ด้วยเหตุผลนานัปประการ ทำให้ผู้ที่มาไว้อาลัยที่จวนเยียนอ๋องมีเพียงน้อยนิดผู้ที่มาร่วมงาน ล้วนเป็นสหายรักตอนเยียนอ๋องยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งยังเป็นคนดีมีคุณธรรมทั้งสิ้นเยียนเซียวหรานจดจำชื่อของพวกเขาแต่ละคนเอาไว้ทั้งหมดซือเจ๋อเยว่รู้ว่าฮ่องเต้เจาหมิงยกเลิกคำสั่งกักบริเวณจวนเยียนอ๋อง เป็นความสำเร็จก้าวแรกของพวกนางเท่านั้นจากนี้หากเพลี้ยงพล้ำแม้แต่ก้าวเดียว จวนเยียนอ๋องยังคงต้องเผชิญกับอันตรายนางเงยหน้ามองท้องฟ้า หมอกแดงที่ก่อนหน้านี้ปกคลุมจวนเยียนอ๋องสลายไปแล้ว แต่กลับมีหมอกสีเทาเพิ่มขึ้น พลังอาฆาตยังคงรุนแรงหายนะของจวนเยียนอ๋องยังไม่คลี่คลายอย่างสิ้นเชิงซือเจ๋อเยว่เลิกคิ้วเล็กน้อย คิดจะเข้าไปหาเยียนเซียวหรานที่ห้องจัดพิธีเดินไปถึงครึ่งทางกลับได้ยินเสียงโกรธเคืองของพระชายาเยียนอ๋องดังขึ้น “จวนตระกูลจ้าวรังแกกันมากเกินไปแล้ว!”“หากพวกเขาอยากถอนหมั้นรอให้พิธีของท่านอ๋องเสร็จสิ้นแล้วค่อยมาจัดการ ข้าจะไม่ว่าแม้แต่คำเดียว”“แต่ตอนนี้พวกเขากลับให้บ่าวคนหนึ่งมาดำเนินการแทน คิดจะถอนหมั้นทันที ทำเช่นนี้มันเกินไป!”เหล่าไท่จวินเอ่ยเสียงเรียบ “จะถอนหมั้นเร็วหรือถอนหมั้นช้า ก็ต้องถอ
“ดังนั้นข้าอยากมาถามเจ้า พรุ่งนี้เจ้าวางแผนไว้อย่างไร มีแผนการอย่างไรบ้าง”เมื่อพูดมาถึงตรงนี้นางยิ้ม “ข้าสามารถทำนายได้ว่าแผนการไหนยอดเยี่ยมที่สุด”เยียนเซียวหราน “...”เขารู้ว่านางทำนายแม่น แต่การทำนายเช่นนี้เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกเขาถามนาง “เรื่องพวกนี้ก็ทำนายได้หรือ?”ซือเจ๋อเยว่ตอบ “ทำนายได้แค่ผลร้ายหรือดี”เยียนเซียวหรานมองนางแวบหนึ่ง แล้วบอกแผนการทั้งสามให้ฟังซือเจ๋อเยว่นับข้อนิ้วแล้วทำนาย จากนั้นบอกเขา “แผนการทั้งสามของเจ้าล้วนเป็นผลร้ายมหันต์ พรุ่งนี้ต้องเกิดเรื่องแน่นอน”เยียนเซียวหรานขมวดคิ้ว “ล้วนเป็นผลร้ายมหันต์หรือ?”ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า “ถูกต้อง แผนการพวกนี้ใช้ไม่ได้”พูดจบนางเดินออกไปเด็ดใบไม้มาหนึ่งกำมือ โยนใบไม้ไปด้วย พลางนับข้อนิ้วทำนายไปด้วยนางมีนิสัยอย่างหนึ่ง เมื่อใดที่ตรึกตรองเรื่องใดอย่างตั้งใจ มักจะงอนิ้วชี้ซ้าย แล้วขบกัดเบา ๆเยียนเซียวหรานเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางพลันตาลุกวาว รู้สึกคุ้ยเคยอย่างบอกไม่ถูกหลังจากซือเจ๋อเยว่ทำนายอีกครั้ง “โมงยามที่ดีที่สุดในการเคลื่อนศพคือยามอู่[1] หลังออกจากจวนให้มุ่งหน้าไปทางใต้ ค่อยย้อนกลับมาทางตะวันตก ใช้ประ
เยียนเซียวหรานเอ่ยเสียงเย็น “ท่านพ่อและท่านพี่เพิ่งเสียได้ไม่นาน ข้าอยากสืบหาความจริงที่พวกท่านเสียชีวิต ไม่มีแก่ใจสนใจเรื่องความรัก”ซือเจ๋อเยว่รีบสำทับอย่างขึงขัง “เจ้าพูดถูก ต้องสืบหาความจริง พักเรื่องความรักเอาไว้ก่อน!”เยียนเซียวหราน “...”ซือเจ๋อเยว่โน้มไปใกล้เขาแล้วเอ่ยขึ้น “แต่ข้าคิดว่าหากเสด็จพ่อยังอยู่ คงหวังให้เจ้าแต่งงานมีครอบครัว ได้ใช้ชีวิตที่มีความสุข”เยียนเซียวหรานถลึงตา นางกลับทำตาปริบ ๆ “หากเจ้าไม่เชื่อ ข้าสามารถเรียกเสด็จพ่อขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อให้ท่านบอกเจ้า”เยียนเซียวหราน “...ไม่ต้องหรอก”ใช่ว่าเขาไม่อยากพบเยียนอ๋อง แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยถามซือเจ๋อเยว่ การเรียกวิญญาณทำร้ายทั้งร่างกายและดวงวิญญาณครั้งเดียวไม่เป็นไร แต่หลาย ๆ ครั้งเข้า เขากลัวนางจะอยู่ไม่ถึงอายุสิบแปดปีแต่แผนการไม่เร็วเท่าการเปลี่ยนแปลง เช้าวันรุ่งขึ้น จวนเยียนอ๋องมีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยือนจ้าวอวี่ชุนประมุขตระกูลจ้าวนำบ่าวชายกลุ่มใหญ่ของตระกูล ขวางหน้าโลงศพที่กำลังจะเตรียมเคลื่อนขบวนเยียนเซียวหรานเดินมาทำความเคารพจ้าวอวี่ชุน “วันนี้ใต้เท้าจ้าวมาส่งท่านพ่อและท่านพี่เป็นครั้งสุดท้าย ข้าซาบซ
จ้าวอวี่ชุนนึกไม่ถึงว่าจนป่านนี้แล้ว ท่าทีของเยียนเซียวหรานยังแข็งกร้าวเช่นนี้!ขณะนี้เขาเชื่อสนิทใจว่าจวนเยียนอ๋องไม่อยากถอนหมั้นลูกสาวเขาแสนดีขนาดนั้น มีเพียงบุรุษที่สมบูรณ์แบบที่สุดในใต้หล้าถึงจะคู่ควรกับนาง นางจะมาจบอนาคตเพราะจวนอ๋องเยียนที่กำลังจะล่มจมไม่ได้ทันใดนั้นเขาคุกเข่าลงพร้อมทำท่าเสียอกเสียใจและตะโกนเสียงดัง “เยียนอ๋อง ตอนนั้นข้าช่วยชีวิตท่านเอาไว้ ท่านเห็นลูกสาวข้าฉลาดหลักแหลม ยืนกรานจะหมั้นนางให้เยียนเซียวหราน”“ตอนนั้นข้ารู้สึกว่าเยียนเซียวหรานคุณสมบัติไม่ดี ไม่อยากให้ลูกสาวแต่งกับเขา ข้าคุกเข่าขอให้ท่านอ๋องโปรดเมตตา แต่ท่านกลับไม่ยินยอม”“ตอนนั้นการหมั้นหมายนี้เกิดขึ้นเพราะท่านบีบบังคับ ทว่าสวรรค์มีตา ทำให้ท่านตายไปเสียแต่เนิ่นๆ!”“ขณะนี้ข้าไม่เกรงกลัวอำนาจของจวนอ๋องเยียนอีกแล้ว วันนี้ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็จะถอนหมั้นให้ได้!”ก่อนหน้านี้เยียนเซียวหรานรู้ว่าจ้าวอวี่ชุนเป็นคนหน้าด้าน แต่เขากลับประเมินความหน้าด้านของอีกฝ่ายต่ำเกินไปการหมั้นหมายระหว่างเขากับจ้าวซือหว่าน เกิดขึ้นเพราะจ้าวอวี่ชุนใฝ่สูงอยากเกี่ยวดองกับจวนอ๋อง จึงข่มขู่ด้วยบุญคุณที่เคยช่วยชีวิต
สิ่งที่จ้าวชุนอวี่คิดถูกนางเปิดโปง สีหน้าของเขาจึงดูไม่จืดเขาเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าคือใคร? อย่ามายุ่งเรื่องชาวบ้าน!”“ข้าคือผู้ใดหรือ?” แววตาซือเจ๋อเยว่เย็นชา “ข้าคือทายาทเพียงคนเดียวของฮ่องเต้องค์ก่อน นามแต่งตั้งเจ๋อเยว่”“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? เห็นข้าแล้วนอกจากไม่ทำความเคารพ ยังกล้ามาถามข้าหรือ? ใครก็ได้ ตบปากสั่งสอนเดี๋ยวนี้!”ทันใดนั้นมีองครักษ์วิ่งเข้ามา แล้วตบหน้าจ้าวอวี่ชุนไปหลายทีจ้าวอวี่ชุนถูกตบจนมึนงง เขานึกไม่ถึงว่าเมื่อซือเจ๋อเยว่มาถึงก็ลงมือทันทีเขาโกรธเคือง “ต่อให้เจ้าเป็นองค์หญิง ก็ทำร้ายขุนนางในราชสำนักโดยไร้เหตุผลไม่ได้!”“ข้าจะถวายฎีกาต่อฮ่องเต้ ให้ฮ่องเต้ลงโทษเจ้า!”ซือเจ๋อเยว่ไม่สนใจเขา นางหันไปเอ่ยกับเยียนเซียวหราน “การทะเลาะเบาะแว้ง หากเจอคนที่มีเหตุผล ย่อมต้องพูดด้วยเหตุและผล”“หากเจอคนไม่มีเหตุผล ก็ไม่จำเป็นต้องพูดคุยด้วยเหตุผล เจ้าดูไว้ละ ต่อไปจะได้เอาไปใช้”เยียนเซียวหราน “...”หลังจากซือเจ๋อเยว่พูดจบแล้ว จึงหันไปเอ่ยกับจ้าวอวี่ชุน “เจ้ากำเริบเสิบสานเพียงนี้ เพราะเห็นว่าเสด็จพ่อของข้าตายแล้ว จึงคิดรังแกจวนเยียนอ๋องที่มีคนน้อยกว่า”“แต่ดวงวิญญาณท
“ไม่อย่างนั้นที่เจ้าเหยียดหยามเสด็จพ่อของข้า กลางดึกท่านอาจจะไปหาเจ้า ดีไม่ดีอาจพาเจ้าไปอยู่ด้วยก็ได้นะ”จ้าวอวี่ชุนตกใจจนคุกเข่าคำนับหน้าโลงศพเยียนอ๋องอย่างบ้าคลั่ง “ท่านอ๋อง ข้าผิดไปแล้ว!”“คำพูดเมื่อครู่ข้าพูดเหลวไหล การหมั้นหมายของซือหว่านกับคุณชายสามข้าเป็นคนเรียกร้องเอง!”“หลายปีมานี้ข้าอ้างชื่อของท่านในการหาผลประโยชน์ใส่ตัว!”“ต่อไปข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว ท่านเป็นคนใจกว้างมีเมตตา ปล่อยข้าไปเถอะนะ!”ทว่าเมื่อเขาเงยหน้าขึ้น เยียนอ๋องยังคงยืนอยู่ตรงหน้าเขา ใบหน้าขาวซีดวังเวงน่ากลัว ดูเหมือนจะน่ากลัวกว่าเมื่อครู่ทำให้จ้าวอวี่ชุนตกใจจนกรีดร้อง และถอยหลังไปอย่างทุลักทุเล เสื้อผ้าบนตัวเปื้อนฝุ่นมอมแมม ไม่เหลือภาพลักษณ์เมื่อครู่แม้แต่น้อยแต่ไม่ว่าเขาจะถอยอย่างไร เยียนอ๋องจะลอยอยู่ข้างกายเขาเสมอเขาใกล้บ้าแล้ว!ซือเจ๋อเยว่ถามเขา “เจ้ายังจะถอนหมั้นอยู่หรือไม่?”จ้าวอวี่ชุนส่ายหน้า “ไม่ถอนแล้ว ไม่ถอนแล้ว!”ซือเจ๋อเยว่มองเขา “ไม่ เจ้าต้องถอนหมั้น ให้ถอนหมั้นตามเงื่อนไขที่ข้าได้กล่าวไปเมื่อครู่”“ขอเพียงเจ้าทำได้ จวนเยียนอ๋องจะคืนเทียบชะตาของจ้าวซือหว่านให้เจ้า เพื่อถอนการหมั้นหมาย
ซูเซียงเอ่ยเสียงเรียบ “นางเรียกวิญญาณได้หรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ได้ยินว่านางดูดวงเก่ง ดูคนหนึ่งตายคนหนึ่ง ถ้าอย่างไรเจ้าลองดูหรือไม่?”ว่านหู้โหว “ไม่ต้อง”หลายวันมานี้จวนเยียนอ๋องกลายเป็นจุดสนใจในเมืองหลวง องค์หญิงแห่งอดีตฮ่องเต้อย่างซือเจ๋อเยว่แต่งเข้าจวนเยียนอ๋อง ยิ่งทำให้กลายเป็นที่สนใจสิ่งสำคัญคือเรื่องที่นางทำในหลายวันนี้ ช่างน่าตะลึงยิ่งนักซูเซียงและว่านหู้โหวจึงสงสัยในตัวนางไม่น้อยหนำซ้ำวันนี้นางไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง เวลาที่ควรลงมือ ไม่ใจอ่อนแม้แต่น้อยซูเซียงหันมองซือเจ๋อเยว่ที่รูปร่างบอบบาง ดวงตาล้ำลึกกว่าเดิม จากนั้นถอนหายใจไม่ว่าใครก็ดูออกว่าต่อไปจวนเยียนอ๋องคงจะยากลำบากมากซือเจ๋อเยว่แต่งเข้าจวนก็ต้องเป็นหม้ายทันที หนทางข้างหน้าถูกำหนดไว้แล้วว่าจะยากเย็นมากซือเจ๋อเยว่รู้สึกว่ามีคนกำลังมองนาง จึงหันมองทางซูเซียง ซูเซียงจึงพยักหน้าให้นางเบา ๆนางเห็นเขาจริงใจเปิดเผย แม้โหงวเฮ้งมองดูเป็นคนมีความคิดลึกซึ้ง แต่กลับไม่ใช่คนนิสัยใจคอโหดเหี้ยมมองปราดเดียวนางก็รู้ว่าซูเซียงไม่ธรรมดานางจึงย่อตัวให้เขา ถือเป็นการทำความเคารพซูเซียงเห็นนางมีสัมมาคารวะ แววตาของเขาจึงมีค
เมื่อวานตอนคนของตระกูลจ้าวมาถอนหมั้นที่จวน นางรู้สึกโกรธเคืองอยู่บ้างแต่เมื่อมาถึงวันนี้ นางแทบอยากจะถอนหมั้นกับตระกูลจ้าวทันทีว่ากันตามระเบียบ เหล่าไท่จวินกับพระชายาเยียนอ๋องไปส่งศพไม่ได้เหล่าไท่จวินเดินไปตรงหน้าซือเจ๋อเยว่ “วันนี้โชคดีที่มีองค์หญิง”“พวกคนที่ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังคงไม่เลิกราง่าย ๆ องค์หญิงต้องระวังตัวให้มาก”ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า “ท่านย่าวางใจได้ ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร”เมื่อได้ฤกษ์แล้ว แม้เหล่าไท่จวินจะเป็นห่วง แต่ก็ไม่มีวิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่านี้อีกแล้วเยียนเซียวหรานและซือเจ๋อเยว่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปี ก็ต้องมารับภาระและแรงกดดันเช่นนี้ ช่างยากเย็นเหลือเกินนางหันมองแผ่นหลังบอบบางของซือเจ๋อเยว่ “องค์หญิงคือผู้มีพระคุณของจวนเยียนอ๋อง จวนเยียนอ๋องทำให้นางต้องลำบาก”เหล่าไท่จวินรู้สึกสงสารซือเจ๋อเยว่ นางเสียบิดาไปตั้งแต่เด็ก หนำซ้ำมารดายังใจร้ายกับนางมากตอนนี้จวนเยียนอ๋องก็ตกอยู่ในสภาพนี้ สิ่งที่เหล่าไท่จวินทำได้ คือดีกับนางให้มากซูเซียงเดินไปตรงหน้านาง “เหล่าไท่จวินโปรดทำใจ”เหล่าไท่จวินไอสองสามที แล้วเอ่ยเสียงเศร้า “แก่แล้ว ไร้ประโยชน์”เดือนที่แล้วซูเซี
ตลอดทาง เขากลับทำให้ตัวประหลาดนั่นไม่ต้องครุ่นคิดอีก วิ่งไล่ตามชื่อปาเลี่ยไปทันทีในระหว่างที่ซือเจ๋อเยว่กำลังพูด ตัวประหลาดก็ได้โจมตีชื่อปาเลี่ยหลายรอบแล้วชื่อปาเลี่ยในเวลานี้ได้สติกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์แล้ว กลัวว่าจะช่วยชีวิตเขาไม่ได้ เขาจำต้องคิดหาหนทางช่วยเหลือตัวเองศักยภาพของร่างกายเขาถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุด ไม่นึกเลยว่าเขาจะหลบการโจมตีนับครั้งไม่ถ้วนของตัวประหลาดได้อย่างหวุดหวิดเขาในเวลานี้พลางร้องอย่างสิ้นหวัง พลางหลบอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นเจ้าอ้วนที่คล่องแคล่วที่สุดในใต้หล้านี้ได้สำเร็จเมื่อซือเจ๋อเยว่มองเห็นท่าทางที่ตกอยู่ในอันตรายของเขา ทั้งรู้สึกว่าเขาน่าสงสาร แล้วก็อยากจะขำอีกด้วย เนื่องจากตอนที่เขาหลบ เรียกได้ว่าไม่ได้สนใจภาพลักษณ์เลยสักนิดนางกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ถึงแม้ในหนังสือจะไม่ได้บอกวิธีการที่สามารถสังหารตัวประหลาดประเภทนี้เอาไว้ สิ่งของบนโลกใบนี้อยากจะให้หายไปก็มีเพียงสองวิธี”“หนึ่งคือการโจมตีทางกายภาพ อีกอย่างก็คือการโจมตีแบบลี้ลับ”“ในเมื่อการโจมตีทางกายเมื่อครู่นี้ไม่ได้ผล เช่นนั้นก็ต้องลองการโจมตีแบบลี้ลับดูเสียหน่อย”ครั้งก่อนนางวาดยันต์สำรองเอาไว
ตอนนี้สิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าของพวกเขา ก็คือสัตว์ยักษ์สีแดงที่สูงประมาณหนึ่งจั้งตัวหนึ่งสัตว์ยักษ์ตัวนั้นมีดวงตาสีดำที่คล้ายกับระฆัง ไม่มีคิ้ว ไม่มีขนตาจมูกมีเพียงรูจมูกสองรู ปากไม่มีริมฝีปาก ปรากฏให้เห็นฟันแหลมคมเต็มปาก ภายใต้ฟันอันแหลมคม เวลานี้ยังมีของเหลวสีเหลืองไหลย้อยออกมาเพียงแค่พวกนี้ก็พอทนแล้ว ร่างกายของเขายังมีตุ่มสีแดงเต็มตัวตุ่มพวกนั้นห้อยอยู่บนร่างกายของสัตว์ยักษ์ ปกคลุมร่างกายของมันที่เดิมทีเต็มไปด้วยขนสีดำ มองดูน่าสะอิดสะเอียนเป็นอย่างยิ่ง ซือเจ๋อเยว่ที่คิดว่าตัวเองเป็นคนมีความรู้กว้างขวางมาโดยตลอด กลับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนขนาดนี้ชื่อปาเลี่ยร้องออกมาอย่างอดไม่ได้ “นี่มันตัวบ้าอะไรกันเนี่ย!”นี่เป็นคำถามที่เยี่ยมมากจริง ๆ ซือเจ๋อเยว่เองก็อยากรู้เช่นกันว่านี่มันคือตัวบ้าอะไรสัตว์ยักษ์ที่กำลังน้ำลายไหลตัวนั้นเดินมุ่งหน้าเข้ามาหาพวกเขา ทันทีที่มันเข้าใกล้ กลิ่นคาวกลุ่มนั้นก็รุนแรงขึ้นซือเจ๋อเยว่สะอิดสะเอียนจนอยากอ้วก!ตอนที่เยียนเซียวหรานมองเห็นสัตว์ยักษ์ตัวนั้น เสียงเตือนภายในใจของเขาก็ดังขึ้นอย่างบ้าคลั่งตอนที่สัตว์ยักษ์ตัวนั้นเดินเ
นางมีแววตาเปล่งประกายล้ำลึก “ช่างเป็นฝีมือที่สูงส่งยิ่งนัก!” เยียนเซียวหรานมองนาง นางจึงเอ่ยต่อ "ฟ้าคือหยาง ดินคือหยิน ยามหยินหยางกลับตาลปัตร สรรพสิ่งพลิกผัน กฎแห่งฟ้าดินถูกตัดขาด!" “แต่สิ่งใดที่หลอกลวงได้ชั่วคราว ย่อมไม่อาจปิดบังไปชั่วชีวิต!” “เหล่าดวงวิญญาณผู้ซื่อสัตย์แห่งสนามรบ ท่านทั้งหลายที่คืนสู่แผ่นดิน ณ ที่แห่งนี้ โปรดร่วมมือกับข้ากำจัดภาพลวงที่ปกคลุมโลกใบนี้ จงสลายม่านมายา! ทำลายมันเสีย!” นางฟาดฝ่ามือลงกับพื้นดิน สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสี่ทิศ เสียงแตกร้าวดังมาจากรอบทิศ ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น พื้นดินสีดำสนิทรอบตัวก็พลันหายไป อาการหายใจที่ยากลำบากบัดนี้กลับมาเป็นปกติ ต้นไม้ที่เคยหายไปปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทว่ามันกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายและความเสื่อมสลาย ขุนเขาเช่นนี้ หาได้มีภาพของทัศนียภาพอันงดงามเหนือจินตนาการอย่างที่ชื่อปาเลี่ยที่เคยบอกเอาไว้ไม่ แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้ากลับเป็นดินแดนรกร้างที่ไร้ซึ่งชีวิต! เกรงว่าภาพที่เยียนอ๋องเห็นในอดีตก็คงจะเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น เพียงแค่นางยังไม่เข้าใจเหตุผล ผู้ที่วางค่ายกลนี้ เหตุใดจึงต้องสร้างภาพลวงเช่น
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่อากาศโดยรอบเริ่มบางเบาจนผิดปกติ พวกเขาเพียงแค่เดินตามปกติ แต่กลับรู้สึกหายใจติดขัด ชื่อปาเลี่ยอ้าปากหอบหายใจ พลางเอ่ยด้วยความตระหนก “นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดข้าหายใจไม่ออก?” ซือเจ๋อเยว่เอ่ยเสียงเบา “เราก้าวเข้าสู่ค่ายกลของผู้อื่นแล้ว” ชื่อปาเลี่ยเอ่ยด้วยความสงสัย “แต่เมื่อครู่ยามที่เข้ามา ท่านได้ทำลายค่ายกลไปแล้วไม่ใช่หรือ?” ซือเจ๋อเยว่ตอบไป “นี่คือค่ายกลซ้อนค่ายกล ผู้วางค่ายกลนี้ร้ายกาจอย่างยิ่ง ฝีมือในด้านค่ายกลไม่ได้ด้อยกว่าข้าเลย” “แม้แต่ยามที่ก้าวเข้ามาครั้งแรก ข้าเองก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติ” “ในเมื่อเราตกเข้ามาแล้ว ยามนี้สิ่งที่ต้องทำคือหาทางทำลายค่ายกลนี้” ชื่อปาเลี่ยรีบถาม “ทำอย่างไรจึงจะทำลายได้?” ซือเจ๋อเยว่กวาดตามองโดยรอบแล้วเอ่ยขึ้น “หากต้องการทำลายต้องหาแกนกลางค่ายกลให้พบ ขอเพียงหามันเจอ การทำลายค่ายกลนี้ก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างยิ่ง” “ส่วนเรื่องที่ว่ามันอยู่ที่ใด ยามนี้ข้าเองก็ยังไม่แน่ชัด เราต้องหาต่อไป” ยิ่งพวกเขาก้าวไปข้างหน้าเท่าใด ก็ยิ่งรู้สึกว่าการหายใจยากลำบากเท่านั้น พื้นดินรอบตัวกลายเป็นสีดำไหม้ ฟ้า
ราชครูมองเห็นโชคชะตาของจวนหนิงกั๋วกงกระจัดกระจาย ก่อนที่มันจะรวมตัวขึ้นอีกครั้ง คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เขายกนิ้วขึ้นคำนวณบางสิ่ง แต่เมื่อได้ผลลัพธ์ เขากลับแย้มยกริมฝีปากแล้วเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “นี่มันตัวอันใด!” เด็กรับใช้สำนักเต๋าชุดเขียวที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายเอ่ยถาม “ท่านราชครู เป็นอันใดไปหรือขอรับ?” ทว่าราชครูกลับตอบไม่ตรงคำถาม “ทุกสิ่งในโลกนี้ ล้วนมีเหตุและผลของมัน” “มีบางเรื่องที่ข้าสามารถแทรกแซงได้ แต่บางเรื่องต้องปล่อยให้นางเป็นผู้จัดการเอง” “นางคนนั้นมีชะตาชีวิตที่แตกต่างจากผู้อื่น เมื่อยามทุกข์ก็ทุกข์อย่างแท้จริง” “แม้ข้าจะสงสารนางเพียงใด แต่เรื่องบางเรื่องก็มีแต่นางที่ต้องเผชิญด้วยตนเอง” เด็กรับใช้สำนักเต๋าชุดเขียวเอ่ยถาม “ท่านกำลังเอ่ยถึงชะตากรรมใดกัน? หรือว่าท่านกำลังเป็นห่วงศิษย์พี่หญิง?” ราชครูหยิบไม้ขนไก่ข้างตัวขึ้นมาแล้วหวดลงไปที่หลังของเด็กรับใช้สำนักเต๋าชุดเขียวทันที “ผู้ใดสนใจนางกัน?!” “ชะตาชีวิตของนางเป็นชะตาที่ต้องตาย แม้แต่มหาเทพเซียนมาเองก็ไม่อาจช่วยนางได้!” “ตลอดหลายปีมานี้ เป็นเพราะนาง ข้าแก่ขึ้นไปตั้งเท่าใด ข้าจะไปสนใจนางเ
ดังที่ซือเจ๋อเยว่คาดการณ์ไว้ อดีตหนิงกั๋วกงพลันกระอักเลือดออกมา เขาเอ่ยขึ้นมาอย่างเคียดแค้น “ซือเจ๋อเยว่!” ตลอดหลายวันผ่านมานี้ เขาทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อรักษาโชคชะตาของจวนหนิงกั๋วกง สมบัติวิเศษล้ำค่าที่เขาเสาะหามานานหลายปีล้วนถูกใช้ไปจนหมดสิ้น จึงจะประคับประคองไว้ได้อย่างยากลำบาก ครั้งก่อนที่ไป๋จื้อเซียนบุกเข้าไปยังห้องลับ และกลืนกินดวงวิญญาณของบรรพบุรุษคนสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ ก็ทำให้อดีตหนิงกั๋วกงเริ่มรู้สึกถึงความสั่นคลอนของพลัง แม้เวลานั้นสถานการณ์จะอันตราย แต่ค่ายกลใหญ่แห่งชายแดนยังไม่ถูกทำลายโดยสมบูรณ์ หากสามารถจัดการพลังที่หลงเหลือได้อย่างเหมาะสม ก็ยังสามารถต่อเวลาของโชคชะตาในจวนหนิงกั๋วกงออกไปได้อีกระยะหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เมื่อรู้ว่าซือเจ๋อเยว่และเยียนเซียวหรานออกจากเมืองหลวง เขาจึงเร่งวางแผนเพื่อกำจัดพวกเขาให้สิ้นซาก เดิมทีเขาคิดว่าหากสามารถสกัดซือเจ๋อเยว่และเยียนเซียวหรานเอาไว้ที่ด่านอวิ๋นหลิ่งได้ ทุกอย่างก็จะไม่มีปัญหา ทว่าเมื่อครู่ เขาได้รับสารลับจากนกพิราบส่งข่าวจากด่านอวิ๋นหลิ่ง ข้อความในจดหมายบอกเอาไว้ว่าที่ด่านอวิ๋นหลิ่งนั้น เกิดหิมะตกหนัก
ดังนั้น เขาจึงเปลี่ยนจากบุรุษผู้ซื่อสัตย์ กลายเป็นคนหยาบกระด้างและไม่สนใจเหตุผลใด ๆ อีกต่อไป เขาชินเสียแล้วกับสายตาของผู้คนที่มองเขาปานสิ่งสกปรก เขาใช้ชีวิตอย่างเมามายไร้จุดหมายไปวัน ๆ แต่เมื่อวาน ยามที่ไป๋จื้อเซียนคิดจะสังหารเขา ซือเจ๋อเยว่กลับทุ่มเทสุดกำลังเพื่อช่วยชีวิตเขา ยิ่งไปกว่านั้นแววตาที่นางใช้มองเขา ก็หาได้แตกต่างไปจากการมองคนอื่นไม่ ไม่มีแม้เพียงเศษเสี้ยวของความดูแคลน เขาจึงรู้สึกว่าสตรีในโลกนี้ ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเช่นมารดาหรือสตรีที่เขาเคยหมายปองในอดีต เขากระแอมเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “คุณชายสาม หลังจากเรื่องนี้จบแล้ว ท่านพอจะพาข้าไปเมืองหลวงได้หรือไม่?” เยียนเซียวหรานรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “เจ้าคิดจะไปเมืองหลวง?” ชื่อปาเลี่ยตอบไป “ใช่ขอรับ ข้าไม่อยากอยู่ที่ชายแดนอีกต่อไปแล้ว ที่นี่ทุกคนล้วนรู้เรื่องของข้า หากข้าไม่เลือกเป็นอันธพาลก็ต้องเป็นเพียงคนไร้ค่า” “แต่ข้าไม่อยากเป็นอันธพาลและไม่อยากเป็นคนไร้ค่า ข้าเพียงแค่อยากเป็นคนธรรมดา” “ข้าต้องการพึ่งพาความสามารถของตนเอง มีชีวิตที่ดี และแต่งงานกับสตรีดี ๆ สักคน เพื่อใช้ชีวิตอย่างปกติสุข” เยียนเซียวหรานเอ่ย
คำพูดประโยคนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบรับอย่างไรเพียงแต่เขายังจับใจความสำคัญได้อย่างหนึ่ง “วันแต่งงานวันนั้นท่านก็อยากจะลูบคลำข้าแล้ว?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวแก้ไข “ไม่ใช่ว่าอยากลูบคลำเจ้า เพียงแค่คิดว่าขาของเจ้าทั้งยาวทั้งตรง น่าดูจริง ๆ จึงอยากจะลูบสักครั้ง”เยียนเซียวหราน “...เขาคิดว่านางเป็นคนที่มีความสามารถ ไม่คิดเลยว่าจะมีความคิดแบบนี้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วซือเจ๋อเยว่กล่าวอีกครั้ง “ตอนหลังจำเจ้าได้ กลัวว่าเจ้าจะเอามีดฟันข้า ต่อให้ในใจมีความคิดมากกว่านี้ ก็ทำได้เพียงข่มเอาไว้เท่านั้น”เยียนเซียวหรานกล่าวอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ท่านทำเรื่องแบบนั้นออกมาแล้ว ไม่คิดเลยว่ายังจะกลัวข้าลงมืออีก”“ต่อให้ข้าลงมือ ก็ทำอะไรท่านไม่ได้หรอกกระมัง? เรื่องแบบนั้นอย่างไรเสียก็น่าอาย ข้าไม่สามารถบอกใครได้ ก็เหลือแค่อดทนไว้เท่านั้น”ซือเจ๋อเยว่เม้มริมฝีปากยิ้มบาง ๆ ทีหนึ่ง “พูดถูกต้อง แต่หลังจากเกิดเรื่องครั้งนั้นขึ้นเจ้าก็ดุจริง ๆ นี่นา!”เยียนเซียวหรานค้อนนางทีหนึ่ง “หากมีคนฉวยโอกาสตอนท่านไม่ระวังตัว ทำเรื่องแบบนั้นกับท่าน ท่านจะไม่โมโหหรือ?”ซือเจ๋อเยว่หดคอ “โมโหนั่นเป็นเรื่องแน่อยู่แล้ว ข้า...
“สิ่งชั่วร้ายนั่นไม่มายังพอไหว ทันทีที่มาก็จะเอาชีวิตของพวกมันเสีย”นางมีความมั่นใจต่อค่ายกลที่ตนเองวาดมาก โดยเฉพาะในเวลานี้ พวกเขายิ่งต้องเก็บสะสมพลังงานเอาไว้เยียนเซียวหรานพยักหน้าเบา ๆ ทีหนึ่ง นอนลงไปแล้วกอดนางเอาไว้ในอ้อมกอดหลวม ๆนางเงยหน้าขึ้นหันหน้ามองเขา เขากล่าวเสียงอ่อนโยน “ท่านนอนให้สบายเถอะ รักษาสุขภาพให้ดีขึ้น เรื่องพวกนี้ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ต่างก็ต้องพึ่งพาท่าน”นับตั้งแต่เขาสารภาพรักกับนางครั้งก่อน ตอนที่ซือเจ๋อเยว่อยู่ตามลำพังกับเขาก็มักจะมีความไม่สบายใจเกิดขึ้นบัดนี้นางคิดว่าเขาได้ช่วยชีวิตนางมาหลายครั้งแล้ว ทั้งสองคนเคยมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยามาก่อนเช่นกัน หากนางเขินอายจนเกินไปก็จะยากที่จะพูดนางคิดว่าไม่สู้ถือโอกาสในคืนนี้คุยเรื่องนี้ให้ชัดเจนไปเลยนางจึงกล่าว “คือว่า...ชีวิตของข้าในตอนนี้ผูกไว้กับเจ้า หากพูดว่าชอบเจ้าในเวลานี้ เหมือนว่ากำลังพยายามประจบเอาใจเจ้า”“ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยชอบใครมาก่อน ไม่รู้ว่าการชอบเป็นความรู้สึกแบบใด”“แต่ว่ามีข้อหนึ่งที่ข้าสามารถแน่ใจได้ ข้าไม่ได้รังเกียจที่ใกล้ชิดกับเจ้า บางทีนี่อาจจะเป็นความชอบก็ได้”“สุขภาพของข้าเป็