ซือเจ๋อเยว่ยังคงไม่มีชีพจร นางหันมองอีกฝ่ายอย่างตะลึง “ทำไมองค์หญิงถึงไม่มีชีพจร?”ซือเจ๋อเยว่ดึงแขนเสื้อลง “ตำแหน่งชีพจรของข้าไม่เหมือนกับคนทั่วไป หากตรวจอย่างคนทั่วไป ไม่เจอชีพจรหรอก”ก่อนหน้านี้ตอนเยียนซุ่ยซุ่ยอ่านตำราแพทย์เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอของจริงนางถามซือเจ๋อเยว่ “แล้วชีพจรขององค์หญิงอยู่ที่ใด?”ซือเจ๋อเยว่ส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้ ทว่าดูเหมือนอาจารย์ใหญ่ของข้าจะรู้ แต่เขาไม่บอกข้า”เยียนซุ่ยซุ่ยทำหน้าสงสัย ยังคิดจะช่วยนางหาตำแหน่งของชีพจร แต่กลับถูกปฏิเสธซือเจ๋อเยว่ถามเยียนเซียวหราน “ช่วงที่ข้านอนหลับ มีข่าวคราวจากศาลต้าหลี่บ้างหรือไม่?”เยียนเซียวหรานตอบ “มี เหวยอิ้งหวนเคยมาที่จวนอ๋องหนึ่งครั้ง คนชุดดำที่พวกเราจับได้ ถูกคนฆ่าตายระหว่างถูกส่งกลับไปที่ศาลต้าหลี่”เมื่อซือเจ๋อเยว่ได้ยินเรื่องนี้ ไม่แปลกใจสักนิด “ฆ่าได้ดี หากเขาถูกฆ่า จะยิ่งยืนยันได้ว่ามีคนต้องการใส่ร้ายจวนเยียนอ๋อง”“เดิมทีเสด็จอายังสงสัยจวนเยียนอ๋อง ยามนี้เมื่อมีคนลงมือเล่นงานจวนอ๋อง ยิ่งเห็นได้ชัดว่าจวนเยียนอ๋องคือผู้บริสุทธิ์”ความจริง ตั้งแต่ตอนที่นางกับเยียนเซี
เยียนเซียวหรานรู้ว่าอาการป่วยของนางเมื่อวานประหลาดไม่น้อย ร่างกายนางดูอ่อนแออยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะแย่ถึงเพียงนี้เขาหันมองซือเจ๋อเยว่อย่างอดไม่ได้ หญิงสาวสีหน้าขาวซีด ร่างกายบอบบาง คล้ายเพียงลมพัดนางก็ปลิวไปตามลมซือเจ๋อเยว่ยิ้มแล้วพูดต่อไป “เดิมทีข้ารู้สึกว่าชีวิตไม่มีสิ่งใดน่าสนุก แต่อาจารย์ใหญ่บอกว่าคนเราเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ควรเห็นคุณค่าของเวลาในทุกวัน”“เดิมทีครั้งนี้ข้าไม่อยากกลับเมืองหลวง แต่อาจารย์ใหญ่บอกว่าครอบครัวของข้าอยู่เมืองหลวง อย่างไรก่อนตายข้าก็ควรพบพวกเขาสักครั้ง ดังนั้นข้าจึงกลับมา”จางย่วนเจิ้งรู้ว่าคำพูดเหล่านี้นางฝากไปถึงฮ่องเต้เจาหมิง ทันใดนั้นจึงลุกขึ้นโค้งคำนับ “ข้าไร้ความสามารถ องค์หญิงโปรดรักษาเนื้อรักษาตัวด้วย”สถานการณ์อย่างนาง ตรวจไม่พบชีพจร แม้แต่เทียบยาก็ไม่ต้องเขียนซือเจ๋อเยว่คำนับตอบ เหล่าไท่จวินให้เยียนเซียวหรานไปส่งจางย่วนเจิ้งหลังจากพวกเขาออกไป เหล่าไท่จวินถามซือเจ๋อเยว่ “คำพูดเมื่อครู่ขององค์หญิงเป็นความจริงหรือ?”ซือเจ๋อเยว่หัวเราะ “ข้าหลอกเขานะ ร่างกายของข้าอ่อนแอ เสด็จอาถึงจะยิ่งวางใจ”“เขาตรวจไม่พบชีพจรข้า ความจริงเป็นเพราะตำแหน่งชีพ
“แม้ซือเจ๋อเยว่จะมีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิง แต่ก็ต้องแต่งงานกับเยียนอ๋องซื่อจื่อที่ตายในสมรภูมิรบ ช่างน่าเวทนาเสียจริง!”“อย่างนางนับเป็นองค์หญิงที่ใดกัน? นางก็แค่เด็กบ้านนอกที่เติบโตในสำนักเต๋า แถมยังเป็นดาวอัปมงคลอีกด้วย”“ข้ายังได้ยินมาว่า นางเป็นเหตุให้ฮ่องเต้องค์ก่อนสิ้นพระชนม์ด้วย”“ดาวอัปมงคลแต่งกับคนตาย ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมนัก!”ซือเจ๋อเยว่นั่งอยู่ในเกี้ยวแต่งงานหน้าประตูวังหลวงด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ฟังเหล่าข้าราชบริพารรอบข้างวิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุด ริมฝีปากของนางเผยรอยยิ้มเย็นเยียบอดีตฮ่องเต้กับฮ่องเต้เจาหมิงเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตกัน เมื่อครั้งอดีตฮ่องเต้สวรรคตอย่างกะทันหัน มีพระธิดาเพียงองค์เดียวคือซือเจ๋อเยว่ บรรดาขุนนางจึงยกย่องให้ฮ่องเต้เจาหมิงขึ้นครองบัลลังก์เมื่อฮ่องเต้เจาหมิงขึ้นครองราชย์ พระองค์ประกาศว่าจะทรงเลี้ยงดูพระธิดาน้อยวัยสองขวบอย่างดี แต่ไม่นานนัก นางกลับล้มป่วยหนัก และใช้ข้ออ้างที่ว่าต้องพักฟื้นร่างกายเพื่อส่งนางไปยังสำนักเต๋าพวกเขาไม่รู้เลยว่าอาการเจ็บป่วยครานั้นได้คร่าชีวิตเด็กน้อยวัยสองขวบไปแล้ว ที่อยู่ในร่างนี้คือวิญญาณของผู้ใหญ่จากศตวรรษที่ยี
สีหน้าของเยียนเซียวหรานเปลี่ยนไปทันที มองนางด้วยความประหลาดใจนางยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ข้าจะช่วยท่านเชิญซื่อจื่อออกมาเอง”นางเป็นอัจฉริยะในสำนักเต๋า มีดวงตาแห่งจิตวิญญาณโดยกำเนิด เกิดมาก็สามารถมองเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นแต่ความเป็นอัจฉริยะของนางนั้น มาพร้อมการแบกรับห้าเคราะห์สามบกพร่อง และนางมีถึงสามประการ นั่นคือ โดดเดี่ยว ไร้คู่ครอง และอายุสั้นตั้งแต่ปีที่แล้ว นางมักจะรู้สึกเจ็บแปลบที่กลางอกอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งยังมีเส้นสีแดงปรากฏบนข้อมือของนางอาจารย์ใหญ่เคยกล่าวว่าวันใดที่เส้นสีแดงบนข้อมือนั้นยาวถึงข้อศอก วันนั้นจะเป็นวันที่ชะตาชีวิตของนางสิ้นสุดนางยกข้อมือขึ้นมอง เส้นสีแดงนั้นยาวถึงครึ่งทางระหว่างข้อศอกกับข้อมือแล้วการเดินทางกลับมายังเมืองหลวงครั้งนี้ นอกจากจะเกี่ยวข้องกับจดหมายจากอวิ๋นไท่เฟยแล้ว ยังเป็นเพราะอาจารย์สามได้คำนวณชะตาของนาง พบว่าโอกาสในการแก้ไขชะตาอายุสั้นของนางปรากฏอยู่ที่เมืองหลวงกวนมามาเห็นซือเจ๋อเยว่และเยียนเซียวหรานยืนกางร่มด้วยกัน นางโกรธจัดพลางตวาดว่า “ต่อหน้าฝูงชน ท่านกับบุรุษกางร่มร่วมกันเช่นนี้ ช่างไร้มารยาทสิ้นดี!”เยียนเซียวหรานตวาดกลับอย
ซือเจ๋อเยว่นึกถึงภาพที่เยียนเซียวหรานเตะกวนมามาจนตาย แล้วก็นึกถึงเหตุการณ์ที่นางเผลอหลับนอนกับเขา จากนั้นเขาก็ถือดาบเดินไล่ล่านางไปทั่วทั้งตำบล นางก็อดตัวสั่นไม่ได้หากเขารู้ว่าคนที่หลับนอนกับเขาในคืนนั้นคือนาง นางคงตายอย่างอนาถยิ่งกว่ากวนมามาเสียอีก!นางทุบอกตัวเองด้วยความหงุดหงิด ถ้ารู้อย่างนี้ แต่แรกก็คงไม่หลงใหลในความหล่อของเขาจนไปหลับนอนกับเขาหรอกตอนนี้นางจะหนีทันไหมนะ?ทันทีที่นางยกม่านเกี้ยวขึ้น ทหารองครักษ์จากจวนเยียนอ๋องที่ขี่ม้าอยู่ข้าง ๆ ต่างหันมามองอย่างพร้อมเพรียงนางรีบปล่อยม่านลงอย่างรวดเร็ว สถานการณ์เช่นนี้ หากนางไม่มีปีกบินออกไป ก็อย่าหวังว่าจะหนีรอดได้นางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง คิดว่าคงต้องค่อย ๆ คิดไปทีละขั้นเกี้ยวมงคลเป็นสีแดงสด และสินเดิมทั้งหมดก็ถูกพันด้วยผ้าไหมสีแดง ทว่าขบวนรับเจ้าสาวกลับไม่มีความรื่นเริงแม้แต่น้อย เงียบเหงาวังเวงราวกับขบวนแห่ศพเมื่อถึงจวนเยียนอ๋อง บรรยากาศเช่นนี้ ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีกหน้าประตูจวนเยียนอ๋อง ผ้าขาวที่ผูกไว้กับรูปปั้นสิงโตหินยังไม่ได้ถูกถอดออกทั้งหมด กลับมีการผูกผ้าไหมสีแดงทับลงไปอีกเมื่อเกี้ยวมงคลลงถึงพื้น เสียงประทัดดัง
ซือเจ๋อเยว่ถลึงตามองเขาแล้วกล่าวว่า “วันนี้เป็นวันมงคลสมรสของข้า แต่เจ้ากล้าตวาดข้า แถมยังร้องไห้ราวกับงานศพ!”“เจ้าไม่พอใจเรื่องที่ฝ่าบาทประทานสมรสระหว่างข้ากับเยียนอ๋องซื่อจื่อ เจ้าต้องการจะขัดขืนราชโองการใช่หรือไม่?”ผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการ “...”ผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการ “!!!”เยียนเซียวหรานมองซือเจ๋อเยว่ด้วยความประหลาดใจนางมองไปที่เขาแล้วกล่าวว่า “หึ เจ้ากล้าแสดงสีหน้าเช่นนี้ใส่ข้าด้วยหรือ นั่นแสดงว่าเจ้าคิดขัดขืนราชโองการจริง ๆ สินะ!”“ข้าจะไปหาเสด็จลุงเดี๋ยวนี้ ขอให้เขาลงโทษเจ้า!”ผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ แต่เขาไม่กล้าขัดขวางพิธีแต่งงาน จึงจำใจต้องฝืนยิ้มออกมาและกล่าวว่า “องค์หญิงเข้าใจผิดแล้ว กระหม่อมมีความยินดีอย่างยิ่ง!”ซือเจ๋อเยว่ทำหน้ารังเกียจพลางพูดว่า “เจ้ายิ้มไม่น่ามองเหมือนเมื่อครู่ ดูอย่างไรก็ไม่จริงใจ”“เจ้าคงแค่ทำเป็นยิ้มบนหน้า แต่ด่าข้าอยู่ในใจสินะ?”ผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการ “...”เขาทำเช่นนั้นจริง ๆ ถูกนางจับได้เช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้างแต่เขาก็ทำได้เพียงแค่พยายามยิ้มให้ดูจริงใจขึ้นอีกหน่อย “หามีเรื่องเช่นนั้นไม่! กระหม่อมยินดีเ
เหล่าไท่จวินเห็นซือเจ๋อเยว่ยืนนิ่งไม่พูดอะไร จึงเข้าใจนางผิด เพราะในสายตาของเหล่าไท่จวิน นางก็เป็นเพียงเด็กสาวอายุน้อยที่อายุยังไม่ครบยี่สิบ ยังไม่เข้าใจโลกดี นางจึงอธิบายต่อว่า “ข้ามิได้มีเจตนารังเกียจองค์หญิงแต่อย่างใด”“องค์หญิงมาจากในวัง ข้าไม่รู้ว่าองค์หญิงรับทราบเรื่องของจวนเยียนอ๋องมากน้อยเพียงใด”“ข้าจะพูดอย่างตรงไปตรงมาแล้วกัน ท่านอ๋องพ่ายศึก ฝ่าบาทกริ้วหนัก จวนเยียนอ๋องไม่มีทางรอดจากภัยนี้”“องค์หญิงไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แต่แรก หากอยู่ในจวนเยียนอ๋องต่อไป เกรงว่าจะมีภัยติดตามมา ทางที่ดีควรรีบจากไปเสียก่อน เพื่อความปลอดภัยขององค์หญิงเอง”ซือเจ๋อเยว่สบสายตากับเหล่าไท่จวินที่เต็มไปด้วยความเมตตาและอ่อนโยน ทำให้ขอบตาร้อนผ่าวการกลับมาเมืองหลวงครั้งนี้ทำให้นางได้เห็นทั้งความมืดมิดและความอบอุ่นของผู้คนอย่างชัดเจนเสด็จลุงของให้นางแต่งงานกับคนตาย ขณะที่ผู้เป็นมารดาอย่างอวิ๋นไท่เฟยก็เพิกเฉยต่อชะตากรรมนี้บรรดาข้าราชบริพารในวังหลวงต่างก็รังเกียจนาง ไม่มีความเคารพต่อนางแม้แต่น้อยเดิมทีนางคิดมาตลอดว่าจวนเยียนอ๋องที่กำลังมีเรื่องร้ายมากมาย นางแต่งเข้ามาเช่นนี้คงต้องถูกตำหนิแล
ในดวงตาเยียนเซียวหรานมีความเย้ยหยัน “ต่อให้ไม่มีท่าน ครั้งนี้จวนเยียนอ๋องก็ยากจะผ่านเคราะห์กรรมไปได้”เมื่อพูดมาถึงตรงนี้เขาหันมองนาง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะทำให้มีคนตายเพิ่มไปไย”“องค์หญิงโปรดฟังข้าสักคำ หากครั้งนี้จากไปแล้ว อย่ากลับมาที่เมืองหลวงอีก”เมื่อพูดจบเขายัดตัวรอกไว้ในมือนาง “องค์หญิงไปเถอะ หากไม่รีบไป คงไม่มีโอกาสแล้วจริงๆ”ซือเจ๋อเยว่รู้สึกสับสน นำตัวรอกไปเกี่ยวไว้กับเชือก แล้วหันมองเขาอีกครั้ง ต่อมาเลื่อนตัวรอกไปตามเชือกจนถึงฝั่งตรงข้ามเมื่อนางยืนจนมั่นคงแล้ว เยียนเซียวหรานถึงได้ดึงตัวรอกกลับไปนางช้อนตามองเขา แม้ชายหนุ่มจะตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน แต่ยังคงเปล่งประกายดั่งดวงจันทราเมื่อเขาเห็นนางหันมอง เพียงลอบมองหนึ่งครั้ง พลันหันหลังกระโดดลงจากหอซือเจ๋อเยว่กระโดดลงมาจากต้นไม้ แล้วมุ่งหน้าไปที่ประตูเมืองแรกเริ่มนางเดินค่อนข้างเร็ว หลังจากเดินไปประมาณห้าสิบก้าว จึงค่อยๆ เดินช้าลงเพราะเขาได้ยินเสียงโวยวายของทหาร ซ้ำยังคลับคล้ายคลับคลาได้ยินเสียงตำหนิของเหล่าไท่จวินนางนำหนังสือหย่าที่เหล่าไท่จวินมอบให้ออกมา พบว่าด้านในสอดตั๋วเงินไว้หนึ่งใบ จำนวนเงินไม่มาก แต่เ