ซือเจ๋อเยว่ “...”ซือเจ๋อเยว่ “!!!”นี่มันบ้าอะไรกัน!ถ้าเกิดเยียนเซียวหรานตื่นขึ้นมาตอนนี้ นางเป็นต้องถูกเขาสงสัยอีกรอบแน่ๆนางสูดหายใจเข้าลึก พยายามรวบรวมกำลัง เพื่อให้ตนเองสามารถลุกยืนขึ้นได้ เพียงแต่วันนี้ไม่รู้เพราะเหตุใด ร่างกายจึงแทบไม่มีแรงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย นางบอกตัวเองไม่ให้ร้อนใจไป ขอเพียงเยียนเซียวหรานไม่ตื่นขึ้นมาก็เป็นอันใช้ได้แล้วหลังจากนางสูดลมหายใจเข้าออกอยู่หลายครั้งก็พอรวบรวมกำลังได้บ้างแล้ว นางจึงค่อย ๆ ใช้มือยันกายขึ้น หวังจะถอยห่างออกไปด้านข้างอีกหน่อยแต่ทันทีที่นางเพิ่งยันกายขึ้นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก็พบว่าตนเองไม่มีแรงหลงเหลืออยู่เสียแล้ว ร่างของนางจึงล้มลงไปอีกครั้งตอนที่นางล้มลงมานี้เอง ริมฝีปากของนางก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นอ่อนนุ่มเมื่อมองดูใกล้ ๆ แล้ว เมื่อครู่นางพบว่าเมื่อครู่ตนได้ล้มลงบริเวณใกล้เคียงกับลำคอของเยียนเซียวหราน และความอบอุ่นอ่อนนุ่มที่นางเพิ่งจะได้เสียดสีสัมผัสก็คือริมฝีปากของเขานั่นเองซือเจ๋อเยว่ “!!!”นางแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว!ขณะที่นางพยายามรวบรวมกำลังอีกครั้งเพื่อขยับถอยออกไป กะทันหันนั้นเองเยียนเซียวหรานก็ลืมตาข
เดิมทีเขาเพียงแค่ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของกล้วยไม้ ทว่าในตอนนี้กลิ่นนั้นกลับเข้มข้นมากยิ่งขึ้น กลิ่นหอมกรุ่นนี้ราวกับจะทะลุทะลวงทางจมูกปากเข้าไปสู่หัวใจของเขาในใจของเยียนเซียวหรานเกิดสับสนอลหม่านขึ้นมา เขาดันกายของนางออกห่างจากตัวด้วยความรวดเร็วครานี้เขาบังคับยั้งแรงเอาไว้ไม่อยู่ ทำให้ซือเจ๋อเยว่ถูกโยนลงไปนอนบนพื้นข้างเตียงซือเจ๋อเยว่ “...”เจ็บชะมัด!เยียนเซียวหรานลุกขึ้นนั่งพลางกล่าว “องค์หญิงโปรดสำรวมด้วยขอรับ”ซือเจ๋อเยว่ขบกรามแน่นก่อนสบถออกมา “สำรวมอะไรกัน! ข้านี่โง่ดีแท้ที่ช่วยเจ้า!”“นี่ก็ครั้งที่สองแล้ว ข้าคงจะสติฟั่นเฟือนไปแล้วกระมังถึงได้ช่วยเจ้าไว้!”หลังจากที่เยียนเซียวหรานได้รับบาดเจ็บเมื่อคืนวานก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของตนมีพลังงานหยินแผ่ซ่านอยู่ทั่วร่าง ทำเอารู้สึกอึดอัดไม่สบายเป็นอย่างมากทว่าในตอนนี้พลังหยินบนร่างของเขากลับมลายหายไปจนหมดสิ้นเสียแล้ว ทั้งเนื้อทั้งตัวราวกับแช่ในน้ำพุร้อนก็มิปาน อบอุ่นสบายกายเป็นยิ่งเขาจึงรู้ตัวว่าตนเข้าใจนางผิดไป เพียงแต่ว่าอย่างไรเสียเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ชวนให้อึดอัดใจมากเกินไปเขากระแอมไอเบาๆ ก่อนเอ่ย “ขอบคุณองค์หญิงที
หากวันนี้เส้นสีแดงบนมือของนางไม่หดสั้นขึ้นไปอีกหน่อย นางคงเสียหายใหญ่หลวงเข้าจริงๆ แล้ว!เยียนเซียวหรานเอ่ยถาม “ตอนนี้องค์หญิงรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่ตอบกลับ “ไม่เลย ข้ารู้สึกแย่ยิ่งนัก ไหนจะเสียใจทีหลังที่ช่วยเจ้าไว้อีก”พูดจบนางสูดจมูกเบาๆ “ข้าทุ่มเทชีวิตช่วยไว้แท้ๆ แต่กลับเกือบถูกคนที่ช่วยเอาไว้ลอกหนังหน้าอยู่แล้ว ข้าช่างโชคร้ายเสียจริงๆ!”บรรยากาศที่เคยกระอักกระอ่วน ถูกคำพูดนี้ของนางทำให้คลี่คลายลงไปไม่น้อยเยียนเซียวหรานหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามไปตามตรงๆ “กลิ่นหอมบนตัวขององค์หญิงมาจากไหนหรือ?”ซือเจ๋อเยว่ก้มหน้าลงดมดอมไปตามกายของตนก่อนเอ่ย “บนตัวข้ามีกลิ่นด้วยหรือ? ข้ามิเห็นรู้เลย?”เยียนเซียวหราน “…”ก่อนนี้เขาเคยได้ยินมาก่อน ว่าหญิงสาวแต่ละคนจะมีกลิ่นเฉพาะตัวซึ่งแตกต่างกันออกไปสำหรับซือเจ๋อเยว่กลิ่นบนตัวนางคือกลิ่นหอมของกล้วยไม้ หอมรัญจวนใจ และก็เพราะหาได้ยากยิ่ง จึงยิ่งมีเอกลักษณ์โดดเด่นมากยิ่งขึ้นไปเขาจึงยิ่งรู้สึกสงสัยในตัวนางมากขึ้นไปอีกขั้นซือเจ๋อเยว่เอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหรือ? เหตุใดทั่วทั้งตัวจึงได้มีพลังวิบากเข้มข้นรุนแรงเช่นนี้ได้?”
เพราะโดยรวมแล้วการต่อสู้ระหว่างเยียนเซียวหรานและชายชุดดำต่อสู้กันเรียกได้ว่าน้อยคนชนะหมู่คน แต่กลับไม่ได้มีสิ่งพิเศษอะไรมากมายนางยังคงไม่เข้าใจ สองคนแยกกันไปเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น เขาจะไปเอาพลังวิบากเช่นนั้นมาจากที่ใดได้? ยามนี้กายนางเริ่มผ่อนคลายลงบ้างแล้ว มือเองก็เริ่มมีกำลังวังชา จึงได้ยกแขนเสื้อขึ้นมองดูไปคราหนึ่ง พอเห็นก็ถึงกับตกตะลึงนิ่งค้างอยู่เช่นนั้น เส้นแดงที่เมื่อครู่ใกล้จะถึงข้อมืออยู่แล้ว ถอยร่นหดกลับไปไกลอีกระยะหนึ่งดวงตาซือเจ๋อเยว่เต็มด้วยความประหลาดใจ คิดว่าตนมองผิดไป จึงยื่นมือออกไปขยี้ตา เส้นสีแดงสั้นลงแล้วจริงๆ สั้นกว่าตอนก่อนที่นางจะเข้าจวนอ๋องมาเสียอีกนางเผลอหันมองไปทางเยียนเซียวหราน เขาจึงเอ่ยถามขึ้น “องค์หญิงเป็นอะไรไปหรือ?”ในใจของซือเจ๋อเยว่รู้สึกหลากหลายปนเปวันนี้ที่นางช่วยเขาเอาไว้ก็เพราะมีเจตนาทดลองเป็นสำคัญ โดยปกติแล้ว นางช่วยกำจัดพลังวิบากบนร่างให้เขา เส้นสีแดงของนางก็จะต้องยาวขึ้นทันทีทันใดแต่วันนี้ไม่เพียงไม่ยาวขึ้น แต่กลับถอยร่นสั้นขึ้นไปมาก ไม่ถูกวิสัยที่ควรเป็นเลยและสาเหตุที่ทำให้เกิดความผิดปกติเช่นนี้ ก็มีเพียงการที่นางได้สัมผัสชิด
เขามีท่าทีราวเพิ่งตื่นขึ้นมา ดูเหมือนยังมึนงงอยู่เล็กน้อยเยียนซุ่ยซุ่ยกลับเอ่ยด้วยความดีใจว่า “พี่สาม ท่านตื่นแล้วก็ดี วันนี้ทำให้พวกเราตกใจแทบแย่!”กล่าวจบนางก็เผยสีหน้าเศร้าเล็กน้อยกล่าวว่า “หากท่านเป็นอะไรขึ้นมาอีก เกรงว่าจวนอ๋องคงถึงคราวสูญสิ้นแล้ว”เยียนเซียวหรานถามนางว่า “ข้างนอกเกิดเรื่องอันใดหรือ?”ที่นี่ไม่มีคนนอก เยียนซุ่ยซุ่ยจึงกล่าวตรง ๆ ว่า “ครอบครัวทางบ้านของพี่สะใภ้สี่มาแล้ว แม้จะรู้ว่าพี่สะใภ้สี่กำลังตั้งครรภ์ พวกเขาก็ยังยืนกรานให้สะใภ้สี่กลับบ้านเกิด”เมื่อคืนนี้เยียนเซียวหรานไม่ได้อยู่ที่จวน จึงไม่ทราบเรื่องที่ลู่จิ่นเหนียงตั้งครรภ์ พอได้ฟังคำของเยียนซุ่ยซุ่ย เขาก็แปลกใจเล็กน้อย “น้องสะใภ้สี่ตั้งครรภ์แล้วหรือ?”เยียนซุ่ยซุ่ยพยักหน้า “ใช่แล้ว แต่พวกเขาไม่ยอมให้พี่สะใภ้สี่คลอดเด็กออกมา บอกว่าตอนนี้จวนเยียนอ๋องเปรียบเสมือนบ่อเพลิง”“หากพี่สะใภ้สี่คลอดบุตรของพี่สี่ออกมา นางก็จะไม่สามารถตัดขาดจากจวนเยียนอ๋องได้ พวกเขาอาจจะต้องถูกดึงเข้ามาพัวพันกับจวนเยียนอ๋องอีก”เมื่อครู่นางไปฟังมาอยู่ครู่หนึ่ง แต่ทนฟังต่อไปไม่ไหว จึงกลับมาดูว่าเยียนเซียวหรานตื่นแล้วหรือยังสิ่ง
วันนี้พระชายาเยียนอ๋องกล่าววาจาโน้มน้าวด้วยคำอ่อนหวานไปจนหมดสิ้น ทุกสิ่งที่นางสามารถกระทำได้ก็ได้กระทำไปจนสุดกำลัง คำมั่นสัญญาทั้งหลายที่มอบให้ก็ได้ให้ไปทั้งหมดแล้วในตอนนี้นางไม่รู้แล้วว่าจะเกลี้ยกล่อมต่อไปเช่นไรนางได้แต่หันไปถามลู่จิ่นเหนียงว่า “จิ่นเหนียง เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?”ลู่จิ่นเหนียงเม้มริมฝีปากเล็กน้อยแล้วตอบว่า “ข้าฟังคำของบิดามารดาเจ้าค่ะ”เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ สีหน้าของพระชายาเยียนอ๋องพลันซีดลง มองลู่จิ่นเหนียงด้วยความไม่คาดคิดลู่จิ่นเหนียงเบือนสายตาหลบเลี่ยง ไม่ยอมสบตากับนางเดิมทีพระชายาเยียนอ๋องคิดว่าลู่จิ่นเหนียงมีสายสัมพันธ์อันดีต่อเยียนซื่อ อีกทั้งนางเพิ่งตั้งครรภ์ คงยินดีที่จะอยู่ต่อ แต่กลับไม่คาดคิดเลยว่า...นางยังคงไม่ละความพยายาม กล่าวขึ้นว่า “จิ่นเหนียง เจ้าลองไตร่ตรองดูให้ดีอีกครั้งเถิด…”“พระชายา ท่านเองก็เป็นสตรี” มารดาของลู่จิ่นเหนียงมองไปที่พระชายาเยียนอ๋องแล้วกล่าวว่า “ท่านย่อมทราบดีว่าสตรีดำรงชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ช่างยากเย็นเพียงใด”“ขอท่านได้โปรดเห็นใจพวกหม่อมฉันที่เป็นบิดามารดาด้วยเถิด ท่านย่อมคำนึงถึงบุตรชายของท่าน ฉันใดก็ฉันนั้น พวกหม
เขาไม่ได้พูดอะไรอีก สั่งให้คนไปเอาปากกาและกระดาษมาเขาเขียนสาส์นปล่อยภรรยาอย่างรวดเร็วและยื่นให้ลู่จิ่นเหนียง “นับแต่นี้ ไม่ว่าอนาคตของจวนเยียนอ๋องจะรุ่งเรืองหรือเสื่อมถอย ก็จะไม่เกี่ยวข้องกับจวนตระกูลลู่อีกต่อไป”“นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ลู่จิ่นเหนียงจะไม่ถือเป็นคนของจวนเยียนอ๋องอีก ไม่ว่านางจะกระทำสิ่งใด ก็จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับจวนเยียนอ๋องอีกแล้ว”บิดาของลู่ยิ้มอย่างพอใจ ขณะรับสาส์นปล่อยภรรยาจากมือของเยียนเซียวหราน กล่าวว่า “ท่านอ๋องสามโปรดวางใจได้ ไม่ว่าในภายหน้าจวนอ๋องจะรุ่งเรืองเพียงใด พวกเราก็จะไม่อิจฉาริษยาแต่อย่างใด”“เหล่าไท่จวิน พระชายา ถือว่าเคยนับญาติกันมาก่อน เช่นนี้ก็ถือว่าแยกย้ายกันไปด้วยดี”เมื่อกล่าวจบ เขาก็ดึงลู่จิ่นเหนียงออกไปทันทีขณะเดินจากไป ลู่จิ่นเหนียงมิได้แม้แต่จะเหลียวมองเหล่าไท่จวินและพระชายาเยียนอ๋องแม้แต่น้อยพระชายาเยียนอ๋องไม่คิดเลยว่า ลู่จิ่นเหนียงจะตัดขาดเยื่อใยจนสิ้นเช่นนี้!ร่างกายของจู้อี๋เหนียงไม่แข็งแรงอยู่แล้ว ยิ่งช่วงนี้ที่เศร้าโศกเพราะการตายของเยียนหวังจ้าน ยิ่งทำให้โศกเศร้าจนใจแทบแหลกสลาย วันนี้เริ่มมีความหวังเล็ก ๆ แต่ความหวังนั้นกลั
ในช่วงที่ผ่านมา เยียนอ๋องพร้อมเหล่าองค์ชายได้สิ้นชีพในสนามรบ บรรดาสตรีในจวนอ๋องต่างเศร้าโศกอย่างยิ่ง อีกทั้งหนทางข้างหน้ายังไม่แน่นอน จิตใจยิ่งเต็มไปด้วยความกังวลและความทุกข์ทรมานในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมเจ็บป่วยได้โดยง่ายทว่าในยามนี้ จวนเยียนอ๋องมิอาจรับมือกับความวุ่นวายใด ๆ ได้อีกต่อไป ควรรีบแก้ไขเมื่อยังเป็นเพียงความเจ็บป่วยเล็กน้อย เพื่อป้องกันมิให้กลายเป็นความเจ็บปวดใหญ่หลวงท่านหมอซ่งเพิ่งเขียนใบสั่งยาให้เฉียนอี๋เหนียงเสร็จสิ้น เมื่อได้ยินดังนั้นจึงช่วยจับชีพจรให้เฟิ่งจือเซี่ยเมื่อเขาจับชีพจรของเฟิ่งจือเซี่ยเสร็จ คิ้วก็ขมวดเล็กน้อย ทำให้เหล่าไท่จวินรีบถามขึ้นว่า “ท่านหมอซ่ง จือเซี่ยไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”ท่านหมอซ่งมิได้ตอบอันใด แต่ยื่นมือออกไปจับชีพจรอีกข้างของเฟิ่งจือเซี่ยเขาจับชีพจรเสร็จก็ยิ้มเล็ก ๆ “ขอแสดงความยินดีกับท่านเหล่าไท่จวินและพระชายา คุณนายรองมิได้เป็นอะไร เพียงแค่ตั้งครรภ์เท่านั้นเองขอรับ”คำพูดนี้กล่าวจบลง ห้องทั้งห้องก็เงียบสงัดในทันใด ทุกคนต่างหันไปมองเฟิ่งจือเซี่ย แววตาเต็มไปด้วยความยินดีและประหลาดใจเฟิ่งจือเซี่ยเองก็ตกใจที่สุด นางหันศีรษะไปมองซือเจ๋
เขาจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา "เป็นข้าที่ไร้เดียงสาเกินไป คิดว่าเรื่องราวระหว่างเราจะต่างออกไป" "แต่ข้ากลับลืมไปว่า เจ้าเป็นคนของสำนักเต๋า เราสองคนก็อยู่กันคนละฝ่ายตั้งแต่แรกเริ่ม" "ซือเจ๋อเยว่ ตั้งแต่นี้ไปข้าขอตัดขาดจากเจ้า หากพบกันอีก ข้าจะฆ่าเจ้าแน่นอน!" เมื่อเอ่ยจบเขาก็หยิบของสิ่งหนึ่งจากร่างกายแล้วขว้างออกไป สิ่งนั้นทำหน้าที่รับแรงโจมตีจากค่ายกลแทนเขา ก่อนที่ตัวเขาจะพุ่งออกจากค่ายกลราวกับดาวตกก็ไม่ปาน ซือเจ๋อเยว่รีบไล่ตามออกไป แต่ภายนอกกลับไร้เงาของไป๋จื้อเซียน นางรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง วันนี้เขาเข้าใจนางผิด แล้วจากไปเช่นนี้ ภายภาคหน้าก็ไม่อาจล่วงรู้เลยว่าจะเกิดอันใดขึ้นอีก ยังดีที่เขาเคยสาบานต่อสวรรค์ ว่าจะไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ อย่างน้อยสถานการณ์ก็ยังไม่เลวร้ายถึงระดับนั้น แต่เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาขาดสะบั้นในบัดนี้ ด้วยนิสัยของเขา ย่อมต้องหาหนทางสังหารนางให้ได้อย่างแน่นอน! นางคิดว่าตนเองยังคงประเมินไป๋จื้อเซียนต่ำเกินไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถหลบหนีออกจากค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาได้ เยียนเซียวหรานถามขึ้น "เมื่อครู่นี้เกิดอันใดขึ้น?" ซือเจ๋อเยว่ถอนหายใจ "ตุ๊
ซือเจ๋อเยว่ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้นับหลังจากตั้งแต่ที่อาจารย์สามปั้นเสร็จแล้ววางไว้ที่นี่ ก็ไม่เคยมีความรู้สึกอะไรนางคิดมาตลอดว่าอาจารย์สามทำเช่นนี้เพราะจะหยอกนางเล่น ไม่คิดเลยว่าจนกระทั่งวันนี้จะมีความเคลื่อนไหวแล้วที่ประตูมีเสียงของไป๋จื้อเซียนดังลอยเข้ามา “เจ้าล่อลวงข้ามาที่นี่ ก็เพราะอยากจะฆ่าข้าใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ากลับไปมองก็เห็นไป๋จื้อเซียนยืนอยู่ที่หน้าประตู ตุ๊กตาดินเผาเหล่านั้นรวมตัวกันกลายเป็นค่ายกล จะจัดการกับเขาหลังจากที่วันนี้เขาเดินเข้ามาในสำนักเต๋า ความสามารถทุกด้านก็ถูกลดทอนลง ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้ยังเป็นตุ๊กตาที่อาจารย์สามปั้นขึ้นเองกับมืออีกด้วย ด้านในมีค่ายกลที่ร้ายแรงเป็นอย่างยิ่งซ่อนอยู่ไป๋จื้อเซียนในเวลานี้ถูกค่ายกลนี้ขังเอาไว้ ไม่สามารถดิ้นให้หลุดได้เขาเกิดความสงสัยมาก ประกอบกับก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่อยากจะจัดการเขามาตลอด เขาจึงคิดว่านางเป็นผู้ควบคุมให้ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้มาจัดการเขาก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่เคยคิดอยากจะจัดการเขาในสำนักเต๋าจริง ๆ แต่เป็นครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางจริง ๆเป็นเพราะร่างกายที่พิเศษเ
ความทรุดโทรมนี้เริ่มปรากฏตั้งแต่ประตูเขาที่เก่าและทรุดโทรม ยาวไปตลอดทางจนถึงกระทั่งถึงโถงใหญ่ของสำนักเต๋าด้านในก็มีเพียงรูปหล่องทองคำปรมาจารย์เต๋าที่ยังมีสภาพดีอยู่เพียงเท่านั้น อาคารอื่น ๆ ของวัดก็สามารถใช้คำว่าชำรุดทรุดโทรมมาบรรยายได้เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมา นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ที่เฝ้าภูเขาก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว ไม่ไปไหนแล้วใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่ได้ยินก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าอาศัยคืนเดียวก็จะไปแล้ว”ใบหน้าของนักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ก็มีสีหน้าผิดหวังปรากฏขึ้นมาทันที นางหยิบทองหนึ่งกำมือออกมาจากมิติคาถาเต๋าแล้วมอบให้เขา “ค่าอาหารของปีนี้”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ใช้สองมือรับทองคำ ใบหน้ามีรอยยิ้มขึ้นมาทันที “อย่างไรเสียศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็เก่งกาจ!”สำนักเต๋าผ่านไปด้วยความยากลำบากมาก ทองคำเหล่านี้เมื่อแลกเป็นเงินก็ได้หลายพันตำลึง เพียงพอที่จะให้พวกเขามีกินได้ถึงสิ้นปีซือเจ๋อเยว่ถามเขา “พวกอาจารย์ออกจากสำนักเต๋าตั้งแต่เมื่อใด?”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ “ทันทีที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ออกไปจากสำนักเต๋า เจ้าสำนักพวกเขาก็ไปแล้ว”ซือเจ๋อเยว่ขมวดคิ้ว “พวกเขาได้บอกหรือไ
ซือเจ๋อเยว่เผชิญหน้ากับสายตาที่แฝงไปด้วยความน้อยใจของไป๋จื้อเซียน นางมีความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยท่าทางเช่นนี้ของเขา เกรงว่าคนที่ไม่รู้จะคิดว่าพวกเขากำลังสุมหัวกันกลั่นแกล้งเขาแต่เรื่องจริงคือเขาเกือบทำให้พวกเขาต้องติดกับดักจนตายในเวลานี้นางจำต้องกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋มาก”ไป๋จื้อเซียนมองนางด้วยสีหน้าน่าสงสารพร้อมกล่าว “เมื่อครู่นี้เจ้าดุข้า”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางสูดหายใจในใจทีหนึ่ง เจ้าหมอนี่แสดงละครเก่งมาก!นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ข้ามีนิสัยใจร้อน เวลามองอะไรก็มักจะมองแค่สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ไม่สู้คุณชายไป๋ที่มองการณ์ไกล”“คุณชายไป๋คาดการณ์เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในตอนหลังได้ตั้งแต่แรกแล้ว ข้าชื่นชมตบะอันล้ำลึกทำให้ข้านับถือจากใจจริง”“ครั้งหน้าหากยังมีเรื่องแบบเดียวกันอีก คุณชายไป๋ได้โปรดแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเสียหน่อย พวกเราจะได้ร่วมมือกันได้ดี”นางพูดจบก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อย “คุณชายไป๋ช่วยพวกเราคำนวณดูหน่อยได้หรือไม่ พวกเรากลับเมืองหลวงครั้งนี้ จะล้มจวนหนิงกั๋วกงได้หรือไม่?”ไป๋จื้อเซียน “...”ถึงแม้เขาจะมีชีวิตอยู่มาหนึ่งพันปีแล้วก็ตาม เรียนรู้เพียงความสามารถฆ
“ถึงแม้วันนี้ข้ากับชื่อปาเลี่ยจะบุกฝ่าออกมาได้ แต่ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด”“การล้อเล่นแบบนี้ อย่างไรคุณชายไป๋ช่วยลดลงหน่อยจะดีมาก”ไป๋จื้อเซียนจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา เขาหันหน้าไปมองไป๋จื้อเซียน โดยไม่ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อยชื่อปาเลี่ยที่อยู่ข้าง ๆ พูดไกล่เกลี่ย “ครั้งนี้พวกข้าไม่เป็นอะไร อย่างไรก็ช่างเถอะ”ความโกรธที่ไป๋จื้อเซียนมีอยู่มากมายไม่มีที่ระบาย ยกมือขึ้นแล้วสะบัดทำให้ชื่อปาเลี่ยลอยกระเด็นออกไปชื่อปาเลี่ย “!!!!!”หากวันหลังเขายังกล้าสอดเรื่องของพวกเขาอีก เขาก็คือก็คือไอ้ลูกหมา!เขากระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ร้องโอ๊ยออกมาทีหนึ่งซือเจ๋อเยว่รีบยื่นมือออกไปประคองชื่อปาเลี่ย “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”ชื่อปาเลี่ยกุมหน้าอกกล่าว “ข้าเจ็บหน้าอกนิดหน่อย”ในระหว่างที่พูดเขารู้สึกผิดปกติบริเวณหน้าอก ยื่นมือออกไปแล้วล้วง ไม่คิดเลยว่าจะควักสมุดบันทึกเล็ก ๆ เล่มหนึ่งออกมาจากข้างใน “นี่มันอะไรกัน?”หลังจากซือเจ๋อเยว่รับมาก็เปิดสมุดบันทึกเล่มเล็ก พบว่าเป็นสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้ายฉบับนั้นที่เยียนอ๋องซื่อจื่อกล่าวไว้นางทั้งตกใจทั้งดีใจ “นี่คือสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้าย!”เยียนเซียวหรา
ซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ข้าไม่เป็นอะไร”นางพูดจบก็กล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”เยียนเซียวหรานยิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นอะไร”เขาพูดจบก็ประสานมือคำนับไป๋จื้อเซียนกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋ที่พาองค์หญิงออกมาได้อย่างปลอดภัย ทำให้ข้าไม่ต้องเป็นพะวงที่จะบุกฝ่ากองทัพออกมา”สีหน้าของไป๋จื้อเซียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เรื่องนี้เขาวางแผนทำร้ายเยียนเซียวหราน เยียนเซียวหรานขอบคุณเขาจึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมากยังมีท่าทีของซือเจ๋อเยว่อีก ในดวงตาของนางมีเพียงเยียนเซียวหรานเท่านั้น ไม่มีเขาเลยแม้แต่น้อยความรู้สึกแบบนี้ทำให้ไป๋จื้อเซียนไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งเขารู้สึกไม่พอใจ จึงอยากจะทำร้ายชื่อปาเลี่ยอีกครั้งดวงตาของเขากวาดมองไปยังชื่อปาเลี่ย ชื่อปาเลี่ยได้หลบไปอยู่ที่ด้านหลังของซือเจ๋อเยว่อย่างรวดเร็ว “คุณชายไป๋จะทำร้ายข้า องค์หญิงช่วยด้วย!”ซือเจ๋อเยว่รู้ว่าไป๋จื้อเซียนมีนิสัยขี้โมโห เขาติดตามอยู่ข้าง ๆ พวกเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับระเบิดเวลา ไม่รู้ว่าจะเบิดขึ้นเมื่อไหร่เพียงแต่หากปล่อยเขาไป วันข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะก่อเหตุวุ่นวายอะไรขึ้นอีกนางคิดว่า อย่างไรเสียก็ต้องคิดหาว
เขายิ้มแย้มพร้อมกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ข้าพาเจ๋อเยว่นำไปก่อน พวกเจ้าสู้ ๆ ล่ะ”ซือเจ๋อเยว่ “...”เยียนเซียวหราน “...”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยความร้อนใจ “นี่ เจ้าพาพวกเขาไปด้วยกันสิ!”ไป๋จื้อเซียนกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “สถานการณ์แบบนี้ไม่ฆ่าคนก็พาพวกเขาออกไปไม่ได้”“ก่อนหน้านี้ข้าเคยสาบานต่อสวรรค์ไว้ว่า ไม่สามารถลงมือฆ่าคนได้โดยไม่มีสาเหตุ ดังนั้น...”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ามองเขา ในดวงตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ทั้งสองข้างของเขาแฝงไปด้วยหยอกเย้า ท่าทางเหมือนกับกำลังดูละครด้วยความสุขนางรู้ดีว่า เรื่องในวันนี้เขานั้นเจตนา!นางรู้ดีว่า คนที่ชั่วร้ายเช่นไป๋จื้อเซียนจะยอมร่วมมือกับพวกเขาได้อย่างไร?นางกล่าวด้วยความร้อนใจ “ปล่อยข้าลง! ข้าจะไปช่วยพวกเขา!”ไป๋จื้อเซียนยิ้มด้วยความร่าเริงพร้อมกล่าว “ตอนนี้ด้านล่างมีแต่คน ทั้งเจ้ายังไม่เป็นวรยุทธ์ หากลงไปจริง ๆ ก็รังแต่จะยิ่งอันตราย”“อีกอย่าง ขอเพียงเจ้าสงบ เยียนเซียวหรานก็จะไม่เป็นพะวง ก็สามารถแสดงความสามารถของเขาได้อย่างเต็มที่”“ข้าเชื่อ ด้วยความสามารถของเขา ต้องสามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้แน่ ปลอดภัยหายห่วง” ซือเจ๋อเยว่ค้อนเขา เขากะพริบตาใส
เยียนเซียวหรานกวัดแกว่งกระบี่ในมืออย่างสุดแรง พยายามพาซือเจ๋อเยว่พุ่งตัวออกไปด้านนอกชื่อปาเลี่ยกลับด่าทออย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงนั้น “ไอ้แม่งเอ๊ย ครั้งก่อนเกือบตายที่ด่านอวิ๋นหลิ่ง ครั้งนี้ยังจะมาอีก!”เขาพูดจบก็กล่าวกับซือเจ๋อเยว่อีก “องค์หญิง ค่ายกลนั่นของท่านเมื่อครั้งก่อน เอาออกมาใช้อีกครั้งได้หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “เอามาใช้อีกครั้ง ข้าก็สามารถตายตรงนี้ต่อหน้าพวกเจ้าได้เลย!”ชื่อปาเลี่ย “...”เยียนเซียวหรานกล่าวเสียงขรึม “เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว พุ่งไปข้างหน้าด้วยกันกับข้า”ซือเจ๋อเยว่ครุ่นคิด ครั้งนี้อยู่ภายในห้องปิดตาย จะอย่างไรก็ต้องพุ่งตัวเข้าไปหาก่อนดังนั้นนางจึงหยิบยันต์ออกมา ใช้คาถาเต๋าทำให้ระเบิด ภายในชั่วพริบตา ภายในห้องก็มีลมกระโชกแรงเกิดขึ้น พัดทหารยามพวกนั้นที่อยู่หน้าประตูลอยกระเด็นออกไปข้างนอกชื่อปาเลี่ยหลบไม่ทัน หัวจึงกระแทกพื้นเยียนเซียวหรานอยากจะจับเขาเอาไว้ แต่ลมแรงเกินไป จึงทำให้ไม่สามารถจับเขาได้เลยซือเจ๋อเยว่คว้าขาของชื่อปาเลี่ยเอาไว้แล้วกล่าว “รีบไป!”ชื่อปาเลี่ย “!!!!!!”เขาเองก็อยากจะหนีไปโดยเร็วเช่นกัน แต่ปัญหาคือลมทั้งรุนแ
สิ่งของที่อยู่ด้านในมองดูค่อนข้างสลับซับซ้อน กองกันเละเทะ ทันทีที่ดูก็รู้ว่าหลังจากถูกใครบางคนรื้อค้นจนเละเทะ ก็ไม่ได้จัดระเบียบใหม่ภายในห้องที่รกรุงรังแบบนี้ อยากจะตามหาสิ่งของที่พวกเขาอยากได้ เหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หลังจากที่ซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานรื้อค้นรอบหนึ่ง ก็ไม่ได้อะไรแม้แต่อย่างเดียวทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ก็เห็นความจนปัญญาจากดวงตาของอีกฝ่ายภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ราวกับว่าไม่มีความจำเป็นที่จะตามหาต่อไปแล้วในเวลานี้เอง เสียงของทหารยามก็ดังลอยมาจากหน้าประตู “ใครกัน?”ซือเจ๋อเยว่รีบเก็บไข่มุกราตรีลงไป ด้านในจึงกลับคืนสู่ความมืดอีกครั้งเนื่องจากเมื่อครู่นี้ทหารยามได้เห็น ‘การแสดง’ ของไป๋จื้อเซียน ภายในใจจึงหวาดกลัวเป็นอย่างมากแต่เพราะมีคำสั่งของนายพลที่เฝ้าด่าน เขาจึงไม่กล้าละทิ้งหน้าที่โดยพลการอีก จึงเรียกเพื่อนร่วมงาน ตั้งใจว่าจะจุดเทียนแล้วเข้าไปตรวจค้นด้านในตอนที่เขากำลังจะเปิดประตู ทหารยามคนนั้นก็หันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นใบหน้าที่ชั่วร้ายของไป๋จื้อเซียน เสื้อผ้าสีแดงราวกับเลือดทหารยามไม่ได้รู้สึกตัวในทันที ยังถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”ไป๋จื้อ