ค่ำคืนนี้ ซือเจ๋อเยว่มาตามที่คาดไว้!เขามองเยียนเซียวหรานด้วยสายตาเย็นยะเยือก หันหน้ากลับไปมองค่ายกลที่ได้กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วแวบหนึ่ง ยิ้มอย่างชั่วร้ายเขาเฝ้าอยู่ที่ เป็นเพราะกลิ่นอายจากตัวของซือเจ๋อเยว่กับค่ายกลนั่นค่อนข้างคล้ายคลึงกับกลิ่นอายที่เคลื่อนตัวอยู่บนร่างกายหของอวิ๋นเยว่หยางครั้งก่อนที่เขาเจอกับเยียนเซียวหรานแบบรีบร้อนเกินไปหน่อย ประกอบกับซือเจ๋อเยว่ก็อยู่ตรงนั้นด้วย ดังนั้นเขาจำไม่ได้ในทันทีว่ากลิ่นอายบนตัวของอวิ๋นเยว่หยางคือกลิ่นอายของเยียนเซียวหรานในเวลานี้ทันทีที่ค่ายกลถูกทำลาย กลิ่นอายพวกนั้นก็ไหลย้อนกลับ เขาจึงสัมผัสได้อย่างชัดเจนความรู้สึกแบบนี้ทำให้ไป๋จื้อเซียนค่อนข้างเกิดความสนใจเป็นเพราะเขารู้ว่า เป็นการยากที่คนคนหนึ่งจะมีกลิ่นอายของคนอื่นติดอยู่อย่างแท้จริง แม้ว่าจะเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทุกวันก็เป็นไปไม่ได้หากติดแล้ว นั่นก็แสดงว่าโชคชะตาของทั้งสองคนรวมเข้าด้วยกันแล้วไป๋จื้อเซียนมองเยียนเซียวหราน กล่าว “น่าสนุก”เขาหันหน้าไปมองซือเจ๋อเยว่อีกครั้ง “นักพรตหญิงน้อย เจ้าหมอนี่ดีกับเจ้าเหลือเกินนี่ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีชะตาชีวิตร่วมกันกับเจ้า”เ
พวกเขาร่วมมือกันอยากจะจับตัวไป๋จื้อเซียนเอาไว้เป็นเรื่องที่ยากเย็นยิ่งเรื่องหนึ่งเขารู้ว่าในเวลานี้ไม่มีเวลาห่วงหน้าพะวงหลังอีกแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะนาง นางก็ต้องเป็นคนจบเรื่องนางพูดกับเยียนเซียวหรานเบา ๆ “เจ้าถ่วงเวลาเขาไว้สักสิบวินาที”เยียนเซียวหรานพยักหน้า มือของซือเจ๋อเยว่ร่ายคาถาอย่างรวดเร็วไป๋จื้อเซียนเห็นสัญลักษณ์มือของนาง ก็แค่นเสียงหัวเราะ “เจ้าคิดว่าเจ้ายังจะจับตัวข้าเอาไว้อีกอย่างนั้นหรือ?”เขาพูดจบก็พุ่งตัวเข้ามาหานาง พุ่งตรงเข้ามาควักหัวใจของนางกระบี่ไม้ท้อในมือของเยียนเซียวหรานพันเข้าใส่ไป๋จื้อเซียนทันทีทั้งสองอย่างปะทะกัน ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไป๋จื้อเซียนหัวเราะเบา ๆ “ฮ่า น่าสนุก! แต่วันนี้ ที่ตรงนี้เป็นถิ่นของข้า ข้าเป็นใหญ่!”เส้นผมสีดำของเขาแผ่สยาย ผ้าต่วนสีแดงบนร่างกายพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าใส่เยียนเซียวหรานที่แฝงไปด้วยเจตนาสังหารต่อให้วิชากระบี่ของเยียนเซียวหรานจะดีแค่ไหน กระบี่ไม้ท้อไม่ใช่อาวุธแหลมที่สามารถตัดโลหะหรือหยกได้ จึงถูกพันธนาการเอาไว้ทันทีเขารีบชักกระบี่ติดตัวของตนเองที่อยู่บริเวณเอวของตนเองออกมา ฟันเข้าใส่เส้นผมสี
ครู่ต่อมา ซือเจ๋อเยว่หยิบอาวุธเวทย์อีกชิ้นหนึ่งออกมา เพียงแต่นางยังไม่ทันเข้าไปหา ก็ถูกเส้นผมสีดำของเขากวาดลอยกระเด็นออกไปเยียนเซียวหรานอยากจะเข้ามาช่วย แต่กลับถูกผ้าต่วนสีแดงรัดลำคอเอาไว้เขากล่าวอย่างยากลำบาก “องค์หญิง!”ซือเจ๋อเยว่ล้มลงบนพื้นกระอักเลือดออกมา ไป๋จื้อเซียนไม่ได้เขยิบเข้าไปใกล้ตรงหน้าของนางพอดีเลือดพ่นใส่มือของไป๋จื้อเซียน มือของเขาเป็นรูทันทีเขาค่อนข้างประหลาดใจ “นักพรตหญิงน้อย ร่างกายของเจ้ามีความพิเศษนี่นา!”ปากเขาพูดไป มือกลับบีบลำคอของนางเอาไว้ “กินตบะของเจ้า จะต้องบำรุงมากแน่!”ร่างกายของซือเจ๋อเยว่ เป็นวิญญาณมาหนึ่งพันปี เป็นครั้งแรกที่ได้เจอร่างกายอย่างนางเขาเคยเห็นในหนังสือเล่มหนึ่ง หากได้กินวิญญาณของนาง เท่ากับเป็นการบำเพ็ญตบะห้าร้อยปีถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะเคยประมือกับนางมาก่อน แต่ครั้งก่อนนางไม่ถึงขั้นเลือดตกยางออก เขาไม่รู้ว่านางจะมีร่างกายที่พิเศษเช่นนี้บัดนี้ค้นพบแล้ว ดวงตาของเขาเปล่งประกายทันทีเพียงแต่คนที่มีร่างกายเช่นนาง เนื่องจากร่างกายพิเศษมากเกินไป ดังนั้นอยากจะกลืนกินนางก็ไม่ใช่เรื่องง่ายซือเจ๋อเยว่ใช้มือปาดเลือดที่มุมปาก ยื่นมื
ตอนที่ไป๋จื้อเซียนมองเห็นยันต์พวกนั้นก็หรี่ตาลงทันที เมื่อตระหนักได้ว่าทรงพลัง ก็โยกหลบอย่างรวดเร็วซือเจ๋อเยว่ฉวยโอกาสยื่นนิ้วออกไป ยันต์พวกนั้นก็ไล่ตามไป๋จื้อเซียนไป ร่างกายของเขามียันต์ห้าอัสนีบาตแผ่นหนึ่งแปะอยู่เขาด่าทอด้วยคำหยาบคาย มองไปทางด้านนอกห้องแวบหนึ่ง รู้ว่าหากวันนี้ไม่หนีไป เกรงว่าจะต้องตายอยู่ที่นี่จริง ๆ จึงวิ่งออกไปด้วยความรวดเร็วตอนที่เขาวิ่งหนี เมฆฝนก่อตัวขึ้น ไล่ตามเขาภายในชั่วพริบตา ทั่วทั้งเรือนเต็มไปด้วยเสียงฟ้าร้อง ผู้ดูแลพาท่านหมอเดินเข้ามาพอดี ทันทีที่เห็นฉากนี้ ก็ตกใจจนลูกตาเกือบถลนออกมาถึงแม้เขาจะมองไม่เห็นไป๋จื้อเซียน แต่เขามองเห็นสายฟ้าบนท้องฟ้า เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสายฟ้าหน้าตาแบบนี้ทันทีที่ไป๋จื้อเซียนวิ่งหนี ห้องก็กลับคืนสู่สภาพปกติ ตะเกียงน้ำมันที่มุมห้องยังคงสว่างอยู่ซือเจ๋อเยว่ล้มลงบนพื้น ทันทีที่หันหน้าไปมอง ก็เห็นว่าคนที่ฟันกระบี่ใส่ไป๋จื้อเซียนก็คือเยียนเหนียนเหนียนนางรู้สึกผิดปกติ ต่อให้นางแปะยันต์แผ่นหนึ่งบนกระบี่ของเยียนเหนียนเหนียน กระบี่เล่มนั้นของนางร้ายกาจกว่ากระบี่ทั่วไปเล็กน้อย ก็ไม่มีทางทำลายอาณาเขตที่ไป๋จื้อเซียนวางเอาเม
เยียนเซียวหรานหลุบตาลง “ท่านย่าสั่งสอนได้ถูกต้อง ครั้งนี้เป็นข้าที่ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ตอนนี้องค์หญิงฟื้นแล้ว ท่านย่าลงโทษข้าเถิดขอรับ”เหล่าไท่จวินพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ท่านย่า เรื่องนี้โทษน้องสามไม่ได้จริง ๆ หากจะโทษก็ต้องโทษที่ตอนนั้นสถานการณ์พิเศษ”“ข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะเจอเข้ากับไป๋จื้อเซียนที่นั่น หากไม่ใช่เพราะน้องสามปกป้องข้าจนสุดชีวิตละก็ ข้าก็คงตายไปแล้ว”“ดังนั้นท่านย่าอย่าได้ลงโทษน้องสามเลย เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเช่นกัน”เหล่าไท่จวินถอนหายใจ “องค์หญิงไม่ต้องร้องขอความเมตตาแทนเขา เขาเป็นบุรุษ เดิมทีก็ควรปกป้องญาติผู้หญิงในครอบครัวอยู่แล้ว”ซือเจ๋อเยว่หันหน้าไปมองเยียนเซียวหราน เขายืนหน้านิ่งยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นนางมองมา ก็สบตากับนางแวบหนึ่ง แล้วก็เก็บสายตาคืนกลับมาซือเจ๋อเยว่รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “วันนั้นข้าเห็นเหนียนเหนียนหมดสติไปเช่นกัน เหนียนเหนียนไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”เยียนเหนียนเหนียนโผล่หน้าออกมาจากทางด้านหลังของเหล่าไท่จวิน “ข้าไม่เป็นไร แค่หมดสติเป็นครู่เดียวเท่านั้น ในไม่ช้าก็หายดีแล้ว”“ร่างกายของข้าแข็งแรง องค์หญิ
เขานึกถึงภาพในช่วงหลายวันที่ผ่านมายามนางนอนอยู่บนเตียงโดยไม่มีวี่แววของลมหายใจใด ๆ หัวใจเขาเจ็บปวดราวกับถูกบีบคั้นจนแทบทนไม่ได้ ถึงแม้เขาจะรู้อยู่เสมอว่าสภาพร่างกายของนางไม่แข็งแรง แต่ทุกครั้งที่เขาได้พบนาง นางกลับมีรอยยิ้มเปี่ยมล้นบนใบหน้า ร่างกายของนางดูเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เขาไม่เคยคิดว่านางเป็นคนที่กำลังจะสิ้นลม และไม่เคยคิดว่าสภาพร่างกายของนางจะแย่ถึงเพียงนี้ แต่เหตุการณ์ครั้งนี้กลับเตือนเขา ว่านางบอบบางยิ่งกว่าที่เขาเคยคาดคิดไว้มากนัก เขาเอ่ยเสียงเบา “เรื่องนี้ข้าจัดการเองได้ องค์หญิงพักรักษาตัวอยู่ที่เรือนให้ดีเถอะ”ซือเจ๋อเยว่หัวเราะเสียงเบา “สภาพร่างกายของข้า ผู้อื่นอาจไม่รู้ แต่เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไร?” “เมื่อมีเจ้าอยู่ข้างกาย ข้าอาจอยู่ได้นานขึ้นอีกสักหน่อย แต่หากเจ้าไม่อยู่ ข้าก็จะตายเร็วขึ้นกว่าเดิม” เยียนเซียวหรานขมวดคิ้วแน่น บัดนี้เขาไม่อยากได้ยินคำว่า ‘ตาย’ อีกแล้ว ซือเจ๋อเยว่นั่งลงข้างเขา ใช้มือทั้งสองประคองคางของตนเองไว้พลางเอ่ยขึ้น “อีกอย่าง ไป๋จื้อเซียนนั่นเป็นข้าที่ปล่อยออกมาเอง” “เรื่องครั้งนี้จะไปโทษเจ้าไม่ได้หรอก หากจะโทษก็ต้องโทษข้า” “
แท้จริงแล้วราชครูมีการไปมาหาสู่กับเยียนอ๋อง ในเมืองหลวงเขาแทบไม่มีสหายที่ใด เยียนอ๋องกลับเป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว ครั้งล่าสุดก่อนที่เยียนอ๋องจะออกศึก ราชครูเคยมาพบเยียนอ๋องครั้งหนึ่ง ส่วนพวกเขาหารือเรื่องใดกันนั้น เยียนเซียวหรานไม่อาจรู้ได้ เพียงแค่ได้ยินเสียงทั้งสองทะเลาะกันในห้องหนังสือ หลังจากจวนเยียนอ๋องเกิดเรื่อง ราชครูก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย ในค่ำคืนนั้นเมื่อเยียนเซียวหรานพบราชครูที่เรือนพักในจวนหนิงกั๋วกง เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกในความทรงจำของเยียนเซียวหราน ที่ราชครูยอมเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ ปกติเมื่อเขาอยู่ในเมืองหลวง ก็มักจะพำนักอยู่ในหอพยากรณ์ดวงดาว ไม่ว่าจะมีเรื่องใดที่ไม่สำคัญจริง เขาจะไม่มีทางออกมา ซือเจ๋อเยว่เอ่ยด้วยความกังวล “แต่ไป๋จื้อเซียนนั้นเป็นภัยใหญ่ ทั้งยังเติบโตอย่างรวดเร็วอีกด้วย” “เกรงว่าไม่นานเกินรอเขาจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอีก ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นก็จะยิ่งจัดการยากขึ้น” “ไม่ว่าราชครูจะยินยอมพบข้าหรือไม่ ข้าคงต้องหาวิธีพบเขาให้ได้” เยียนเซียวหรานพยักหน้า “ก็ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปกับท่าน” ซือเจ๋อเยว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่มีความจำเป็นต้องถามอีกต่อไป นางลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็ต้องขอบคุณเจ้า” ครั้งนี้เยียนเซียวหรานไม่ได้หันกลับมามองนางอีก และนางก็ไม่ได้รั้งเขาไว้ นางหมุนตัวแล้วเดินจากไป เยียนเซียวหรานมองเปลวเทียนที่ลุกไหวอยู่ในศาลบรรพชน ก่อนจะถอนหายใจเสียงยาว เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมาที่ห้อง นางครุ่นคิดถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเยียนเซียวหรานในปีนี้ นางคิดหลายตลบก็ยังไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด ในสถานการณ์เช่นนี้ คำอธิบายเดียวที่ดูคล้ายจะสมเหตุสมผล คืออาจเป็นเพราะลุงเขยของเยียนเซียวหรานมาเยือน จึงทำให้เขาอารมณ์แปรปรวนเช่นนี้ นางยักไหล่เล็กน้อย ไม่ใส่ใจจะคิดต่อ และหันไปวางแผนว่าหากได้พบกับราชครูในวันรุ่งขึ้น นางจะเกลี้ยกล่อมให้เขาช่วยจัดการไป๋จื้อเซียนได้อย่างไร เช้าวันรุ่งขึ้น เยียนเซียวหรานมาตามที่นัดไว้ เขาพานางไปยังหอพยากรณ์ดวงดาวเพื่อพบกับราชครู แม้จะเรียกว่าหอ แต่ที่แท้แล้วคือกลุ่มอาคารขนาดใหญ่ เป็นสถานที่ที่อดีตฮ่องเต้สร้างขึ้นเพื่อราชครู ตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดในเมืองหลวง ซึ่งที่แห่งนั้น ก็สามารถเฝ้าดูดวงดาวและทำนา
เหล่าไท่จวินในเวลานี้ก็ไม่สะดวกจะออกจากจวนไปซื้ออีก จึงให้คนนำรูปปั้นวีรบุรุษเต๋านี้ย้ายไปไว้ที่ห้องข้าง ๆ ถวายธูปเทียนและเครื่องเซ่นไหว้หลากชนิดบรรดาสตรีที่อยู่ในจวนอ๋องก็มากราบไหว้มรรคาจารย์เต๋าด้วยกัน เพื่อขอพรให้มรรคาจารย์เต๋าปกป้องซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานซือเจ๋อเยว่ไม่รู้ว่านางเพียงคนเดียวทำให้ทุกคนในจวนอ๋องนับถือลัทธิเต๋า ไม่นับถือพระพุทธศาสนาอีกต่อไป นางและรถม้าของเหยียนเซียวหรานในเวลานี้ได้ออกจากเมืองหลวงไปแล้วตอนที่พวกเขาขับออกนอกเมืองหลวง ไป๋จื้อเซียนที่กำลังมุดหัวดูดกลืนพลังชั่วร้ายอยู่อย่างบ้าคลั่งก็ลืมตาขึ้นเขาบำเพ็ญเพียรมาพันปี ถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่วิญญาณยังคงแข็งแกร่งตามเดิมความแค้นของเขาที่มีต่อซือเจ๋อเยว่ ได้ฝังลึกเข้าไปในส่วนลึกของวิญญาณเขาแล้วเขาค่อนข้างอ่อนไหวต่อการเคลื่อนไหวของนางเป็นอย่างยิ่ง ทันทีที่นางออกจากเมืองหลวง เขาก็รู้ได้ทันทีภายในดวงตาที่อ่อนโยนเป็นอย่างยิ่งคู่นั้นก็ปรากฏความเย็นยะเยือกออกมา “คิดจะหนีรึ? ไม่ง่ายแบบนี้หรอก!”เหวยอิ้งหวนในเวลานี้ได้มาถึงศาลต้าหลี่แล้ว ตอนที่เขากำลังตรวจหนังสือราชการก็เหมือนกับสัมผัสอะไรบางอย่างไ
“ท่านย่าไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ” ซือเจ๋อเยว่อิงเข้าไปในอ้อมอกของนางด้วยความออดอ้อน “ข้ารู้ดีอยู่แก่ใจ ไม่มีทางให้ตัวเองเป็นอะไรไปหรอกเจ้าค่ะ”“อีกอย่าง ครั้งนี้มีน้องสามไปกับข้าด้วย เขาจะปกป้องข้าเป็นอย่างดี”เหล่าไท่จวินถอนหายใจออกมายาว ๆ ทีหนึ่งพร้อมกล่าว “หากเจ้าจะไปจริง ๆ ข้าก็ขวางเจ้าไม่ได้ มีดเล่มนี้เจ้าพกเอาไว้ป้องกันตัวเถอะ”นางพูดจบก็บิดไม้เท้า แล้วชักมีดสั้นเรียวยาวเล่มหนึ่งออกมาจากด้านในไม้เท้าด้านบนมีดมีตัวหนังสือหลายตัวสลักอยู่ ใบมีดที่เงาวับเย็นยะเยือกคุกรุ่นไปด้วยแรงอาฆาตอันรุนแรงที่ไม่สลายหายไปซือเจ๋อเยว่ค่อนข้างประหลาดใจ “จิงหง? นี่คือมีดจิงหงหรือเจ้าคะ?”เหล่าไท่จวินประหลาดใจเช่นกัน “เจ้ารู้จักมีดเล่มนี้หรือ?”ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า “ข้าเคยได้ยินอาจารย์ห้าพูด มีดจิงหงเป็นมีดโบราณเล่มแรก สามารถสังหารสิ่งชั่วร้ายได้ทุกอย่าง”เหล่าไท่จวินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “มีดเล่มนี้สามารถสังหารสิ่งชั่วร้ายได้หรือไม่ข้าไม่รู้ นี่คือสิ่งป้องกันตัวที่ท่านอ๋องผู้เฒ่ามอบให้ข้าไว้ในตอนนั้น”“มีดเล่มนี้อยู่กับข้ามานานหลายปีแล้ว ช่วยชีวิตข้าเอาไว้หลายหน”อันที่จริงมีดเล่มนี้เป็นสิ่งของที่
เยียนเซียวหรานหันหน้ามองนาง นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้พวกเราตัดสินใจกันว่าจะไปที่ช่องเขากรงเสือไม่ใช่หรือ?”“ก่อนหน้าเป็นเพราะมีเรื่องมากมายรัดตัว จึงไม่มีโอกาสได้ไปเสียที”“แม้ว่าตอนนี้ก็ยังคงมีเรื่องมากมายรัดตัว แต่พวกเราก็คงไม่สามารถจัดการเรื่องราวในมือจนหมดเสียก่อนแล้วค่อยไปนี่”“สมุดบัญชีเล่มนั้นที่ใต้เท้าเหวยนำมาส่ง ข้าคิดว่าพวกเรารอไม่ได้อีกแล้ว วันพรุ่งนี้เดินหน้าไปชายแดนทันที”เยียนเซียวหรานถามนาง “ท่านต้องจัดการเรื่องของไป๋จื้อเซียนก่อนไม่ใช่หรือ?”ดวงตาของซือเจ๋อเยว่ล้ำลึกขึ้นเล็กน้อย “เจ้าไม่เข้าใจไป๋จื้อเซียน ไม่รู้ว่าเขามีความแค้นมากขนาดไหน”“ครั้งนี้เขาเสียเปรียบกับพกวเรามาก จะต้องมาเพื่อแก้แค้นข้าอย่างแน่นอน”“ข้าอยู่ที่เมืองหลวง เขาก็จะลงมือที่เมืองหลวง ที่เมืองหลวงคนเยอะจนสามารถทำร้ายผู้บริสุทธิ์ได้อย่างง่ายดาย”“ข้าออกจากเมืองหลวง เขาก็จะตามไปด้วยอย่างแน่นอน ขอเพียงแค่ข้าเตรียมตัวดี ก็จะมีโอกาสฆ่าเขาให้สิ้นซากได้”ครั้งก่อนตอนที่นางเจอกับไป๋จื้อเซียนในเรือนของจวนหนิงกั๋วกง สัมผัสไม่ได้ถึงการมีอยู่ของไป๋จื้อเซียน คิดว่าเขาน่าจะใช้คาถาที่วางไว้ลบล้างยันต
“สถานการณ์แบบนี้มีความเป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรกคือตอนนั้นเยียนอ๋องอยู่ที่ภูเขาเชียนจั้งมีกองทหารตั้งอยู่ที่นั่น ดังนั้นจึงได้มีการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลเช่นนี้”“อีกอย่างหนึ่งคือขุนนางผู้ดูแลการขนส่งเสบียงอาหารมีปัญหา แต่ขุนนางท่านนั้นตายอยู่ที่ด่านอวิ๋นหลิ่งระหว่างทางกลับมาจากการขนส่งเสบียงอาหาร”การคาดเดาของเขามีเหตุผลมาก แต่ก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้นเขาหันหน้าไปหาซือเจ๋อเยว่กล่าว “ดังนั้นที่ข้าเชิญองค์หญิงมา เป็นเพราะอยากจะให้องค์หญิงอันเชิญอ๋องเยียนมาที่นี่ แล้วอยากจะถามเขาด้วยตนเอง”ซือเจ๋อเยว่ขมวดคิ้วแล้วมองเขากล่าว “ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าเคยพูดว่า คนตายไปแล้ว ปกติวิญญาณจะกลับไปยังยมโลกในวันที่ฝังศพ”“ตามขั้นตอนของยมโลกแล้ว ตอนนี้ท่านพ่อน่าจะกลับชาติมาเกิดใหม่แล้ว ไม่น่าจะมีความทรงจำในอดีตอีกแล้ว”เหวยอิ้งหวนเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยกล่าว “ที่แท้องค์หญิงก็ไม่ได้เป็นคนที่สามารถทำได้ทุกอย่างนี่!”“ข้ายังคิดว่าองค์หญิงจะสามารถทำให้คนเห็นวิญญาณได้ทุกเมื่อ เรื่องการเรียกวิญญาณออกมาก็ง่ายเสียยิ่งกว่าปอกกล้วย”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางมองออกแล้ว เจ้าหม้อนี่แค้นเรื่องที่ครั้งก่อนน
หลายวันมานี้อดีตหนิงกั๋วกงปวดหัวกับเรื่องค่ายกลเป็นอย่างมาก ไม่ง่ายเลยกว่าที่เรื่องราวจะนิ่ง เขาถึงได้เบาใจลงเล็กน้อยเพียงแต่เขาเบาใจลงได้ไม่ทันไร ก็รู้สึกว่าพลังชั่วร้ายภายในจวนหนิงกั๋วกงกำลังปั่นป่วนเขาเจ็บที่หัวใจขึ้นมา เกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นในใจ รีบมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ค่ายกลจัดวางอยู่เพียงแต่หลังจากที่เขาไปถึงที่นั่น ก็พบว่าบรรพบุรุษท่านนั้นของจวนหนิงกั๋วกงได้หายไปแล้ว ด้านในมีเพียงพลังชั่วร้ายที่รุนแรงเท่านั้นเมื่ออดีตหนิงกั๋วกงเห็นสถานการณ์แบบนี้ ก็รีบใช้อาวุธเวทย์เพื่อตามหาบรรพบุรุษท่านนั้นทันที แต่เหมือนกับว่าบรรพบุรุษท่านนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยเขากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”อันที่จริงในเวลานี้ไป๋จื้อเซียนยังอยู่ด้านใน เพียงแต่วิชาเต๋าของเขาสูงส่งมาก หากเขาไม่ยินยอม อดีตหนิงกั๋วกงก็มองไม่เห็นเขาเขาคร้านจะสนใจอดีตหนิงกั๋วกง ดูดกินพลังชั่วร้ายอันรุนแรงที่ไม่จางหายจากภายในอย่างบ้าคลั่งซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานในเวลานี้ได้กลับมาถึงจวนเยียนอ๋องแล้วตอนที่นางเดินมาถึงประตูชั้นรอง ก็รู้สึกว่าหัวใจเกิดความอึดอัดขึ้นมาเล็กน
หากเป็นเช่นนี้ หนิงกั๋วกงไม่มีทางปล่อยเขาไปอย่างเด็ดขาดเขาเบิกตาโตมองไป๋จื้อเซียนกล่าว “ขอเพียงท่านช่วยข้าสังหารพี่ใหญ่ได้ ช่วยให้ข้าได้เป็นซื่อจื่อแห่งจวนกั๋วกง ไม่ว่าท่านจะให้ข้าทำอะไรข้าก็ยอมทำทุกอย่าง!”ก่อนหน้านี้เขาคิดหาหนทางเพื่อขโมยดวงชะตาของเยียนเซียวหราน แต่ว่าก็เพื่อกดหัวของอวิ๋นเยว่ปิงเท่านั้นแต่ตอนนี้นักพรตจื่อหยางตายไปแล้ว ค่ายกลที่เขาจัดวางเอาไว้ก็ถูกทำลายไปแล้วเช่นกัน หลายวันมานี้อวิ๋นเยว่หยางรู้สึกเจ็บปวดที่บริเวณหน้าอกมากมาตลอด รู้สึกทรมานยิ่งนักหลายวันมานี้ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ไม่ราบรื่นเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่อยากจะใช้ชีวิตแบบนี้อีกแล้วไป๋จื้อเซียนยิ้มบาง ๆ “ข้าชอบคนนิสัยเช่นเจ้า เรื่องนี้ก็ตกลงกันตามนี้”อวิ๋นเยว่หยางไม่รู้ว่าทางเข้าของค่ายกลนั่นอยู่ที่ไหน หลายวันมานี้ไป๋จื้อเซียนได้ดูดซับพลังชั่วร้ายทุกวัน จึงรู้จักสถานที่แห่งนั้นเป็นอย่างดีตอนที่เขาพาอวิ๋นเยว่หยางไปที่นั่น จึงเป็นครั้งแรกที่อวิ๋นเยว่หยางได้รู้ว่ามีสถานที่แบบนั้นอยู่ภายในจวนหนิงกั๋วกงอีกด้วยไป๋จื้อเซียนให้อวิ๋นเยว่หยางนำกระจกสัมฤทธิ์อันหนึ่งที่แขวนอยู่ที่ประตูถอดลงมา เขาจึงหายตัวเข้าไปข้า
ก่อนหน้านี้อวิ๋นเยว่หยางคิดว่าวิธีการของนักพรตจื่อหยางโหดเหี้ยมและร้ายกาจมาก คาถาของสำนักเต๋าจะทำให้คนยากที่จะป้องกันแต่ในเวลานี้เขาเพิ่งได้รู้ว่า ความสามารถของนักพรตจื่อหยางเมื่อเทียบกับคนตรงหน้าแล้ว ช่างไม่เอาไหนเลยจริง ๆคนคนนี้กระหายเลือดอย่างขีดสุด พูดว่าจะฆ่าเขาก็หมายความว่าจะฆ่าเขาจริงๆ!เขารู้อยู่แก่ใจ หากในเวลานี้เขาไม่ยอมจำนน ก็มีเพียงความตายเท่านั้นเขาถูกรัดด้วยผ้าต่วนจนหายใจไม่ออก กล่าวอย่างยากลำบาก “ข้ายอมบูชาท่าน!”ไป๋จื้อเซียนเหลือบตาเล็กน้อย การกระทำที่เดิมทีดูยั่วยวนชวนหลงใหลนี้ เมื่อเขาทำขึ้นมา แม้จะสามารถสะกดจิตใจคนได้ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความอันตรายถึงขีดสุดไป๋จื้อเซียนดึงผ้าต่วนสีแดงกลับมา มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย อวิ๋นเยว่หยางนั่งอยู่บนพื้นไอออกมาอย่างรุนแรงไป๋จื้อเซียนค่อย ๆ ลอยไปที่ตรงหน้าของอวิ๋นเยว่หยาง กล่าวว่า “เจ้ายอมแบบนี้เสียตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดจะต้องทำให้ยุ่งยากด้วย?”อวิ๋นเยว่หยางรีบกล่าว “ท่านชี้แนะได้ถูกต้อง”ไป๋จื้อเซียนกล่าวเสียงราบเรียบ “ในเมื่อเจ้าจะบูชาข้า ถ้าอย่างนั้นก็ต้องแสดงความจริงใจออกมา”อวิ๋นเยว่หยางรีบก
"น้องสาม เจ้าอย่ามาว่าข้าเลย ตั้งแต่มาถึงเมืองหลวงเจ้าเองก็เอาแต่มาหลบอยู่ที่นี่ ไม่กล้าไปพบหน้านางใช่หรือไม่?" น้องสามที่เขาเอ่ยถึงไม่ใช่ผู้ใดอื่น แต่เป็นอาจารย์สามของซือเจ๋อเยว่ อาจารย์สามตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย "ผู้ใดบอกว่าข้ากลัวจนไม่กล้าไปพบนาง? ข้าว่ายามนี้นางคงมองเห็นคุณค่าของข้าแล้วล่ะ" "เมื่อคราวนั้นนางเกือบเอาชีวิตไม่รอด หากไม่ใช่เพราะข้าจัดการส่งเยียนเซียวหรานคนนั้นไปต่อหน้านาง ป่านนี้นางคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว" "ข้ามีบุญคุณช่วยชีวิตนาง นางคงขอบคุณข้าอยู่ในใจเป็นแน่" ราชครูหัวเราะเย็นชา "ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนั้น แล้วเหตุใดจึงไม่ไปพบนางเล่า?" อาจารย์สามนอนเอกเขนกบนเก้าอี้พลางจิบชา "ศิษย์เติบโตแล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหา ก็ต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไขเอง" "หากพวกเราเอาแต่เฝ้าอยู่ข้าง ๆ นาง แล้วนางจะมีความก้าวหน้าได้อย่างไร?" ราชครูมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ "เจ้าก็เอ่ยวาจาเหลวไหล หากไม่กล้าก็เอ่ยมาตรง ๆ อย่าได้หาข้ออ้าง" อาจารย์สามหาวเสียงเบา แล้วตอบอย่างเกียจคร้าน "ในเมื่อเจ้าเอ่ยเช่นนี้ ประเดี๋ยวข้าจะไปพบนาง แล้วถือโอกาสบอกความลับเรื่องตัวตนของเจ้าด้วยเลย"
"ไม่มีคำว่าแต่อันใดทั้งนั้น" นักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน "หากท่านไม่รีบออกไป อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!" ซือเจ๋อเยว่ "…" เมื่อคืนที่ผ่านมานางได้ยินเยียนเซียวหรานบอกว่าราชครูไม่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น และไม่ชอบพบเจอคนแปลกหน้า นางคิดว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนเช่นนั้น อย่างน้อยก็การที่เขาเร่งเดินทางไกลกลับมาเพื่อใช้กระบี่ฟันไป๋จื้อเซียนครั้งนั้น ก็หมายความว่าเขาหาใช่คนที่เพิกเฉยต่อปัญหาของผู้คนโดยสิ้นเชิง นางยังคิดว่าเขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงมากเสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้ เมื่อเขาเดาเจตนาของนางได้ เขากลับส่งนักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวที่ดุดันมาไล่นางออกไป หากเรื่องนี้เกิดขึ้นที่อื่น นางคงจะบุกขึ้นเขาไปถามเขาให้รู้เรื่อง แต่ที่นี่คือเมืองหลวง อีกทั้งกระบี่ของเขาคราวก่อนทรงพลังจนเกินคาด ราชครูผู้นี้คงเป็นยอดฝีมือที่นางไม่อยากขัดแย้งด้วย ดังนั้น นางจึงทำได้แค่พาเยียนเซียวหรานเดินออกจากค่ายกลไปอย่างเงียบ ๆ ทันทีที่พวกเขาก้าวออกจากค่ายกล นักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวก็รีบปิดซุ้มประตูที่เชิงเขาทันที ซึ่งปกติแทบไม่เคยปิด เขาปิดประตูอย่างรุนแรงจนซือเจ๋อเยว่ที่เดินช้ากว