ชื่อปาเลี่ยกล้าพนันด้วยชีวิตของเขาว่าเยียนเซียวหรานจะต้องหลงใหลสตรีที่งดงาม แม้จะมีรูปร่างที่ซูบผอมนางนี้อย่างแน่นอน สตรีผู้นี้มีเสน่ห์ที่ยากจะอธิบาย เพียงแค่กวาดตามองก็เผยให้เห็นความสง่างามที่แตกต่างไปจากคนอื่น แม้นางจะไม่ใช่ผู้ที่มีความงามไร้ผู้ที่มาทัดเทียม แต่กลับมีความโดดเด่นในแบบของตนเอง ดวงตาของนางใสกระจ่าง ราวกับสามารถมองทะลุถึงจิตใจของผู้คนได้ เมื่อซือเจ๋อเยว่เห็นชื่อปาเลี่ยมองนาง นางจึงแย้มยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ชื่อปาเลี่ยรู้สึกว่ารอยยิ้มของนางนั้น เจิดจรัสยิ่งกว่าดอกท้อที่บานสะพรั่งอยู่หน้าที่พักม้าเสียอีก เขาไม่ทันได้ระวัง จึงเกือบสะดุดล้มจนหน้าคะมำ เยียนเซียวหรานหันศีรษะกลับมามองเขา ชื่อปาเลี่ยจึงรีบเอ่ยขึ้นมาทันที “เมื่อครู่ข้าก้าวพลาดไปนิดหน่อย หากเสียงดังรบกวนคุณชายสาม ข้าต้องขออภัยด้วย” เยียนเซียวหรานกระตุกยิ้ม ก่อนจะหันกลับมามองซือเจ๋อเยว่ นางยกมือขึ้นเล็กน้อยพร้อมทำสีหน้าที่ไม่รับรู้เรื่องใด เมื่อชื่อปาเลี่ยเห็นท่าทางของทั้งสอง ก็ยิ่งมั่นใจว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกัน ทว่าพวกเขากลับเปิดห้องพักสองห้อง เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สามีภรรยา หรือจะเ
เยียนเซียวหรานไม่ได้ตอบ เพียงแต่เอ่ยขึ้น “เจ้ายังรู้อะไรเกี่ยวกับศึกครั้งนั้นอีกบ้าง?” ชื่อปาเลี่ยคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบไป “ข้าได้บอกสิ่งที่รู้ไปหมดแล้ว ไม่มีอันใดที่พิเศษไปกว่านี้” แววตาของเยียนเซียวหรานลึกล้ำขึ้น พลางเอ่ยด้วยเสียงที่หนักแน่น “เจ้ากลับไปจัดการธุระของตนเองให้เรียบร้อย แล้วพรุ่งนี้ออกเดินทางเพื่อสำรวจเส้นทางที่เสด็จพ่อของข้าใช้ในการทำศึกอีกครั้ง” “หา?” ชื่อปาเลี่ยแสดงที่บ่งบอกถึงความตกใจ เขากำลังจะเอ่ยต่อ เยียนเซียวหรานก็ถามขึ้น “ทำไม? เจ้าไม่เต็มใจหรือ?” ชื่อปาเลี่ยรีบตอบทันที “เต็มใจ เต็มใจ! แน่นอนว่าข้าเต็มใจขอรับ!” เยียนเซียวหรานเหลือบตามองเขาอย่างเฉยเมย “พรุ่งนี้เมื่อถึงยามเฉิน มาพบข้าที่โรงเตี๊ยม” ชื่อปาเลี่ยรับคำอย่างรีบร้อน เขาเหลียวมองไปทางซือเจ๋อเยว่พลางถามว่า “แม่นางน้อยผู้นี้คือ…” เยียนเซียวหรานเอ่ยด้วยเสียงที่เย็นชา “ฐานะของนางไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรถาม” ชื่อปาเลี่ยรีบพยักหน้าแล้วโค้งตัวคำนับ “ใช่แล้ว ใช่แล้ว ข้าจะไม่ถามขอรับ” หลังจากที่เอ่ยจบเขาก็เตรียมตัวออกไป แต่ซือเจ๋อเยว่กลับเรียกเขาไว้ “เจ้าอย่าได้คิดหนีไปกลางดึกเชียว!” “หากเจ้าหน
เยียนเซียวหรานเล่าถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเขาก็เริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อย “เมื่อครั้งที่ข้าตามเสด็จพ่อมายังชายแดน ในยามนั้นชื่อปาเลี่ยดุดันและดื้อรั้นอย่างยิ่ง ข้าจึงต้องจัดการเขาอยู่หลายครั้ง จนในที่สุดเขาก็เริ่มเชื่อฟัง” ซือเจ๋อเยว่รู้ว่าการจัดการที่เขาเอ่ยถึง นอกจากการลงมือสั่งสอน ก็ยังรวมถึงการใช้วิธีบางอย่างที่ทิ้งความทรงจำลึกซึ้งไว้ให้ชื่อปาเลี่ย จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาหวาดกลัวเยียนเซียวหรานอย่างที่สุด นางว่าพลางยิ้มขึ้น “ดูคล้ายว่าเขาจะถูกเจ้าจัดการอย่างหนัก” เยียนเซียวหรานเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย “ไม่ถึงกับหนักหนาอันใดนัก ข้าเพียงแค่สอนให้เขารู้จักการเป็นคนที่ดีกว่าเดิม แล้วกำหนดกฎเกณฑ์บางอย่างให้เขาเท่านั้น” “ในตอนต้นเขาก็ไม่ค่อยยอมรับนัก แต่เมื่อข้าจัดการเขาหลายครั้งเข้า เขาก็เริ่มเรียนรู้และไม่กล้าทำตัวหยาบคายหรือดื้อรั้นอย่างเมื่อก่อนอีก” “ที่ชายแดนมีอาชีพหนึ่งที่เรียกว่าผู้ลั่นระฆัง ข้าเห็นว่าเขามีแรงเยอะ จึงให้เขานำพวกพ้องของเขาไปทำหน้าที่นี้” ซือเจ๋อเยว่ถามขึ้น “ผู้ลั่นระฆังคืออะไร?” เยียนเซียวหรานถอนหายใจเสียงเบา “ที่ชายแดนมีคำกล่าวกันว่า เมื่อคนตายและวิญ
เขามองเห็นท่าทางของนางก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ซือเจ๋อเยว่นอนจนเกือบหมดยามจื่อ เยียนเซียวหรานถึงปลุกนางให้ตื่น เพื่อไปหาชื่อปาเลี่ยด้วยกันตอนที่พวกเขามาถึง ชื่อปาเลี่ยผลักประตู แล้ววิ่งด้วยเท้าเปล่าออกมาด้านนอกด้านหลังเขามีคนชุดดำหลายคนวิ่งตามออก คนชุดดำเหล่านั้นถือมีดดาบแล้วก็ฟันใส่เขาชื่อปาเลี่ยอ้าปากกำลังจะตะโกน แต่กลับส่งเสียงไม่ออกดวงตาของเยียนเซียวหรานหรี่ลงเล็กน้อย ชักกระบี่แล้วก็พุ่งตัวเข้าไปหา ต่อสู้กับคนชุดดำพวกนั้นทันทีซือเจ๋อเยว่ร่ายคาถา คนชุดดำพวกนั้นเหมือนกับถูกอะไรบางอย่างดึงเอาไว้ ร่างกายไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ทันทีที่กระบี่ในมือของเยียนเซียวหรานขยับ ก็ปาดเข้าที่ลำคอของคนชุดดำพวกนั้นทันทีทันทีที่คนชุดดำ ดวงวิญญาณก็ลอยออกจากร่างซือเจ๋อเยว่ร่ายคาถา เพื่อดึงดวงวิญญาณพวกนั้นกลับมา ถาม “ใครเป็นคนส่งพวกเจ้ามา?”ตอนที่คนชุดดำยังไม่ตาย ซือเจ๋อเยว่เอาชนะไม่ได้ทันทีที่พวกเขาตาย ซือเจ๋อเยว่สามารถบีบบังคับดวงวิญญาณของพวกเขาได้ง่ายดายราวกับบีบโคลนดวงวิญญาณของคนชุดดำตกใจไม่น้อย พวกเขายอมรับความจริงเรื่องที่ตนเองตายไปแล้วไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ทันทีที่พวกเขาหันหน
เมื่อซือเจ๋อเยว่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็หันหน้าไปมอง ในดวงตาเกิดความอาฆาตแค้นขึ้นจวนหนิงกั๋วกงกระทำการโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง แค่เห็นต่างก็จะสังหารผู้คนการกระทำเช่นนี้ เหมือนไม่เหมือนกับปฏิบัติต่อมนุษย์เลยสักนิดนางหันหน้ากลับไปกล่าวกับเยียนเซียวหราน “กลับไปที่โรงเตี๊ยมเพื่อช่วยคนเถอะ”ชื่อปาเลี่ยมองไม่เห็นดวงวิญญาณพวกนั้น เห็นเพียงซือเจ๋อเยว่กำลังพูดคุยกับอากาศ ขนของเขาลุกชันไปทั่วทั้งตัวเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ก่อนหน้านี้เขาก็เห็นถึงความผิดปกติแล้วเขาดึงแขนเสื้อของเยียนเซียวหราน อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พบว่าตนเองส่งเสียงออกมาไม่ได้เลยสักนิดซือเจ๋อเยว่หันไปมองเขาแวบหนึ่ง สะบัดแขนเสื้อ เขารู้สึกสบายขึ้นไม่น้อยภายในชั่วพริบตา แล้วก็สามารถพูดได้ทันทีเขามองซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว “ท่าน... ท่าน... ท่าน...”เขาพูดคำว่าท่านอยู่ครู่ใหญ่แต่ก็ไม่สามารถพูดออกมาเป็นประโยคได้ซือเจ๋อเยว่ไม่ได้สนใจเขา กล่าวเพียง “มัวอึ้งอะไรอยู่ ไปช่วยคนด้วยกัน!”ชื่อปาเลี่ยตอบ “อ้อๆ” สองครั้ง ไม่กล้าไม่เชื่อฟังคำพูดของนาง รีบเดินตามเข้าไปในใจของยิ่งเพิ่มความประหลาดใจที่มีต่อซือ
เมื่อครู่นี้ซือเจ๋อเยว่ร่วมมือกันกับเยียนเซียวหราน นางกลัวว่าจะปล่อยให้คนของจวนกงหนิงกั๋วหนีไปได้ จึงใช้คาถาเต๋าภายในแดนมายาคาถาเต๋าประเภทนี้มีข้อกำหนดค่อนข้างสูงสำหรับร่างกายมนุษย์ หลังจากนางฆ่าคนชุดดำพวกนั้นแล้ว ก็หมดสติไปชื่อปาเลี่ยเห็นฉากน็ประหลาดใจเล็กน้อย จึงถาม “นาง...นางเป็นอะไรไป?”เยียนเซียวหรานไม่ได้ตอบคำถามของเขา กล่าวเพียง “ไปที่พักของเจ้า”ชื่อปาเลี่ยตกตะลึงไปทันที ทั้งยังตอบ “อ้อๆ” สองครั้งติดกัน แล้วก็เดินนำทางอยู่ข้างหน้าเมื่อเขานึกถึงใบหน้าที่ซีดขาวนั้นของซือเจ๋อเยว่ก็เข้าใจ แม่นางผู้นี้เก่งกาจก็ส่วนเก่งกาจ เกรงว่าร่างกายจะไม่ค่อยแข็งแรงเท่าใดนักคนเช่นเขามาตรฐานการทำงานค่อนข้างเรียบง่าย นั่นก็คือมีความแข็งแกร่งเล็กน้อยซือเจ๋อเยว่แข็งแกร่งขนาดนี้ เขาไม่มีทางเกิดความคิดอย่างอื่นอีกแล้วหลังจากที่พวกเขามาถึงที่พักของชื่อปาเลี่ย ศพที่อยู่ด้านในยังไม่ได้จัดการครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องให้เยียนเซียวหรานพูด ชื่อปาเลี่ยก็รีบลงมือจัดการศพทันทีเนื่องจากก่อนหน้านี้ด้านในห้องเคยต่อสู้กัน จึงเละเทะมาก เขารีบเก็บกวาดมือเป็นระวิงเยียนเซียวหรานมองเตียงที่เละเทะตัวนั้นแว
ที่สำคัญคือ เหมือนว่ามีอะไรบางอย่างของตัวเขากำลังดันนางอยู่นางเพิ่งฟื้น หัวสมองยังมึนงงอยู่เล็กน้อย ภาพเหตุการณ์ในความฝันรบกวนนางไม่น้อยเลยทีเดียว นางอยากจะตามหาของสิ่งนั้นออกมาแล้วนำไปโยนทิ้งเสียดังนั้นนางจึงยื่นมือไปคว้า ทันทีที่คว้าก็เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกไม่ถูกต้อง แต่นางกลับยังไม่ได้สติว่าสิ่งที่นางจับอยู่คืออะไรในเวลาเดียวกัน ดวงตาของเยียนเซียวหรานก็ลืมขึ้น กล่าวเสียงอู้อี้ซือเจ๋อเยว่กำลังมองเขาอยู่พอดี ทั้งสองคนสบตากันเยียนเซียวหรานไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่จับที่มือของนางซือเจ๋อเยว่ก็ได้สติขึ้นทันควัน ตระหนักได้ทันทีว่าตนกำลังทำอะไรอยู่มือของนางราวกับมีไฟฟ้าแล่นผ่าน อยากจะชักมือกลับมา แต่กลับถูกเยียนเซียวหรานกดเอาไว้นางกล่าวด้วยสีหน้าเขินอาย “คือว่า... ข้า...ข้าเพิ่งฟื้น จึงมึนงงเล็กน้อย”เยียนเซียวหรานเขยิบเข้าใกล้นางเล็กน้อย พ่นลมหายใจรดใบหน้าของนาง กล่าวช้า ๆ “องค์หญิง ข้าก็เป็นบุรุษธรรมดาคนหนึ่ง”ซือเจ๋อเยว่ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเขาสักเท่าใดในตอนแรก จึงกล่าวเพียง “ข้าเข้าใจ ว่าเจ้าปกติมาก”เยียนเซียวหรานคิดว่าระหว่างพวกเขาสองคนขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป วันใดวันห
หลังจากซือเจ๋อเยว่เดินออกไป ก็ยื่นมือออกมากุมหน้าอก ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสนนางคิดว่ามีคนกำลังมองนางอยู่ นางหันหน้ากลับไปทันที จึงเห็นชื่อปาเลี่ยที่กำลังมองนางอยู่ในเวลานี้นางอารมณ์ของนางไม่นับว่าดีนัก ค้อนเขาทีหนึ่ง “มองอะไร?”ชื่อปาเลี่ยหดหัวทันทีกล่าว “แม่นาง ท่านหิวหรือไม่? ข้าตุ๋นเนื้อเอาไว้แล้ว ท่านอยากลองชิมดูหน่อยหรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่ท่าทางที่ขี้ขลาดนั้นของเขา ก็รู้ว่าเมื่อคืนเขาตกใจจนแย่แล้วเขาไม่พูดยังดี ทันทีที่พูดนางก็พบว่านางหิวแล้วจริง ๆนางไม่เกรงใจกับเขาเช่น ถามตรง ๆ “เนื้ออยู่ไหน?”ชื่อปาเลี่ยรีบกล่าวด้วยความดีใจ “ข้าจะไปเอามาให้ท่านเดี๋ยวนี้!”ถึงแม้ว่าชื่อปาเลี่ยไม่ใช่คนดีอะไร แต่ฝีมือทำอาหารก็ไม่เลว เนื้อตุ๋นหม้อนั้นนุ่นจนละลาย กินคู่กับเต้าเจี้ยว รสชาติค่อนข้างดีเลยทีเดียวหลังจากซือเจ๋อเยว่กินไปหนึ่งคำก็ชมเขาทันที “ใช้ได้นี่! ดูไม่ออกเลยว่าเจ้าจะมีฝีมือยอดเยี่ยม”ชื่อปาเลี่ยยิ้มอย่างประจบประแจง ถามนาง “แม่นางรู้จักคุณชายสามได้อย่างไรหรือ?”การกินเนื้อของซือเจ๋อเยว่หยุดชะงักไปทันที นางไม่มีทางบอกเขาว่า พวกเขาเจอกันครั้งแรกนางก็หลับนอนกับเขาแล้วนางไ
เขาจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา "เป็นข้าที่ไร้เดียงสาเกินไป คิดว่าเรื่องราวระหว่างเราจะต่างออกไป" "แต่ข้ากลับลืมไปว่า เจ้าเป็นคนของสำนักเต๋า เราสองคนก็อยู่กันคนละฝ่ายตั้งแต่แรกเริ่ม" "ซือเจ๋อเยว่ ตั้งแต่นี้ไปข้าขอตัดขาดจากเจ้า หากพบกันอีก ข้าจะฆ่าเจ้าแน่นอน!" เมื่อเอ่ยจบเขาก็หยิบของสิ่งหนึ่งจากร่างกายแล้วขว้างออกไป สิ่งนั้นทำหน้าที่รับแรงโจมตีจากค่ายกลแทนเขา ก่อนที่ตัวเขาจะพุ่งออกจากค่ายกลราวกับดาวตกก็ไม่ปาน ซือเจ๋อเยว่รีบไล่ตามออกไป แต่ภายนอกกลับไร้เงาของไป๋จื้อเซียน นางรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง วันนี้เขาเข้าใจนางผิด แล้วจากไปเช่นนี้ ภายภาคหน้าก็ไม่อาจล่วงรู้เลยว่าจะเกิดอันใดขึ้นอีก ยังดีที่เขาเคยสาบานต่อสวรรค์ ว่าจะไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ อย่างน้อยสถานการณ์ก็ยังไม่เลวร้ายถึงระดับนั้น แต่เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาขาดสะบั้นในบัดนี้ ด้วยนิสัยของเขา ย่อมต้องหาหนทางสังหารนางให้ได้อย่างแน่นอน! นางคิดว่าตนเองยังคงประเมินไป๋จื้อเซียนต่ำเกินไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถหลบหนีออกจากค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาได้ เยียนเซียวหรานถามขึ้น "เมื่อครู่นี้เกิดอันใดขึ้น?" ซือเจ๋อเยว่ถอนหายใจ "ตุ๊
ซือเจ๋อเยว่ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้นับหลังจากตั้งแต่ที่อาจารย์สามปั้นเสร็จแล้ววางไว้ที่นี่ ก็ไม่เคยมีความรู้สึกอะไรนางคิดมาตลอดว่าอาจารย์สามทำเช่นนี้เพราะจะหยอกนางเล่น ไม่คิดเลยว่าจนกระทั่งวันนี้จะมีความเคลื่อนไหวแล้วที่ประตูมีเสียงของไป๋จื้อเซียนดังลอยเข้ามา “เจ้าล่อลวงข้ามาที่นี่ ก็เพราะอยากจะฆ่าข้าใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ากลับไปมองก็เห็นไป๋จื้อเซียนยืนอยู่ที่หน้าประตู ตุ๊กตาดินเผาเหล่านั้นรวมตัวกันกลายเป็นค่ายกล จะจัดการกับเขาหลังจากที่วันนี้เขาเดินเข้ามาในสำนักเต๋า ความสามารถทุกด้านก็ถูกลดทอนลง ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้ยังเป็นตุ๊กตาที่อาจารย์สามปั้นขึ้นเองกับมืออีกด้วย ด้านในมีค่ายกลที่ร้ายแรงเป็นอย่างยิ่งซ่อนอยู่ไป๋จื้อเซียนในเวลานี้ถูกค่ายกลนี้ขังเอาไว้ ไม่สามารถดิ้นให้หลุดได้เขาเกิดความสงสัยมาก ประกอบกับก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่อยากจะจัดการเขามาตลอด เขาจึงคิดว่านางเป็นผู้ควบคุมให้ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้มาจัดการเขาก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่เคยคิดอยากจะจัดการเขาในสำนักเต๋าจริง ๆ แต่เป็นครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางจริง ๆเป็นเพราะร่างกายที่พิเศษเ
ความทรุดโทรมนี้เริ่มปรากฏตั้งแต่ประตูเขาที่เก่าและทรุดโทรม ยาวไปตลอดทางจนถึงกระทั่งถึงโถงใหญ่ของสำนักเต๋าด้านในก็มีเพียงรูปหล่องทองคำปรมาจารย์เต๋าที่ยังมีสภาพดีอยู่เพียงเท่านั้น อาคารอื่น ๆ ของวัดก็สามารถใช้คำว่าชำรุดทรุดโทรมมาบรรยายได้เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมา นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ที่เฝ้าภูเขาก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว ไม่ไปไหนแล้วใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่ได้ยินก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าอาศัยคืนเดียวก็จะไปแล้ว”ใบหน้าของนักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ก็มีสีหน้าผิดหวังปรากฏขึ้นมาทันที นางหยิบทองหนึ่งกำมือออกมาจากมิติคาถาเต๋าแล้วมอบให้เขา “ค่าอาหารของปีนี้”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ใช้สองมือรับทองคำ ใบหน้ามีรอยยิ้มขึ้นมาทันที “อย่างไรเสียศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็เก่งกาจ!”สำนักเต๋าผ่านไปด้วยความยากลำบากมาก ทองคำเหล่านี้เมื่อแลกเป็นเงินก็ได้หลายพันตำลึง เพียงพอที่จะให้พวกเขามีกินได้ถึงสิ้นปีซือเจ๋อเยว่ถามเขา “พวกอาจารย์ออกจากสำนักเต๋าตั้งแต่เมื่อใด?”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ “ทันทีที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ออกไปจากสำนักเต๋า เจ้าสำนักพวกเขาก็ไปแล้ว”ซือเจ๋อเยว่ขมวดคิ้ว “พวกเขาได้บอกหรือไ
ซือเจ๋อเยว่เผชิญหน้ากับสายตาที่แฝงไปด้วยความน้อยใจของไป๋จื้อเซียน นางมีความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยท่าทางเช่นนี้ของเขา เกรงว่าคนที่ไม่รู้จะคิดว่าพวกเขากำลังสุมหัวกันกลั่นแกล้งเขาแต่เรื่องจริงคือเขาเกือบทำให้พวกเขาต้องติดกับดักจนตายในเวลานี้นางจำต้องกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋มาก”ไป๋จื้อเซียนมองนางด้วยสีหน้าน่าสงสารพร้อมกล่าว “เมื่อครู่นี้เจ้าดุข้า”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางสูดหายใจในใจทีหนึ่ง เจ้าหมอนี่แสดงละครเก่งมาก!นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ข้ามีนิสัยใจร้อน เวลามองอะไรก็มักจะมองแค่สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ไม่สู้คุณชายไป๋ที่มองการณ์ไกล”“คุณชายไป๋คาดการณ์เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในตอนหลังได้ตั้งแต่แรกแล้ว ข้าชื่นชมตบะอันล้ำลึกทำให้ข้านับถือจากใจจริง”“ครั้งหน้าหากยังมีเรื่องแบบเดียวกันอีก คุณชายไป๋ได้โปรดแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเสียหน่อย พวกเราจะได้ร่วมมือกันได้ดี”นางพูดจบก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อย “คุณชายไป๋ช่วยพวกเราคำนวณดูหน่อยได้หรือไม่ พวกเรากลับเมืองหลวงครั้งนี้ จะล้มจวนหนิงกั๋วกงได้หรือไม่?”ไป๋จื้อเซียน “...”ถึงแม้เขาจะมีชีวิตอยู่มาหนึ่งพันปีแล้วก็ตาม เรียนรู้เพียงความสามารถฆ
“ถึงแม้วันนี้ข้ากับชื่อปาเลี่ยจะบุกฝ่าออกมาได้ แต่ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด”“การล้อเล่นแบบนี้ อย่างไรคุณชายไป๋ช่วยลดลงหน่อยจะดีมาก”ไป๋จื้อเซียนจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา เขาหันหน้าไปมองไป๋จื้อเซียน โดยไม่ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อยชื่อปาเลี่ยที่อยู่ข้าง ๆ พูดไกล่เกลี่ย “ครั้งนี้พวกข้าไม่เป็นอะไร อย่างไรก็ช่างเถอะ”ความโกรธที่ไป๋จื้อเซียนมีอยู่มากมายไม่มีที่ระบาย ยกมือขึ้นแล้วสะบัดทำให้ชื่อปาเลี่ยลอยกระเด็นออกไปชื่อปาเลี่ย “!!!!!”หากวันหลังเขายังกล้าสอดเรื่องของพวกเขาอีก เขาก็คือก็คือไอ้ลูกหมา!เขากระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ร้องโอ๊ยออกมาทีหนึ่งซือเจ๋อเยว่รีบยื่นมือออกไปประคองชื่อปาเลี่ย “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”ชื่อปาเลี่ยกุมหน้าอกกล่าว “ข้าเจ็บหน้าอกนิดหน่อย”ในระหว่างที่พูดเขารู้สึกผิดปกติบริเวณหน้าอก ยื่นมือออกไปแล้วล้วง ไม่คิดเลยว่าจะควักสมุดบันทึกเล็ก ๆ เล่มหนึ่งออกมาจากข้างใน “นี่มันอะไรกัน?”หลังจากซือเจ๋อเยว่รับมาก็เปิดสมุดบันทึกเล่มเล็ก พบว่าเป็นสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้ายฉบับนั้นที่เยียนอ๋องซื่อจื่อกล่าวไว้นางทั้งตกใจทั้งดีใจ “นี่คือสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้าย!”เยียนเซียวหรา
ซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ข้าไม่เป็นอะไร”นางพูดจบก็กล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”เยียนเซียวหรานยิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นอะไร”เขาพูดจบก็ประสานมือคำนับไป๋จื้อเซียนกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋ที่พาองค์หญิงออกมาได้อย่างปลอดภัย ทำให้ข้าไม่ต้องเป็นพะวงที่จะบุกฝ่ากองทัพออกมา”สีหน้าของไป๋จื้อเซียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เรื่องนี้เขาวางแผนทำร้ายเยียนเซียวหราน เยียนเซียวหรานขอบคุณเขาจึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมากยังมีท่าทีของซือเจ๋อเยว่อีก ในดวงตาของนางมีเพียงเยียนเซียวหรานเท่านั้น ไม่มีเขาเลยแม้แต่น้อยความรู้สึกแบบนี้ทำให้ไป๋จื้อเซียนไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งเขารู้สึกไม่พอใจ จึงอยากจะทำร้ายชื่อปาเลี่ยอีกครั้งดวงตาของเขากวาดมองไปยังชื่อปาเลี่ย ชื่อปาเลี่ยได้หลบไปอยู่ที่ด้านหลังของซือเจ๋อเยว่อย่างรวดเร็ว “คุณชายไป๋จะทำร้ายข้า องค์หญิงช่วยด้วย!”ซือเจ๋อเยว่รู้ว่าไป๋จื้อเซียนมีนิสัยขี้โมโห เขาติดตามอยู่ข้าง ๆ พวกเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับระเบิดเวลา ไม่รู้ว่าจะเบิดขึ้นเมื่อไหร่เพียงแต่หากปล่อยเขาไป วันข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะก่อเหตุวุ่นวายอะไรขึ้นอีกนางคิดว่า อย่างไรเสียก็ต้องคิดหาว
เขายิ้มแย้มพร้อมกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ข้าพาเจ๋อเยว่นำไปก่อน พวกเจ้าสู้ ๆ ล่ะ”ซือเจ๋อเยว่ “...”เยียนเซียวหราน “...”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยความร้อนใจ “นี่ เจ้าพาพวกเขาไปด้วยกันสิ!”ไป๋จื้อเซียนกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “สถานการณ์แบบนี้ไม่ฆ่าคนก็พาพวกเขาออกไปไม่ได้”“ก่อนหน้านี้ข้าเคยสาบานต่อสวรรค์ไว้ว่า ไม่สามารถลงมือฆ่าคนได้โดยไม่มีสาเหตุ ดังนั้น...”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ามองเขา ในดวงตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ทั้งสองข้างของเขาแฝงไปด้วยหยอกเย้า ท่าทางเหมือนกับกำลังดูละครด้วยความสุขนางรู้ดีว่า เรื่องในวันนี้เขานั้นเจตนา!นางรู้ดีว่า คนที่ชั่วร้ายเช่นไป๋จื้อเซียนจะยอมร่วมมือกับพวกเขาได้อย่างไร?นางกล่าวด้วยความร้อนใจ “ปล่อยข้าลง! ข้าจะไปช่วยพวกเขา!”ไป๋จื้อเซียนยิ้มด้วยความร่าเริงพร้อมกล่าว “ตอนนี้ด้านล่างมีแต่คน ทั้งเจ้ายังไม่เป็นวรยุทธ์ หากลงไปจริง ๆ ก็รังแต่จะยิ่งอันตราย”“อีกอย่าง ขอเพียงเจ้าสงบ เยียนเซียวหรานก็จะไม่เป็นพะวง ก็สามารถแสดงความสามารถของเขาได้อย่างเต็มที่”“ข้าเชื่อ ด้วยความสามารถของเขา ต้องสามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้แน่ ปลอดภัยหายห่วง” ซือเจ๋อเยว่ค้อนเขา เขากะพริบตาใส
เยียนเซียวหรานกวัดแกว่งกระบี่ในมืออย่างสุดแรง พยายามพาซือเจ๋อเยว่พุ่งตัวออกไปด้านนอกชื่อปาเลี่ยกลับด่าทออย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงนั้น “ไอ้แม่งเอ๊ย ครั้งก่อนเกือบตายที่ด่านอวิ๋นหลิ่ง ครั้งนี้ยังจะมาอีก!”เขาพูดจบก็กล่าวกับซือเจ๋อเยว่อีก “องค์หญิง ค่ายกลนั่นของท่านเมื่อครั้งก่อน เอาออกมาใช้อีกครั้งได้หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “เอามาใช้อีกครั้ง ข้าก็สามารถตายตรงนี้ต่อหน้าพวกเจ้าได้เลย!”ชื่อปาเลี่ย “...”เยียนเซียวหรานกล่าวเสียงขรึม “เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว พุ่งไปข้างหน้าด้วยกันกับข้า”ซือเจ๋อเยว่ครุ่นคิด ครั้งนี้อยู่ภายในห้องปิดตาย จะอย่างไรก็ต้องพุ่งตัวเข้าไปหาก่อนดังนั้นนางจึงหยิบยันต์ออกมา ใช้คาถาเต๋าทำให้ระเบิด ภายในชั่วพริบตา ภายในห้องก็มีลมกระโชกแรงเกิดขึ้น พัดทหารยามพวกนั้นที่อยู่หน้าประตูลอยกระเด็นออกไปข้างนอกชื่อปาเลี่ยหลบไม่ทัน หัวจึงกระแทกพื้นเยียนเซียวหรานอยากจะจับเขาเอาไว้ แต่ลมแรงเกินไป จึงทำให้ไม่สามารถจับเขาได้เลยซือเจ๋อเยว่คว้าขาของชื่อปาเลี่ยเอาไว้แล้วกล่าว “รีบไป!”ชื่อปาเลี่ย “!!!!!!”เขาเองก็อยากจะหนีไปโดยเร็วเช่นกัน แต่ปัญหาคือลมทั้งรุนแ
สิ่งของที่อยู่ด้านในมองดูค่อนข้างสลับซับซ้อน กองกันเละเทะ ทันทีที่ดูก็รู้ว่าหลังจากถูกใครบางคนรื้อค้นจนเละเทะ ก็ไม่ได้จัดระเบียบใหม่ภายในห้องที่รกรุงรังแบบนี้ อยากจะตามหาสิ่งของที่พวกเขาอยากได้ เหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หลังจากที่ซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานรื้อค้นรอบหนึ่ง ก็ไม่ได้อะไรแม้แต่อย่างเดียวทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ก็เห็นความจนปัญญาจากดวงตาของอีกฝ่ายภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ราวกับว่าไม่มีความจำเป็นที่จะตามหาต่อไปแล้วในเวลานี้เอง เสียงของทหารยามก็ดังลอยมาจากหน้าประตู “ใครกัน?”ซือเจ๋อเยว่รีบเก็บไข่มุกราตรีลงไป ด้านในจึงกลับคืนสู่ความมืดอีกครั้งเนื่องจากเมื่อครู่นี้ทหารยามได้เห็น ‘การแสดง’ ของไป๋จื้อเซียน ภายในใจจึงหวาดกลัวเป็นอย่างมากแต่เพราะมีคำสั่งของนายพลที่เฝ้าด่าน เขาจึงไม่กล้าละทิ้งหน้าที่โดยพลการอีก จึงเรียกเพื่อนร่วมงาน ตั้งใจว่าจะจุดเทียนแล้วเข้าไปตรวจค้นด้านในตอนที่เขากำลังจะเปิดประตู ทหารยามคนนั้นก็หันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นใบหน้าที่ชั่วร้ายของไป๋จื้อเซียน เสื้อผ้าสีแดงราวกับเลือดทหารยามไม่ได้รู้สึกตัวในทันที ยังถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”ไป๋จื้อ