เหล่าไท่จวินในเวลานี้ก็ไม่สะดวกจะออกจากจวนไปซื้ออีก จึงให้คนนำรูปปั้นวีรบุรุษเต๋านี้ย้ายไปไว้ที่ห้องข้าง ๆ ถวายธูปเทียนและเครื่องเซ่นไหว้หลากชนิดบรรดาสตรีที่อยู่ในจวนอ๋องก็มากราบไหว้มรรคาจารย์เต๋าด้วยกัน เพื่อขอพรให้มรรคาจารย์เต๋าปกป้องซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานซือเจ๋อเยว่ไม่รู้ว่านางเพียงคนเดียวทำให้ทุกคนในจวนอ๋องนับถือลัทธิเต๋า ไม่นับถือพระพุทธศาสนาอีกต่อไป นางและรถม้าของเหยียนเซียวหรานในเวลานี้ได้ออกจากเมืองหลวงไปแล้วตอนที่พวกเขาขับออกนอกเมืองหลวง ไป๋จื้อเซียนที่กำลังมุดหัวดูดกลืนพลังชั่วร้ายอยู่อย่างบ้าคลั่งก็ลืมตาขึ้นเขาบำเพ็ญเพียรมาพันปี ถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่วิญญาณยังคงแข็งแกร่งตามเดิมความแค้นของเขาที่มีต่อซือเจ๋อเยว่ ได้ฝังลึกเข้าไปในส่วนลึกของวิญญาณเขาแล้วเขาค่อนข้างอ่อนไหวต่อการเคลื่อนไหวของนางเป็นอย่างยิ่ง ทันทีที่นางออกจากเมืองหลวง เขาก็รู้ได้ทันทีภายในดวงตาที่อ่อนโยนเป็นอย่างยิ่งคู่นั้นก็ปรากฏความเย็นยะเยือกออกมา “คิดจะหนีรึ? ไม่ง่ายแบบนี้หรอก!”เหวยอิ้งหวนในเวลานี้ได้มาถึงศาลต้าหลี่แล้ว ตอนที่เขากำลังตรวจหนังสือราชการก็เหมือนกับสัมผัสอะไรบางอย่างไ
ทั่วทั้งภายในคุกหลวง นอกจากนักโทษแล้ว ก็ไม่เห็นดวงวิญญาณแม้แต่ดวงเดียวเหวยอิ้งหวนมีความสุขขึ้นมาทันที หรือว่าตาทิพย์ของเขาปิดอีกแล้ว?เขาดีใจได้ไม่ทัน ก็ได้ยินเสียงของชายชราดังลอยมา “ใต้เท้า ครั้งก่อนวิญญาณดุร้ายดวงนั้นบุกเข้ามา จับดวงวิญญาณทั้งหมดกินไปแล้ว!”“ใต้เท้า ท่านทวงความยุติธรรมให้พวกเราด้วยนะขอรับ! ไม่อย่างนั้นเขามุทะลุและดุดันแบบนั้น คาดว่าภายหน้าดวงวิญญาณของเมืองหลวงจะต้องถูกเขาจับกินจนหมดแน่!”เหวยอิ้งหวน “...”ที่แท้ไม่ใช่เพราะตาทิพย์ของเขาถูกปิด แต่เป็นเพราะวิญญาณทั้งหมดในศาลต้าหลี่ถูกวิญญาณดุร้ายจับกินไปหมดแล้วชายชราคนนั้นยังคงบ่นพึมพำอยู่ “ใต้เท้า วิญญาณดุร้ายดวงนั้นที่ข้าเห็น เขาสวมเสื้อผ้าสีแดง หน้าตาหล่อเหลามาก แต่ก็โหดร้ายมากเช่นกัน!”เหวยอิ้งหวน “...”เขาคิดว่าวิญญาณดวงนี้ที่อยู่ตรงหน้าจุดความสนใจค่อนข้างเบี่ยงเบน จนป่านนี้แล้ว ยังใส่ใจว่าวิญญาณดวงนั้นหน้าตาดีหรือไม่เขาไม่ได้สนใจวิญญาณดวงนั้น ตรงไปที่จวนเยียนอ๋องทันทีถึงแม้เหล่าไท่จวินจะไม่รับแขก แต่เหวยอิ้งหวนเป็นกรณีพิเศษนางบอกเรื่องที่เยียนเซียวหรานกับซือเจ๋อเยว่น่าจะไปที่ช่องเขากรงเสือกับเหวยอิ
ซือเจ๋อเยว่ในเวลานี้นั่งอยู่บนรถม้า จามอย่างรุนแรงอยู่หลายทีนางสูดจมูกกล่าว “ใครกำลังด่าข้า?”เยียนเซียวหรานมองนางแวบหนึ่งกล่าว “คงจะเป็นใต้เท้าเหวยกระมัง”ซือเจ๋อเยว่นึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่แอบเบิกตาทิพย์ให้แก่เหวยอิ้งหวน วิธีการเบิกดวงตาแห่งสวรรค์ของนางเมื่อคืนนี้ค่อนข้างพิเศษ ตอนนั้นไม่ได้เปิด จะต้องรอจนถึงตอนเช้าวันนี้ถึงจะเปิดเมื่อลองนับดูเวลา ตอนนี้ตาทิพย์ของเหวยอิ้งหวนก็คงจะเปิดได้ครู่หนึ่งแล้ว คนที่แอบด่านางเป็นไปที่จะเป็นเหวยอิ้งหวนในเวลานี้คงจะโมโหจนกระหืดกระหอบแล้วซือเจ๋อเยว่เบะปากเล็กน้อย กล่าวว่า “เขาใจแคบเกินไปแล้ว! การแอบด่าคนอื่น ช่างไม่เป็นสุภาพบุรุษอย่างยิ่ง”สำหรับคำพูดนี้ของนาง เยียนเซียวหรานทำเพียงยิ้มเล็กน้อยเท่านั้นหลังจากพลบค่ำ พวกเขาก็เข้าพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ภายในโรงเตี๊ยมเหลือเพียงห้องเดียวเท่านั้นเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “คุณชายกับฮูหยินเดิมทีก็เป็นสามีภรรยากัน นอนห้องเดียวกันก็เป็นเรื่องปกติมาก”ซือเจ๋อเยว่ “...”เยียนเซียวหราน “...”ทั้งสองคนออกจากออกนอกบ้านถูกคนมองว่าเป็นสามีภรรยา ยังรู้สึกแปลก ๆ กับความรู้สึกแบบนี้เพียง
ตอนที่ทั้งสองคนข้ามาท่าทางสนิทสนมกันปกติ เพียงแต่ตอนนั้นเป็นเพราะมีเหตุผลหลายอย่าง ไม่เหมือนกับคืนนี้...เขายืนอยู่ที่ริมระเบียงของทางเดิน ปล่อยให้ลมยามราตรีพัดผ่านใบหน้าของเขา พยายามข่มความคิดที่เดิมไม่ควรมีในใจลงไปซือเจ๋อเยว่อาบน้ำเสร็จ ก็รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่านางเปิดประตูห้องเห็นเยียนเซียวหรานยืนอยู่ที่หน้าประตู ถามเขา “เจ้าจะอาบน้ำด้วยหรือไม่?”เยียนเซียวหรานตอบคำหนึ่ง หันหลังกลับก็เดินเข้าไปข้างในห้อง จากนั้นก็ปิดประตูซือเจ๋อเยว่ “...”นางจะให้เขาไปเอาน้ำสำหรับอาบมาใหม่ ไม่ใช่ให้เขาอาบน้ำต่อจากน้ำที่นางใช้อาบไปแล้ว!ทำแบบนี้มัน...จะน่าอายเกินไปหน่อย!นางรีบเคาะประตูที่ด้านนอก “เซียวหราน เจ้าช่วยเทน้ำที่ข้าอาบทิ้งที ข้าจะไปให้เด็กของโรงเตี๊ยมนำน้ำร้อนมาให้เจ้าใหม่นะ!”เยียนเซียวหราน “...”ตอนที่เขาเดินเข้ามาไม่ได้คิดมาก หลังจากที่หันหน้ากลับไปมองน้ำในอ่างน้ำก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างพวกเขาไม่ใช่สามีภรรยากันจริง ๆ จะอาบน้ำถังเดียวกันได้อย่างไรเมื่อเขาได้ยินคำพูดของซือเจ๋อเยว่ ในใจก็ค่อนข้างรู้สึกเขินอาย โชคดีที่นางช่วยเตือนสติเขา!เขากระแอมเบา ๆ ทีหนึ่ง “...ไ
ช่องเขากรงเสือคือสถานที่ที่เยียนอ๋องซื่อจื่อสิ้นชีพในการต่อสู้ วิญญาณมักมีความใส่ใจต่อสถานที่ที่ตนเองจากไปเป็นพิเศษ การที่พวกเขาจะเดินทางไปยังช่องเขากรงเสือในครั้งนี้อาจจะได้พบเจอกับเขา ซือเจ๋อเยว่เมื่อเห็นว่าเยียนเซียวหรานมีอารมณ์หม่นหมอง นางจึงยื่นมือไปตบไหล่เขาเบาๆ พลางเอ่ยขึ้น “การเดินทางไปยังช่องเขากรงเสือในครั้งนี้ พวกเราต้องได้อะไรบางอย่างแน่นอน” “เมื่อพวกเรากลับมา คดีของจวนเยียนอ๋องก็น่าจะปิดลงได้เสียที” “หลังจากที่คดีสิ้นสุดลง เจ้าก็หาวิธีที่จะสืบทอดตำแหน่ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเจ้าได้เป็นเยียนอ๋องคนใหม่ เจ้าจะสามารถนำพาจวนเยียนอ๋องไปสู่ความรุ่งโรจน์ในระดับใหม่ได้อย่างแน่นอน” เมื่อเยียนเซียวหรานสบสายตาที่กระจ่างใสของซือเจ๋อเยว่ หัวใจของเขาก็สงบลงทันที เขาพยักหน้าเบาๆ พลางเอ่ยขึ้น “ท่านพูดถูก” ซือเจ๋อเยว่แย้มยิ้มให้เขาเล็กน้อย “เอาล่ะ ยามนี้ค่ำแล้ว พวกเราควรนอนแต่หัวค่ำ พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางอีกแต่เช้า” เมื่อเอ่ยจบนางก็ปีนขึ้นเตียงไป เยียนเซียวหรานสบตานางด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความคิด แต่ไม่ได้กล่าวอันใด เขาเดินไปยังเตียงแล้วล้มตัวลงนอนข้างๆ นาง ใช้สองนิ้วดับตะเกียงน
การที่ต่างก็นิยมฝึกศิลปะการต่อสู้ย่อมมีข้อเสียอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือมีโอกาสสูงที่จะเกิดเรื่องวิวาท อีกทั้งด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็น ผู้คนส่วนใหญ่จึงชื่นชอบการดื่มสุรา เมื่อดื่มสุราแล้ว เรื่องวิวาทก็ยิ่งเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าเดิม ระหว่างทางที่เยียนเซียวหรานและซือเจ๋อเยว่เดินทางมา พวกเขาได้เห็นเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นหลายครั้ง ทว่าชาวบ้านในแถบนั้นกลับดูชินชากับเหตุการณ์เช่นนี้ เสียจนไม่แม้แต่จะสนใจออกมายืนดู เยียนเซียวหรานปกป้องซือเจ๋อเยว่ตลอดเส้นทาง จนกระทั่งพวกเขามาถึงโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณนี้ ขณะพวกเขาเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม ก็มีคนหนึ่งเดินสวนออกมา และชนเข้ากับไหล่ของซือเจ๋อเยว่ บุรุษคนนั้นสบถด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เดินไม่ดูทางหรืออย่างไร…โอ้ เป็นแม่โฉมงามเสียด้วย!” เมื่อเอ่ยจบเขาก็ยื่นมือมุ่งหมายจะแตะใบหน้าของซือเจ๋อเยว่ แต่เยียนเซียวหรานกลับคว้าข้อมือเขาไว้ได้ทัน พลางบิดข้อมือจนอีกฝ่ายร้องออกมาด้วยเสียงแหลมราวกับหมูถูกเชือด บุรุษคนนั้นรีบตะโกนเสียงดัง “ปล่อยมือ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด บังอาจมาหาเรื่องข้า ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร!” เยียนเซียว
ชื่อปาเลี่ยกล้าพนันด้วยชีวิตของเขาว่าเยียนเซียวหรานจะต้องหลงใหลสตรีที่งดงาม แม้จะมีรูปร่างที่ซูบผอมนางนี้อย่างแน่นอน สตรีผู้นี้มีเสน่ห์ที่ยากจะอธิบาย เพียงแค่กวาดตามองก็เผยให้เห็นความสง่างามที่แตกต่างไปจากคนอื่น แม้นางจะไม่ใช่ผู้ที่มีความงามไร้ผู้ที่มาทัดเทียม แต่กลับมีความโดดเด่นในแบบของตนเอง ดวงตาของนางใสกระจ่าง ราวกับสามารถมองทะลุถึงจิตใจของผู้คนได้ เมื่อซือเจ๋อเยว่เห็นชื่อปาเลี่ยมองนาง นางจึงแย้มยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ชื่อปาเลี่ยรู้สึกว่ารอยยิ้มของนางนั้น เจิดจรัสยิ่งกว่าดอกท้อที่บานสะพรั่งอยู่หน้าที่พักม้าเสียอีก เขาไม่ทันได้ระวัง จึงเกือบสะดุดล้มจนหน้าคะมำ เยียนเซียวหรานหันศีรษะกลับมามองเขา ชื่อปาเลี่ยจึงรีบเอ่ยขึ้นมาทันที “เมื่อครู่ข้าก้าวพลาดไปนิดหน่อย หากเสียงดังรบกวนคุณชายสาม ข้าต้องขออภัยด้วย” เยียนเซียวหรานกระตุกยิ้ม ก่อนจะหันกลับมามองซือเจ๋อเยว่ นางยกมือขึ้นเล็กน้อยพร้อมทำสีหน้าที่ไม่รับรู้เรื่องใด เมื่อชื่อปาเลี่ยเห็นท่าทางของทั้งสอง ก็ยิ่งมั่นใจว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกัน ทว่าพวกเขากลับเปิดห้องพักสองห้อง เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สามีภรรยา หรือจะเ
เยียนเซียวหรานไม่ได้ตอบ เพียงแต่เอ่ยขึ้น “เจ้ายังรู้อะไรเกี่ยวกับศึกครั้งนั้นอีกบ้าง?” ชื่อปาเลี่ยคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบไป “ข้าได้บอกสิ่งที่รู้ไปหมดแล้ว ไม่มีอันใดที่พิเศษไปกว่านี้” แววตาของเยียนเซียวหรานลึกล้ำขึ้น พลางเอ่ยด้วยเสียงที่หนักแน่น “เจ้ากลับไปจัดการธุระของตนเองให้เรียบร้อย แล้วพรุ่งนี้ออกเดินทางเพื่อสำรวจเส้นทางที่เสด็จพ่อของข้าใช้ในการทำศึกอีกครั้ง” “หา?” ชื่อปาเลี่ยแสดงที่บ่งบอกถึงความตกใจ เขากำลังจะเอ่ยต่อ เยียนเซียวหรานก็ถามขึ้น “ทำไม? เจ้าไม่เต็มใจหรือ?” ชื่อปาเลี่ยรีบตอบทันที “เต็มใจ เต็มใจ! แน่นอนว่าข้าเต็มใจขอรับ!” เยียนเซียวหรานเหลือบตามองเขาอย่างเฉยเมย “พรุ่งนี้เมื่อถึงยามเฉิน มาพบข้าที่โรงเตี๊ยม” ชื่อปาเลี่ยรับคำอย่างรีบร้อน เขาเหลียวมองไปทางซือเจ๋อเยว่พลางถามว่า “แม่นางน้อยผู้นี้คือ…” เยียนเซียวหรานเอ่ยด้วยเสียงที่เย็นชา “ฐานะของนางไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรถาม” ชื่อปาเลี่ยรีบพยักหน้าแล้วโค้งตัวคำนับ “ใช่แล้ว ใช่แล้ว ข้าจะไม่ถามขอรับ” หลังจากที่เอ่ยจบเขาก็เตรียมตัวออกไป แต่ซือเจ๋อเยว่กลับเรียกเขาไว้ “เจ้าอย่าได้คิดหนีไปกลางดึกเชียว!” “หากเจ้าหน
เขาจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา "เป็นข้าที่ไร้เดียงสาเกินไป คิดว่าเรื่องราวระหว่างเราจะต่างออกไป" "แต่ข้ากลับลืมไปว่า เจ้าเป็นคนของสำนักเต๋า เราสองคนก็อยู่กันคนละฝ่ายตั้งแต่แรกเริ่ม" "ซือเจ๋อเยว่ ตั้งแต่นี้ไปข้าขอตัดขาดจากเจ้า หากพบกันอีก ข้าจะฆ่าเจ้าแน่นอน!" เมื่อเอ่ยจบเขาก็หยิบของสิ่งหนึ่งจากร่างกายแล้วขว้างออกไป สิ่งนั้นทำหน้าที่รับแรงโจมตีจากค่ายกลแทนเขา ก่อนที่ตัวเขาจะพุ่งออกจากค่ายกลราวกับดาวตกก็ไม่ปาน ซือเจ๋อเยว่รีบไล่ตามออกไป แต่ภายนอกกลับไร้เงาของไป๋จื้อเซียน นางรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง วันนี้เขาเข้าใจนางผิด แล้วจากไปเช่นนี้ ภายภาคหน้าก็ไม่อาจล่วงรู้เลยว่าจะเกิดอันใดขึ้นอีก ยังดีที่เขาเคยสาบานต่อสวรรค์ ว่าจะไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ อย่างน้อยสถานการณ์ก็ยังไม่เลวร้ายถึงระดับนั้น แต่เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาขาดสะบั้นในบัดนี้ ด้วยนิสัยของเขา ย่อมต้องหาหนทางสังหารนางให้ได้อย่างแน่นอน! นางคิดว่าตนเองยังคงประเมินไป๋จื้อเซียนต่ำเกินไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถหลบหนีออกจากค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาได้ เยียนเซียวหรานถามขึ้น "เมื่อครู่นี้เกิดอันใดขึ้น?" ซือเจ๋อเยว่ถอนหายใจ "ตุ๊
ซือเจ๋อเยว่ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้นับหลังจากตั้งแต่ที่อาจารย์สามปั้นเสร็จแล้ววางไว้ที่นี่ ก็ไม่เคยมีความรู้สึกอะไรนางคิดมาตลอดว่าอาจารย์สามทำเช่นนี้เพราะจะหยอกนางเล่น ไม่คิดเลยว่าจนกระทั่งวันนี้จะมีความเคลื่อนไหวแล้วที่ประตูมีเสียงของไป๋จื้อเซียนดังลอยเข้ามา “เจ้าล่อลวงข้ามาที่นี่ ก็เพราะอยากจะฆ่าข้าใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ากลับไปมองก็เห็นไป๋จื้อเซียนยืนอยู่ที่หน้าประตู ตุ๊กตาดินเผาเหล่านั้นรวมตัวกันกลายเป็นค่ายกล จะจัดการกับเขาหลังจากที่วันนี้เขาเดินเข้ามาในสำนักเต๋า ความสามารถทุกด้านก็ถูกลดทอนลง ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้ยังเป็นตุ๊กตาที่อาจารย์สามปั้นขึ้นเองกับมืออีกด้วย ด้านในมีค่ายกลที่ร้ายแรงเป็นอย่างยิ่งซ่อนอยู่ไป๋จื้อเซียนในเวลานี้ถูกค่ายกลนี้ขังเอาไว้ ไม่สามารถดิ้นให้หลุดได้เขาเกิดความสงสัยมาก ประกอบกับก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่อยากจะจัดการเขามาตลอด เขาจึงคิดว่านางเป็นผู้ควบคุมให้ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้มาจัดการเขาก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่เคยคิดอยากจะจัดการเขาในสำนักเต๋าจริง ๆ แต่เป็นครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางจริง ๆเป็นเพราะร่างกายที่พิเศษเ
ความทรุดโทรมนี้เริ่มปรากฏตั้งแต่ประตูเขาที่เก่าและทรุดโทรม ยาวไปตลอดทางจนถึงกระทั่งถึงโถงใหญ่ของสำนักเต๋าด้านในก็มีเพียงรูปหล่องทองคำปรมาจารย์เต๋าที่ยังมีสภาพดีอยู่เพียงเท่านั้น อาคารอื่น ๆ ของวัดก็สามารถใช้คำว่าชำรุดทรุดโทรมมาบรรยายได้เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมา นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ที่เฝ้าภูเขาก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว ไม่ไปไหนแล้วใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่ได้ยินก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าอาศัยคืนเดียวก็จะไปแล้ว”ใบหน้าของนักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ก็มีสีหน้าผิดหวังปรากฏขึ้นมาทันที นางหยิบทองหนึ่งกำมือออกมาจากมิติคาถาเต๋าแล้วมอบให้เขา “ค่าอาหารของปีนี้”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ใช้สองมือรับทองคำ ใบหน้ามีรอยยิ้มขึ้นมาทันที “อย่างไรเสียศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็เก่งกาจ!”สำนักเต๋าผ่านไปด้วยความยากลำบากมาก ทองคำเหล่านี้เมื่อแลกเป็นเงินก็ได้หลายพันตำลึง เพียงพอที่จะให้พวกเขามีกินได้ถึงสิ้นปีซือเจ๋อเยว่ถามเขา “พวกอาจารย์ออกจากสำนักเต๋าตั้งแต่เมื่อใด?”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ “ทันทีที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ออกไปจากสำนักเต๋า เจ้าสำนักพวกเขาก็ไปแล้ว”ซือเจ๋อเยว่ขมวดคิ้ว “พวกเขาได้บอกหรือไ
ซือเจ๋อเยว่เผชิญหน้ากับสายตาที่แฝงไปด้วยความน้อยใจของไป๋จื้อเซียน นางมีความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยท่าทางเช่นนี้ของเขา เกรงว่าคนที่ไม่รู้จะคิดว่าพวกเขากำลังสุมหัวกันกลั่นแกล้งเขาแต่เรื่องจริงคือเขาเกือบทำให้พวกเขาต้องติดกับดักจนตายในเวลานี้นางจำต้องกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋มาก”ไป๋จื้อเซียนมองนางด้วยสีหน้าน่าสงสารพร้อมกล่าว “เมื่อครู่นี้เจ้าดุข้า”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางสูดหายใจในใจทีหนึ่ง เจ้าหมอนี่แสดงละครเก่งมาก!นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ข้ามีนิสัยใจร้อน เวลามองอะไรก็มักจะมองแค่สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ไม่สู้คุณชายไป๋ที่มองการณ์ไกล”“คุณชายไป๋คาดการณ์เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในตอนหลังได้ตั้งแต่แรกแล้ว ข้าชื่นชมตบะอันล้ำลึกทำให้ข้านับถือจากใจจริง”“ครั้งหน้าหากยังมีเรื่องแบบเดียวกันอีก คุณชายไป๋ได้โปรดแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเสียหน่อย พวกเราจะได้ร่วมมือกันได้ดี”นางพูดจบก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อย “คุณชายไป๋ช่วยพวกเราคำนวณดูหน่อยได้หรือไม่ พวกเรากลับเมืองหลวงครั้งนี้ จะล้มจวนหนิงกั๋วกงได้หรือไม่?”ไป๋จื้อเซียน “...”ถึงแม้เขาจะมีชีวิตอยู่มาหนึ่งพันปีแล้วก็ตาม เรียนรู้เพียงความสามารถฆ
“ถึงแม้วันนี้ข้ากับชื่อปาเลี่ยจะบุกฝ่าออกมาได้ แต่ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด”“การล้อเล่นแบบนี้ อย่างไรคุณชายไป๋ช่วยลดลงหน่อยจะดีมาก”ไป๋จื้อเซียนจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา เขาหันหน้าไปมองไป๋จื้อเซียน โดยไม่ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อยชื่อปาเลี่ยที่อยู่ข้าง ๆ พูดไกล่เกลี่ย “ครั้งนี้พวกข้าไม่เป็นอะไร อย่างไรก็ช่างเถอะ”ความโกรธที่ไป๋จื้อเซียนมีอยู่มากมายไม่มีที่ระบาย ยกมือขึ้นแล้วสะบัดทำให้ชื่อปาเลี่ยลอยกระเด็นออกไปชื่อปาเลี่ย “!!!!!”หากวันหลังเขายังกล้าสอดเรื่องของพวกเขาอีก เขาก็คือก็คือไอ้ลูกหมา!เขากระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ร้องโอ๊ยออกมาทีหนึ่งซือเจ๋อเยว่รีบยื่นมือออกไปประคองชื่อปาเลี่ย “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”ชื่อปาเลี่ยกุมหน้าอกกล่าว “ข้าเจ็บหน้าอกนิดหน่อย”ในระหว่างที่พูดเขารู้สึกผิดปกติบริเวณหน้าอก ยื่นมือออกไปแล้วล้วง ไม่คิดเลยว่าจะควักสมุดบันทึกเล็ก ๆ เล่มหนึ่งออกมาจากข้างใน “นี่มันอะไรกัน?”หลังจากซือเจ๋อเยว่รับมาก็เปิดสมุดบันทึกเล่มเล็ก พบว่าเป็นสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้ายฉบับนั้นที่เยียนอ๋องซื่อจื่อกล่าวไว้นางทั้งตกใจทั้งดีใจ “นี่คือสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้าย!”เยียนเซียวหรา
ซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ข้าไม่เป็นอะไร”นางพูดจบก็กล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”เยียนเซียวหรานยิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นอะไร”เขาพูดจบก็ประสานมือคำนับไป๋จื้อเซียนกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋ที่พาองค์หญิงออกมาได้อย่างปลอดภัย ทำให้ข้าไม่ต้องเป็นพะวงที่จะบุกฝ่ากองทัพออกมา”สีหน้าของไป๋จื้อเซียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เรื่องนี้เขาวางแผนทำร้ายเยียนเซียวหราน เยียนเซียวหรานขอบคุณเขาจึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมากยังมีท่าทีของซือเจ๋อเยว่อีก ในดวงตาของนางมีเพียงเยียนเซียวหรานเท่านั้น ไม่มีเขาเลยแม้แต่น้อยความรู้สึกแบบนี้ทำให้ไป๋จื้อเซียนไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งเขารู้สึกไม่พอใจ จึงอยากจะทำร้ายชื่อปาเลี่ยอีกครั้งดวงตาของเขากวาดมองไปยังชื่อปาเลี่ย ชื่อปาเลี่ยได้หลบไปอยู่ที่ด้านหลังของซือเจ๋อเยว่อย่างรวดเร็ว “คุณชายไป๋จะทำร้ายข้า องค์หญิงช่วยด้วย!”ซือเจ๋อเยว่รู้ว่าไป๋จื้อเซียนมีนิสัยขี้โมโห เขาติดตามอยู่ข้าง ๆ พวกเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับระเบิดเวลา ไม่รู้ว่าจะเบิดขึ้นเมื่อไหร่เพียงแต่หากปล่อยเขาไป วันข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะก่อเหตุวุ่นวายอะไรขึ้นอีกนางคิดว่า อย่างไรเสียก็ต้องคิดหาว
เขายิ้มแย้มพร้อมกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ข้าพาเจ๋อเยว่นำไปก่อน พวกเจ้าสู้ ๆ ล่ะ”ซือเจ๋อเยว่ “...”เยียนเซียวหราน “...”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยความร้อนใจ “นี่ เจ้าพาพวกเขาไปด้วยกันสิ!”ไป๋จื้อเซียนกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “สถานการณ์แบบนี้ไม่ฆ่าคนก็พาพวกเขาออกไปไม่ได้”“ก่อนหน้านี้ข้าเคยสาบานต่อสวรรค์ไว้ว่า ไม่สามารถลงมือฆ่าคนได้โดยไม่มีสาเหตุ ดังนั้น...”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ามองเขา ในดวงตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ทั้งสองข้างของเขาแฝงไปด้วยหยอกเย้า ท่าทางเหมือนกับกำลังดูละครด้วยความสุขนางรู้ดีว่า เรื่องในวันนี้เขานั้นเจตนา!นางรู้ดีว่า คนที่ชั่วร้ายเช่นไป๋จื้อเซียนจะยอมร่วมมือกับพวกเขาได้อย่างไร?นางกล่าวด้วยความร้อนใจ “ปล่อยข้าลง! ข้าจะไปช่วยพวกเขา!”ไป๋จื้อเซียนยิ้มด้วยความร่าเริงพร้อมกล่าว “ตอนนี้ด้านล่างมีแต่คน ทั้งเจ้ายังไม่เป็นวรยุทธ์ หากลงไปจริง ๆ ก็รังแต่จะยิ่งอันตราย”“อีกอย่าง ขอเพียงเจ้าสงบ เยียนเซียวหรานก็จะไม่เป็นพะวง ก็สามารถแสดงความสามารถของเขาได้อย่างเต็มที่”“ข้าเชื่อ ด้วยความสามารถของเขา ต้องสามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้แน่ ปลอดภัยหายห่วง” ซือเจ๋อเยว่ค้อนเขา เขากะพริบตาใส
เยียนเซียวหรานกวัดแกว่งกระบี่ในมืออย่างสุดแรง พยายามพาซือเจ๋อเยว่พุ่งตัวออกไปด้านนอกชื่อปาเลี่ยกลับด่าทออย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงนั้น “ไอ้แม่งเอ๊ย ครั้งก่อนเกือบตายที่ด่านอวิ๋นหลิ่ง ครั้งนี้ยังจะมาอีก!”เขาพูดจบก็กล่าวกับซือเจ๋อเยว่อีก “องค์หญิง ค่ายกลนั่นของท่านเมื่อครั้งก่อน เอาออกมาใช้อีกครั้งได้หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “เอามาใช้อีกครั้ง ข้าก็สามารถตายตรงนี้ต่อหน้าพวกเจ้าได้เลย!”ชื่อปาเลี่ย “...”เยียนเซียวหรานกล่าวเสียงขรึม “เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว พุ่งไปข้างหน้าด้วยกันกับข้า”ซือเจ๋อเยว่ครุ่นคิด ครั้งนี้อยู่ภายในห้องปิดตาย จะอย่างไรก็ต้องพุ่งตัวเข้าไปหาก่อนดังนั้นนางจึงหยิบยันต์ออกมา ใช้คาถาเต๋าทำให้ระเบิด ภายในชั่วพริบตา ภายในห้องก็มีลมกระโชกแรงเกิดขึ้น พัดทหารยามพวกนั้นที่อยู่หน้าประตูลอยกระเด็นออกไปข้างนอกชื่อปาเลี่ยหลบไม่ทัน หัวจึงกระแทกพื้นเยียนเซียวหรานอยากจะจับเขาเอาไว้ แต่ลมแรงเกินไป จึงทำให้ไม่สามารถจับเขาได้เลยซือเจ๋อเยว่คว้าขาของชื่อปาเลี่ยเอาไว้แล้วกล่าว “รีบไป!”ชื่อปาเลี่ย “!!!!!!”เขาเองก็อยากจะหนีไปโดยเร็วเช่นกัน แต่ปัญหาคือลมทั้งรุนแ
สิ่งของที่อยู่ด้านในมองดูค่อนข้างสลับซับซ้อน กองกันเละเทะ ทันทีที่ดูก็รู้ว่าหลังจากถูกใครบางคนรื้อค้นจนเละเทะ ก็ไม่ได้จัดระเบียบใหม่ภายในห้องที่รกรุงรังแบบนี้ อยากจะตามหาสิ่งของที่พวกเขาอยากได้ เหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หลังจากที่ซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานรื้อค้นรอบหนึ่ง ก็ไม่ได้อะไรแม้แต่อย่างเดียวทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ก็เห็นความจนปัญญาจากดวงตาของอีกฝ่ายภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ราวกับว่าไม่มีความจำเป็นที่จะตามหาต่อไปแล้วในเวลานี้เอง เสียงของทหารยามก็ดังลอยมาจากหน้าประตู “ใครกัน?”ซือเจ๋อเยว่รีบเก็บไข่มุกราตรีลงไป ด้านในจึงกลับคืนสู่ความมืดอีกครั้งเนื่องจากเมื่อครู่นี้ทหารยามได้เห็น ‘การแสดง’ ของไป๋จื้อเซียน ภายในใจจึงหวาดกลัวเป็นอย่างมากแต่เพราะมีคำสั่งของนายพลที่เฝ้าด่าน เขาจึงไม่กล้าละทิ้งหน้าที่โดยพลการอีก จึงเรียกเพื่อนร่วมงาน ตั้งใจว่าจะจุดเทียนแล้วเข้าไปตรวจค้นด้านในตอนที่เขากำลังจะเปิดประตู ทหารยามคนนั้นก็หันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นใบหน้าที่ชั่วร้ายของไป๋จื้อเซียน เสื้อผ้าสีแดงราวกับเลือดทหารยามไม่ได้รู้สึกตัวในทันที ยังถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”ไป๋จื้อ