ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่มีความจำเป็นต้องถามอีกต่อไป นางลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็ต้องขอบคุณเจ้า” ครั้งนี้เยียนเซียวหรานไม่ได้หันกลับมามองนางอีก และนางก็ไม่ได้รั้งเขาไว้ นางหมุนตัวแล้วเดินจากไป เยียนเซียวหรานมองเปลวเทียนที่ลุกไหวอยู่ในศาลบรรพชน ก่อนจะถอนหายใจเสียงยาว เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมาที่ห้อง นางครุ่นคิดถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเยียนเซียวหรานในปีนี้ นางคิดหลายตลบก็ยังไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด ในสถานการณ์เช่นนี้ คำอธิบายเดียวที่ดูคล้ายจะสมเหตุสมผล คืออาจเป็นเพราะลุงเขยของเยียนเซียวหรานมาเยือน จึงทำให้เขาอารมณ์แปรปรวนเช่นนี้ นางยักไหล่เล็กน้อย ไม่ใส่ใจจะคิดต่อ และหันไปวางแผนว่าหากได้พบกับราชครูในวันรุ่งขึ้น นางจะเกลี้ยกล่อมให้เขาช่วยจัดการไป๋จื้อเซียนได้อย่างไร เช้าวันรุ่งขึ้น เยียนเซียวหรานมาตามที่นัดไว้ เขาพานางไปยังหอพยากรณ์ดวงดาวเพื่อพบกับราชครู แม้จะเรียกว่าหอ แต่ที่แท้แล้วคือกลุ่มอาคารขนาดใหญ่ เป็นสถานที่ที่อดีตฮ่องเต้สร้างขึ้นเพื่อราชครู ตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดในเมืองหลวง ซึ่งที่แห่งนั้น ก็สามารถเฝ้าดูดวงดาวและทำนา
"ไม่มีคำว่าแต่อันใดทั้งนั้น" นักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน "หากท่านไม่รีบออกไป อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!" ซือเจ๋อเยว่ "…" เมื่อคืนที่ผ่านมานางได้ยินเยียนเซียวหรานบอกว่าราชครูไม่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น และไม่ชอบพบเจอคนแปลกหน้า นางคิดว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนเช่นนั้น อย่างน้อยก็การที่เขาเร่งเดินทางไกลกลับมาเพื่อใช้กระบี่ฟันไป๋จื้อเซียนครั้งนั้น ก็หมายความว่าเขาหาใช่คนที่เพิกเฉยต่อปัญหาของผู้คนโดยสิ้นเชิง นางยังคิดว่าเขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงมากเสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้ เมื่อเขาเดาเจตนาของนางได้ เขากลับส่งนักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวที่ดุดันมาไล่นางออกไป หากเรื่องนี้เกิดขึ้นที่อื่น นางคงจะบุกขึ้นเขาไปถามเขาให้รู้เรื่อง แต่ที่นี่คือเมืองหลวง อีกทั้งกระบี่ของเขาคราวก่อนทรงพลังจนเกินคาด ราชครูผู้นี้คงเป็นยอดฝีมือที่นางไม่อยากขัดแย้งด้วย ดังนั้น นางจึงทำได้แค่พาเยียนเซียวหรานเดินออกจากค่ายกลไปอย่างเงียบ ๆ ทันทีที่พวกเขาก้าวออกจากค่ายกล นักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวก็รีบปิดซุ้มประตูที่เชิงเขาทันที ซึ่งปกติแทบไม่เคยปิด เขาปิดประตูอย่างรุนแรงจนซือเจ๋อเยว่ที่เดินช้ากว
"น้องสาม เจ้าอย่ามาว่าข้าเลย ตั้งแต่มาถึงเมืองหลวงเจ้าเองก็เอาแต่มาหลบอยู่ที่นี่ ไม่กล้าไปพบหน้านางใช่หรือไม่?" น้องสามที่เขาเอ่ยถึงไม่ใช่ผู้ใดอื่น แต่เป็นอาจารย์สามของซือเจ๋อเยว่ อาจารย์สามตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย "ผู้ใดบอกว่าข้ากลัวจนไม่กล้าไปพบนาง? ข้าว่ายามนี้นางคงมองเห็นคุณค่าของข้าแล้วล่ะ" "เมื่อคราวนั้นนางเกือบเอาชีวิตไม่รอด หากไม่ใช่เพราะข้าจัดการส่งเยียนเซียวหรานคนนั้นไปต่อหน้านาง ป่านนี้นางคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว" "ข้ามีบุญคุณช่วยชีวิตนาง นางคงขอบคุณข้าอยู่ในใจเป็นแน่" ราชครูหัวเราะเย็นชา "ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนั้น แล้วเหตุใดจึงไม่ไปพบนางเล่า?" อาจารย์สามนอนเอกเขนกบนเก้าอี้พลางจิบชา "ศิษย์เติบโตแล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหา ก็ต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไขเอง" "หากพวกเราเอาแต่เฝ้าอยู่ข้าง ๆ นาง แล้วนางจะมีความก้าวหน้าได้อย่างไร?" ราชครูมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ "เจ้าก็เอ่ยวาจาเหลวไหล หากไม่กล้าก็เอ่ยมาตรง ๆ อย่าได้หาข้ออ้าง" อาจารย์สามหาวเสียงเบา แล้วตอบอย่างเกียจคร้าน "ในเมื่อเจ้าเอ่ยเช่นนี้ ประเดี๋ยวข้าจะไปพบนาง แล้วถือโอกาสบอกความลับเรื่องตัวตนของเจ้าด้วยเลย"
ก่อนหน้านี้อวิ๋นเยว่หยางคิดว่าวิธีการของนักพรตจื่อหยางโหดเหี้ยมและร้ายกาจมาก คาถาของสำนักเต๋าจะทำให้คนยากที่จะป้องกันแต่ในเวลานี้เขาเพิ่งได้รู้ว่า ความสามารถของนักพรตจื่อหยางเมื่อเทียบกับคนตรงหน้าแล้ว ช่างไม่เอาไหนเลยจริง ๆคนคนนี้กระหายเลือดอย่างขีดสุด พูดว่าจะฆ่าเขาก็หมายความว่าจะฆ่าเขาจริงๆ!เขารู้อยู่แก่ใจ หากในเวลานี้เขาไม่ยอมจำนน ก็มีเพียงความตายเท่านั้นเขาถูกรัดด้วยผ้าต่วนจนหายใจไม่ออก กล่าวอย่างยากลำบาก “ข้ายอมบูชาท่าน!”ไป๋จื้อเซียนเหลือบตาเล็กน้อย การกระทำที่เดิมทีดูยั่วยวนชวนหลงใหลนี้ เมื่อเขาทำขึ้นมา แม้จะสามารถสะกดจิตใจคนได้ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความอันตรายถึงขีดสุดไป๋จื้อเซียนดึงผ้าต่วนสีแดงกลับมา มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย อวิ๋นเยว่หยางนั่งอยู่บนพื้นไอออกมาอย่างรุนแรงไป๋จื้อเซียนค่อย ๆ ลอยไปที่ตรงหน้าของอวิ๋นเยว่หยาง กล่าวว่า “เจ้ายอมแบบนี้เสียตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดจะต้องทำให้ยุ่งยากด้วย?”อวิ๋นเยว่หยางรีบกล่าว “ท่านชี้แนะได้ถูกต้อง”ไป๋จื้อเซียนกล่าวเสียงราบเรียบ “ในเมื่อเจ้าจะบูชาข้า ถ้าอย่างนั้นก็ต้องแสดงความจริงใจออกมา”อวิ๋นเยว่หยางรีบก
หากเป็นเช่นนี้ หนิงกั๋วกงไม่มีทางปล่อยเขาไปอย่างเด็ดขาดเขาเบิกตาโตมองไป๋จื้อเซียนกล่าว “ขอเพียงท่านช่วยข้าสังหารพี่ใหญ่ได้ ช่วยให้ข้าได้เป็นซื่อจื่อแห่งจวนกั๋วกง ไม่ว่าท่านจะให้ข้าทำอะไรข้าก็ยอมทำทุกอย่าง!”ก่อนหน้านี้เขาคิดหาหนทางเพื่อขโมยดวงชะตาของเยียนเซียวหราน แต่ว่าก็เพื่อกดหัวของอวิ๋นเยว่ปิงเท่านั้นแต่ตอนนี้นักพรตจื่อหยางตายไปแล้ว ค่ายกลที่เขาจัดวางเอาไว้ก็ถูกทำลายไปแล้วเช่นกัน หลายวันมานี้อวิ๋นเยว่หยางรู้สึกเจ็บปวดที่บริเวณหน้าอกมากมาตลอด รู้สึกทรมานยิ่งนักหลายวันมานี้ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ไม่ราบรื่นเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่อยากจะใช้ชีวิตแบบนี้อีกแล้วไป๋จื้อเซียนยิ้มบาง ๆ “ข้าชอบคนนิสัยเช่นเจ้า เรื่องนี้ก็ตกลงกันตามนี้”อวิ๋นเยว่หยางไม่รู้ว่าทางเข้าของค่ายกลนั่นอยู่ที่ไหน หลายวันมานี้ไป๋จื้อเซียนได้ดูดซับพลังชั่วร้ายทุกวัน จึงรู้จักสถานที่แห่งนั้นเป็นอย่างดีตอนที่เขาพาอวิ๋นเยว่หยางไปที่นั่น จึงเป็นครั้งแรกที่อวิ๋นเยว่หยางได้รู้ว่ามีสถานที่แบบนั้นอยู่ภายในจวนหนิงกั๋วกงอีกด้วยไป๋จื้อเซียนให้อวิ๋นเยว่หยางนำกระจกสัมฤทธิ์อันหนึ่งที่แขวนอยู่ที่ประตูถอดลงมา เขาจึงหายตัวเข้าไปข้า
หลายวันมานี้อดีตหนิงกั๋วกงปวดหัวกับเรื่องค่ายกลเป็นอย่างมาก ไม่ง่ายเลยกว่าที่เรื่องราวจะนิ่ง เขาถึงได้เบาใจลงเล็กน้อยเพียงแต่เขาเบาใจลงได้ไม่ทันไร ก็รู้สึกว่าพลังชั่วร้ายภายในจวนหนิงกั๋วกงกำลังปั่นป่วนเขาเจ็บที่หัวใจขึ้นมา เกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นในใจ รีบมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ค่ายกลจัดวางอยู่เพียงแต่หลังจากที่เขาไปถึงที่นั่น ก็พบว่าบรรพบุรุษท่านนั้นของจวนหนิงกั๋วกงได้หายไปแล้ว ด้านในมีเพียงพลังชั่วร้ายที่รุนแรงเท่านั้นเมื่ออดีตหนิงกั๋วกงเห็นสถานการณ์แบบนี้ ก็รีบใช้อาวุธเวทย์เพื่อตามหาบรรพบุรุษท่านนั้นทันที แต่เหมือนกับว่าบรรพบุรุษท่านนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยเขากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”อันที่จริงในเวลานี้ไป๋จื้อเซียนยังอยู่ด้านใน เพียงแต่วิชาเต๋าของเขาสูงส่งมาก หากเขาไม่ยินยอม อดีตหนิงกั๋วกงก็มองไม่เห็นเขาเขาคร้านจะสนใจอดีตหนิงกั๋วกง ดูดกินพลังชั่วร้ายอันรุนแรงที่ไม่จางหายจากภายในอย่างบ้าคลั่งซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานในเวลานี้ได้กลับมาถึงจวนเยียนอ๋องแล้วตอนที่นางเดินมาถึงประตูชั้นรอง ก็รู้สึกว่าหัวใจเกิดความอึดอัดขึ้นมาเล็กน
“สถานการณ์แบบนี้มีความเป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรกคือตอนนั้นเยียนอ๋องอยู่ที่ภูเขาเชียนจั้งมีกองทหารตั้งอยู่ที่นั่น ดังนั้นจึงได้มีการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลเช่นนี้”“อีกอย่างหนึ่งคือขุนนางผู้ดูแลการขนส่งเสบียงอาหารมีปัญหา แต่ขุนนางท่านนั้นตายอยู่ที่ด่านอวิ๋นหลิ่งระหว่างทางกลับมาจากการขนส่งเสบียงอาหาร”การคาดเดาของเขามีเหตุผลมาก แต่ก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้นเขาหันหน้าไปหาซือเจ๋อเยว่กล่าว “ดังนั้นที่ข้าเชิญองค์หญิงมา เป็นเพราะอยากจะให้องค์หญิงอันเชิญอ๋องเยียนมาที่นี่ แล้วอยากจะถามเขาด้วยตนเอง”ซือเจ๋อเยว่ขมวดคิ้วแล้วมองเขากล่าว “ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าเคยพูดว่า คนตายไปแล้ว ปกติวิญญาณจะกลับไปยังยมโลกในวันที่ฝังศพ”“ตามขั้นตอนของยมโลกแล้ว ตอนนี้ท่านพ่อน่าจะกลับชาติมาเกิดใหม่แล้ว ไม่น่าจะมีความทรงจำในอดีตอีกแล้ว”เหวยอิ้งหวนเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยกล่าว “ที่แท้องค์หญิงก็ไม่ได้เป็นคนที่สามารถทำได้ทุกอย่างนี่!”“ข้ายังคิดว่าองค์หญิงจะสามารถทำให้คนเห็นวิญญาณได้ทุกเมื่อ เรื่องการเรียกวิญญาณออกมาก็ง่ายเสียยิ่งกว่าปอกกล้วย”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางมองออกแล้ว เจ้าหม้อนี่แค้นเรื่องที่ครั้งก่อนน
เยียนเซียวหรานหันหน้ามองนาง นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้พวกเราตัดสินใจกันว่าจะไปที่ช่องเขากรงเสือไม่ใช่หรือ?”“ก่อนหน้าเป็นเพราะมีเรื่องมากมายรัดตัว จึงไม่มีโอกาสได้ไปเสียที”“แม้ว่าตอนนี้ก็ยังคงมีเรื่องมากมายรัดตัว แต่พวกเราก็คงไม่สามารถจัดการเรื่องราวในมือจนหมดเสียก่อนแล้วค่อยไปนี่”“สมุดบัญชีเล่มนั้นที่ใต้เท้าเหวยนำมาส่ง ข้าคิดว่าพวกเรารอไม่ได้อีกแล้ว วันพรุ่งนี้เดินหน้าไปชายแดนทันที”เยียนเซียวหรานถามนาง “ท่านต้องจัดการเรื่องของไป๋จื้อเซียนก่อนไม่ใช่หรือ?”ดวงตาของซือเจ๋อเยว่ล้ำลึกขึ้นเล็กน้อย “เจ้าไม่เข้าใจไป๋จื้อเซียน ไม่รู้ว่าเขามีความแค้นมากขนาดไหน”“ครั้งนี้เขาเสียเปรียบกับพกวเรามาก จะต้องมาเพื่อแก้แค้นข้าอย่างแน่นอน”“ข้าอยู่ที่เมืองหลวง เขาก็จะลงมือที่เมืองหลวง ที่เมืองหลวงคนเยอะจนสามารถทำร้ายผู้บริสุทธิ์ได้อย่างง่ายดาย”“ข้าออกจากเมืองหลวง เขาก็จะตามไปด้วยอย่างแน่นอน ขอเพียงแค่ข้าเตรียมตัวดี ก็จะมีโอกาสฆ่าเขาให้สิ้นซากได้”ครั้งก่อนตอนที่นางเจอกับไป๋จื้อเซียนในเรือนของจวนหนิงกั๋วกง สัมผัสไม่ได้ถึงการมีอยู่ของไป๋จื้อเซียน คิดว่าเขาน่าจะใช้คาถาที่วางไว้ลบล้างยันต
เขาจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา "เป็นข้าที่ไร้เดียงสาเกินไป คิดว่าเรื่องราวระหว่างเราจะต่างออกไป" "แต่ข้ากลับลืมไปว่า เจ้าเป็นคนของสำนักเต๋า เราสองคนก็อยู่กันคนละฝ่ายตั้งแต่แรกเริ่ม" "ซือเจ๋อเยว่ ตั้งแต่นี้ไปข้าขอตัดขาดจากเจ้า หากพบกันอีก ข้าจะฆ่าเจ้าแน่นอน!" เมื่อเอ่ยจบเขาก็หยิบของสิ่งหนึ่งจากร่างกายแล้วขว้างออกไป สิ่งนั้นทำหน้าที่รับแรงโจมตีจากค่ายกลแทนเขา ก่อนที่ตัวเขาจะพุ่งออกจากค่ายกลราวกับดาวตกก็ไม่ปาน ซือเจ๋อเยว่รีบไล่ตามออกไป แต่ภายนอกกลับไร้เงาของไป๋จื้อเซียน นางรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง วันนี้เขาเข้าใจนางผิด แล้วจากไปเช่นนี้ ภายภาคหน้าก็ไม่อาจล่วงรู้เลยว่าจะเกิดอันใดขึ้นอีก ยังดีที่เขาเคยสาบานต่อสวรรค์ ว่าจะไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ อย่างน้อยสถานการณ์ก็ยังไม่เลวร้ายถึงระดับนั้น แต่เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาขาดสะบั้นในบัดนี้ ด้วยนิสัยของเขา ย่อมต้องหาหนทางสังหารนางให้ได้อย่างแน่นอน! นางคิดว่าตนเองยังคงประเมินไป๋จื้อเซียนต่ำเกินไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถหลบหนีออกจากค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาได้ เยียนเซียวหรานถามขึ้น "เมื่อครู่นี้เกิดอันใดขึ้น?" ซือเจ๋อเยว่ถอนหายใจ "ตุ๊
ซือเจ๋อเยว่ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้นับหลังจากตั้งแต่ที่อาจารย์สามปั้นเสร็จแล้ววางไว้ที่นี่ ก็ไม่เคยมีความรู้สึกอะไรนางคิดมาตลอดว่าอาจารย์สามทำเช่นนี้เพราะจะหยอกนางเล่น ไม่คิดเลยว่าจนกระทั่งวันนี้จะมีความเคลื่อนไหวแล้วที่ประตูมีเสียงของไป๋จื้อเซียนดังลอยเข้ามา “เจ้าล่อลวงข้ามาที่นี่ ก็เพราะอยากจะฆ่าข้าใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ากลับไปมองก็เห็นไป๋จื้อเซียนยืนอยู่ที่หน้าประตู ตุ๊กตาดินเผาเหล่านั้นรวมตัวกันกลายเป็นค่ายกล จะจัดการกับเขาหลังจากที่วันนี้เขาเดินเข้ามาในสำนักเต๋า ความสามารถทุกด้านก็ถูกลดทอนลง ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้ยังเป็นตุ๊กตาที่อาจารย์สามปั้นขึ้นเองกับมืออีกด้วย ด้านในมีค่ายกลที่ร้ายแรงเป็นอย่างยิ่งซ่อนอยู่ไป๋จื้อเซียนในเวลานี้ถูกค่ายกลนี้ขังเอาไว้ ไม่สามารถดิ้นให้หลุดได้เขาเกิดความสงสัยมาก ประกอบกับก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่อยากจะจัดการเขามาตลอด เขาจึงคิดว่านางเป็นผู้ควบคุมให้ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้มาจัดการเขาก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่เคยคิดอยากจะจัดการเขาในสำนักเต๋าจริง ๆ แต่เป็นครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางจริง ๆเป็นเพราะร่างกายที่พิเศษเ
ความทรุดโทรมนี้เริ่มปรากฏตั้งแต่ประตูเขาที่เก่าและทรุดโทรม ยาวไปตลอดทางจนถึงกระทั่งถึงโถงใหญ่ของสำนักเต๋าด้านในก็มีเพียงรูปหล่องทองคำปรมาจารย์เต๋าที่ยังมีสภาพดีอยู่เพียงเท่านั้น อาคารอื่น ๆ ของวัดก็สามารถใช้คำว่าชำรุดทรุดโทรมมาบรรยายได้เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมา นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ที่เฝ้าภูเขาก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว ไม่ไปไหนแล้วใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่ได้ยินก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าอาศัยคืนเดียวก็จะไปแล้ว”ใบหน้าของนักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ก็มีสีหน้าผิดหวังปรากฏขึ้นมาทันที นางหยิบทองหนึ่งกำมือออกมาจากมิติคาถาเต๋าแล้วมอบให้เขา “ค่าอาหารของปีนี้”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ใช้สองมือรับทองคำ ใบหน้ามีรอยยิ้มขึ้นมาทันที “อย่างไรเสียศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็เก่งกาจ!”สำนักเต๋าผ่านไปด้วยความยากลำบากมาก ทองคำเหล่านี้เมื่อแลกเป็นเงินก็ได้หลายพันตำลึง เพียงพอที่จะให้พวกเขามีกินได้ถึงสิ้นปีซือเจ๋อเยว่ถามเขา “พวกอาจารย์ออกจากสำนักเต๋าตั้งแต่เมื่อใด?”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ “ทันทีที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ออกไปจากสำนักเต๋า เจ้าสำนักพวกเขาก็ไปแล้ว”ซือเจ๋อเยว่ขมวดคิ้ว “พวกเขาได้บอกหรือไ
ซือเจ๋อเยว่เผชิญหน้ากับสายตาที่แฝงไปด้วยความน้อยใจของไป๋จื้อเซียน นางมีความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยท่าทางเช่นนี้ของเขา เกรงว่าคนที่ไม่รู้จะคิดว่าพวกเขากำลังสุมหัวกันกลั่นแกล้งเขาแต่เรื่องจริงคือเขาเกือบทำให้พวกเขาต้องติดกับดักจนตายในเวลานี้นางจำต้องกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋มาก”ไป๋จื้อเซียนมองนางด้วยสีหน้าน่าสงสารพร้อมกล่าว “เมื่อครู่นี้เจ้าดุข้า”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางสูดหายใจในใจทีหนึ่ง เจ้าหมอนี่แสดงละครเก่งมาก!นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ข้ามีนิสัยใจร้อน เวลามองอะไรก็มักจะมองแค่สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ไม่สู้คุณชายไป๋ที่มองการณ์ไกล”“คุณชายไป๋คาดการณ์เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในตอนหลังได้ตั้งแต่แรกแล้ว ข้าชื่นชมตบะอันล้ำลึกทำให้ข้านับถือจากใจจริง”“ครั้งหน้าหากยังมีเรื่องแบบเดียวกันอีก คุณชายไป๋ได้โปรดแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเสียหน่อย พวกเราจะได้ร่วมมือกันได้ดี”นางพูดจบก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อย “คุณชายไป๋ช่วยพวกเราคำนวณดูหน่อยได้หรือไม่ พวกเรากลับเมืองหลวงครั้งนี้ จะล้มจวนหนิงกั๋วกงได้หรือไม่?”ไป๋จื้อเซียน “...”ถึงแม้เขาจะมีชีวิตอยู่มาหนึ่งพันปีแล้วก็ตาม เรียนรู้เพียงความสามารถฆ
“ถึงแม้วันนี้ข้ากับชื่อปาเลี่ยจะบุกฝ่าออกมาได้ แต่ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด”“การล้อเล่นแบบนี้ อย่างไรคุณชายไป๋ช่วยลดลงหน่อยจะดีมาก”ไป๋จื้อเซียนจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา เขาหันหน้าไปมองไป๋จื้อเซียน โดยไม่ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อยชื่อปาเลี่ยที่อยู่ข้าง ๆ พูดไกล่เกลี่ย “ครั้งนี้พวกข้าไม่เป็นอะไร อย่างไรก็ช่างเถอะ”ความโกรธที่ไป๋จื้อเซียนมีอยู่มากมายไม่มีที่ระบาย ยกมือขึ้นแล้วสะบัดทำให้ชื่อปาเลี่ยลอยกระเด็นออกไปชื่อปาเลี่ย “!!!!!”หากวันหลังเขายังกล้าสอดเรื่องของพวกเขาอีก เขาก็คือก็คือไอ้ลูกหมา!เขากระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ร้องโอ๊ยออกมาทีหนึ่งซือเจ๋อเยว่รีบยื่นมือออกไปประคองชื่อปาเลี่ย “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”ชื่อปาเลี่ยกุมหน้าอกกล่าว “ข้าเจ็บหน้าอกนิดหน่อย”ในระหว่างที่พูดเขารู้สึกผิดปกติบริเวณหน้าอก ยื่นมือออกไปแล้วล้วง ไม่คิดเลยว่าจะควักสมุดบันทึกเล็ก ๆ เล่มหนึ่งออกมาจากข้างใน “นี่มันอะไรกัน?”หลังจากซือเจ๋อเยว่รับมาก็เปิดสมุดบันทึกเล่มเล็ก พบว่าเป็นสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้ายฉบับนั้นที่เยียนอ๋องซื่อจื่อกล่าวไว้นางทั้งตกใจทั้งดีใจ “นี่คือสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้าย!”เยียนเซียวหรา
ซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ข้าไม่เป็นอะไร”นางพูดจบก็กล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”เยียนเซียวหรานยิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นอะไร”เขาพูดจบก็ประสานมือคำนับไป๋จื้อเซียนกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋ที่พาองค์หญิงออกมาได้อย่างปลอดภัย ทำให้ข้าไม่ต้องเป็นพะวงที่จะบุกฝ่ากองทัพออกมา”สีหน้าของไป๋จื้อเซียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เรื่องนี้เขาวางแผนทำร้ายเยียนเซียวหราน เยียนเซียวหรานขอบคุณเขาจึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมากยังมีท่าทีของซือเจ๋อเยว่อีก ในดวงตาของนางมีเพียงเยียนเซียวหรานเท่านั้น ไม่มีเขาเลยแม้แต่น้อยความรู้สึกแบบนี้ทำให้ไป๋จื้อเซียนไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งเขารู้สึกไม่พอใจ จึงอยากจะทำร้ายชื่อปาเลี่ยอีกครั้งดวงตาของเขากวาดมองไปยังชื่อปาเลี่ย ชื่อปาเลี่ยได้หลบไปอยู่ที่ด้านหลังของซือเจ๋อเยว่อย่างรวดเร็ว “คุณชายไป๋จะทำร้ายข้า องค์หญิงช่วยด้วย!”ซือเจ๋อเยว่รู้ว่าไป๋จื้อเซียนมีนิสัยขี้โมโห เขาติดตามอยู่ข้าง ๆ พวกเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับระเบิดเวลา ไม่รู้ว่าจะเบิดขึ้นเมื่อไหร่เพียงแต่หากปล่อยเขาไป วันข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะก่อเหตุวุ่นวายอะไรขึ้นอีกนางคิดว่า อย่างไรเสียก็ต้องคิดหาว
เขายิ้มแย้มพร้อมกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ข้าพาเจ๋อเยว่นำไปก่อน พวกเจ้าสู้ ๆ ล่ะ”ซือเจ๋อเยว่ “...”เยียนเซียวหราน “...”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยความร้อนใจ “นี่ เจ้าพาพวกเขาไปด้วยกันสิ!”ไป๋จื้อเซียนกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “สถานการณ์แบบนี้ไม่ฆ่าคนก็พาพวกเขาออกไปไม่ได้”“ก่อนหน้านี้ข้าเคยสาบานต่อสวรรค์ไว้ว่า ไม่สามารถลงมือฆ่าคนได้โดยไม่มีสาเหตุ ดังนั้น...”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ามองเขา ในดวงตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ทั้งสองข้างของเขาแฝงไปด้วยหยอกเย้า ท่าทางเหมือนกับกำลังดูละครด้วยความสุขนางรู้ดีว่า เรื่องในวันนี้เขานั้นเจตนา!นางรู้ดีว่า คนที่ชั่วร้ายเช่นไป๋จื้อเซียนจะยอมร่วมมือกับพวกเขาได้อย่างไร?นางกล่าวด้วยความร้อนใจ “ปล่อยข้าลง! ข้าจะไปช่วยพวกเขา!”ไป๋จื้อเซียนยิ้มด้วยความร่าเริงพร้อมกล่าว “ตอนนี้ด้านล่างมีแต่คน ทั้งเจ้ายังไม่เป็นวรยุทธ์ หากลงไปจริง ๆ ก็รังแต่จะยิ่งอันตราย”“อีกอย่าง ขอเพียงเจ้าสงบ เยียนเซียวหรานก็จะไม่เป็นพะวง ก็สามารถแสดงความสามารถของเขาได้อย่างเต็มที่”“ข้าเชื่อ ด้วยความสามารถของเขา ต้องสามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้แน่ ปลอดภัยหายห่วง” ซือเจ๋อเยว่ค้อนเขา เขากะพริบตาใส
เยียนเซียวหรานกวัดแกว่งกระบี่ในมืออย่างสุดแรง พยายามพาซือเจ๋อเยว่พุ่งตัวออกไปด้านนอกชื่อปาเลี่ยกลับด่าทออย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงนั้น “ไอ้แม่งเอ๊ย ครั้งก่อนเกือบตายที่ด่านอวิ๋นหลิ่ง ครั้งนี้ยังจะมาอีก!”เขาพูดจบก็กล่าวกับซือเจ๋อเยว่อีก “องค์หญิง ค่ายกลนั่นของท่านเมื่อครั้งก่อน เอาออกมาใช้อีกครั้งได้หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “เอามาใช้อีกครั้ง ข้าก็สามารถตายตรงนี้ต่อหน้าพวกเจ้าได้เลย!”ชื่อปาเลี่ย “...”เยียนเซียวหรานกล่าวเสียงขรึม “เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว พุ่งไปข้างหน้าด้วยกันกับข้า”ซือเจ๋อเยว่ครุ่นคิด ครั้งนี้อยู่ภายในห้องปิดตาย จะอย่างไรก็ต้องพุ่งตัวเข้าไปหาก่อนดังนั้นนางจึงหยิบยันต์ออกมา ใช้คาถาเต๋าทำให้ระเบิด ภายในชั่วพริบตา ภายในห้องก็มีลมกระโชกแรงเกิดขึ้น พัดทหารยามพวกนั้นที่อยู่หน้าประตูลอยกระเด็นออกไปข้างนอกชื่อปาเลี่ยหลบไม่ทัน หัวจึงกระแทกพื้นเยียนเซียวหรานอยากจะจับเขาเอาไว้ แต่ลมแรงเกินไป จึงทำให้ไม่สามารถจับเขาได้เลยซือเจ๋อเยว่คว้าขาของชื่อปาเลี่ยเอาไว้แล้วกล่าว “รีบไป!”ชื่อปาเลี่ย “!!!!!!”เขาเองก็อยากจะหนีไปโดยเร็วเช่นกัน แต่ปัญหาคือลมทั้งรุนแ
สิ่งของที่อยู่ด้านในมองดูค่อนข้างสลับซับซ้อน กองกันเละเทะ ทันทีที่ดูก็รู้ว่าหลังจากถูกใครบางคนรื้อค้นจนเละเทะ ก็ไม่ได้จัดระเบียบใหม่ภายในห้องที่รกรุงรังแบบนี้ อยากจะตามหาสิ่งของที่พวกเขาอยากได้ เหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หลังจากที่ซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานรื้อค้นรอบหนึ่ง ก็ไม่ได้อะไรแม้แต่อย่างเดียวทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ก็เห็นความจนปัญญาจากดวงตาของอีกฝ่ายภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ราวกับว่าไม่มีความจำเป็นที่จะตามหาต่อไปแล้วในเวลานี้เอง เสียงของทหารยามก็ดังลอยมาจากหน้าประตู “ใครกัน?”ซือเจ๋อเยว่รีบเก็บไข่มุกราตรีลงไป ด้านในจึงกลับคืนสู่ความมืดอีกครั้งเนื่องจากเมื่อครู่นี้ทหารยามได้เห็น ‘การแสดง’ ของไป๋จื้อเซียน ภายในใจจึงหวาดกลัวเป็นอย่างมากแต่เพราะมีคำสั่งของนายพลที่เฝ้าด่าน เขาจึงไม่กล้าละทิ้งหน้าที่โดยพลการอีก จึงเรียกเพื่อนร่วมงาน ตั้งใจว่าจะจุดเทียนแล้วเข้าไปตรวจค้นด้านในตอนที่เขากำลังจะเปิดประตู ทหารยามคนนั้นก็หันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นใบหน้าที่ชั่วร้ายของไป๋จื้อเซียน เสื้อผ้าสีแดงราวกับเลือดทหารยามไม่ได้รู้สึกตัวในทันที ยังถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”ไป๋จื้อ