จนกระทั่งนัยน์ตากลมโตไปปะทะเข้ากับชายหนุ่มหน้าหล่อเหลาที่ยืนอยู่ในบูธดีเจ เขาคนนั้นส่งรอยยิ้มกระชากใจมาให้พร้อมกับทำท่าตะเบ๊ะเหมือนทหารทำความเคารพ ส่งผลให้สาวน้อยรีบหลบสายตาเป็นพัลวัน และอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มออกมา
“อ้าว ยายพิงค์หายไปไหน”
รวิชาเพิ่งรู้สึกตัวว่าเพื่อนไม่ได้อยู่ข้างตัว ตอนนี้รอบกายเธอมีแต่บรรดาผีเสื้อราตรีที่กำลังวาดลวดลายอยู่ตามโต๊ะ หญิงสาวสอดส่ายสายตามองหาพรรณรายพร้อมกับเดินไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัวว่าตนได้ย่างเท้าก้าวเข้ามาในโซนวีไอพีแล้ว
เพราะมัวแต่มองหาเพื่อน อีกทั้งรองเท้าที่ใส่ก็สูงแหลมเสียจนน่าหวาดเสียว จึงทำให้รวิชาสะดุดขาตัวเองจนร่างเซถลาไปข้างหน้า หญิงสาวหวีดร้องด้วยความตระหนกเมื่อคิดว่าคงต้องเจ็บตัวแน่แล้ว ไหนจะต้องอับอายขายหน้าคนอื่นอีกที่ทำตัวเซ่อซ่า แต่แล้วจู่ ๆ วงแขนแข็งแรงของใครบางคนก็คว้าร่างเธอให้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะก่อนจะล้มหัวเข่ากระแทกพื้น
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมากจนรวิชาไม่ทันได้คิดอะไร เพราะยังรู้สึกตกใจไม่น้อยกับเหตุการณ์เมื่อครู่ จึงไม่ทันได้สังเกตว่าตอนนี้ใบหน้าของเธอแนบอยู่กับอกกว้างของคนที่กำลังยกแขนขึ้นโอบเอวเธอหลวม ๆ อย่างปกป้อง ถึงแม้จะดูว่าใกล้ชิดกันมากจนเกินไป ทว่าท่าทางของเขากลับไม่ได้ดูคุกคามหรือหาเรื่องฉวยโอกาสใด ๆ ทั้งสิ้น
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
เสียงทุ้มน่าฟังที่พูดอยู่เหนือศีรษะของเธอนั้นฟังดูคุ้นหูอย่างประหลาด รวิชาเงยหน้าขึ้นมองคนที่ช่วยเหลือทันที แล้วก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นหน้าของเขาชัด ๆ
แน่ล่ะ ก็เธอแอบเห็นเขาอยู่บ่อย ๆ ที่ระเบียง...คุณผีดิบ!
พรรณรายนั่งชะเง้อคอมองหาเพื่อนสาวไปทั่วบริเวณ เธอจำได้ว่าตอนเดินเข้ามา รวิชาก็เดินตามมาติด ๆ ไม่ใช่หรือ แล้วตอนนี้แม่เพื่อนตัวดีกลับหลงไปอยู่ตรงไหนของฮอลล์แล้วก็ไม่รู้
“พี่ว่าเพื่อนของน้องพิงค์คงหาโต๊ะเราไม่เจอ”
ชายหนุ่มที่นั่งโอบเอวของเธอไว้กระซิบที่ข้างหู ก่อนหันไปสบตากับเพื่อนที่มาด้วยกัน เพราะเจ้าตัวเคยบอกเขาว่าถูกตาต้องใจรวิชา พอรู้ว่าหญิงสาวจะมา หมอนี่ก็เลยรีบรับนัดทันทีทั้งที่ก่อนหน้านี้ปฏิเสธเพราะมีนัดกับสาวสวย ดาวคณะนิเทศศาสตร์แล้ว
“เดี๋ยวพี่ไปตามน้องอายให้เอง น้องพิงค์ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” กลวิชรลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกไป แต่ติดที่พรรณรายเรียกเอาไว้ก่อน
“พี่วิชรรู้จักยายอายเพื่อนพิงค์ด้วยหรือคะ เคยเห็นหน้าหรือ”
“น้องพิงค์ไม่รู้อะไร พ่อพี่กับพ่อน้องอายเป็นหุ้นส่วนทำบริษัทด้วยกัน พี่เคยเจอน้องอายบ่อย ๆ ตอนไปหาพ่อที่บริษัทน่ะ”
กลวิชรเลือกที่จะโกหกบางส่วนเพื่อให้พรรณรายวางใจในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับรวิชา ทั้งที่ความจริงแล้วเขากับรวิชาเคยเจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง ตอนที่เขาไปหาบิดาที่บริษัท และเธอก็ไปหาบิดาของเธอด้วยเช่นกัน ความที่เธอหน้าตาน่ารัก รูปร่างสูงโปร่ง ผิวพรรณขาวนวลเนียนหมดจด ทำให้เขาเกิดสนใจขึ้นมา หลังจากนั้นจึงเริ่มต้นทำความรู้จักและอยากสานสัมพันธ์ด้วยจึงลองจีบดู แต่ทว่าเจ้าตัวกลับเมิน ทั้งยังทำหยิ่งใส่ราวกับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
ทั้งที่บิดาของเขาเป็นหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทของบิดาเธอ หญิงสาวยังไม่ยอมให้ความสนิทสนมด้วย ทั้งที่เขาเองก็จัดได้ว่าหน้าตาดี มีรถหรู มีเงินหนา สาว ๆ ระดับดาวคณะต่าง ๆ เขาก็เคยควงมาแล้ว แล้วเธอเป็นใครกันถึงได้มาทำท่าทางราวกับรังเกียจเขาอย่างนั้น ทั้งที่เธอเองก็เป็นแค่เด็กมัธยมปลาย
แน่นอนว่าคนอย่างกลวิชร ไม่มีทางยอมให้ผู้หญิงคนไหนมาเชิดใส่ได้เด็ดขาด เขาจะต้องหาทางจีบเธอให้มาเป็นผู้หญิงในสต๊อกให้ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม และเขาก็เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว
คืนนี้แหละ...ได้รู้กัน!
“เอ่อ...ขะ ขอบคุณค่ะ” เมื่อตั้งหลักได้ รวิชาจึงเอ่ยขอบคุณเบา ๆ ส่วนชายหนุ่มนั้น เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยืนได้มั่นคงแล้วจึงปล่อยเธอให้เป็นอิสระ
“ยินดีครับ ว่าแต่คุณไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม”
ภีมพลถามพลางจ้องใบหน้าเรียวเล็กนั้นอย่างค้นหา เขารู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาผู้หญิงตรงหน้านี้เหลือเกิน ราวกับเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน โดยไม่รอฟังคำตอบก็ถามต่อในสิ่งที่สงสัยในทันที
“เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าครับ”
ถามแล้วก็ขมวดคิ้วเอียงคอเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้หน้าตาจัดว่าน่ารักจิ้มลิ้มใช้ได้เลยทีเดียว ถ้าหากเธอเคยเป็นคู่นอนของเขามาก่อน เขาก็ต้องจำได้แน่นอนโดยเฉพาะสาวสวย แต่นี่ไม่ใช่ เขามั่นใจว่าไม่เคยรู้จักหรือพูดคุยกับผู้หญิงคนนี้ แต่น่าแปลกตรงที่เขากลับรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอเธอมาแล้ว เพียงแต่นึกไม่ออกว่าที่ไหน
“มะ...ไม่เคยค่ะ คงจำผิดคนแล้วมั้งคะ”
รวิชาโบกมือไปมา ปฏิเสธปากคอสั่นเพราะกลัวเขาจะจำได้ว่าเธอคือใคร เพราะเห็นสายตาเคลือบแคลงสงสัยของเขา เธอเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะรีบผละออกมา
“น้องอาย”
เสียงเรียกจากด้านหลังดังแข่งกับเสียงเพลง พร้อมกับมือใครบางคนที่คว้าหมับเข้าที่ต้นแขนทำให้รวิชาต้องหันกลับไปมอง ครั้นพอเห็นว่าเป็นใคร หญิงสาวถึงกับปัดมือเขาออกอย่างแรงพร้อมกับถอยห่างจากร่างสูงนั้นประมาณสองก้าว และส่งสายตาแสดงความไม่พอใจกลับไปให้
“พี่วิชร!”
รวิชาลอบระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่คิดว่าตัวเองจะโชคร้ายที่เจอกลวิชรที่นี่
“น้องพิงค์ให้พี่ออกมาตามหาน้องอาย พวกเรานั่งกันอยู่ตรงโน้น”
กลวิชรชี้ไปทางโต๊ะที่พวกตนนั่งอยู่ รวิชามองตาม ก่อนจะหันกลับมามองหน้าเขาอีกครั้งอย่างสงสัย
“พี่วิชรรู้จักกับเพื่อนอายด้วยหรือคะ”
รวิชานึกระแวงขึ้นมาเพราะรู้สึกไม่ชอบหน้ากลวิชรเป็นทุนเดิม อีกทั้งเรื่องที่ได้ยินจากเขาก็ทำให้เธอหมดอารมณ์สนุกในคืนนี้แทบจะทันทีอีกเช่นกัน
“รู้จักสิครับ ก็เพื่อนพี่กำลังคบกับน้องพิงค์ ไปกันเถอะ เดี๋ยวพวกนั้นจะรอ”
กลวิชรยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นรวิชาชักสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะออกเดินนำเธอไปยังโต๊ะที่อยู่ในโซนวีไอพี
ทั้งคู่ไม่มีโอกาสรู้เลยว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ได้ตกอยู่ในสายตาของภีมพลตั้งแต่ต้นจนจบ คราแรกชายหนุ่มคิดจะเดินกลับเข้าไปในอาคารที่เป็นส่วนของออฟฟิศอยู่แล้ว หลังจากที่หญิงสาวคนเมื่อครู่ขอตัวผละออกไป ทว่าพอเห็น ชายหนุ่มคนนั้นเข้ามาคว้าแขนของเธอเอาไว้ จึงเป็นเหตุให้เขาต้องหยุดเดินแล้วหลบเข้ามุมทันที
ปกติเขาจะไม่สนใจเรื่องส่วนตัวของลูกค้า แต่คราวนี้กลับรู้สึกว่าไม่สามารถละสายตาไปจากผู้หญิงคนนั้นได้ ยิ่งได้เห็นท่าทางราวกับไม่อยากเข้าใกล้ผู้ชายที่เดินเข้ามาหา ก็ยิ่งทำให้เขานึกแปลกใจ
แต่มาคิดอีกที หรือสองคนนี้อาจกำลังงอนกันอยู่ก็ได้กระมัง
คิดได้ดังนั้น ภีมพลจึงเดินไปยังทิศทางที่จะเข้าสู่ตัวอาคารตามความตั้งใจเดิม คืนนี้มีอะไรอีกหลายอย่างที่เขาต้องทำ จึงไม่อยากจะปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์
รวิชากระแทกตัวลงนั่งติดกับพรรณรายด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์พร้อมกับเอากระเป๋าสะพายใบเล็กวางไว้ข้างตัวเพื่อป้องกันไม่ให้กลวิชรเข้ามานั่งติดกับตนเธอไม่ชอบผู้ชายคนนี้ตั้งแต่เจอหน้าครั้งแรกที่บริษัทของบิดา ไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับเขา เห็นเขาเป็นแค่คนแปลกหน้าจึงไม่สนใจ แต่คงเป็นเพราะบุญเก่าของเธอยังมีอยู่จึงทำให้ได้รับรู้เรื่องความเหลวแหลก และเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อของเขาเข้าด้วยความบังเอิญตอนชายหนุ่มกำลังคุยโทรศัพท์สับรางกับบรรดาสาว ๆ ในมหาวิทยาลัย ผู้ชายคนนี้คุยโวโอ้อวดเรื่องบ้านรวยและเส้นใหญ่อย่างไม่อายปาก จึงทำให้เธอพยายามไม่เสวนากับเขา“เป็นอะไรยายอาย หน้าบึ้งมาเชียว” พรรณรายเอี้ยวตัวมากระซิบถามทันทีที่เห็นรวิชาหย่อนตัวลงนั่ง“พิงค์ แกไปรู้จักกับพวกหนุ่มมหา’ลัยตั้งแต่เมื่อไร ไม่เห็นเคยเล่าให้ฟัง”รวิชาเหลือบตามองไปยังชายหนุ่มหน้าตาดีที่นั่งเบียดชิดอยู่กับเพื่อนสาว หนำซ้ำยังเอาแขนมาโอบเอวเพื่อนเธออีกด้วย“เมื่อสองเดือนที่แล้วตอนไปเรียนติว วันนั้นที่แกไม่สบายเลยไม่ได้มาติวไงจำได้ไหม ฉันเลยต้องไปเดินเล่นคนเดียว กินข้าวคนเดียว ก็เลยได้รู้จักกับพี่ทิวน่ะ พี่เขาอยู่วิศวะฯ เชียวนะแก”พรรณรายบอกชื่อมห
ภีมพลยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างด้วยใบหน้านิ่งสนิท หากแต่แววตาที่มองไปยังทิวาภัทรกับกลวิชรนั้นดูดุดันและข่มขู่อยู่ในที เบื้องหลังของเขามีชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่สี่คนที่ทั้งคู่จำได้ดีว่าคือการ์ดของที่นี่ และคนกลุ่มนั้นก็กำลังมองมาที่พวกเขาเช่นกัน“คุณผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ ดูเหมือนเธอไม่ค่อยสบาย”ภีมพลมองร่างไร้สติของหญิงสาวที่ถูกสองคนนี้หิ้วปีกอยู่ ก่อนจะเบนสายตาไปมองทั้งคู่ราวกับต้องการกดดันอีกฝ่าย“ธะ...เธอเมามากครับเพราะดื่มไปหลายแก้ว ผมเลยคิดว่าพาเธอกลับบ้านดีกว่า เธอเป็นแฟนของผมเองครับ”กลวิชรเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง เมื่อเห็นภีมพลเลิกคิ้วขึ้นขณะจ้องหน้าเขา พลางเอียงคอเล็กน้อยราวกับกำลังประเมินคำพูดของเขาอยู่“แน่ใจ?”ภีมพลก้าวเข้าไปหาคนพูด เห็นหญิงสาวที่หลับตาพริ้มไม่ได้สติแล้วจึงก้มลงเล็กน้อย เขามองใบหน้าเรียวเล็กนั้นชั่วครู่ ก่อนจะเงยหน้ามองชายหนุ่มที่อ้างว่าเป็นแฟนของเธอ จนคนถูกมองสะดุ้งวาบกลวิชรลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือตอบยืนยัน“แน่ใจสิครับ ก็ผมนั่งอยู่กับเธอตลอด ไม่ทราบว่าคุณภีมพลมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”กลวิชรพยายามยิ้มอย่างสุภาพ และไม่
ภีมพลกลับขึ้นมาบนห้องพักอีกครั้งในสภาพเมามายเดินปัดไปเป๋มา คืนนี้เขาเจอเพื่อนเก่าสมัยเรียนปริญญาโทที่ต่างประเทศมาท้าดวลออน เดอะ ร็อค หรือดื่มเหล้าเพียว ๆ จนหมดขวด ซึ่งเขาในฐานะเจ้าบ้านและเจ้าของสถานที่ มีหรือจะปฏิเสธให้เสียเชิง เขารับคำท้าทันที และสุดท้ายก็มีสภาพอย่างที่เห็นชายหนุ่มพยายามบังคับร่างกายให้เดินไปยังเตียงนอนหนานุ่มโดยเร็วที่สุด แต่กลับรู้สึกว่าวันนี้เตียงนั่นอยู่ไกลเหลือเกิน ทั้งที่เขาก็พยายามลากขาอันหนักอึ้งแล้วก้าวยาว ๆ ไปให้ถึงโดยไว อีกทั้งพื้นพรมที่เหยียบย่างอยู่ตอนนี้ก็รู้สึกฝืดราวกับฉาบไปด้วยกาวเหนียวหนืดอย่างไรอย่างนั้น“บ้าชะมัด! พรุ่งนี้จะสั่งเปลี่ยนพรมทั้งผืนเลย คอยดู”น้ำเสียงอ้อแอ้ของคนไม่ยอมรับว่าตนเองเมาบ่นออกมาเบา ๆ ขณะทิ้งตัวลงบนที่นอน เขาจัดการลอกคราบของตนออกจากกาย ทั้งที่ยังนอนอยู่แล้วเหวี่ยงเสื้อผ้าทิ้งไปบนพื้นโดยไม่สนใจว่ามันจะไปตกอยู่ตรงไหนของห้อง จากนั้นก็สอดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนเดียวกับรวิชาภีมพลหันมองใบหน้าของหญิงสาวที่กำลังหลับสนิทเพราะฤทธิ์ยานอนหลับอยู่ข้างกาย เขาถือวิสาสะยื่นหน้าเข้าไปก
นมพิมบีบมือตนเองไปมา ไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาตรงหน้าอย่างไรดี หล่อนไม่ใช่คนโกหกได้เก่งนัก อายุปูนนี้แล้วจะให้มาแก้ตัวแทนคุณหนูก็คงจะฟังไม่ขึ้นสักเท่าไรร่างท้วมของแม่นมเดินไปหยุดอยู่ที่บันไดขั้นสุดท้ายของมุกหน้าบ้านเพื่อรอรับคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากต่างประเทศด้วยใบหน้าที่พยายามปั้นแต่งให้ยิ้มมากที่สุดเท่าที่จะมากได้“สวัสดีจ้ะนม” รวิวรรณ มารดาของรวิชาก้าวลงจากรถด้วยใบหน้าอิดโรย แต่ยังคงรอยยิ้มละไมประดับอยู่บนใบหน้า พลางสอดส่ายสายตามองหาบุตรสาวสุดที่รักเธอกับสามีตัดสินใจกลับจากดูไบก่อนกำหนดเพราะเป็นห่วงความรู้สึกของรวิชา รู้ดีว่าผิดนัดบุตรสาวมาหลายครั้ง และทำให้เจ้าตัวน้อยใจมากแค่ไหน โชคดีที่การเจรจาธุรกิจเครื่องหอมประสบผลสำเร็จด้วยดี อีกทั้งทางฝ่ายนั้นก็ขอเลื่อนประชุมให้เร็วขึ้น จึงเป็นโอกาสได้กลับเมืองไทยก่อนกำหนด และแน่นอนว่าการกลับมาครั้งนี้คนที่บ้านไม่มีใครรู้นอกจากบุญเกิด คนขับรถที่ขับไปรับเพราะต้องการเซอร์ไพรส์บุตรสาว“หนูอายล่ะจ๊ะนม”รวิวรรณถามถึงบุตรสาวทันทีที่มองไม่เห็นร่างปราดเปรียวของรวิชายืนยิ
“ผมพูดว่าผมจะให้ลูกสาวเราหมั้นกับคุณภีม” อาทิตย์พูดเสียงแผ่วเบาราวกับเกรงว่าจะมีใครมาได้ยิน ทว่าสายตาที่มองมายังภรรยาขณะที่พูดนั้นดูจริงจัง ไร้วี่แววล้อเล่นแต่อย่างใด“ฉันว่าไม่เหมาะมั้งคะคุณ ลูกเราอายุห่างจากคุณภีมตั้งเยอะ และเราก็ไม่รู้ว่าคุณภีมเขามีคนรักรึยัง” รวิวรรณค้าน เธอไม่เห็นด้วยกับความคิดของสามีนัก“ผมมีเหตุผลก็แล้วกัน...เข้าไปข้างในกันดีกว่า” อาทิตย์พูดพลางชวนภรรยาเข้าไปคุยกันในห้อง“เหตุผลอะไรคะ” เธอถามขึ้นหลังจากที่เดินตามหลังสามีมานั่งบนโซฟาตัวเดียวกัน“เหตุผลของผมข้อแรกเลยก็คือ ผมต้องการกันสองพ่อลูกนั่นไม่ให้มายุ่งกับหนูอายโดยเฉพาะกลวิชร ลูกชายของเขา ถ้าเขายังเห็นว่าหนูอายยังไม่มีคนรักหรือมีแฟน เขาก็จะยิ่งตื๊อให้ลูกเราหมั้นกับลูกชายเขาแน่ ถึงแม้เราจะปฏิเสธไปแล้ว แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะใช้วิธีสกปรกอะไรมายุ่งกับลูกของเรารึเปล่าข้อสอง ผมต้องการอาศัยอิทธิพลของคุณภีมในการทำธุรกิจครั้งนี้ เพราะถ้าข่าวการหมั้นของคุณภีมกับหนูอายแพร่สะพัดออกไป บรรดาบริษัทใหญ่ ๆ ที่
รวิชานั่งรถแท็กซี่มาจอดหน้าบ้าน ครั้นพอเห็นว่าบิดามารดากำลังยืนคุยกันอยู่ที่โรงรถ เธอจึงรีบบอกให้โชเฟอร์ขับเลยไปอีกเล็กน้อยจนเกือบถึงบ้านของคุณผีดิบ หลังจ่ายค่าแท็กซี่เสร็จเรียบร้อยก็เดินย้อนกลับมาที่บ้านของตน แล้วแอบซุ่มดูอยู่ข้างประตูเล็กเพื่อดูว่าจะมีคนเดินมาหน้าบ้านบ้างหรือเปล่า โชคดีที่แม่นมเดินออกมายืนหน้าบ้านพอดี เธอจึงรีบโบกมือให้อีกฝ่ายมาเปิดประตูให้“ตายแล้วคุณหนูของนมทำไมกลับมาเอาป่านนี้คะ คุณท่านทั้งสองกลับมาถึงแล้วนะคะ” นมพิมปลดล็อกประตูมือไม้สั่นเพราะความรีบเร่งแต่ก็ยังไม่วายบ่นหญิงสาวไปด้วย“โธ่…นมจ๋าอย่าเพิ่งดุน้องอายสิ ขอน้องอายรีบเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน คุณพ่อคุณแม่ขึ้นไปบนห้องรึยัง” รวิชาถามอย่างร้อนรน พลางชะเง้อมองเข้าไปในตัวบ้าน“เพิ่งขึ้นไปเมื่อสักครู่นี่เองค่ะ เห็นว่าจะขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่รู้จะลงมาเมื่อไร”รวิชาไม่รอให้แม่นมพูดจบ รีบเดินเลาะไปตามริมกำแพงโดยใช้ต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกไว้ริมกำแพงเป็นที่กำบังกายจากด้านบน โดยมีแม่นมเดินตามหลังคอยช่วยมองดูต้นทางให้อีกที จนกระ
กว่าหนึ่งชั่วโมงที่ห้องทำงานชั้นล่างปิดเงียบอยู่อย่างนั้น มีเปิดออกมาเพียงครั้งเดียวตอนที่รวิวรรณเดินมาหยิบขวดน้ำจากตู้เย็นในครัวไปสองขวด แล้วก็กลับเข้าไปในห้องตามเดิม“พี่ทิตย์ครับ สำหรับเรื่องเงินผมไม่มีปัญหาหรอกนะพี่ก็รู้ เรามันก็คนบ้านใกล้เรือนเคียง ต่อให้พี่ขอยืมผมมากกว่านี้ผมก็ให้พี่ยืมอยู่แล้ว แต่เรื่องหมั้นผมว่าไม่จำเป็นก็ได้มั้งครับ น้องอายยังเด็กอยู่เลย ทางนั้นมันจะเห็นแก่ผลประโยชน์จนถึงขนาดหวังรวบรัดน้องอายทั้งที่ยังใส่ชุดนักเรียนนี่เชียวหรือ ถ้ามันจะเลวขนาดนั้น เดี๋ยวผมช่วยส่งคนคอยตามดูแลน้องอายให้ก็ได้ครับ ลูกน้องผมมีเยอะอยู่ พี่ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้เลยครับระหว่างที่พี่ต้องจัดการธุระเรื่องงาน สำหรับผมแล้วน้องอายก็เหมือนหลานผมคนหนึ่ง ผมป้อนข้าวป้อนน้ำตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น”ภีมพลพูดอย่างที่ใจคิด ภาพเด็กหญิงตัวกลมแก้มยุ้ยน่ารักผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง เขาจำรวิชาในตอนนั้นได้ เด็กน้อยตัวจ้อยยิ้มเก่ง หัวเราะง่าย แค่เขาแกล้งสะดุดขาตนเองจนเกือบล้มก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ ทั้งยังขี้อ้อนเป็นที่หนึ่งหนูน้อยเจอหน้าเขาทีไร จะกางแขนให้อุ้มพ
“ฮ่า ๆ โอย...หายใจไม่ทัน ฮ่า ๆ” เสียงหัวเราะอย่างขบขันของพชร เพื่อนสนิทและหุ้นส่วนคลับซุสดังลั่นทั่วห้องชุดที่เขาเพิ่งควักกระเป๋าซื้อเงินสดให้คู่หมั้นหมาด ๆ ในแบบที่เรียกว่าทั้งบังคับและอ้อนวอนให้เจ้าหล่อนยอมรับ เพราะไม่ต้องการให้ช่อมาลี คู่หมั้นคนสวยต้องอยู่ในอะพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ และคับแคบ อีกทั้งระบบรักษาความปลอดภัยก็จัดอยู่ในระดับกลาง ซึ่งเขามองว่ามันดีไม่พอ“แกไม่ต้องมาหัวเราะฉันเลย ไอ้โอม” ภีมพลแค่นเสียงใส่เพื่อนอย่างขุ่นเคือง คิดผิดแท้ ๆ ที่โทร. เล่าเรื่องเมื่อคืนให้พชรฟังตอนแรกเขากะจะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป คิดเสียว่าถูกแก๊งสิบแปดมงกุฎหลอกตุ๋นจนสูญเงินไปร่วมสองหมื่นแต่พอถูกเพื่อนสนิทหัวเราะเยาะ ทำให้เขาต้องเปลี่ยนความตั้งใจทันที นั่นคือต้องจับแม่สาวแสบนั่นมาสำเร็จโทษให้ได้ โทษฐานที่ทำให้เขาต้องเสียเหลี่ยม ซ้ำร้ายกว่านั้น เจ้าหล่อนยังมาลูบคมเขาถึงถิ่นอีกด้วย“จะไม่ให้ฉันขำได้ไงวะไอ้ภีม นอกจากจะไม่ได้แอ้มแล้ว ยังโดนกวาดเงินไปเกลี้ยงกระเป๋า นี่แกอย่าไปเล่าให้ใครฟังเชียวนะเว้ย อับอายขายขี้หน้าเขาตา
“อ้าว! วันนี้คุณอายไม่เข้าบริษัทหรือ” เมื่อเช้าก็ออกมาด้วยกันแท้ ๆ แต่แม่เจ้าประคุณแอบหนีไปเที่ยวไหนกันล่ะนี่ ชายหนุ่มคิดอย่างเข่นเขี้ยวในใจเมื่อเจอ “เซอร์ไพรส์” สุดพิเศษจากศรีภรรยาภีมพลยิ้มกริ่มอย่างหมายมาด เห็นทีต้องรีบกลับไปรับขวัญก่อนเวลาเสียแล้ว ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถออกมา เหลือบไปเห็นแฟ้มงานสองแฟ้มที่ยังคงแผ่หราอยู่เต็มโต๊ะ แล้วนึกขึ้นได้ว่ายังดูค้างเอาไว้ เขากวาดตามองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ใจจริงเขามีตัวเลือกเอาไว้อยู่แล้ว เมื่อตัดสินใจได้เขาก็คว้าแฟ้มขวามือเดินออกจากห้องทันที จากนั้นจึงไปยื่นให้กับเลขาฯ ส่วนตัว“ผมเลือกของบริษัทนี้ ให้ฝ่ายจัดซื้อทำเรื่องได้เลย อ้อ วันนี้ผมไม่เข้าแล้วนะ” พูดจบชายหนุ่มก็ผละออกไป และต้องหยุดชะงักเมื่อเลขาฯ รีบวิ่งมาถามถึงงานบางอย่างที่เขาให้เตรียมไว้สำหรับช่วงบ่ายนี้“คุณภีมคะ แล้วเรื่องที่ให้เตรียมเอาไว้บ่ายนี้ล่ะคะ”“ยังคอนเฟิร์มอยู่ แต่ว่าคุณช่วยอะไรผมหน่อยสิ”ภีมพลหันมายิ้มพรายเต็มวงหน้าเมื่อคิดอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้
อดคิดไปถึงบิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้วไม่ได้ ท่านทั้งสองช่างมีความอดทนและมุมานะอย่างล้นเหลือที่สู้ฝ่าฟันจนกระทั่งบริษัทเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้ นึกมาถึงตอนนี้แล้วก็โกรธตัวเองที่ตอนนั้นเอาแต่น้อยใจ คิดว่าท่านทำแต่งานจนไม่สนใจใยดีกับเธอผู้เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว‘รวิชา แปลว่าลูกพระอาทิตย์ เพราะฉะนั้นหนูต้องเข้มแข็ง อดทนให้สมกับที่เป็นลูกสาวของพ่อ ชีวิตของหนูจะต้องรุ่งโรจน์สดใสเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า’ถ้อยคำจากบิดายังคงดังก้องอยู่ในหัวทุกครั้งที่นึกถึงเวลาเมื่อรู้สึกอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าไม่มีแม่นมชราและสามีที่คอยเป็นกำลังใจให้ ป่านนี้ชีวิตเธอจะหักเหไปทางไหนแล้วบ้างก็สุดรู้“อรุณสวัสดิ์จ้ะ”เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับจุมพิตเบา ๆ ที่ข้างแก้ม จากนั้นคนตัวโตก็ทรุดตัวลงนั่งซ้อนหลังไว้พร้อมกับดึงบ่าของเธอให้เอนซบลงมาบนตัวเขา“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ” หญิงสาวทักทายกลับไปก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของสามี“จำเป็นต้องตื่นเช้าน่ะ จู่
หลังจากถวายสังฆทานจนกระทั่งกรวดน้ำเสร็จเรียบร้อย ภีมพล รวิชา และนมพิมก็พากันเดินออกมาเทน้ำที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้ากุฏิ ชายหนุ่มสวดบทกรวดน้ำพึมพำโดยไม่ออกเสียง ในขณะที่หญิงสาวและนมพิมอธิษฐานเพื่อส่งผลบุญให้แก่ผู้ล่วงลับอยู่ในใจวันนี้เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของบิดามารดาของรวิชา นมพิมเปรยเอาไว้หลายวันก่อนหน้าแล้วว่าอยากมาทำบุญให้ท่านทั้งสอง ซึ่งเธอเองก็เห็นด้วยเพราะคิดไว้เหมือนกันว่าจะมาทำบุญวันนี้ จึงชวนสามีหนุ่มให้มาด้วยกัน และเขาก็ไม่ขัดข้อง เพราะตั้งแต่ผ่านพ้นพิธีแต่งงานมาได้สองเดือน ภีมพลก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพุทธศาสนาอีกเลยจากนั้นทั้งสามคนก็เดินทางกลับบ้าน พอมาถึง ชายหนุ่มปล่อยให้รวิชาได้อยู่กับแม่นมตามลำพังเพราะคิดว่าทั้งสองคนคงมีเรื่องอยากพูดคุยกัน เขาเองก็เห็นใจคนแก่อย่างนมพิม เพราะตั้งแต่รวิชาเรียนจบมาก็เอาแต่ทำงาน แถมหลังจากนั้นสองเดือนก็เข้าพิธีแต่งงานกับเขา ทำให้บางคืนรวิชาไม่ได้กลับไปนอนบ้านตัวเอง ถึงแม้เขากับรวิชาจะแก้ปัญหาด้วยการสลับบ้านนอนเป็นวันเว้นวันแล้วก็ตาม แต่หัวอกคนแก่ก็คงหงอยเหงาเป็นธรรมดา
“ตอบแบบนี้ค่อยชื่นใจหน่อย อย่างนี้ต้องให้รางวัล”ชายหนุ่มจับล็อกปลายคางมนของหญิงสาวไว้ แล้วก้มลงตบรางวัลให้คนปากหวานช่างจำนรรจาจนเขากระชุ่มกระชวยทุกทีที่ได้ฟังนาทีนี้ภีมพลเหมือนจะคลั่งเสียให้ได้ สาวน้อยช่างหวานจับจิตจับใจสมกับที่รอคอยมานานแสนนาน ถ้าไม่ติดว่าเธอยังใหม่กับความสัมพันธ์แบบนี้แล้วล่ะก็ รับรองได้เลยว่าทั้งเขาและเธอยังคงนัวเนียกันอยู่บนเตียงเป็นแน่“อื้ม...อาภีมขา นี่มันริมถนนนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”แค่หญิงสาวพูดเบา ๆ แต่สำหรับชายหนุ่มแล้วน้ำเสียงสั่นพร่านิด ๆ นั้นช่างฟังดูเซ็กซี่ยั่วยวนดีเหลือเกิน เขานึกถึงตอนเธอครวญครางอยู่ใต้ร่างของเขา ทั้งภาพทั้งเสียงยังคงติดตาตรึงใจเสียจนอะไร ๆ มันพรักพร้อมขึ้นมาอีกแล้ว“เราเข้าหมู่บ้านมาแล้ว ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมาหรอก รถอาก็มืด ใครจะมองเข้ามาเห็นล่ะคะ”เอาอีกแล้ว ลงท้ายด้วยคะ ขาแบบนี้แปลว่าเริ่มไม่ปลอดภัยแล้วเป็นแน่ ยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดอะไร แต่ชายหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน“แวะบ้านอาก่อนนะคะ”แค่เห็นแววตาระยิบระยับแพรวพราวของเข
“ถ้าอย่างนั้น...คืนนี้อยู่กับอาทั้งคืนได้ไหม ตามใจอาหน่อยได้ไหมคะ”เขาถามพร้อมกับประพรมจุมพิตไปทั่วหน้าอย่างหลงใหล ก่อนจะเอ่ยประโยคสำคัญที่ทำให้คนฟังหัวใจพองฟูคับอก“อาก็รักน้องอาย ไม่ใช่แค่คืนนี้ที่อาอยากให้น้องอายอยู่ด้วยแต่เป็นทุก ๆ คืน และตื่นมาตอนเช้าก็เห็นหน้าน้องอายเป็นคนแรกในทุก ๆ เช้า”ชายหนุ่มหยุดพูด แล้วก้มลงจุมพิตที่หน้าผากอีกครั้งหนึ่งแล้วไต่ระเรื่อยมาจนถึงใบหู ใจอยากจะโจนจ้วงเข้าหาร่างเย้ายวนนี้ให้สมกับที่รอคอยมานานแสนนาน แต่ก็อยากให้หญิงสาวได้สัมผัสกับความสวยงามจากประสบการณ์ในรักครั้งแรกมากกว่า เขาจึงต้องอ่อนโยนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แม้ว่าความต้องการจะอัดแน่นจนแทบระเบิดแล้วก็ตาม“แต่งงานกับอานะคะ”ไหน ๆ เธอก็เรียนจบแล้ว มีงานมีการทำถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว หนำซ้ำยังจดทะเบียนสมรสเป็นคนคนเดียวกันในทางกฎหมายแล้วด้วย เขาจึงคิดว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรออีกต่อไป เพราะเขากับเธอก็แทบจะเป็นของกันและกันอยู่แล้ว จะเหลือก็แต่การอยู่ร่วมบ้านเดียวกันในฐานะของสามีภรรยาเท่านั้นรวิชาคลี่ยิ้มกว้างพล
ภีมพลยืนยิ้ม มองภรรยาทางนิตินัยที่กำลังยักย้ายส่ายสะโพกอย่างสนุกสนานกับเพื่อนกลุ่มใหญ่อยู่ข้างล่างด้วยแววตาทอดอ่อน เมื่อวานสอบวันสุดท้าย วันนี้รวิชาจึงขออนุญาตเขาพาเพื่อน ๆ มาสนุกกันที่คลับอย่างเต็มที่เพื่อเป็นการฉลองจบการศึกษา อีกทั้งฉลองที่ยอดขายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสปานั้นทะลุเป้าเกินกว่าที่คาดหมายไว้พอสมควรสาวน้อยของเขาเรียนจบแล้ว...ปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งคู่หมั้น สองปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งสามีตามกฎหมาย รวมแล้วร่วมสี่ปีเต็มกับการเฝ้าดูแลเด็กสาวคนหนึ่งให้เติบโตเป็นหญิงสาวแสนสวย และมากความสามารถจนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปเมื่อก่อนเขาเอาแต่นั่งนับวันเวลาว่าเมื่อไรเธอจะเรียนจบ เพราะอยากตีตราจองเธอเอาไว้ด้วยร่างกาย ไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียวตามประสาผู้ชายทั่วไปที่คิดอยากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนรัก ทว่าพอวันเวลาผ่านไป ความคิดของเขาก็ค่อยปรับเปลี่ยนไปทีละนิดตามความผูกพันที่เพิ่มขึ้นระหว่างเขากับเธอเซ็กซ์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่เขาต้องการจากเธอเพียงอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน เพราะมันถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกมั่นคงในรัก และการรับรู้ถึงการเป็นส่วนหนึ่งขอ
หลายเดือนผ่านไปเสียงถอนหายใจจากร่างเล็กที่กำลังเอนตัวนอนไปกับที่นั่งในศาลาไม้สักทำให้ชายหนุ่มที่เดินเข้ามาเงียบ ๆ ต้องชะงักเท้าแล้วหันมองตามเสียงนั้น ภีมพลเดินไปหา คนที่นอนหลับตาจึงไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า และไม่รู้ถึงการมาของเขา ชายหนุ่มยืนกอดอกพิงกับเสา มุมปากยกยิ้มอย่างเอ็นดู แววตาทอดอ่อนเมื่อมองไปยังหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของหัวใจ ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งใกล้กับเธอกลิ่นน้ำหอมที่เคยคุ้นลอยเข้าจมูก อีกทั้งเริ่มรู้สึกว่าสะโพกกำลังโดนเบียดจากใครบางคน รวิชาลืมตาขึ้นมองแม้จะรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร จนเมื่อได้สบตากันหญิงสาวจึงส่งยิ้มเนือย ๆ ไปให้“เหนื่อยหรือ ถอนหายใจเสียงดังเชียว” ภีมพลเอื้อมมือปัดปอยผมให้อย่างอ่อนโยน รวิชาจึงยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วย้ายฝั่งไปเอนตัวลงนอนหนุนตักแข็ง ๆ ของเขาแทนอย่างออดอ้อน“ถ้าให้ตอบตรง ๆ ก็ใช่ค่ะ หลายเดือนมานี้เลิกเรียนมาก็ต้องมาศึกษางานของบริษัท นี่ยังดีนะที่น้องอายเคยเรียนรู้มาบ้างแล้วตอนที่คุณพ่อกับคุณแม่ยังอยู่ ต้องขอบคุณอาภีมค่ะที่ตอนนั้นสอนให้น้องอายได้คิดว่าเราควรจะต้องเริ่มศึกษาธุรกิจของครอบครัวเอา
ชายหนุ่มนั่งเท้าแขนอยู่บนโต๊ะพลางมองใบหน้าเนียนใสที่เริ่มมีสีระเรื่ออย่างเอ็นดูแกมมันเขี้ยว เพราะประโยคนั้นของเธอ ทำเอาเขาไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งสิ้นทั้งที่ใกล้สอบเต็มทีอารดาเงยหน้าขึ้นสบตาเขา แล้วรีบก้มหน้าหลบสายตาวิบวับของชายหนุ่ม ไม่รู้จะพูดอะไรเพราะเมื่อครู่เขาคงได้ยินทุกอย่างจากปากเธอไปหมดแล้ว“อุ้ย...อุ้ยครับ เงยหน้าขึ้นมองพี่หน่อยสิ”เตชินทร์ก้มหน้าเอียงคอลงเพื่อที่จะได้มองหน้าสาวน้อยให้เต็มตา ครั้นพอเธอเงยหน้าขึ้นมา เรียวปากของชายหนุ่มก็คลี่ยิ้มกว้างจนตายิบหยี“พี่อยากจะบอกอุ้ยว่าครอบครัวของพี่ไม่ได้เป็นอย่างที่อุ้ยกังวลหรอกนะ อากงอาม่าของพี่สมัยที่มาอยู่เมืองไทยใหม่ ๆ ก็เป็นลูกจ้างเข็นของอยู่ในตลาด กว่าจะมีอย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะน้ำพักน้ำแรงล้วน ๆ ครอบครัวของพี่ก็เลยไม่เคยดูถูกใครในเรื่องของฐานะ ท่านทั้งสองให้ความสำคัญกับค่าของคนมากกว่าค่าของเงิน”ชายหนุ่มหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของหญิงสาวที่เขาเทใจให้ เมื่อเห็นเธอนั่งนิ่งและตั้งใจฟัง เขาจึงตัดสินใจพูดต่อ“ท่านไม่เคยห้ามหรือกีดกันพี่
หลายวันต่อมา ภีมพลยืนดูแบบแปลนและโครงสร้างของโรงงานที่ทีมสถาปนิกเคยนำเสนอเขามาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งเขาเห็นว่าปลอดภัยและรัดกุมกว่าโครงสร้างของโรงงานแบบเดิม จึงได้มีคำสั่งให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยเขาต้องมาดูแลการก่อสร้างโรงงานใหม่ทั้งหมดด้วยตัวเองเนื่องจากอาคารหลังเดิมเสียหายจากไฟไหม้มากจนไม่คุ้มหากจะซ่อมแซมใหม่ ตอนนี้ห้องเก็บกลิ่นตัวอย่างจึงต้องอาศัยตู้คอนเทนเนอร์ใช้เป็นออฟฟิศชั่วคราวแทนไปก่อน ส่วนโรงคัดแยกวัตถุดิบก็ใช้พื้นที่ส่วนของลานจอดรถทำไปพลาง ๆ ซึ่งภีมพลได้ว่าจ้างให้ช่างประปาต่อวาล์วน้ำเพิ่มเติมในจุดนี้รวมทั้งทำอ่างสำหรับล้าง และก่อโครงมีหลังคาทำเป็นโรงคัดแยกแบบง่าย ๆ ระหว่างที่รอการก่อสร้างของจริงจะแล้วเสร็จหลังจากที่ดูการก่อสร้างส่วนต่าง ๆ จนพอใจ ชายหนุ่มจึงเดินไปยังอาคารอีกหลังซึ่งเป็นในส่วนของออฟฟิศ และเป็นอาคารที่แยกออกมาจากโรงงาน โชคดีที่อาคารหลังนี้ไม่ถูกไฟไหม้ไปด้วย มิเช่นนั้นบริษัทอาจจะต้องหยุดชะงักลงไปเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นระหว่างที่ภีมพลกำลังจะเดินเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับทันทีที่เห็นชื่อของคนที่โทร.