชุดแดงมงคลปักดิ้นทองลายหงส์ทิ้งชายยาวตามทางที่นางย่างก้าว มีสาวใช้คอยประคองออกไปนอกเรือน ขณะเดียวกันเจ้าบ่าวก็ยืนรอทำพิธีอยู่พอดี
ที่บ้านเจ้าสาวไม่ได้มีพิธีสำคัญอะไรมาก เพียงเข้ามาคารวะพ่อเจ้าสาวเพื่อบอกกล่าวคำอำลาและรับคำอวยพร
บุรุษที่ยืนอยู่ข้างๆนี้ ลู่เจียวจูไม่เคยพบมาก่อน แต่ฟังจากเสียงฝีเท้าอันหนักแน่นของเขา ทำให้พอกะได้ว่าเป็นบุรุษตัวสูงใหญ่
ส่วนใบหน้า..เคยได้ยินเพียงคำร่ำลือว่าเป็นชายหนุ่มรูปงาม ก็เท่านั้น
“ขอให้ครองคู่กันนานๆนะ”
เป็นบิดาของลู่เจียวจูที่เอ่ยคำอวยพรด้วยรอยยิ้ม..ซึ่งไม่อาจทราบได้ว่าข้างในยินดีจริงหรือไม่
หญิงสาวเงียบ ภายใต้ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวไม่ทราบมีสีหน้าอย่างไรเหมือนเช่นเคย มีเพียงเสียงหายใจฮึดฮัดเบาๆจากฝั่งเจ้าบ่าว
เขาที่เคยเป็นศัตรูกันคงไม่มีทางพอใจ แต่ถึงกระนั้นจะไม่รับคำอวยพรไว้ก็เสียมารยาท
เสร็จสิ้นพิธี บ่าวสาวเดินเคียงกันไป นางขึ้นรถม้า ส่วนเขาขึ้นหลังอาชาด้านหน้า บังคับให้มันเดินช้าต่างจากตอนออกศึก
จนกระทั่งไปถึงจวนเจ้าบ่าวที่แคว้นโจวหนานในช่วงราวๆยามเซิน
การกราบไหว้ฟ้าดินยังเป็นไปตามธรรมเนียม แม้เลยฤกษ์งามยามดีไปแล้ว แต่นี่มิใช่การแต่งงานที่ทั้งคู่พอใจ เช่นนั้นจะเริ่มหรือจบเมื่อใดก็หาใช่เรื่องสำคัญ
ญาติผู้ใหญ่ก็ล้วนให้คำอวยพรส่งๆไปอย่างนั้น จนถึงตอนเข้าห้องหอรอบเย็นเพื่อเปิดหน้าเจ้าสาวยังกระทำอย่างเรียบง่าย เพียงลู่เจียวจูนั่งลงบนเตียงซึ่งประดับประดาด้วยกลีบดอกไม้ ผลส้ม และธัญพืชมงคล รอให้สวี่ห่าวซวนนั่งลงข้างๆ เลิกผ้าคลุมออกเพียงเท่านั้น
ไม่สิ..ต้องเรียกว่าเขากระชากอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์มากกว่า
เป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้พบหน้ากัน ดวงตาสบประสาน ทั้งที่งดงามทว่ากลับดูเย็นชา
ชายหนุ่มมีเครื่องหน้าที่ดูทรงเสน่ห์ดุดัน ดวงตาเรียวดุจมังกร คิ้วทรงกระบี่เสริมความห้าวหาน สันจมูกโด่ง ริมฝีปากไม่หนาไม่บางจนเกินไป หน้าเรียวได้รูป หนวดเคราโกนจนเกลี้ยงเกลาเพราะเป็นวันแต่งงาน
ส่วนฝั่งหญิงสาวเล่า ช่างสมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดสตรีอันดับหนึ่งของเมือง ดวงตากลมโตสีอ่อน ดวงหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา พวงแก้มสีอมชมพูดูอ่อนเยาว์ ผิวขาวผ่องดุจไข่มุก ยิ่งเมื่อแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมก็ยิ่งงามผุดผาด
“...”
ความเงียบปกคลุมรอบห้อง เมื่อทั้งคู่เพียงจ้องหน้ากันแต่ไร้ซึ่งอารมณ์หวานซึ้งอย่างที่กล่าว ราวกับไม่ใช่คนที่กำลังจะเป็นสามีภรรยากันกระนั้น
“ไหนมาให้พวกข้าทดสอบว่าเจ้าบ่าวเราแข็งแกร่งสมคำร่ำลือที่ว่าดวลพันจอกยังไม่ล้มจริงหรือไม่”
เสียงญาติผู้ใหญ่ที่เป็นสักขีพยานในการเปิดหน้าดังขึ้นเพื่อให้บรรยากาศไม่อึมครึมเกินไปนัก สวี่ห่าวซวนถึงลุกขึ้นคารวะเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลาย
“คงต้องขอคำชี้แนะจากพวกท่านอีกมาก”
ว่าแล้วเขาก็เดินกลับออกไปในงานเลี้ยงด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่ต่างจากหญิงสาวที่ไม่สนใจจะมองแผ่นหลังของผู้เป็นสามีด้วยซ้ำ
“เอาล่ะๆ เจ้าเดินทางมาไกล ไยไม่ชำระกายให้สบายตัวสักหน่อย”
ระหว่างนี้จะมีอะไร เจ้าบ่าวโดนเชิญไปชนจอกมอมเหล้า ส่วนเจ้าสาวก็ไปผลัดผ้าอาบน้ำให้กายติดกลิ่นหอมจรุงเพื่อรอสามีกลับทำกิจในคืนเข้าหอ
“รบกวนพวกท่านแล้ว”
ลู่เจียวจูตอบเหล่าท่านป้าท่านน้าทั้งหลายตามมารยาท น้ำเสียงของนางฟังไม่ดูมีความสุขหรือตื่นเต้นสักเท่าใด ราวกับไม่ได้รอคอยเวลาในคืนเข้าหอสุดหฤหรรษ์เหมือนที่สาวรุ่นราวคราวเดียวกันเฝ้าจินตนาการวาดหวัง
มันก็ถูกแล้ว...ข้าไม่เคยรอคอยให้เวลาเช่นนี้เกิดขึ้น
บทที่ 1รับฝีปากคืนเข้าหอจันทราเอ๋ย...เจ้าจะขึ้นช้ากว่านี้สักเค่อไม่ได้เลยหรืออย่างไรในใจหญิงสาวรำพึงรำพันยามแหงนหน้ามองท้องฟ้าราตรีในวสันตฤดู ไม่มีความแช่มชื่นปรากฏอยู่เลยแม้สักเสี้ยวในแววตาด้านนอกยังมีเสียงงานเลี้ยงครึกครื้นยิ่ง นางก็ภาวนาในใจว่าขอให้สวี่ห่าวซวนผู้นั้นโดนพวกผู้ใหญ่จับกรอกเหล้าจนเมาคอพับอยู่ในงานเสียแต่สวรรค์มิเป็นใจให้ลู่เจียวจูได้สมปรารถนา เพราะเพียงนางภาวนาจบไม่นานเสียงบานประตูห้องหอก็ดังขึ้นจะเป็นใครไปได้...หากไม่ใช่เจ้าบ่าวของนางสวี่ห่าวซวนเองก็ไปอาบน้ำชำระกาย อยู่ในชุดนอนผ้าบางเหมือนกัน ยังหน้าแดงหูแดงเพราะฤทธิ์สุราอีกต่างหากดูท่าคืนนี้คงหนีไม่พ้นแล้วกระมัง..ลู่เจียวจูกลืนน้ำลายฝืดคอ แต่ก็ยังทำใจสู้ นั่งนิ่งไม่ไหวติง แสร้งทำเป็นไม่มีปฏิกิริยาต่อกลิ่นสุราหึ่งทั่วตัวสวี่ห่าวซวนอีกด้วยให้เขารู้ว่านางกำลังใจสั่นไม่ได้หรอก เสียเชิงสตรีหมดพอดี“ขยับไป”เสียงเขาสั่งนางก็ทำตาม ถึงความจริงแม้ไม่สั่งก็ตั้งใจจะขยับถอยห่างไปเป็นลี้แล้วก็เถิดชายหนุ่มก้าวเข้ามา หยิบกาสุราบนโต๊ะเล็กมารินส่งให้นางจอกหนึ่ง ถือไว้เองจอกหนึ่ง ลู่เจียวจูก็ทำหน้างง “นี่คือ?”“สุรามงคลในคื
ตอนที่ 2สามีหนีรุ่งอรุณแสงตะวันส่องลอดช่องหน้าต่าง แพขนตาหนางอนดุจปีกผีเสื้อเปิดขึ้นเล็กน้อย กะพริบถี่ๆปรับให้ภาพที่เห็นชัดเจนขึ้นนี่ไม่ใช่ห้องนอนที่คุ้นเคย เพราะมันคือในจวนของสามีพูดถึงสามี ลู่เจียวจูก็หันมองที่เตียง พบว่า..เขาหายไปแล้วหายไปก็ดี ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะพบหน้าท่านนักหรอกนางคิด ยิ่งคิดไปถึงวาจาเหน็บแนมระคายหูเมื่อคืน สาบานได้ว่าตั้งแต่เกิดมานางไม่เคยพบเจอบุรุษที่ไหนที่ฝีปากจัดจ้านเท่านี้ ยิ่งไม่เคยพบบุรุษผู้เป็นถึงบุตรชายเจ้าผู้ครองแคว้นซ้ำยังเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ แต่ไม่รักษาหน้าใคร ไร้มารยาทเท่ากับที่สวี่ห่าวซวนเป็นช่างเถิดๆ ใช่ว่าข้าหงอให้เจ้าลิงถือดาบนั่นสักหน่อยดูคล้ายว่า จากนี้ไปในสายตาของลู่เจียวจู สวี่ห่าวซวนจะมิใช่แม่ทัพนายกองผู้องอาจ หากแต่ดูไม่ต่างอันใดกับวานรโมโหร้ายที่รู้วิชากระบี่เท่านั้นแต่แม้ไม่อยากพบหน้าอย่างไร ลู่เจียวจูก็มิใช่ว่าจะสามารถทำตามใจได้ เมื่อแต่งงานกันแล้วก็ถือว่าเป็นคนคนเดียวกัน ร่วมเดินทางด้วยกัน มีอุปสรรคก็ต้องร่วมฟันฝ่าและอุปสรรคแรกของนางก็กำลังจะมาถึง นั่นคือธรรมเนียมเยี่ยมบ้านเจ้าสาวหลังแต่งงานหากว่าแต่งออกไปแล้วความสัมพันธ์ระหว่างสอ
ตอนที่ 3เมียบุกมาตามสวี่ห่าวซวนประมาทลู่เจียวจูมากไป เขาไม่รู้ว่าสตรีผู้นี้สามารถควบม้าได้เร็วไม่ต่างจากพวกพลทหารม้าเลยเพียงไม่ถึงชั่วยาม ลู่เจียวจูที่ดูแผนที่เมืองผ่านตารอบเดียวก็มาปรากฏตัวอยู่หน้าฐานทัพเสียแล้ว“ไม่ทราบแม่นาง...”ทหารเฝ้ายามหน้าประตูกั้นหอกยาว แต่วาจาเขาเอ่ยไม่จบคำเมื่อพิจารณาใบหน้าหญิงสาวผู้ลงมาจากหลังม้าชัดๆโฉมสะคราญใบหน้าอ่อนเยาว์ราวกับพึ่งเลยวัยปักปิ่นมาไม่กี่วันผู้นี้เป็นใครกัน?...พวกเขาได้เพียงนึกสงสัย ดูจากอาภรณ์อย่างผู้สูงศักดิ์ นางมิใช่ชาวบ้านร้านตลาด และมิน่าจะเป็นเพียงคุณหนูจากตระกูลเล็กๆเป็นแน่“หลีกทางให้ข้า”“เราต้องหลีกทางให้เจ้าด้วยเหตุใด”น้ำเสียงแข็งกร้าวกับสายตาคมปลาบของนางตวัดจ้องให้พวกเขาได้สติรู้จักหน้าที่ของตนขึ้นมา หอกยาวสองเล่มจึงยังพาดไขว้อยู่เบื้องหน้าไม่ยอมหลีก“ด้วยเหตุที่ข้าต้องพบแม่ทัพสวี่”“แม่นาง เจ้ายังไม่บอกพวกข้าเลยว่าเป็นผู้ใดและมาพบท่านแม่ทัพด้วยเหตุอะไร ข้าต้องขออภัยที่หลีกทางให้ไม่ได้”สายสืบที่เป็นสตรีหลอกบุรุษได้ง่ายดาย แต่พวกเขาไม่หลงกล ..เรียกว่าไม่กล้าปล่อยปละละเลย ไม่อย่างนั้นชีวิตน้อยๆอาจปลิวไปสู่ปรโลกตั้งแต่ยังไม่
ตอนที่ 4กลับเยี่ยมบ้านในห้องเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนสวี่ห่าวซวนเลิกคิ้ว “ไยต้องไป?”“เพราะสุภาพชนผู้ยิ่งใหญ่ย่อมรู้จักธรรมเนียมปฏิบัติ”“แต่งานข้ายุ่งมาก เชิญภรรยากลับเมืองจงเหนียนไปผู้เดียวเถิด”“งานของแม่ทัพจะยุ่งก็ต่อเมื่อมีสงคราม แต่ตอนนี้แคว้โจวหนานกับเมืองจงเหนียนพึ่งทำพันธะสงบศึก แล้วจะมีอะไรให้ยุ่งนัก”นางจ้องตาฟาดฟันกับสามีอย่างไม่ลดละ ยื่นหน้าเข้าไปเน้นย้ำเต็มเสียง “พรุ่งนี้ท่านต้องกลับเมืองจงเหนียนกับข้า”“แล้วถ้าหากข้าไม่ทำเล่า”ความยียวนของสวี่ห่าวซวนเป็นรองนางเสียเมื่อไร ในใต้หล้านี้เขาอาจมีภาพลักษณ์เป็นแม่ทัพหนุ่มมาดนิ่งแสนเย็นชา แต่ความจริงเนื้อแท้กลับเป็นคนหัวรั้นปากร้ายอย่างที่แสดงให้ลู่เจียวจูเห็น“ไม่กลับก็ได้” นางยักไหล่ทำไม่แยแสแต่สิ่งที่จะกล่าวต่อจากนี้ถึงกับทำให้ไฟโทสะในใจอีกฝ่ายโหมลุก“ท่านไม่กลับ ข้าก็แค่บอกท่านพ่อให้ฉีกสัญญาสงบศึก เท่านี้ชีวิตอันผาสุขของชาวเมืองก็ถือว่าท่านเป็นผู้ทำลายมันเพราะความอยากเอาชนะของท่าน”“เจ้า! เจ้ากล้าเอาเรื่องนี้มาอ้างแล้วยังโยนความผิดให้ข้า!?”“ข้าไม่ใช้เป็นแค่ข้ออ้างแน่ รองตรึกตรองดูให้ถี่ถ้วนท่านก็จะรู้ว่าหากเราสองคนทำตัวห่าง
ตอนที่ 4กลับเยี่ยมบ้านในห้องเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนสวี่ห่าวซวนเลิกคิ้ว “ไยต้องไป?”“เพราะสุภาพชนผู้ยิ่งใหญ่ย่อมรู้จักธรรมเนียมปฏิบัติ”“แต่งานข้ายุ่งมาก เชิญภรรยากลับเมืองจงเหนียนไปผู้เดียวเถิด”“งานของแม่ทัพจะยุ่งก็ต่อเมื่อมีสงคราม แต่ตอนนี้แคว้โจวหนานกับเมืองจงเหนียนพึ่งทำพันธะสงบศึก แล้วจะมีอะไรให้ยุ่งนัก”นางจ้องตาฟาดฟันกับสามีอย่างไม่ลดละ ยื่นหน้าเข้าไปเน้นย้ำเต็มเสียง “พรุ่งนี้ท่านต้องกลับเมืองจงเหนียนกับข้า”“แล้วถ้าหากข้าไม่ทำเล่า”ความยียวนของสวี่ห่าวซวนเป็นรองนางเสียเมื่อไร ในใต้หล้านี้เขาอาจมีภาพลักษณ์เป็นแม่ทัพหนุ่มมาดนิ่งแสนเย็นชา แต่ความจริงเนื้อแท้กลับเป็นคนหัวรั้นปากร้ายอย่างที่แสดงให้ลู่เจียวจูเห็น“ไม่กลับก็ได้” นางยักไหล่ทำไม่แยแสแต่สิ่งที่จะกล่าวต่อจากนี้ถึงกับทำให้ไฟโทสะในใจอีกฝ่ายโหมลุก“ท่านไม่กลับ ข้าก็แค่บอกท่านพ่อให้ฉีกสัญญาสงบศึก เท่านี้ชีวิตอันผาสุขของชาวเมืองก็ถือว่าท่านเป็นผู้ทำลายมันเพราะความอยากเอาชนะของท่าน”“เจ้า! เจ้ากล้าเอาเรื่องนี้มาอ้างแล้วยังโยนความผิดให้ข้า!?”“ข้าไม่ใช้เป็นแค่ข้ออ้างแน่ รองตรึกตรองดูให้ถี่ถ้วนท่านก็จะรู้ว่าหากเราสองคนทำตัวห่าง
ตอนที่ 3เมียบุกมาตามสวี่ห่าวซวนประมาทลู่เจียวจูมากไป เขาไม่รู้ว่าสตรีผู้นี้สามารถควบม้าได้เร็วไม่ต่างจากพวกพลทหารม้าเลยเพียงไม่ถึงชั่วยาม ลู่เจียวจูที่ดูแผนที่เมืองผ่านตารอบเดียวก็มาปรากฏตัวอยู่หน้าฐานทัพเสียแล้ว“ไม่ทราบแม่นาง...”ทหารเฝ้ายามหน้าประตูกั้นหอกยาว แต่วาจาเขาเอ่ยไม่จบคำเมื่อพิจารณาใบหน้าหญิงสาวผู้ลงมาจากหลังม้าชัดๆโฉมสะคราญใบหน้าอ่อนเยาว์ราวกับพึ่งเลยวัยปักปิ่นมาไม่กี่วันผู้นี้เป็นใครกัน?...พวกเขาได้เพียงนึกสงสัย ดูจากอาภรณ์อย่างผู้สูงศักดิ์ นางมิใช่ชาวบ้านร้านตลาด และมิน่าจะเป็นเพียงคุณหนูจากตระกูลเล็กๆเป็นแน่“หลีกทางให้ข้า”“เราต้องหลีกทางให้เจ้าด้วยเหตุใด”น้ำเสียงแข็งกร้าวกับสายตาคมปลาบของนางตวัดจ้องให้พวกเขาได้สติรู้จักหน้าที่ของตนขึ้นมา หอกยาวสองเล่มจึงยังพาดไขว้อยู่เบื้องหน้าไม่ยอมหลีก“ด้วยเหตุที่ข้าต้องพบแม่ทัพสวี่”“แม่นาง เจ้ายังไม่บอกพวกข้าเลยว่าเป็นผู้ใดและมาพบท่านแม่ทัพด้วยเหตุอะไร ข้าต้องขออภัยที่หลีกทางให้ไม่ได้”สายสืบที่เป็นสตรีหลอกบุรุษได้ง่ายดาย แต่พวกเขาไม่หลงกล ..เรียกว่าไม่กล้าปล่อยปละละเลย ไม่อย่างนั้นชีวิตน้อยๆอาจปลิวไปสู่ปรโลกตั้งแต่ยังไม่
ตอนที่ 2สามีหนีรุ่งอรุณแสงตะวันส่องลอดช่องหน้าต่าง แพขนตาหนางอนดุจปีกผีเสื้อเปิดขึ้นเล็กน้อย กะพริบถี่ๆปรับให้ภาพที่เห็นชัดเจนขึ้นนี่ไม่ใช่ห้องนอนที่คุ้นเคย เพราะมันคือในจวนของสามีพูดถึงสามี ลู่เจียวจูก็หันมองที่เตียง พบว่า..เขาหายไปแล้วหายไปก็ดี ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะพบหน้าท่านนักหรอกนางคิด ยิ่งคิดไปถึงวาจาเหน็บแนมระคายหูเมื่อคืน สาบานได้ว่าตั้งแต่เกิดมานางไม่เคยพบเจอบุรุษที่ไหนที่ฝีปากจัดจ้านเท่านี้ ยิ่งไม่เคยพบบุรุษผู้เป็นถึงบุตรชายเจ้าผู้ครองแคว้นซ้ำยังเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ แต่ไม่รักษาหน้าใคร ไร้มารยาทเท่ากับที่สวี่ห่าวซวนเป็นช่างเถิดๆ ใช่ว่าข้าหงอให้เจ้าลิงถือดาบนั่นสักหน่อยดูคล้ายว่า จากนี้ไปในสายตาของลู่เจียวจู สวี่ห่าวซวนจะมิใช่แม่ทัพนายกองผู้องอาจ หากแต่ดูไม่ต่างอันใดกับวานรโมโหร้ายที่รู้วิชากระบี่เท่านั้นแต่แม้ไม่อยากพบหน้าอย่างไร ลู่เจียวจูก็มิใช่ว่าจะสามารถทำตามใจได้ เมื่อแต่งงานกันแล้วก็ถือว่าเป็นคนคนเดียวกัน ร่วมเดินทางด้วยกัน มีอุปสรรคก็ต้องร่วมฟันฝ่าและอุปสรรคแรกของนางก็กำลังจะมาถึง นั่นคือธรรมเนียมเยี่ยมบ้านเจ้าสาวหลังแต่งงานหากว่าแต่งออกไปแล้วความสัมพันธ์ระหว่างสอ
บทที่ 1รับฝีปากคืนเข้าหอจันทราเอ๋ย...เจ้าจะขึ้นช้ากว่านี้สักเค่อไม่ได้เลยหรืออย่างไรในใจหญิงสาวรำพึงรำพันยามแหงนหน้ามองท้องฟ้าราตรีในวสันตฤดู ไม่มีความแช่มชื่นปรากฏอยู่เลยแม้สักเสี้ยวในแววตาด้านนอกยังมีเสียงงานเลี้ยงครึกครื้นยิ่ง นางก็ภาวนาในใจว่าขอให้สวี่ห่าวซวนผู้นั้นโดนพวกผู้ใหญ่จับกรอกเหล้าจนเมาคอพับอยู่ในงานเสียแต่สวรรค์มิเป็นใจให้ลู่เจียวจูได้สมปรารถนา เพราะเพียงนางภาวนาจบไม่นานเสียงบานประตูห้องหอก็ดังขึ้นจะเป็นใครไปได้...หากไม่ใช่เจ้าบ่าวของนางสวี่ห่าวซวนเองก็ไปอาบน้ำชำระกาย อยู่ในชุดนอนผ้าบางเหมือนกัน ยังหน้าแดงหูแดงเพราะฤทธิ์สุราอีกต่างหากดูท่าคืนนี้คงหนีไม่พ้นแล้วกระมัง..ลู่เจียวจูกลืนน้ำลายฝืดคอ แต่ก็ยังทำใจสู้ นั่งนิ่งไม่ไหวติง แสร้งทำเป็นไม่มีปฏิกิริยาต่อกลิ่นสุราหึ่งทั่วตัวสวี่ห่าวซวนอีกด้วยให้เขารู้ว่านางกำลังใจสั่นไม่ได้หรอก เสียเชิงสตรีหมดพอดี“ขยับไป”เสียงเขาสั่งนางก็ทำตาม ถึงความจริงแม้ไม่สั่งก็ตั้งใจจะขยับถอยห่างไปเป็นลี้แล้วก็เถิดชายหนุ่มก้าวเข้ามา หยิบกาสุราบนโต๊ะเล็กมารินส่งให้นางจอกหนึ่ง ถือไว้เองจอกหนึ่ง ลู่เจียวจูก็ทำหน้างง “นี่คือ?”“สุรามงคลในคื
บทนำวสันตฤดูเป็นช่วงเวลาน่ายินดี ยิ่งน่ายินดีเมื่อเช้านี้มีเสียงแตรดังก้องทั่วถนนสายหลักเมืองจงเหนียนขบวนสังคีตเดินนำหน้าอาชาเจ้าบ่าว ตามด้วยรถม้าเจ้าสาวประดับเพชรพลอยห้อยผ้าแดงอลังการขบวนแห่งความสุขนี้กำลังมุ่งหน้าไปยังจวนเจ้าเมือง..เพื่อรับตัวเจ้าสาว“อีกไม่นานคงมาถึงแล้วกระมัง”เสียงสาวใช้ในห้องนอนเอ่ยขึ้นยามเสียงดนตรีอึกทึกดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ตัวเจ้าสาวหน้าคันฉ่องเองก็ได้ยินเงาสะท้อนจากภายในนั้นจึงยิ่งดูหมองหม่น ราวกับเป็นวันตายเสียอย่างนั้น“คุณหนู.. บ่าวคลุมผ้าเลยนะเจ้าคะ”“อืม”นางตอบรับสั้นห้วน ก่อนภาพเบื้องหน้าจะกลายเป็นสีแดงเฉกเช่นผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวที่บังตาไว้วันนี้เป็นวันแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์สองแคว้น เจ้าบ่าวคือแม่ทัพผู้องอาจเกรียงไกรแห่งแคว้นโจวหนาน นามว่าสวี่ห่าวซวน ส่วนเจ้าสาวคือโฉมสะคราญบุตรสาวเจ้าเมืองจงเหนียน นามว่าลู่เจียวจูหากนึกภาพตามใครๆก็คงว่าช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมราวกิ่งทองใบหยกใครจะคิด..ว่าการแต่งงานนี้ต้องแลกด้วยอะไรบ้างอย่างแรกคืออิสรภาพของข้า ประการต่อมาคือความปลอดภัยของข้า เพราะต้องแต่งเข้าบ้านของอดีตศัตรู“เฮ้อ!”เสียงถอนหายใจก้องในห้องอันเงีย