เยียนเซียวหรานหันหน้ามองนาง นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้พวกเราตัดสินใจกันว่าจะไปที่ช่องเขากรงเสือไม่ใช่หรือ?”“ก่อนหน้าเป็นเพราะมีเรื่องมากมายรัดตัว จึงไม่มีโอกาสได้ไปเสียที”“แม้ว่าตอนนี้ก็ยังคงมีเรื่องมากมายรัดตัว แต่พวกเราก็คงไม่สามารถจัดการเรื่องราวในมือจนหมดเสียก่อนแล้วค่อยไปนี่”“สมุดบัญชีเล่มนั้นที่ใต้เท้าเหวยนำมาส่ง ข้าคิดว่าพวกเรารอไม่ได้อีกแล้ว วันพรุ่งนี้เดินหน้าไปชายแดนทันที”เยียนเซียวหรานถามนาง “ท่านต้องจัดการเรื่องของไป๋จื้อเซียนก่อนไม่ใช่หรือ?”ดวงตาของซือเจ๋อเยว่ล้ำลึกขึ้นเล็กน้อย “เจ้าไม่เข้าใจไป๋จื้อเซียน ไม่รู้ว่าเขามีความแค้นมากขนาดไหน”“ครั้งนี้เขาเสียเปรียบกับพกวเรามาก จะต้องมาเพื่อแก้แค้นข้าอย่างแน่นอน”“ข้าอยู่ที่เมืองหลวง เขาก็จะลงมือที่เมืองหลวง ที่เมืองหลวงคนเยอะจนสามารถทำร้ายผู้บริสุทธิ์ได้อย่างง่ายดาย”“ข้าออกจากเมืองหลวง เขาก็จะตามไปด้วยอย่างแน่นอน ขอเพียงแค่ข้าเตรียมตัวดี ก็จะมีโอกาสฆ่าเขาให้สิ้นซากได้”ครั้งก่อนตอนที่นางเจอกับไป๋จื้อเซียนในเรือนของจวนหนิงกั๋วกง สัมผัสไม่ได้ถึงการมีอยู่ของไป๋จื้อเซียน คิดว่าเขาน่าจะใช้คาถาที่วางไว้ลบล้างยันต
“ท่านย่าไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ” ซือเจ๋อเยว่อิงเข้าไปในอ้อมอกของนางด้วยความออดอ้อน “ข้ารู้ดีอยู่แก่ใจ ไม่มีทางให้ตัวเองเป็นอะไรไปหรอกเจ้าค่ะ”“อีกอย่าง ครั้งนี้มีน้องสามไปกับข้าด้วย เขาจะปกป้องข้าเป็นอย่างดี”เหล่าไท่จวินถอนหายใจออกมายาว ๆ ทีหนึ่งพร้อมกล่าว “หากเจ้าจะไปจริง ๆ ข้าก็ขวางเจ้าไม่ได้ มีดเล่มนี้เจ้าพกเอาไว้ป้องกันตัวเถอะ”นางพูดจบก็บิดไม้เท้า แล้วชักมีดสั้นเรียวยาวเล่มหนึ่งออกมาจากด้านในไม้เท้าด้านบนมีดมีตัวหนังสือหลายตัวสลักอยู่ ใบมีดที่เงาวับเย็นยะเยือกคุกรุ่นไปด้วยแรงอาฆาตอันรุนแรงที่ไม่สลายหายไปซือเจ๋อเยว่ค่อนข้างประหลาดใจ “จิงหง? นี่คือมีดจิงหงหรือเจ้าคะ?”เหล่าไท่จวินประหลาดใจเช่นกัน “เจ้ารู้จักมีดเล่มนี้หรือ?”ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า “ข้าเคยได้ยินอาจารย์ห้าพูด มีดจิงหงเป็นมีดโบราณเล่มแรก สามารถสังหารสิ่งชั่วร้ายได้ทุกอย่าง”เหล่าไท่จวินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “มีดเล่มนี้สามารถสังหารสิ่งชั่วร้ายได้หรือไม่ข้าไม่รู้ นี่คือสิ่งป้องกันตัวที่ท่านอ๋องผู้เฒ่ามอบให้ข้าไว้ในตอนนั้น”“มีดเล่มนี้อยู่กับข้ามานานหลายปีแล้ว ช่วยชีวิตข้าเอาไว้หลายหน”อันที่จริงมีดเล่มนี้เป็นสิ่งของที่
เหล่าไท่จวินในเวลานี้ก็ไม่สะดวกจะออกจากจวนไปซื้ออีก จึงให้คนนำรูปปั้นวีรบุรุษเต๋านี้ย้ายไปไว้ที่ห้องข้าง ๆ ถวายธูปเทียนและเครื่องเซ่นไหว้หลากชนิดบรรดาสตรีที่อยู่ในจวนอ๋องก็มากราบไหว้มรรคาจารย์เต๋าด้วยกัน เพื่อขอพรให้มรรคาจารย์เต๋าปกป้องซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานซือเจ๋อเยว่ไม่รู้ว่านางเพียงคนเดียวทำให้ทุกคนในจวนอ๋องนับถือลัทธิเต๋า ไม่นับถือพระพุทธศาสนาอีกต่อไป นางและรถม้าของเหยียนเซียวหรานในเวลานี้ได้ออกจากเมืองหลวงไปแล้วตอนที่พวกเขาขับออกนอกเมืองหลวง ไป๋จื้อเซียนที่กำลังมุดหัวดูดกลืนพลังชั่วร้ายอยู่อย่างบ้าคลั่งก็ลืมตาขึ้นเขาบำเพ็ญเพียรมาพันปี ถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่วิญญาณยังคงแข็งแกร่งตามเดิมความแค้นของเขาที่มีต่อซือเจ๋อเยว่ ได้ฝังลึกเข้าไปในส่วนลึกของวิญญาณเขาแล้วเขาค่อนข้างอ่อนไหวต่อการเคลื่อนไหวของนางเป็นอย่างยิ่ง ทันทีที่นางออกจากเมืองหลวง เขาก็รู้ได้ทันทีภายในดวงตาที่อ่อนโยนเป็นอย่างยิ่งคู่นั้นก็ปรากฏความเย็นยะเยือกออกมา “คิดจะหนีรึ? ไม่ง่ายแบบนี้หรอก!”เหวยอิ้งหวนในเวลานี้ได้มาถึงศาลต้าหลี่แล้ว ตอนที่เขากำลังตรวจหนังสือราชการก็เหมือนกับสัมผัสอะไรบางอย่างไ
ทั่วทั้งภายในคุกหลวง นอกจากนักโทษแล้ว ก็ไม่เห็นดวงวิญญาณแม้แต่ดวงเดียวเหวยอิ้งหวนมีความสุขขึ้นมาทันที หรือว่าตาทิพย์ของเขาปิดอีกแล้ว?เขาดีใจได้ไม่ทัน ก็ได้ยินเสียงของชายชราดังลอยมา “ใต้เท้า ครั้งก่อนวิญญาณดุร้ายดวงนั้นบุกเข้ามา จับดวงวิญญาณทั้งหมดกินไปแล้ว!”“ใต้เท้า ท่านทวงความยุติธรรมให้พวกเราด้วยนะขอรับ! ไม่อย่างนั้นเขามุทะลุและดุดันแบบนั้น คาดว่าภายหน้าดวงวิญญาณของเมืองหลวงจะต้องถูกเขาจับกินจนหมดแน่!”เหวยอิ้งหวน “...”ที่แท้ไม่ใช่เพราะตาทิพย์ของเขาถูกปิด แต่เป็นเพราะวิญญาณทั้งหมดในศาลต้าหลี่ถูกวิญญาณดุร้ายจับกินไปหมดแล้วชายชราคนนั้นยังคงบ่นพึมพำอยู่ “ใต้เท้า วิญญาณดุร้ายดวงนั้นที่ข้าเห็น เขาสวมเสื้อผ้าสีแดง หน้าตาหล่อเหลามาก แต่ก็โหดร้ายมากเช่นกัน!”เหวยอิ้งหวน “...”เขาคิดว่าวิญญาณดวงนี้ที่อยู่ตรงหน้าจุดความสนใจค่อนข้างเบี่ยงเบน จนป่านนี้แล้ว ยังใส่ใจว่าวิญญาณดวงนั้นหน้าตาดีหรือไม่เขาไม่ได้สนใจวิญญาณดวงนั้น ตรงไปที่จวนเยียนอ๋องทันทีถึงแม้เหล่าไท่จวินจะไม่รับแขก แต่เหวยอิ้งหวนเป็นกรณีพิเศษนางบอกเรื่องที่เยียนเซียวหรานกับซือเจ๋อเยว่น่าจะไปที่ช่องเขากรงเสือกับเหวยอิ
ซือเจ๋อเยว่ในเวลานี้นั่งอยู่บนรถม้า จามอย่างรุนแรงอยู่หลายทีนางสูดจมูกกล่าว “ใครกำลังด่าข้า?”เยียนเซียวหรานมองนางแวบหนึ่งกล่าว “คงจะเป็นใต้เท้าเหวยกระมัง”ซือเจ๋อเยว่นึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่แอบเบิกตาทิพย์ให้แก่เหวยอิ้งหวน วิธีการเบิกดวงตาแห่งสวรรค์ของนางเมื่อคืนนี้ค่อนข้างพิเศษ ตอนนั้นไม่ได้เปิด จะต้องรอจนถึงตอนเช้าวันนี้ถึงจะเปิดเมื่อลองนับดูเวลา ตอนนี้ตาทิพย์ของเหวยอิ้งหวนก็คงจะเปิดได้ครู่หนึ่งแล้ว คนที่แอบด่านางเป็นไปที่จะเป็นเหวยอิ้งหวนในเวลานี้คงจะโมโหจนกระหืดกระหอบแล้วซือเจ๋อเยว่เบะปากเล็กน้อย กล่าวว่า “เขาใจแคบเกินไปแล้ว! การแอบด่าคนอื่น ช่างไม่เป็นสุภาพบุรุษอย่างยิ่ง”สำหรับคำพูดนี้ของนาง เยียนเซียวหรานทำเพียงยิ้มเล็กน้อยเท่านั้นหลังจากพลบค่ำ พวกเขาก็เข้าพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ภายในโรงเตี๊ยมเหลือเพียงห้องเดียวเท่านั้นเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “คุณชายกับฮูหยินเดิมทีก็เป็นสามีภรรยากัน นอนห้องเดียวกันก็เป็นเรื่องปกติมาก”ซือเจ๋อเยว่ “...”เยียนเซียวหราน “...”ทั้งสองคนออกจากออกนอกบ้านถูกคนมองว่าเป็นสามีภรรยา ยังรู้สึกแปลก ๆ กับความรู้สึกแบบนี้เพียง
ตอนที่ทั้งสองคนข้ามาท่าทางสนิทสนมกันปกติ เพียงแต่ตอนนั้นเป็นเพราะมีเหตุผลหลายอย่าง ไม่เหมือนกับคืนนี้...เขายืนอยู่ที่ริมระเบียงของทางเดิน ปล่อยให้ลมยามราตรีพัดผ่านใบหน้าของเขา พยายามข่มความคิดที่เดิมไม่ควรมีในใจลงไปซือเจ๋อเยว่อาบน้ำเสร็จ ก็รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่านางเปิดประตูห้องเห็นเยียนเซียวหรานยืนอยู่ที่หน้าประตู ถามเขา “เจ้าจะอาบน้ำด้วยหรือไม่?”เยียนเซียวหรานตอบคำหนึ่ง หันหลังกลับก็เดินเข้าไปข้างในห้อง จากนั้นก็ปิดประตูซือเจ๋อเยว่ “...”นางจะให้เขาไปเอาน้ำสำหรับอาบมาใหม่ ไม่ใช่ให้เขาอาบน้ำต่อจากน้ำที่นางใช้อาบไปแล้ว!ทำแบบนี้มัน...จะน่าอายเกินไปหน่อย!นางรีบเคาะประตูที่ด้านนอก “เซียวหราน เจ้าช่วยเทน้ำที่ข้าอาบทิ้งที ข้าจะไปให้เด็กของโรงเตี๊ยมนำน้ำร้อนมาให้เจ้าใหม่นะ!”เยียนเซียวหราน “...”ตอนที่เขาเดินเข้ามาไม่ได้คิดมาก หลังจากที่หันหน้ากลับไปมองน้ำในอ่างน้ำก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างพวกเขาไม่ใช่สามีภรรยากันจริง ๆ จะอาบน้ำถังเดียวกันได้อย่างไรเมื่อเขาได้ยินคำพูดของซือเจ๋อเยว่ ในใจก็ค่อนข้างรู้สึกเขินอาย โชคดีที่นางช่วยเตือนสติเขา!เขากระแอมเบา ๆ ทีหนึ่ง “...ไ
ช่องเขากรงเสือคือสถานที่ที่เยียนอ๋องซื่อจื่อสิ้นชีพในการต่อสู้ วิญญาณมักมีความใส่ใจต่อสถานที่ที่ตนเองจากไปเป็นพิเศษ การที่พวกเขาจะเดินทางไปยังช่องเขากรงเสือในครั้งนี้อาจจะได้พบเจอกับเขา ซือเจ๋อเยว่เมื่อเห็นว่าเยียนเซียวหรานมีอารมณ์หม่นหมอง นางจึงยื่นมือไปตบไหล่เขาเบาๆ พลางเอ่ยขึ้น “การเดินทางไปยังช่องเขากรงเสือในครั้งนี้ พวกเราต้องได้อะไรบางอย่างแน่นอน” “เมื่อพวกเรากลับมา คดีของจวนเยียนอ๋องก็น่าจะปิดลงได้เสียที” “หลังจากที่คดีสิ้นสุดลง เจ้าก็หาวิธีที่จะสืบทอดตำแหน่ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเจ้าได้เป็นเยียนอ๋องคนใหม่ เจ้าจะสามารถนำพาจวนเยียนอ๋องไปสู่ความรุ่งโรจน์ในระดับใหม่ได้อย่างแน่นอน” เมื่อเยียนเซียวหรานสบสายตาที่กระจ่างใสของซือเจ๋อเยว่ หัวใจของเขาก็สงบลงทันที เขาพยักหน้าเบาๆ พลางเอ่ยขึ้น “ท่านพูดถูก” ซือเจ๋อเยว่แย้มยิ้มให้เขาเล็กน้อย “เอาล่ะ ยามนี้ค่ำแล้ว พวกเราควรนอนแต่หัวค่ำ พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางอีกแต่เช้า” เมื่อเอ่ยจบนางก็ปีนขึ้นเตียงไป เยียนเซียวหรานสบตานางด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความคิด แต่ไม่ได้กล่าวอันใด เขาเดินไปยังเตียงแล้วล้มตัวลงนอนข้างๆ นาง ใช้สองนิ้วดับตะเกียงน
การที่ต่างก็นิยมฝึกศิลปะการต่อสู้ย่อมมีข้อเสียอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือมีโอกาสสูงที่จะเกิดเรื่องวิวาท อีกทั้งด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็น ผู้คนส่วนใหญ่จึงชื่นชอบการดื่มสุรา เมื่อดื่มสุราแล้ว เรื่องวิวาทก็ยิ่งเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าเดิม ระหว่างทางที่เยียนเซียวหรานและซือเจ๋อเยว่เดินทางมา พวกเขาได้เห็นเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นหลายครั้ง ทว่าชาวบ้านในแถบนั้นกลับดูชินชากับเหตุการณ์เช่นนี้ เสียจนไม่แม้แต่จะสนใจออกมายืนดู เยียนเซียวหรานปกป้องซือเจ๋อเยว่ตลอดเส้นทาง จนกระทั่งพวกเขามาถึงโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณนี้ ขณะพวกเขาเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม ก็มีคนหนึ่งเดินสวนออกมา และชนเข้ากับไหล่ของซือเจ๋อเยว่ บุรุษคนนั้นสบถด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เดินไม่ดูทางหรืออย่างไร…โอ้ เป็นแม่โฉมงามเสียด้วย!” เมื่อเอ่ยจบเขาก็ยื่นมือมุ่งหมายจะแตะใบหน้าของซือเจ๋อเยว่ แต่เยียนเซียวหรานกลับคว้าข้อมือเขาไว้ได้ทัน พลางบิดข้อมือจนอีกฝ่ายร้องออกมาด้วยเสียงแหลมราวกับหมูถูกเชือด บุรุษคนนั้นรีบตะโกนเสียงดัง “ปล่อยมือ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด บังอาจมาหาเรื่องข้า ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร!” เยียนเซียว
เขายิ้มแย้มพร้อมกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ข้าพาเจ๋อเยว่นำไปก่อน พวกเจ้าสู้ ๆ ล่ะ”ซือเจ๋อเยว่ “...”เยียนเซียวหราน “...”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยความร้อนใจ “นี่ เจ้าพาพวกเขาไปด้วยกันสิ!”ไป๋จื้อเซียนกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “สถานการณ์แบบนี้ไม่ฆ่าคนก็พาพวกเขาออกไปไม่ได้”“ก่อนหน้านี้ข้าเคยสาบานต่อสวรรค์ไว้ว่า ไม่สามารถลงมือฆ่าคนได้โดยไม่มีสาเหตุ ดังนั้น...”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ามองเขา ในดวงตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ทั้งสองข้างของเขาแฝงไปด้วยหยอกเย้า ท่าทางเหมือนกับกำลังดูละครด้วยความสุขนางรู้ดีว่า เรื่องในวันนี้เขานั้นเจตนา!นางรู้ดีว่า คนที่ชั่วร้ายเช่นไป๋จื้อเซียนจะยอมร่วมมือกับพวกเขาได้อย่างไร?นางกล่าวด้วยความร้อนใจ “ปล่อยข้าลง! ข้าจะไปช่วยพวกเขา!”ไป๋จื้อเซียนยิ้มด้วยความร่าเริงพร้อมกล่าว “ตอนนี้ด้านล่างมีแต่คน ทั้งเจ้ายังไม่เป็นวรยุทธ์ หากลงไปจริง ๆ ก็รังแต่จะยิ่งอันตราย”“อีกอย่าง ขอเพียงเจ้าสงบ เยียนเซียวหรานก็จะไม่เป็นพะวง ก็สามารถแสดงความสามารถของเขาได้อย่างเต็มที่”“ข้าเชื่อ ด้วยความสามารถของเขา ต้องสามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้แน่ ปลอดภัยหายห่วง” ซือเจ๋อเยว่ค้อนเขา เขากะพริบตาใส
เยียนเซียวหรานกวัดแกว่งกระบี่ในมืออย่างสุดแรง พยายามพาซือเจ๋อเยว่พุ่งตัวออกไปด้านนอกชื่อปาเลี่ยกลับด่าทออย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงนั้น “ไอ้แม่งเอ๊ย ครั้งก่อนเกือบตายที่ด่านอวิ๋นหลิ่ง ครั้งนี้ยังจะมาอีก!”เขาพูดจบก็กล่าวกับซือเจ๋อเยว่อีก “องค์หญิง ค่ายกลนั่นของท่านเมื่อครั้งก่อน เอาออกมาใช้อีกครั้งได้หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “เอามาใช้อีกครั้ง ข้าก็สามารถตายตรงนี้ต่อหน้าพวกเจ้าได้เลย!”ชื่อปาเลี่ย “...”เยียนเซียวหรานกล่าวเสียงขรึม “เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว พุ่งไปข้างหน้าด้วยกันกับข้า”ซือเจ๋อเยว่ครุ่นคิด ครั้งนี้อยู่ภายในห้องปิดตาย จะอย่างไรก็ต้องพุ่งตัวเข้าไปหาก่อนดังนั้นนางจึงหยิบยันต์ออกมา ใช้คาถาเต๋าทำให้ระเบิด ภายในชั่วพริบตา ภายในห้องก็มีลมกระโชกแรงเกิดขึ้น พัดทหารยามพวกนั้นที่อยู่หน้าประตูลอยกระเด็นออกไปข้างนอกชื่อปาเลี่ยหลบไม่ทัน หัวจึงกระแทกพื้นเยียนเซียวหรานอยากจะจับเขาเอาไว้ แต่ลมแรงเกินไป จึงทำให้ไม่สามารถจับเขาได้เลยซือเจ๋อเยว่คว้าขาของชื่อปาเลี่ยเอาไว้แล้วกล่าว “รีบไป!”ชื่อปาเลี่ย “!!!!!!”เขาเองก็อยากจะหนีไปโดยเร็วเช่นกัน แต่ปัญหาคือลมทั้งรุนแ
สิ่งของที่อยู่ด้านในมองดูค่อนข้างสลับซับซ้อน กองกันเละเทะ ทันทีที่ดูก็รู้ว่าหลังจากถูกใครบางคนรื้อค้นจนเละเทะ ก็ไม่ได้จัดระเบียบใหม่ภายในห้องที่รกรุงรังแบบนี้ อยากจะตามหาสิ่งของที่พวกเขาอยากได้ เหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หลังจากที่ซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานรื้อค้นรอบหนึ่ง ก็ไม่ได้อะไรแม้แต่อย่างเดียวทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ก็เห็นความจนปัญญาจากดวงตาของอีกฝ่ายภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ราวกับว่าไม่มีความจำเป็นที่จะตามหาต่อไปแล้วในเวลานี้เอง เสียงของทหารยามก็ดังลอยมาจากหน้าประตู “ใครกัน?”ซือเจ๋อเยว่รีบเก็บไข่มุกราตรีลงไป ด้านในจึงกลับคืนสู่ความมืดอีกครั้งเนื่องจากเมื่อครู่นี้ทหารยามได้เห็น ‘การแสดง’ ของไป๋จื้อเซียน ภายในใจจึงหวาดกลัวเป็นอย่างมากแต่เพราะมีคำสั่งของนายพลที่เฝ้าด่าน เขาจึงไม่กล้าละทิ้งหน้าที่โดยพลการอีก จึงเรียกเพื่อนร่วมงาน ตั้งใจว่าจะจุดเทียนแล้วเข้าไปตรวจค้นด้านในตอนที่เขากำลังจะเปิดประตู ทหารยามคนนั้นก็หันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นใบหน้าที่ชั่วร้ายของไป๋จื้อเซียน เสื้อผ้าสีแดงราวกับเลือดทหารยามไม่ได้รู้สึกตัวในทันที ยังถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”ไป๋จื้อ
ไป๋จื้อเซียน “...”ในช่วงเวลาหนึ่งพันปีที่เขาตายไป ไม่มีผู้ใดกล้าสั่งให้เขาทำเรื่องใดก็ตามตอนนี้ซือเจ๋อเยว่กลับให้เขาไปแสร้งทำเป็นผีเพื่อถ่วงเวลาทหารยาม นางเห็นเขาเป็นตัวอะไรกันแน่!เขาหันหน้ามองนาง นางประสานมือคำนับเขาพร้อมกล่าว “คุณชายไป๋ดีที่สุด รบกวนด้วย”ดวงตาของนางเปล่งประกายราวกับดวงดาว ในดวงตาแฝงไปด้วยความอ้อนวอนเล็ก ๆคำปฏิเสธของไป๋จื้อเซียนที่กำลังจะพูดออกมา ได้กลืนกลับลงไปอีกครั้งร่างของเขาหายไปจากด้านบนคานห้อง ไปปรากฏตัวอยู่ที่ท้องฟ้าของด่านอวิ๋นหลิ่งทหารยามเมื่อครู่ตะโกนว่ามีผี ไป๋จื้อเซียนก็ปรากฏตัวที่ท้องฟ้าด้วยชุดสีแดงทันที เกือบจะทำให้ทหารยามที่อยู่ประตูด่านตกใจจนขวัญกระเจิงถึงแม้เขาจะหน้าตาดีแค่ไหน แต่การปรากฏตัวขึ้นในยามราตรีเช่นนี้ นั่นก็ทำให้คนตกใจได้เช่นกันอย่างไรเสียก็คนไม่มีคนปกติคนใดสามารถลอยอยู่กลางอากาศได้เช่นนี้ นี่จึงเห็นได้ชัดว่าก็คือผี!ก่อนหน้านี้ไป๋จื้อเซียนฆ่าคนเหมือนผักปลา คิดมาตลอดว่ามีเพียงดวงวิญญาณที่ไร้ความสามารถพวกนั้นเท่านั้นถึงได้แกล้งหลอกผีให้ผู้คนตกใจบัดนี้ไม่คิดเลยว่าเขากลับต้องมาทำเรื่องแบบนี้เช่นกันสายของเขาที่จ้องมองพลท
ซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานต่างรู้ดี พยานอย่างชื่อปาเลี่ย แม้แต่จะยืนยันว่าเยียนอ๋องพ่ายศึกเพราะถูกคนวางแผนชั่วยังยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะลากจวนหนิงกั๋วกงลงมาเอี่ยวด้วยหากสามารถตามหาสำเนาของเอกสารฉบับนั้นตามที่เยียนอ๋องซื่อจื่อกล่าว อย่างน้อยก็สามารถทำให้จวนเยียนอ๋องเป็นอิสระจากคดีนั้นได้ สามารถทำให้เยียนเซียวหรานสืบทอดตำแหน่งได้ดังนั้นพวกเขาจึงปรึกษาหารือกันครู่หนึ่ง ตัดสินใจว่าจะไปที่ด่านอวิ๋นหลิ่งอีกสักรอบครั้งนี้พวกเขาฉลาดแล้ว ได้รู้จักคนของเยียนเซียวหรานที่อยู่ในกองทัพไม่น้อย เพื่อป้องกันถูกคนจำได้ เขาจึงสวมหน้ากากหนังมนุษย์ส่วนซือเจ๋อเยว่ นางแต่งตัวเป็นผู้ชายชื่อปาเลี่ยเองก็กลัวคนจำได้เช่นกัน เขาไม่ได้สวมหน้ากาก แต่ว่าหาอะไรมาครอบลูกตาข้างหนึ่งเอาไว้แสร้งทำเป็นคนตาบอดเสียเลยหลังจากที่ไป๋จื้อเซียนมองเห็นการแต่งกายของพวกเขาก็รู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นในมุมมองของเขา หากเกิดการต่อสู้ขึ้นที่ด่านอวิ๋นหลิ่งจริง ๆ เขาฆ่าล้างบางด่านอวิ๋นหลิ่งไปเลยเสียก็สิ้นเรื่องเพียงแต่เขายังจำคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้กับซือเจ๋อเยว่ได้ ว่าต่อไปจะสังหารผู้คนตามใจชอบไม่ได้อีกแล้วคำมั่นสัญญ
เยียนอ๋องซื่อจื่อแย้มยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกเกรงใจข้า” “ข้ากับองค์หญิง ก่อนหน้านี้แม้แต่พบหน้ากันก็ยังไม่เคย จะให้มีความผูกพันใด ๆ ได้อย่างไร""ระหว่างข้ากับนาง แม้แต่สถานะสามีภรรยาก็ถูกท่านย่าทำลายไปตั้งแต่คืนวันแต่งงานแล้ว""หากคำนวณให้ดี ข้ากับนางไม่มีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย นางไม่อาจนับว่าเป็นภรรยาของข้า""ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจข้า หากเจ้าชอบนาง ก็สามารถไล่ตามความรู้สึกของเจ้าได้อย่างเต็มที่"เยียนเซียวหรานได้ยินถ้อยคำนี้แล้วก็ไม่รู้จะตอบกลับเช่นไรเยียนอ๋องซื่อจื่อเอื้อมมือไปตบไหล่เขา แต่มือของเขากลับทะลุผ่านร่างอีกฝ่ายไปเขาชะงักไปชั่วครู่ ซึ่งในเวลานี้เอง ที่เขาได้ตระหนักถึงความจริงว่าตนได้จากโลกนี้ไปอย่างแท้จริงเขาตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงที่แผ่วเบา "การได้พบกับคนที่ตนชอบไม่ใช่เรื่องง่าย""เมื่อพบเจอแล้ว ก็ควรทะนุถนอมให้ดี""ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า สิ่งที่ข้าปรารถนามากที่สุดก็คือขอให้เจ้ามีชีวิตที่เป็นสุข"เยียนเซียวหรานได้ยินดังนั้นดวงตาก็พลันร้อนผ่าว เอ่ยด้วยเสียงที่แผ่วเบา "พี่ใหญ่ ข้าจะทำตามที่ท่านบอก"เย
ซือเจ๋อเยว่เอ่ยด้วยความรู้สึกประทับใจ “เยียนอ๋องกับพระชายาช่างให้กำเนิดบุตรชายได้ดีนัก อีกทั้งยังอบรมสั่งสอนอย่างยอดเยี่ยม” เมื่อไป๋จื้อเซียนที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ยิน สีหน้าไม่สบอารมณ์ทันที “พวกเขาจะเก่งกว่าข้าหรือ?” ซือเจ๋อเยว่ยังคงไม่ชินกับการที่ไป๋จื้อเซียนอยู่ข้างกายเขาฝึกฝนมาหลายปี ฝีมือเลิศล้ำอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นหูหรือสายตาล้วนเกินขีดจำกัดของมนุษย์ธรรมดา ที่สำคัญเขาก็มีพฤติกรรมประหลาด ชอบเอาตนเองไปเปรียบเทียบกับเยียนเซียวหรานทุกเรื่อง นางคิดว่าสมองของเขาคงมีปัญหา เพราะยามนี้เขายังไม่ได้เป็นแม้กระทั่งสหายของนางเลยด้วยซ้ำ แต่กลับมาขอให้นางเปรียบเทียบกับคนรักของนาง เช่นนี้แล้วจะเปรียบเทียบได้หรือ?แต่เพราะนิสัยของเขาเอาแน่เอานอนไม่ได้ ยามนี้นางยังไม่อยากมีปัญหากับเขา นางจึงตอบกลับไป “แต่ละคนก็มีข้อดีของตนเอง แต่หากเอ่ยถึงเรื่องต่อสู้ แม้คุณชายไป๋จะไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า แต่ก็ต้องติดหนึ่งในสามอันดับแน่นอน” “เรียกข้าว่าจื้อเซียน” ไป๋จื้อเซียนเหลือบมองนางตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เอื่อยเฉื่อย “คุณชายไป๋อะไร ฟังดูห่างเหินนัก” ชื่อปาเลี่ยที่ยืนฟังด้วยความสนใจอยู
ซือเจ๋อเยว่จ้องมองชื่อปาเลี่ยด้วยแววตาที่จริงจัง “เสี่ยวเลี่ย เจ้าไม่เพียงแต่เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ ทั้งยังกล้าหาญอย่างแท้จริง" "เจ้าจะทนเห็นทหารกล้าพวกนั้นถูกสังหาร และยังต้องถูกกล่าวหาด้วยความอัปยศได้หรือ?” ชื่อปาเลี่ยอ้าปากกำลังจะตอบ แต่ซือเจ๋อเยว่รีบชิงเอ่ยก่อน “แน่นอนว่าเจ้าย่อมไม่เต็มใจ!” “ก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกข้า ว่าทหารเหล่านั้นคือวีรบุรุษ ดวงวิญญาณของพวกเขาถูกฝังในดินแดนต่างถิ่นก็ถือว่าน่าเวทนาเพียงพอแล้ว พวกเขาไม่ควรต้องถูกกล่าวร้ายซ้ำอีก!” ชื่อปาเลี่ยพยายามย้อนคิดอย่างจริงจัง “ข้าเคยเอ่ยเช่นนั้นหรือ?” ซือเจ๋อเยว่ตอบกลับ “แน่นอนว่าเคย!” "ข้าคิดว่าในเมื่อพวกเราล้วนเป็นสหาย ก็ควรร่วมแรงร่วมใจกัน"“สำคัญที่สุดคือหากเจ้าไม่ร่วมมือกับพวกข้า พวกเขาก็ไม่มีทางยอมรับแน่” "ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่า หากเจ้าสามารถล้างมลทินให้ดวงวิญญาณทั้งห้าหมื่นดวงได้ ก็จะสั่งสมบุญกุศลอันยิ่งใหญ่"ชื่อปาเลี่ยฟังคำกล่าวของนางหัวใจพลันสั่นสะเทือน เขาหันไปมอง ก็เห็นว่าเยียนอ๋องซื่อจื่อและดวงวิญญาณของเหล่าทหารจ้องมองเขาอยู่ เขานึกถึงบรรดาซากศพใต้ภูเขาเชียนจั้งที่สลายกลายเป็นธุลีดินแม้ว่าเข
“ก่อนที่ท่านจะสิ้นใจคงไปกระตุ้นค่ายกลมายาเข้า ภาพที่ท่านเห็นทั้งหมดล้วนเป็นความเท็จ” เยียนอ๋องซื่อจื่อชะงักไปชั่วครู่แล้วเอ่ยขึ้น “ความเท็จ?” ซือเจ๋อเยว่ที่อยู่ข้างกายเอ่ยขึ้น “ใช่แล้ว ท่านลองคิดดูให้ดี หากสิ่งที่ท่านเห็นเป็นเรื่องจริง ท่านซึ่งถูกพันธนาการอยู่ที่นี่จะสามารถมองเห็นราชโองการไว้อาลัยของฮ่องเต้ได้อย่างไร?” “ซึ่งข้าก็อยู่ในเมืองหลวงมาโดยตลอด เป็นเพราะตั้งแต่จวนเยียนอ๋องพ่ายศึกก็มีข้อถกเถียงมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฮ่องเต้เจาหมิงจึงไม่เคยออกโองการไว้อาลัยให้” เมื่อเยียนอ๋องซื่อจื่อพยายามระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ก็ขมวดคิ้วเข้มเป็นความจริง เมื่อไตร่ตรองให้ดี ก็จะพบว่ามันมีจุดบกพร่องทางตรรกะอยู่มากมาย เป็นเพราะกว่าครึ่งของดวงวิญญาณของเขาถูกพันธนาการไว้ที่นี่ เขาเอ่ยถาม “หากเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือของฮ่องเต้สุ…ฮ่องเต้ แล้วเป็นฝีมือของผู้ใดกันแน่?” เยียนเซียวหรานตอบไป “ข้ากับองค์หญิงได้สืบสวนเรื่องนี้มาตลอด และหลักฐานทั้งหมดชี้ไปที่จวนหนิงกั๋วกง” “พวกเขาร่วมมือกับพวกเต๋าสายดำใช้วิชาอาถรรพ์สร้างค่ายกลอันชั่วร้าย พวกเขาใช้ดวงวิญญาณของกองทัพหย่งอันนับหมื่นเป็นเครื่องบูช