แชร์

บทที่ 1 ผีเสื้อหัดบิน - 50%

ฝ่ามือเหี่ยวย่นลูบศีรษะเล็กด้วยความสงสาร ตั้งแต่เล็กจนโต ตนเห็นคุณหนูตัวน้อยนั่งรอบุพการีกลับมาจากทำงานอยู่ที่ขั้นบันไดตรงมุกหน้าบ้านเสมอ จนบางครั้งก็ฟุบหลับหน้าแนบไปกับราวบันได เคยปลุกให้ขึ้นไปนอนบนห้องก็ไม่ยอม จะรอแต่พ่อกับแม่อย่างเดียว ถึงมาพักหลังนี้จะไม่ค่อยเห็นเด็กสาวมานั่งรอเหมือนเมื่อก่อนอีก แต่ตนก็รู้ดีว่าในใจลึก ๆ ของรวิชานั้นโหยหาความอบอุ่นมากแค่ไหน

“น้องอายรู้ค่ะ แหม...น้องอายโตแล้วนะคะไม่ใช่เด็ก ๆ ที่จะมานั่งงอนตะพึดตะพือเหมือนเมื่อก่อน”

รวิชายิ้มจนตาหยีเพื่อให้แม่นมสูงวัยคลายกังวล ทั้งที่ในใจนั้นยังอัดแน่นไปด้วยความน้อยใจบุพการีที่เหมือนลืมไปแล้วว่ามีเธอเป็นลูก

สายตาของผู้สูงวัยได้แต่มองคนตรงหน้าที่นั่งกินมื้อเย็นไปเงียบ ๆ คนเดียวเช่นทุกครั้งด้วยความรักและสงสาร ถึงแม้อีกฝ่ายจะพยายามแสดงออกมากแค่ไหนว่าตัวเองเข้มแข็ง แต่คนที่เลี้ยงมากับมือตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งโตเป็นสาวน้อยน่ารัก ทำไมตนจะไม่รู้ว่าในใจของรวิชากำลังคิดอะไร บางคืนตนยังได้ยินเสียงคุณหนูน้อยละเมอร้องไห้อยู่เลย

หลังเสร็จจากมื้อเย็นแล้ว รวิชาก็ออกมานั่งเล่นที่ระเบียงห้องนอน มุมนี้เป็นมุมที่เธอชอบมากที่สุดเวลาที่ต้องคิดอะไรเพลิน ๆ เพียงลำพัง สายลมโชยเอื่อยพัดพากลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกแก้วในสวนด้านล่างขึ้นมาโอบล้อมรอบกาย หญิงสาวปล่อยใจมองไปยังท้องฟ้ามืดมิด พลันความคิดบางอย่างก็ผุดวาบขึ้นมาในหัว

ไปเรียนต่อเมืองนอกดีไหมนะ...

“เค้นเอาคำตอบจากมันมาให้ได้ ถ้ามันไม่ยอมพูดก็จัดการง้างปากมันพูดให้ได้ คงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าต้องจัดการยังไง”

เสียงทุ้มสั่งความอย่างเคร่งเครียดของชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ข้างบ้าน และอาศัยรั้วเดียวกันกับบ้านของเธอ ทำให้รวิชาต้องรีบทรุดตัวลงนั่งกับพื้นระเบียง โชคดีที่มุมนี้มีต้นไม้ใหญ่บดบังมุมโปรดจากสายตาคนภายนอก จึงทำให้คนมองจากข้างนอกแทบดูไม่ออกว่าหลังกิ่งก้านของต้นไม้ต้นนี้ยังมีห้องนอนของเธอซุกซ่อนอยู่

รวิชาแอบมองชายหนุ่มเจ้าของบ้านติดกันผ่านซี่ช่องว่างระหว่างราวระเบียง เธอมักเห็นเขาในเวลาค่ำมืดประมาณนี้ที่ตนออกมานั่งที่นี่ น่าแปลกว่าตอนกลางวันเธอไม่เคยเจอเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียวทั้งที่บ้านอยู่ติดกัน อีกทั้งโรงรถของเขาก็ดันอยู่ใกล้กับระเบียงห้องนอนของเธอเสียได้ และเท่าที่เห็นจากลักษณะท่าทางภายนอก รวมถึงการพูดจาดุดันราวกับสั่งเก็บใครสักคนของเขาบ่อย ๆ หรือบางคราวก็ดูข่มขู่คุกคามอยู่ในที จึงทำให้เธอแอบตั้งฉายาของเขาว่า “คุณแวมไพร์มาเฟีย” หรือบางครั้งจะเรียกสั้น ๆ แค่ว่า “คุณผีดิบ” เพราะเหมาะกับบุคลิกของเขาที่สุด

ชายหนุ่มขับรถสปอร์ตคู่ใจออกไปแล้ว รวิชาจึงโผล่หน้าออกมาจากราวระเบียงแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตามเดิม ดวงตากลมโตมองตามไฟท้ายของรถที่แล่นห่างออกไปเรื่อย ๆ จนสุดสายตา

“ได้เวลาผีดิบออกหากินแล้วสินะ”

พรรณรายขับรถมาบ้านรวิชาในเวลาประมาณสามทุ่มเศษ หญิงสาวลงจากรถแล้วเปิดประตูด้านหลังเพื่อหยิบเดรสสั้นสีขาวครีมที่แขวนไว้ ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในตัวบ้าน ซึ่งเจ้าของบ้านกำลังนั่งดูโทรทัศน์รออยู่ในห้องรับแขกแล้ว พอเห็นพรรณรายเดินมาพร้อมกับเดรสที่ตนขอเอาไว้ จึงหยิบรีโมตขึ้นมาปิดโทรทัศน์แล้วลุกขึ้นเดินนำขึ้นไปยังห้องนอนของตัวเอง

ทั้งคู่ใช้เวลาแต่งตัวแต่งหน้าไม่ถึงชั่วโมงก็พากันออกจากบ้าน ทิ้งสายตาของผู้สูงวัยที่แอบมองอยู่ตรงหน้าต่างด้วยความเป็นห่วงอยู่เบื้องหลัง

“โธ่ คุณหนูนะคุณหนู ที่แท้ก็แอบออกไปเที่ยวกลางคืนหรอกหรือเนี่ย นึกว่าเพื่อนจะมาหากันเฉย ๆ เสียอีก ที่ไหนได้...”

ได้แต่รำพึงกับตัวเอง สุดท้ายก็ตัดสินใจหอบหมอนและผ้าห่มออกมานอนที่โซฟาตัวยาวในห้องรับแขกเพื่อรอรวิชากลับบ้าน เพราะถ้าคุณหนูกลับมาในตอนค่ำมืดดึกดื่น บุญเกิดที่เป็นทั้งคนสวนและคนขับรถอาจจะไม่ได้ยินเสียงกดออดเรียกที่หน้าประตูรั้ว ตนจึงตัดสินใจมานอนเฝ้าเสียตรงนี้เลย

รวิชาก้าวขาลงจากรถด้วยความไม่มั่นใจนัก ครั้นพอลงมายืนที่ข้างรถได้ ก็รีบเอามือดึงชายกระโปรงให้ปิดขาลงมาอีกสักหน่อยเพราะมันสั้นแสนสั้น เมื่อครู่ตอนนั่งอยู่ในรถเธอก็ดึงแล้วดึงอีก จนพรรณรายเห็นแล้วอดค่อนขอดไม่ได้

“แกจะดึงอะไรกันนักกันหนายายอาย เดี๋ยวชุดของฉันก็ยืดหมดพอดี” พรรณรายยืนหน้าง้ำกอดอกมองเพื่อน

“ฉันเหมือนใส่เสื้อแค่ตัวเดียวแล้วไม่ได้ใส่กระโปรงเลยน่ะ ชุดอะไรของแกเนี่ยทำไมมันสั้นอย่างนี้ นี่ถ้านมพิมมาเห็นต้องบ่นหูชาแน่เลย”

รวิชาทำปากยื่น ยิ่งเห็นสายตาของหนุ่ม ๆ ที่เริ่มมองมาทางตนก็ยิ่งทำให้ความมั่นใจหดหาย พรรณรายเห็นอาการของเพื่อนแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ส่ายหน้าช้า ๆ ทอดสายตามองราวกับผู้ใหญ่มองเด็ก

“อ่อนจริง ๆ เลยแก นี่...ลองมองไปรอบ ๆ สิยายอาย คนอื่นเขาแต่งกันยิ่งกว่าแกอีก ไม่เห็นจะมีใครเขาทำท่าทางเป็นเด็กหัดเปรี้ยวอย่างแกเลยสักคน”

พรรณรายกวาดตามองเพื่อนสาวขึ้นลงตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า รู้ดีว่าตนกับรวิชานั้นค่อนข้างมีทรวดทรงองค์เอวเกินกว่าเด็กสาววัยมัธยมพอสมควร เพื่อนในกลุ่มยังเคยเปรยให้ฟังอยู่หลายครั้งว่าอิจฉาพวกเธอในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นหากแต่งตัวแต่งหน้าแบบนี้ไม่มีทางที่จะมีคนมองออกว่าพวกตนเพิ่งพ้นรั้วกระโปรงบานมาสด ๆ ร้อน ๆ

“ฉันอุตส่าห์แต่งตัวแต่งหน้าให้แกเป็นสาวสวย ไม่มีใครเขามองออกหรอกว่าแกเพิ่งจะจบม.ปลายมา” พรรณรายกระซิบกระซาบกับรวิชา ก่อนจะฉุดแขนให้เข้าไปข้างในสถานบันเทิง

รวิชามองเพื่อนที่ยืนเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยระหว่างที่ยื่นบัตรสมาชิกให้พนักงานตรวจสอบที่หน้าประตูด้วยแววตาขบขัน เธอเห็นแล้วว่าพรรณรายพยายามอย่างยิ่งที่จะวางตัวให้ดูเหมือนเป็น “ผู้ใหญ่” เพื่อจะได้ไม่ถูกคนอื่นมองว่าเป็นเด็กน้อยหนีเที่ยว ทว่าเธอกลับมองแล้วรู้สึกตลกมากกว่า เพราะยิ่งทำให้ดูเหมือนเท่าไร ท่าทางที่แสดงออกมามันก็ยิ่งดูไม่เป็นธรรมชาติเท่านั้น

คิดได้ดังนั้นเธอจึงวางตัวสบาย ๆ ยิ้มให้พนักงานทั้งสองคนที่หน้าประตูเล็กน้อยหลังจากที่พวกเขาอนุญาตให้เธอกับเพื่อนเข้าไปด้านในได้ โดยมีพนักงานหญิงอีกคนเดินนำไปยังโต๊ะที่อยู่ด้านใน

“โห...”

รวิชาเบิกตากว้างอย่างตื่นเต้นเพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้มาเที่ยวสถานที่อย่างนี้ เสียงเพลงที่ดังกระหึ่มรอบตัวราวกับมีลำโพงแนบหูอยู่ตลอด ทำให้หญิงสาวไม่ได้ยินสิ่งที่พรรณรายพูดอยู่ด้านข้าง อีกทั้งแสงไฟสลัวสลับกับสปอตไลต์สีต่าง ๆ ที่สาดไปทั่วทั้งฮอลล์ ก็ทำให้เธอเผลอตัวหยุดยืนอยู่กับที่แล้วกวาดตามองไปรอบด้านราวกับเด็กหลงทางที่หลุดไปในดินแดนมหัศจรรย์

อืม...ตอนนี้รู้แล้วล่ะว่าอลิสรู้สึกอย่างไรตอนที่วิ่งตามกระต่ายเข้าไปในโพรง

รวิชาก้าวขาออกเดิน แต่สายตาก็ยังมิวายมองนั่นมองนี่ไปรอบกายด้วยความตื่นเต้น กลิ่นของเครื่องปรับอากาศผสานไปกับกลิ่นแอลกอฮอล์ และกลิ่นของน้ำหอมราคาแพงที่เหล่านักเที่ยวต่างประพรมร่างกันมานั้นลอยอบอวลอยู่ในอากาศ เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะแข่งกันกับเสียงเพลงที่ดังสนั่นไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกเวียนหัวแต่อย่างใด กลับรู้สึกสนุกมากกว่า

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status