ร่างบอบบางที่นอนเกลือกกลิ้งไปบนเตียงนอนขนาดใหญ่ด้วยใบหน้าเปี่ยมสุขในขณะนี้ฉายชัดถึงความโล่งใจ ราวกับได้ปลดเปลื้องภาระอันหนักอึ้งชิ้นหนึ่งให้หมดไปจากบ่า การสอบปลายภาคได้เสร็จสิ้นลงแล้วพร้อมกับสถานะของการเป็นเด็กมัธยมก็หมดลงเช่นกัน ถึงแม้จะยังพูดได้ไม่เต็มปากว่าเธอไม่ใช่เด็กมัธยมอีกต่อไป เพราะยังเหลือการสอบเก็บคะแนนเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยในคณะที่ใฝ่ฝัน ยังคงต้องใส่ชุดนักเรียนเวลาทำข้อสอบอยู่ แต่มันก็ยังดีกว่าที่จะต้องไปโรงเรียนทุกวันแล้วต้องอยู่กับกฎระเบียบที่เข้มงวดตลอดเวลาเป็นไหน ๆ
เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังอยู่ข้างตัว ทำให้รวิชาเปิดเปลือกตาขึ้นมามองดูรายชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ พอเห็นชื่อของคนที่โทร. เข้ามา เรียวปากอิ่มสีชมพูก็คลี่ยิ้มกว้าง รีบกดรับสายทันที
“ค่ะคุณแม่ อยู่ไหนแล้วคะ” เสียงใสกรอกลงไปทักทายคนปลายสาย ครั้นพอได้ฟังถ้อยความจากมารดา ใบหน้าแย้มยิ้มราวกับดอกไม้ผลิบานเมื่อครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นห่อเหี่ยวเซื่องซึมขึ้นมา
“อ้าว...ก็ไหนคุณแม่บอกว่าวันนี้เราจะไปดินเนอร์กันพร้อมหน้าพร้อมตาฉลองที่น้องอายสอบเสร็จไงคะ น้องอายอุตส่าห์รอ นึกว่าวันนี้คุณพ่อคุณแม่จะกลับมาทันเสียอีก”
รวิชาลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเตียง ใบหน้างอง้ำส่งเสียงตัดพ้อกระเง้ากระงอดไปตามสาย
“ก็ได้ค่ะ วันหน้าก็ได้...ไม่เป็นไรค่ะ คุณแม่ทำธุระกับคุณพ่อให้เสร็จเถอะค่ะ” รวิชาคุยกับมารดาอีกเพียงเล็กน้อย ก่อนจะวางสายแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง
ครั้งที่เท่าไรแล้วที่ท่านทั้งสองผิดนัด ครั้งที่เท่าไรแล้วที่วันสำคัญต่าง ๆ เธอต้องอยู่ฉลองกับแม่นมของมารดาเพียงลำพังแค่สองคน ทั้งที่รู้และพยายามทำความเข้าใจมาตลอดว่าพวกท่านงานยุ่งมากแค่ไหน ไม่ว่าจะภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบคนอีกหลายสิบชีวิตในบริษัทจึงทำให้เวลาที่มีส่วนใหญ่จะหมดไปกับการทำงานหามรุ่งหามค่ำ จนไม่สามารถเจียดเศษเสี้ยวเวลามาดินเนอร์กับเธอได้เลย
กระบอกตาร้อนผ่าวเมื่อหยาดน้ำเริ่มคลอเต็มหน่วยตา รวิชาหลับตาลงเพราะไม่ต้องการให้มันเอ่อไหลออกมาข้างนอก ทว่าทันทีที่เธอปิดเปลือกตาลง หยดน้ำใสก็ไหลกลิ้งจากหางตาจนผลุบหายเข้าไปในกลุ่มผมที่ขมับทันที
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น รวิชารีบลืมตาขึ้นพร้อมกับควานมือไปหยิบมันขึ้นมากดรับเพราะนึกว่าเป็นมารดาโทร. มาอีกครั้ง แต่พอเห็นรายชื่อของคนที่โทร. เข้ามา เธอก็ได้แต่ยิ้มขื่นเมื่อหลงนึกไปว่าเป็นสายที่ตนกำลังรอ
“ฮัลโหล มีอะไรจ๊ะคุณเพื่อนสาว” รวิชาปรับน้ำเสียงให้สดใสดังเดิมเมื่อรับสายของเพื่อนสนิทที่เพิ่งแยกจากกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ หลังจากที่สอบเสร็จแล้วไปฉลองกันที่ร้านไอศกรีมในห้างสรรพสินค้าย่านใจกลางเมือง
“คืนนี้ว่างไหมคุณเพื่อน ไปเที่ยวกัน” ปลายสายเอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แต่คนฟังกลับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“คืนนี้เนี่ยนะ ไปไหนของแกน่ะ ยายพิงค์”
“ไปเที่ยวกลางคืนไง สนหรือเปล่า” พิงค์ หรือพรรณรายลากเสียงยาวในตอนท้ายประโยคอย่างเชิญชวนหวังให้อีกฝ่ายคล้อยตามเพราะไม่ต้องการไปเที่ยวในสถานที่ดังกล่าวเพียงลำพังกับแฟนหนุ่มมหา’ลัยที่เพิ่งคบกันได้ไม่นานนัก
“หืม...เที่ยวกลางคืนเนี่ยนะ แกไปได้หรือ แม่ไม่ว่าหรือยายพิงค์”
รวิชาเด้งตัวขึ้นนั่งทันที กรอกเสียงถามเพื่อนอย่างตื่นเต้นไม่แพ้กัน เพราะการเที่ยวในสถานที่อโคจรแบบนั้นเธอยังไม่เคยไปเลยสักครั้ง
“คืนนี้แม่ฉันไม่อยู่ ไปต่างจังหวัดกลับมาอีกทีวันอังคารหน้าโน่นเลย โฮะ ๆ ว่าแต่แกเถอะ สนใจหรือเปล่าจ๊ะคุณหนูอาย”
พรรณรายตอบเพื่อนสาวอย่างรื่นเริงมาตามสาย สำหรับเธอแล้วการเที่ยวกลางคืนครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เธอเคยหนีที่บ้านไปมาหลายครั้งแล้วกับแฟนเก่าและกลุ่มเพื่อนของเขา แต่ไม่เคยบอกใครแม้กระทั่งเพื่อนสนิทอย่างรวิชา
“เฮ้ย...ไม่กล้าไปน่ะ ดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้ แล้วไปที่ไหนกันหรือ ว่าแต่แกเคยไปหรือไง”
รวิชารู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย การเรียนโรงเรียนสตรีล้วนทำให้เรื่องพวกนี้ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะไกลตัวอยู่สักหน่อย
“เคยสิ ไม่เคยจะกล้าชวนหรือ” ปลายสายตอบกลับมาอย่างไม่ยี่หระ ทำเอาคนฟังถึงกับเบิกตากว้าง
“หา! แกเคยไปมาแล้วหรือ ยายพิงค์บ้าไม่เห็นเล่าให้ฟังเลย ปิดเงียบเลยนะ แล้วแกไปที่ไหนไปกับใครเล่ามาเลย ให้ไว” รวิชาโวยวายใส่เพื่อนไม่จริงจังนัก อดแปลกใจไม่ได้ที่เพื่อนสาวเคยไปเที่ยวที่อโคจรอย่างนั้นมาก่อน
“คลับซุสที่ตอนนี้กำลังดังไงเล่า ส่วนเรื่องไปกับใครนั้น เดี๋ยวคืนนี้แกก็ได้เจอเขาเอง ตกลงไปนะ คืนนี้ฉันจะเอารถไปรับแกที่บ้าน โอเคเนอะ”
พรรณรายหว่านล้อมเพื่อนอีกครั้ง ก่อนจะมัดมือชกด้วยการลงทุนขับรถไปรับถึงที่บ้าน
“ก็ได้ ลองไปสักครั้งก็ดีเหมือนกัน”
รวิชาตัดสินใจได้ทันทีเมื่อนึกถึงบิดามารดาที่นัดไว้ล่วงหน้าในวันนี้ว่าจะมาดินเนอร์ด้วยกันตามประสาครอบครัว แต่สุดท้ายท่านทั้งสองก็ผิดนัดอีกครั้ง
“เย้! ฉันว่าแล้วว่าแกต้องไม่ปฏิเสธ แต่งตัวสวย ๆ ไว้รอเลยนะ จัดเต็มเลยคุณเพื่อน ถ้าไม่มีชุดเดี๋ยวฉันเอาไปให้ใส่ แค่นี้นะจ๊ะ บาย” พรรณรายวางสายลงทันทีด้วยเกรงว่ารวิชาจะเปลี่ยนใจไม่ไปกะทันหัน
รวิชาวางโทรศัพท์ลงข้างตัวด้วยความรู้สึกกึ่งหวาดหวั่นกึ่งตื่นเต้นที่จะได้ทำอะไรนอกกรอบเป็นครั้งแรก นมพิม แม่นมคนเก่าคนแก่ของมารดาเคยพูดห้ามปรามอยู่เสมอว่าสถานที่อย่างนั้นไม่เหมาะกับการจะไปเที่ยวเล่น เพราะเธอยังเด็กเกินไป อาจไม่รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมพวกจิ้งจอกกลางคืนได้ ทว่าแสงสีที่เธอได้เห็นตามหนังสือ และคำบอกเล่าของเพื่อนบางคนที่เคยได้ไปสัมผัสมาแล้วก็ชวนให้น่าลิ้มลองก้าวขาออกมายืนนอกกรอบดูบ้าง...ก็เธอไม่ใช่เด็กมัธยมอีกแล้วนี่นะ
เหลือบมองนาฬิกาที่ผนังห้องก็นึกขึ้นได้ว่าต้องเตรียมตัวไว้แต่เนิ่น ๆ ก่อนที่แม่นมจะขึ้นมาตามไปรับประทานมื้อเย็น เธอจึงเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหาดูว่ามีชุดไหนที่พอจะใส่สำหรับคืนนี้ได้บ้าง
หญิงสาวใช้มือไล่ดูไปทีละชุด ๆ อย่างไม่เร่งรีบนัก แต่แล้วก็ต้องเบ้หน้าเมื่อชุดที่แขวนเรียงรายอัดแน่นกันอยู่ในนั้นไม่มีชุดไหนที่พอจะใส่แล้วดูเป็น “สาว” ขึ้นมาบ้างเลย
เจ้าตัวกลับมานั่งแปะอยู่ที่เตียง แล้วกดโทรศัพท์หาเพื่อนสาวที่เพิ่งวางสาย
“พิงค์ ฉันไม่มีชุดใส่คืนนี้ แกเอามาให้ฉันด้วยสิ แล้วมาแต่งหน้าบ้านฉันก็ได้”
รวิชาคุยกับเพื่อนสักพักก็วางสาย เป็นเวลาเดียวกับที่แม่นมขึ้นมาเรียก
“นมจ๋า เดี๋ยวพิงค์จะมาหาน้องอายที่บ้านตอนค่ำ มานั่งคุยเล่นเป็นเพื่อนน่ะ หรืออาจจะมาค้างกับน้องอายก็ได้ ถ้านมง่วงอยากเข้านอน นมนอนก่อนก็ได้นะจ๊ะ ไม่ต้องห่วง” รวิชาบอกกับแม่นมของมารดาที่ดูแลเธอมาแต่อ้อนแต่ออก และรักราวกับลูกในไส้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“หรือคะ ก็ดีสิคะ คุณหนูของนมจะได้ไม่เหงา คุณหนูอายอย่าน้อยใจคุณพ่อกับคุณแม่นะคะ ท่านทั้งสองทำงานหนักจริง ๆ ค่ะ แต่ท่านก็ไม่เคยลืมคุณหนูนะ”
ฝ่ามือเหี่ยวย่นลูบศีรษะเล็กด้วยความสงสาร ตั้งแต่เล็กจนโต ตนเห็นคุณหนูตัวน้อยนั่งรอบุพการีกลับมาจากทำงานอยู่ที่ขั้นบันไดตรงมุกหน้าบ้านเสมอ จนบางครั้งก็ฟุบหลับหน้าแนบไปกับราวบันได เคยปลุกให้ขึ้นไปนอนบนห้องก็ไม่ยอม จะรอแต่พ่อกับแม่อย่างเดียว ถึงมาพักหลังนี้จะไม่ค่อยเห็นเด็กสาวมานั่งรอเหมือนเมื่อก่อนอีก แต่ตนก็รู้ดีว่าในใจลึก ๆ ของรวิชานั้นโหยหาความอบอุ่นมากแค่ไหน“น้องอายรู้ค่ะ แหม...น้องอายโตแล้วนะคะไม่ใช่เด็ก ๆ ที่จะมานั่งงอนตะพึดตะพือเหมือนเมื่อก่อน”รวิชายิ้มจนตาหยีเพื่อให้แม่นมสูงวัยคลายกังวล ทั้งที่ในใจนั้นยังอัดแน่นไปด้วยความน้อยใจบุพการีที่เหมือนลืมไปแล้วว่ามีเธอเป็นลูกสายตาของผู้สูงวัยได้แต่มองคนตรงหน้าที่นั่งกินมื้อเย็นไปเงียบ ๆ คนเดียวเช่นทุกครั้งด้วยความรักและสงสาร ถึงแม้อีกฝ่ายจะพยายามแสดงออกมากแค่ไหนว่าตัวเองเข้มแข็ง แต่คนที่เลี้ยงมากับมือตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งโตเป็นสาวน้อยน่ารัก ทำไมตนจะไม่รู้ว่าในใจของรวิชากำลังคิดอะไร บางคืนตนยังได้ยินเสียงคุณหนูน้อยละเมอร้องไห้อยู่เลยหลังเสร็จจากมื้อเย็นแล้ว รวิชาก็ออกมานั่งเล่นที่ระเบียงห้องนอน มุมนี้เป็นมุมที่เธอชอบมากที่สุดเวลาที่
จนกระทั่งนัยน์ตากลมโตไปปะทะเข้ากับชายหนุ่มหน้าหล่อเหลาที่ยืนอยู่ในบูธดีเจ เขาคนนั้นส่งรอยยิ้มกระชากใจมาให้พร้อมกับทำท่าตะเบ๊ะเหมือนทหารทำความเคารพ ส่งผลให้สาวน้อยรีบหลบสายตาเป็นพัลวัน และอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มออกมา“อ้าว ยายพิงค์หายไปไหน”รวิชาเพิ่งรู้สึกตัวว่าเพื่อนไม่ได้อยู่ข้างตัว ตอนนี้รอบกายเธอมีแต่บรรดาผีเสื้อราตรีที่กำลังวาดลวดลายอยู่ตามโต๊ะ หญิงสาวสอดส่ายสายตามองหาพรรณรายพร้อมกับเดินไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัวว่าตนได้ย่างเท้าก้าวเข้ามาในโซนวีไอพีแล้วเพราะมัวแต่มองหาเพื่อน อีกทั้งรองเท้าที่ใส่ก็สูงแหลมเสียจนน่าหวาดเสียว จึงทำให้รวิชาสะดุดขาตัวเองจนร่างเซถลาไปข้างหน้า หญิงสาวหวีดร้องด้วยความตระหนกเมื่อคิดว่าคงต้องเจ็บตัวแน่แล้ว ไหนจะต้องอับอายขายหน้าคนอื่นอีกที่ทำตัวเซ่อซ่า แต่แล้วจู่ ๆ วงแขนแข็งแรงของใครบางคนก็คว้าร่างเธอให้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะก่อนจะล้มหัวเข่ากระแทกพื้นทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมากจนรวิชาไม่ทันได้คิดอะไร เพราะยังรู้สึกตกใจไม่น้อยกับเหตุการณ์เมื่อครู่ จึงไม่ทันได้สังเกตว่าตอนนี้ใบหน้าของเธอแนบอยู่กับอกกว้างของคนที่กำลังยกแขนขึ้นโอบเอวเธอหลวม ๆ
รวิชากระแทกตัวลงนั่งติดกับพรรณรายด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์พร้อมกับเอากระเป๋าสะพายใบเล็กวางไว้ข้างตัวเพื่อป้องกันไม่ให้กลวิชรเข้ามานั่งติดกับตนเธอไม่ชอบผู้ชายคนนี้ตั้งแต่เจอหน้าครั้งแรกที่บริษัทของบิดา ไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับเขา เห็นเขาเป็นแค่คนแปลกหน้าจึงไม่สนใจ แต่คงเป็นเพราะบุญเก่าของเธอยังมีอยู่จึงทำให้ได้รับรู้เรื่องความเหลวแหลก และเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อของเขาเข้าด้วยความบังเอิญตอนชายหนุ่มกำลังคุยโทรศัพท์สับรางกับบรรดาสาว ๆ ในมหาวิทยาลัย ผู้ชายคนนี้คุยโวโอ้อวดเรื่องบ้านรวยและเส้นใหญ่อย่างไม่อายปาก จึงทำให้เธอพยายามไม่เสวนากับเขา“เป็นอะไรยายอาย หน้าบึ้งมาเชียว” พรรณรายเอี้ยวตัวมากระซิบถามทันทีที่เห็นรวิชาหย่อนตัวลงนั่ง“พิงค์ แกไปรู้จักกับพวกหนุ่มมหา’ลัยตั้งแต่เมื่อไร ไม่เห็นเคยเล่าให้ฟัง”รวิชาเหลือบตามองไปยังชายหนุ่มหน้าตาดีที่นั่งเบียดชิดอยู่กับเพื่อนสาว หนำซ้ำยังเอาแขนมาโอบเอวเพื่อนเธออีกด้วย“เมื่อสองเดือนที่แล้วตอนไปเรียนติว วันนั้นที่แกไม่สบายเลยไม่ได้มาติวไงจำได้ไหม ฉันเลยต้องไปเดินเล่นคนเดียว กินข้าวคนเดียว ก็เลยได้รู้จักกับพี่ทิวน่ะ พี่เขาอยู่วิศวะฯ เชียวนะแก”พรรณรายบอกชื่อมห