รวิชากระแทกตัวลงนั่งติดกับพรรณรายด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์พร้อมกับเอากระเป๋าสะพายใบเล็กวางไว้ข้างตัวเพื่อป้องกันไม่ให้กลวิชรเข้ามานั่งติดกับตน
เธอไม่ชอบผู้ชายคนนี้ตั้งแต่เจอหน้าครั้งแรกที่บริษัทของบิดา ไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับเขา เห็นเขาเป็นแค่คนแปลกหน้าจึงไม่สนใจ แต่คงเป็นเพราะบุญเก่าของเธอยังมีอยู่จึงทำให้ได้รับรู้เรื่องความเหลวแหลก และเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อของเขาเข้าด้วยความบังเอิญตอนชายหนุ่มกำลังคุยโทรศัพท์สับรางกับบรรดาสาว ๆ ในมหาวิทยาลัย ผู้ชายคนนี้คุยโวโอ้อวดเรื่องบ้านรวยและเส้นใหญ่อย่างไม่อายปาก จึงทำให้เธอพยายามไม่เสวนากับเขา
“เป็นอะไรยายอาย หน้าบึ้งมาเชียว” พรรณรายเอี้ยวตัวมากระซิบถามทันทีที่เห็นรวิชาหย่อนตัวลงนั่ง
“พิงค์ แกไปรู้จักกับพวกหนุ่มมหา’ลัยตั้งแต่เมื่อไร ไม่เห็นเคยเล่าให้ฟัง”
รวิชาเหลือบตามองไปยังชายหนุ่มหน้าตาดีที่นั่งเบียดชิดอยู่กับเพื่อนสาว หนำซ้ำยังเอาแขนมาโอบเอวเพื่อนเธออีกด้วย
“เมื่อสองเดือนที่แล้วตอนไปเรียนติว วันนั้นที่แกไม่สบายเลยไม่ได้มาติวไงจำได้ไหม ฉันเลยต้องไปเดินเล่นคนเดียว กินข้าวคนเดียว ก็เลยได้รู้จักกับพี่ทิวน่ะ พี่เขาอยู่วิศวะฯ เชียวนะแก”
พรรณรายบอกชื่อมหาวิทยาลัยที่สองหนุ่มนั้นเรียนอยู่อย่างโอ้อวด รวิชาได้แต่ยิ้มแกน ๆ ก่อนจะทำตาโตเมื่อเห็นเพื่อนยกแก้วน้ำสีอำพันขึ้นดื่มไปอึกใหญ่
“พิงค์! แกดื่มเหล้าเป็นด้วยหรือ”
“โอ้โห...คุณหนูอาย แกนี่เด็กน้อยมากเลยนะ แค่เหล้าเองแกไม่เคยดื่มหรือ อ้อ...ฉันลืมไปว่าแกน่ะ อยู่แต่ในกรง เอ๊ย! ในกรอบมาตลอด ลองดูหน่อยไหมล่ะ เหมือนโค้กนั่นแหละ”
พรรณรายเลื่อนแก้วที่กลวิชรเพิ่งชงให้รวิชาโดยเฉพาะมาตรงหน้า หญิงสาวมองแก้วที่มีน้ำสีทองอ่อน ๆ อยู่ในนั้นอย่างหวาดหวั่น เธอไม่เคยดื่มแอลกอฮอล์มาก่อน จึงไม่รู้ว่ารสชาติจะเป็นอย่างไรตอนดื่ม ใจหนึ่งก็อยากลอง อีกใจก็นึกกลัว
“เนี่ย ชงมาอ่อนที่สุดแล้วนะยายอาย เทียบกับแก้วของฉันได้เลยเห็นไหม ของฉันสีเข้มกว่าตั้งเยอะ” พรรณรายเลื่อนแก้วของตัวเองมาวางเทียบสีความเข้มข้นของระดับแอลกอฮอล์ที่อยู่ในแก้วให้เพื่อนสาวดู
“เอางี้ดีกว่า พี่ว่าให้น้องอายลองสั่งพันช์ หรือค็อกเทลมาลองดื่มดูก่อนก็ได้ อย่างน้อยมันก็มีน้ำผลไม้ผสมอยู่ด้วย มีเหล้าแค่นิดเดียว ดื่มยังไงก็ไม่เมาหรอกครับ เนอะ” แฟนหนุ่มของพรรณรายกระซิบข้างหูเจ้าหล่อนพร้อมกับกดจมูกลงบนแก้มเนียนนุ่มนั่น ทำเอารวิชาเห็นแล้วอดเขินแทนไม่ได้ ต้องรีบเบือนหน้ามองทางอื่น
ไม่อยากเชื่อเลยว่าเพื่อนสนิทของเธอจะก๋ากั่นได้ถึงขนาดนี้ ทั้งที่ตอนอยู่โรงเรียนก็ไม่มีท่าทีที่จะแสดงออกอย่างนั้นเลย
หรือเธอจะอยู่แต่ในกรอบมากเกินไปจนไม่ได้สังเกตโลกภายนอกกับเขา
เพียงไม่นาน ค็อกเทลสีฟ้าสวยก็เสิร์ฟลงตรงหน้ารวิชา หญิงสาวอมยิ้มเมื่อเห็นสีสันและการประดับประดาของเครื่องดื่มตรงหน้า ขอบปากแก้วมีเกล็ดเกลือติดไว้โดยรอบ มะนาวฝานชิ้นบาง ๆ ถูกเสียบไว้มุมหนึ่งคู่กับเชอรี่สีแดงสด มีร่มกระดาษอันเล็กปักอยู่ดูน่ารักเหมือนการประดับถ้วยไอศกรีม
รวิชาหันไปมองเพื่อนสาวยิ้ม ๆ เห็นเพื่อนยกนิ้วโป้งมาให้จึงทดลองชิมดูก็คลี่ยิ้มกว้าง รสชาติของน้ำสีฟ้าในแก้วนั้นออกหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อยกำลังดี แทบไม่มีกลิ่นแอลกอฮอล์มารบกวนสัมผัสการรับรส
“อร่อยใช่ไหมล่ะ แต่อย่าดื่มมากนะแก เพราะค็อกเทลมันก็มีเหล้าผสมอยู่เหมือนกันนะ” พรรณรายเตือนด้วยความหวังดี เพราะรู้ว่ารวิชาไม่เคยดื่มเครื่องดื่มของมึนเมามาก่อน โดยหารู้ไม่ว่าระหว่างที่ตนหันไปคุยกับเพื่อนนั้น แฟนหนุ่มก็หันไปลอบสบตากับกลวิชรที่นั่งอยู่อีกด้านอย่างรู้กัน
แก้วแรกยังไม่หมดดี รวิชาก็เริ่มมึนศีรษะ ภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเบลอและทับซ้อนกันวุ่นวาย หญิงสาวหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้งอย่างยากลำบาก เธอรู้สึกได้ถึงมือของพรรณรายที่ตบแก้มตนเบา ๆ พร้อมกับเรียกชื่อหลายครั้ง แต่ดูเหมือนเสียงนั้นจะเริ่มห่างไกลออกไปทุกที จนในที่สุดสติสัมปชัญญะก็ค่อย ๆ ดับวูบ
“ตายแล้วพี่ทิว! ยายอายเมาหลับไปแล้วทำยังไงดี ทำไมถึงเมาง่ายขนาดนี้นะ” พรรณรายยังคงเขย่าแขนรวิชาอยู่พร้อมกับเรียกเพื่อนไปด้วย ในขณะที่ชายหนุ่มทั้งสองคนมองหน้ากันยิ้ม ๆ
“ปล่อยน้องอายหลับไปก่อนเถอะ หรือเราจะไปส่งน้องอายที่บ้านก่อน แล้วค่อยไปค้างที่คอนโดฯ ของพี่” ชายหนุ่มกระซิบกระซาบกับสาวน้อย ก่อนจะหันไปส่งสายตาเป็นเชิงรู้กันกับกลวิชร
“พี่ไปส่งน้องอายที่บ้านเองครับ พี่กับคุณพ่อเคยไปที่บ้านน้องอายบ่อย ๆ ตอนพี่ไปส่งน้องอาย คนในบ้านจะได้เบาใจเพราะเคยเห็นหน้าพี่แล้ว แต่พี่คงต้องให้ทิวมันช่วยพี่ประคองน้องอายไปที่รถก่อน เพราะถ้าให้พี่อุ้มไปเดี๋ยวจะเป็นจุดเด่นให้คนอื่นเขามอง”
กลวิชรรีบอาสาพลางยกแก้วขึ้นดื่มแล้วหลุบตาลงต่ำเพื่อหลบซ่อนความเจ้าเล่ห์ที่แสดงออกมาทางแววตา เขาโกหกพรรณราย เพราะความจริงแล้วเขาไม่เคยไปบ้านของรวิชาเลยสักครั้ง
“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะพี่วิชร ถ้างั้นพิงค์ฝากเพื่อนด้วยนะคะ ส่งเพื่อนพิงค์ให้ถึงบ้านนะ”
พรรณรายย้ำกับชายหนุ่ม ก่อนที่ทั้งสองคนจะหิ้วปีกประคองรวิชาออกจากโต๊ะไป ทิ้งให้พรรณรายอยู่เฝ้าโต๊ะเพียงลำพังเพื่อรอให้แฟนหนุ่มกลับเข้ามา เพราะตนนั้นตั้งใจจะดูการแสดงสดของที่นี่ให้จบก่อน จึงค่อยกลับไปค้างคืนที่คอนโดฯ ของเขา
กลวิชรคลี่ยิ้มกว้างระหว่างที่พารวิชาเดินฝ่ากลุ่มนักเที่ยวออกไปยังประตู
“รู้สึกว่าน้องอายจะไม่ค่อยชอบหน้ามึงเท่าไรเลยว่ะ แน่ใจนะที่ทำแบบนี้แล้วจะไม่เดือดร้อน”
ทิวาภัทรตะโกนถามเพื่อนที่หิ้วปีกหญิงสาวอยู่อีกฝั่งแข่งกับเสียงเพลงที่ดังอย่างต่อเนื่อง
“จะเดือดร้อนอะไรวะ จะติดใจน่ะสิไม่ว่า มึงคอยดูเถอะพอเข้ามหา’ลัยไป ไม่โดนกูก็ต้องโดนคนอื่นอยู่ดี เพราะฉะนั้นกูต้องชิงเปิดซิงก่อน เรื่องอะไรให้คนอื่นมาเปิดวะ กูอุตส่าห์เล็งมาตั้งแต่ยังใส่ชุดนักเรียน”
กลวิชรพูดอย่างไม่ยี่หระ ใบหน้าระบายรอยยิ้มตลอดเวลาเมื่อนึกถึงชั่วโมงแห่งความสุขที่กำลังรออยู่ข้างหน้า
ในที่สุดทั้งคู่ก็พาร่างที่สลบไสลไม่ได้สติของรวิชาออกมาถึงลานจอดรถจนได้
“ขอโทษนะครับ! พวกคุณสองคนน่ะหยุดก่อน”
ทว่ายังไม่ทันจะเดินไปถึงรถก็ต้องสะดุ้งกับเสียงทุ้มกังวานแต่ฟังดูเฉียบขาดที่ดังอยู่เบื้องหลัง ครั้นพอหันไปมองก็ทำเอาทิวาภัทรและกลวิชรถึงกับหน้าถอดสี
คุณภีมพล!
ร่างบอบบางที่นอนเกลือกกลิ้งไปบนเตียงนอนขนาดใหญ่ด้วยใบหน้าเปี่ยมสุขในขณะนี้ฉายชัดถึงความโล่งใจ ราวกับได้ปลดเปลื้องภาระอันหนักอึ้งชิ้นหนึ่งให้หมดไปจากบ่า การสอบปลายภาคได้เสร็จสิ้นลงแล้วพร้อมกับสถานะของการเป็นเด็กมัธยมก็หมดลงเช่นกัน ถึงแม้จะยังพูดได้ไม่เต็มปากว่าเธอไม่ใช่เด็กมัธยมอีกต่อไป เพราะยังเหลือการสอบเก็บคะแนนเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยในคณะที่ใฝ่ฝัน ยังคงต้องใส่ชุดนักเรียนเวลาทำข้อสอบอยู่ แต่มันก็ยังดีกว่าที่จะต้องไปโรงเรียนทุกวันแล้วต้องอยู่กับกฎระเบียบที่เข้มงวดตลอดเวลาเป็นไหน ๆเสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังอยู่ข้างตัว ทำให้รวิชาเปิดเปลือกตาขึ้นมามองดูรายชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ พอเห็นชื่อของคนที่โทร. เข้ามา เรียวปากอิ่มสีชมพูก็คลี่ยิ้มกว้าง รีบกดรับสายทันที“ค่ะคุณแม่ อยู่ไหนแล้วคะ” เสียงใสกรอกลงไปทักทายคนปลายสาย ครั้นพอได้ฟังถ้อยความจากมารดา ใบหน้าแย้มยิ้มราวกับดอกไม้ผลิบานเมื่อครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นห่อเหี่ยวเซื่องซึมขึ้นมา“อ้าว...ก็ไหนคุณแม่บอกว่าวันนี้เราจะไปดินเนอร์กันพร้อมหน้าพร้อมตาฉลองที่น้องอายสอบเสร็จไงคะ น้องอายอุตส่าห์รอ นึกว่าวันนี้คุณพ่อคุณแม่จะกลับมาทันเสียอีก”รวิชาลุกขึ้นนั่งข
ฝ่ามือเหี่ยวย่นลูบศีรษะเล็กด้วยความสงสาร ตั้งแต่เล็กจนโต ตนเห็นคุณหนูตัวน้อยนั่งรอบุพการีกลับมาจากทำงานอยู่ที่ขั้นบันไดตรงมุกหน้าบ้านเสมอ จนบางครั้งก็ฟุบหลับหน้าแนบไปกับราวบันได เคยปลุกให้ขึ้นไปนอนบนห้องก็ไม่ยอม จะรอแต่พ่อกับแม่อย่างเดียว ถึงมาพักหลังนี้จะไม่ค่อยเห็นเด็กสาวมานั่งรอเหมือนเมื่อก่อนอีก แต่ตนก็รู้ดีว่าในใจลึก ๆ ของรวิชานั้นโหยหาความอบอุ่นมากแค่ไหน“น้องอายรู้ค่ะ แหม...น้องอายโตแล้วนะคะไม่ใช่เด็ก ๆ ที่จะมานั่งงอนตะพึดตะพือเหมือนเมื่อก่อน”รวิชายิ้มจนตาหยีเพื่อให้แม่นมสูงวัยคลายกังวล ทั้งที่ในใจนั้นยังอัดแน่นไปด้วยความน้อยใจบุพการีที่เหมือนลืมไปแล้วว่ามีเธอเป็นลูกสายตาของผู้สูงวัยได้แต่มองคนตรงหน้าที่นั่งกินมื้อเย็นไปเงียบ ๆ คนเดียวเช่นทุกครั้งด้วยความรักและสงสาร ถึงแม้อีกฝ่ายจะพยายามแสดงออกมากแค่ไหนว่าตัวเองเข้มแข็ง แต่คนที่เลี้ยงมากับมือตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งโตเป็นสาวน้อยน่ารัก ทำไมตนจะไม่รู้ว่าในใจของรวิชากำลังคิดอะไร บางคืนตนยังได้ยินเสียงคุณหนูน้อยละเมอร้องไห้อยู่เลยหลังเสร็จจากมื้อเย็นแล้ว รวิชาก็ออกมานั่งเล่นที่ระเบียงห้องนอน มุมนี้เป็นมุมที่เธอชอบมากที่สุดเวลาที่
จนกระทั่งนัยน์ตากลมโตไปปะทะเข้ากับชายหนุ่มหน้าหล่อเหลาที่ยืนอยู่ในบูธดีเจ เขาคนนั้นส่งรอยยิ้มกระชากใจมาให้พร้อมกับทำท่าตะเบ๊ะเหมือนทหารทำความเคารพ ส่งผลให้สาวน้อยรีบหลบสายตาเป็นพัลวัน และอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มออกมา“อ้าว ยายพิงค์หายไปไหน”รวิชาเพิ่งรู้สึกตัวว่าเพื่อนไม่ได้อยู่ข้างตัว ตอนนี้รอบกายเธอมีแต่บรรดาผีเสื้อราตรีที่กำลังวาดลวดลายอยู่ตามโต๊ะ หญิงสาวสอดส่ายสายตามองหาพรรณรายพร้อมกับเดินไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัวว่าตนได้ย่างเท้าก้าวเข้ามาในโซนวีไอพีแล้วเพราะมัวแต่มองหาเพื่อน อีกทั้งรองเท้าที่ใส่ก็สูงแหลมเสียจนน่าหวาดเสียว จึงทำให้รวิชาสะดุดขาตัวเองจนร่างเซถลาไปข้างหน้า หญิงสาวหวีดร้องด้วยความตระหนกเมื่อคิดว่าคงต้องเจ็บตัวแน่แล้ว ไหนจะต้องอับอายขายหน้าคนอื่นอีกที่ทำตัวเซ่อซ่า แต่แล้วจู่ ๆ วงแขนแข็งแรงของใครบางคนก็คว้าร่างเธอให้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะก่อนจะล้มหัวเข่ากระแทกพื้นทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมากจนรวิชาไม่ทันได้คิดอะไร เพราะยังรู้สึกตกใจไม่น้อยกับเหตุการณ์เมื่อครู่ จึงไม่ทันได้สังเกตว่าตอนนี้ใบหน้าของเธอแนบอยู่กับอกกว้างของคนที่กำลังยกแขนขึ้นโอบเอวเธอหลวม ๆ