ทั่วทั้งภายในคุกหลวง นอกจากนักโทษแล้ว ก็ไม่เห็นดวงวิญญาณแม้แต่ดวงเดียวเหวยอิ้งหวนมีความสุขขึ้นมาทันที หรือว่าตาทิพย์ของเขาปิดอีกแล้ว?เขาดีใจได้ไม่ทัน ก็ได้ยินเสียงของชายชราดังลอยมา “ใต้เท้า ครั้งก่อนวิญญาณดุร้ายดวงนั้นบุกเข้ามา จับดวงวิญญาณทั้งหมดกินไปแล้ว!”“ใต้เท้า ท่านทวงความยุติธรรมให้พวกเราด้วยนะขอรับ! ไม่อย่างนั้นเขามุทะลุและดุดันแบบนั้น คาดว่าภายหน้าดวงวิญญาณของเมืองหลวงจะต้องถูกเขาจับกินจนหมดแน่!”เหวยอิ้งหวน “...”ที่แท้ไม่ใช่เพราะตาทิพย์ของเขาถูกปิด แต่เป็นเพราะวิญญาณทั้งหมดในศาลต้าหลี่ถูกวิญญาณดุร้ายจับกินไปหมดแล้วชายชราคนนั้นยังคงบ่นพึมพำอยู่ “ใต้เท้า วิญญาณดุร้ายดวงนั้นที่ข้าเห็น เขาสวมเสื้อผ้าสีแดง หน้าตาหล่อเหลามาก แต่ก็โหดร้ายมากเช่นกัน!”เหวยอิ้งหวน “...”เขาคิดว่าวิญญาณดวงนี้ที่อยู่ตรงหน้าจุดความสนใจค่อนข้างเบี่ยงเบน จนป่านนี้แล้ว ยังใส่ใจว่าวิญญาณดวงนั้นหน้าตาดีหรือไม่เขาไม่ได้สนใจวิญญาณดวงนั้น ตรงไปที่จวนเยียนอ๋องทันทีถึงแม้เหล่าไท่จวินจะไม่รับแขก แต่เหวยอิ้งหวนเป็นกรณีพิเศษนางบอกเรื่องที่เยียนเซียวหรานกับซือเจ๋อเยว่น่าจะไปที่ช่องเขากรงเสือกับเหวยอิ
ซือเจ๋อเยว่ในเวลานี้นั่งอยู่บนรถม้า จามอย่างรุนแรงอยู่หลายทีนางสูดจมูกกล่าว “ใครกำลังด่าข้า?”เยียนเซียวหรานมองนางแวบหนึ่งกล่าว “คงจะเป็นใต้เท้าเหวยกระมัง”ซือเจ๋อเยว่นึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่แอบเบิกตาทิพย์ให้แก่เหวยอิ้งหวน วิธีการเบิกดวงตาแห่งสวรรค์ของนางเมื่อคืนนี้ค่อนข้างพิเศษ ตอนนั้นไม่ได้เปิด จะต้องรอจนถึงตอนเช้าวันนี้ถึงจะเปิดเมื่อลองนับดูเวลา ตอนนี้ตาทิพย์ของเหวยอิ้งหวนก็คงจะเปิดได้ครู่หนึ่งแล้ว คนที่แอบด่านางเป็นไปที่จะเป็นเหวยอิ้งหวนในเวลานี้คงจะโมโหจนกระหืดกระหอบแล้วซือเจ๋อเยว่เบะปากเล็กน้อย กล่าวว่า “เขาใจแคบเกินไปแล้ว! การแอบด่าคนอื่น ช่างไม่เป็นสุภาพบุรุษอย่างยิ่ง”สำหรับคำพูดนี้ของนาง เยียนเซียวหรานทำเพียงยิ้มเล็กน้อยเท่านั้นหลังจากพลบค่ำ พวกเขาก็เข้าพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ภายในโรงเตี๊ยมเหลือเพียงห้องเดียวเท่านั้นเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “คุณชายกับฮูหยินเดิมทีก็เป็นสามีภรรยากัน นอนห้องเดียวกันก็เป็นเรื่องปกติมาก”ซือเจ๋อเยว่ “...”เยียนเซียวหราน “...”ทั้งสองคนออกจากออกนอกบ้านถูกคนมองว่าเป็นสามีภรรยา ยังรู้สึกแปลก ๆ กับความรู้สึกแบบนี้เพียง
ตอนที่ทั้งสองคนข้ามาท่าทางสนิทสนมกันปกติ เพียงแต่ตอนนั้นเป็นเพราะมีเหตุผลหลายอย่าง ไม่เหมือนกับคืนนี้...เขายืนอยู่ที่ริมระเบียงของทางเดิน ปล่อยให้ลมยามราตรีพัดผ่านใบหน้าของเขา พยายามข่มความคิดที่เดิมไม่ควรมีในใจลงไปซือเจ๋อเยว่อาบน้ำเสร็จ ก็รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่านางเปิดประตูห้องเห็นเยียนเซียวหรานยืนอยู่ที่หน้าประตู ถามเขา “เจ้าจะอาบน้ำด้วยหรือไม่?”เยียนเซียวหรานตอบคำหนึ่ง หันหลังกลับก็เดินเข้าไปข้างในห้อง จากนั้นก็ปิดประตูซือเจ๋อเยว่ “...”นางจะให้เขาไปเอาน้ำสำหรับอาบมาใหม่ ไม่ใช่ให้เขาอาบน้ำต่อจากน้ำที่นางใช้อาบไปแล้ว!ทำแบบนี้มัน...จะน่าอายเกินไปหน่อย!นางรีบเคาะประตูที่ด้านนอก “เซียวหราน เจ้าช่วยเทน้ำที่ข้าอาบทิ้งที ข้าจะไปให้เด็กของโรงเตี๊ยมนำน้ำร้อนมาให้เจ้าใหม่นะ!”เยียนเซียวหราน “...”ตอนที่เขาเดินเข้ามาไม่ได้คิดมาก หลังจากที่หันหน้ากลับไปมองน้ำในอ่างน้ำก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างพวกเขาไม่ใช่สามีภรรยากันจริง ๆ จะอาบน้ำถังเดียวกันได้อย่างไรเมื่อเขาได้ยินคำพูดของซือเจ๋อเยว่ ในใจก็ค่อนข้างรู้สึกเขินอาย โชคดีที่นางช่วยเตือนสติเขา!เขากระแอมเบา ๆ ทีหนึ่ง “...ไ
ช่องเขากรงเสือคือสถานที่ที่เยียนอ๋องซื่อจื่อสิ้นชีพในการต่อสู้ วิญญาณมักมีความใส่ใจต่อสถานที่ที่ตนเองจากไปเป็นพิเศษ การที่พวกเขาจะเดินทางไปยังช่องเขากรงเสือในครั้งนี้อาจจะได้พบเจอกับเขา ซือเจ๋อเยว่เมื่อเห็นว่าเยียนเซียวหรานมีอารมณ์หม่นหมอง นางจึงยื่นมือไปตบไหล่เขาเบาๆ พลางเอ่ยขึ้น “การเดินทางไปยังช่องเขากรงเสือในครั้งนี้ พวกเราต้องได้อะไรบางอย่างแน่นอน” “เมื่อพวกเรากลับมา คดีของจวนเยียนอ๋องก็น่าจะปิดลงได้เสียที” “หลังจากที่คดีสิ้นสุดลง เจ้าก็หาวิธีที่จะสืบทอดตำแหน่ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเจ้าได้เป็นเยียนอ๋องคนใหม่ เจ้าจะสามารถนำพาจวนเยียนอ๋องไปสู่ความรุ่งโรจน์ในระดับใหม่ได้อย่างแน่นอน” เมื่อเยียนเซียวหรานสบสายตาที่กระจ่างใสของซือเจ๋อเยว่ หัวใจของเขาก็สงบลงทันที เขาพยักหน้าเบาๆ พลางเอ่ยขึ้น “ท่านพูดถูก” ซือเจ๋อเยว่แย้มยิ้มให้เขาเล็กน้อย “เอาล่ะ ยามนี้ค่ำแล้ว พวกเราควรนอนแต่หัวค่ำ พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางอีกแต่เช้า” เมื่อเอ่ยจบนางก็ปีนขึ้นเตียงไป เยียนเซียวหรานสบตานางด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความคิด แต่ไม่ได้กล่าวอันใด เขาเดินไปยังเตียงแล้วล้มตัวลงนอนข้างๆ นาง ใช้สองนิ้วดับตะเกียงน
การที่ต่างก็นิยมฝึกศิลปะการต่อสู้ย่อมมีข้อเสียอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือมีโอกาสสูงที่จะเกิดเรื่องวิวาท อีกทั้งด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็น ผู้คนส่วนใหญ่จึงชื่นชอบการดื่มสุรา เมื่อดื่มสุราแล้ว เรื่องวิวาทก็ยิ่งเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าเดิม ระหว่างทางที่เยียนเซียวหรานและซือเจ๋อเยว่เดินทางมา พวกเขาได้เห็นเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นหลายครั้ง ทว่าชาวบ้านในแถบนั้นกลับดูชินชากับเหตุการณ์เช่นนี้ เสียจนไม่แม้แต่จะสนใจออกมายืนดู เยียนเซียวหรานปกป้องซือเจ๋อเยว่ตลอดเส้นทาง จนกระทั่งพวกเขามาถึงโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณนี้ ขณะพวกเขาเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม ก็มีคนหนึ่งเดินสวนออกมา และชนเข้ากับไหล่ของซือเจ๋อเยว่ บุรุษคนนั้นสบถด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เดินไม่ดูทางหรืออย่างไร…โอ้ เป็นแม่โฉมงามเสียด้วย!” เมื่อเอ่ยจบเขาก็ยื่นมือมุ่งหมายจะแตะใบหน้าของซือเจ๋อเยว่ แต่เยียนเซียวหรานกลับคว้าข้อมือเขาไว้ได้ทัน พลางบิดข้อมือจนอีกฝ่ายร้องออกมาด้วยเสียงแหลมราวกับหมูถูกเชือด บุรุษคนนั้นรีบตะโกนเสียงดัง “ปล่อยมือ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด บังอาจมาหาเรื่องข้า ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร!” เยียนเซียว
ชื่อปาเลี่ยกล้าพนันด้วยชีวิตของเขาว่าเยียนเซียวหรานจะต้องหลงใหลสตรีที่งดงาม แม้จะมีรูปร่างที่ซูบผอมนางนี้อย่างแน่นอน สตรีผู้นี้มีเสน่ห์ที่ยากจะอธิบาย เพียงแค่กวาดตามองก็เผยให้เห็นความสง่างามที่แตกต่างไปจากคนอื่น แม้นางจะไม่ใช่ผู้ที่มีความงามไร้ผู้ที่มาทัดเทียม แต่กลับมีความโดดเด่นในแบบของตนเอง ดวงตาของนางใสกระจ่าง ราวกับสามารถมองทะลุถึงจิตใจของผู้คนได้ เมื่อซือเจ๋อเยว่เห็นชื่อปาเลี่ยมองนาง นางจึงแย้มยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ชื่อปาเลี่ยรู้สึกว่ารอยยิ้มของนางนั้น เจิดจรัสยิ่งกว่าดอกท้อที่บานสะพรั่งอยู่หน้าที่พักม้าเสียอีก เขาไม่ทันได้ระวัง จึงเกือบสะดุดล้มจนหน้าคะมำ เยียนเซียวหรานหันศีรษะกลับมามองเขา ชื่อปาเลี่ยจึงรีบเอ่ยขึ้นมาทันที “เมื่อครู่ข้าก้าวพลาดไปนิดหน่อย หากเสียงดังรบกวนคุณชายสาม ข้าต้องขออภัยด้วย” เยียนเซียวหรานกระตุกยิ้ม ก่อนจะหันกลับมามองซือเจ๋อเยว่ นางยกมือขึ้นเล็กน้อยพร้อมทำสีหน้าที่ไม่รับรู้เรื่องใด เมื่อชื่อปาเลี่ยเห็นท่าทางของทั้งสอง ก็ยิ่งมั่นใจว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกัน ทว่าพวกเขากลับเปิดห้องพักสองห้อง เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สามีภรรยา หรือจะเ
เยียนเซียวหรานไม่ได้ตอบ เพียงแต่เอ่ยขึ้น “เจ้ายังรู้อะไรเกี่ยวกับศึกครั้งนั้นอีกบ้าง?” ชื่อปาเลี่ยคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบไป “ข้าได้บอกสิ่งที่รู้ไปหมดแล้ว ไม่มีอันใดที่พิเศษไปกว่านี้” แววตาของเยียนเซียวหรานลึกล้ำขึ้น พลางเอ่ยด้วยเสียงที่หนักแน่น “เจ้ากลับไปจัดการธุระของตนเองให้เรียบร้อย แล้วพรุ่งนี้ออกเดินทางเพื่อสำรวจเส้นทางที่เสด็จพ่อของข้าใช้ในการทำศึกอีกครั้ง” “หา?” ชื่อปาเลี่ยแสดงที่บ่งบอกถึงความตกใจ เขากำลังจะเอ่ยต่อ เยียนเซียวหรานก็ถามขึ้น “ทำไม? เจ้าไม่เต็มใจหรือ?” ชื่อปาเลี่ยรีบตอบทันที “เต็มใจ เต็มใจ! แน่นอนว่าข้าเต็มใจขอรับ!” เยียนเซียวหรานเหลือบตามองเขาอย่างเฉยเมย “พรุ่งนี้เมื่อถึงยามเฉิน มาพบข้าที่โรงเตี๊ยม” ชื่อปาเลี่ยรับคำอย่างรีบร้อน เขาเหลียวมองไปทางซือเจ๋อเยว่พลางถามว่า “แม่นางน้อยผู้นี้คือ…” เยียนเซียวหรานเอ่ยด้วยเสียงที่เย็นชา “ฐานะของนางไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรถาม” ชื่อปาเลี่ยรีบพยักหน้าแล้วโค้งตัวคำนับ “ใช่แล้ว ใช่แล้ว ข้าจะไม่ถามขอรับ” หลังจากที่เอ่ยจบเขาก็เตรียมตัวออกไป แต่ซือเจ๋อเยว่กลับเรียกเขาไว้ “เจ้าอย่าได้คิดหนีไปกลางดึกเชียว!” “หากเจ้าหน
เยียนเซียวหรานเล่าถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเขาก็เริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อย “เมื่อครั้งที่ข้าตามเสด็จพ่อมายังชายแดน ในยามนั้นชื่อปาเลี่ยดุดันและดื้อรั้นอย่างยิ่ง ข้าจึงต้องจัดการเขาอยู่หลายครั้ง จนในที่สุดเขาก็เริ่มเชื่อฟัง” ซือเจ๋อเยว่รู้ว่าการจัดการที่เขาเอ่ยถึง นอกจากการลงมือสั่งสอน ก็ยังรวมถึงการใช้วิธีบางอย่างที่ทิ้งความทรงจำลึกซึ้งไว้ให้ชื่อปาเลี่ย จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาหวาดกลัวเยียนเซียวหรานอย่างที่สุด นางว่าพลางยิ้มขึ้น “ดูคล้ายว่าเขาจะถูกเจ้าจัดการอย่างหนัก” เยียนเซียวหรานเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย “ไม่ถึงกับหนักหนาอันใดนัก ข้าเพียงแค่สอนให้เขารู้จักการเป็นคนที่ดีกว่าเดิม แล้วกำหนดกฎเกณฑ์บางอย่างให้เขาเท่านั้น” “ในตอนต้นเขาก็ไม่ค่อยยอมรับนัก แต่เมื่อข้าจัดการเขาหลายครั้งเข้า เขาก็เริ่มเรียนรู้และไม่กล้าทำตัวหยาบคายหรือดื้อรั้นอย่างเมื่อก่อนอีก” “ที่ชายแดนมีอาชีพหนึ่งที่เรียกว่าผู้ลั่นระฆัง ข้าเห็นว่าเขามีแรงเยอะ จึงให้เขานำพวกพ้องของเขาไปทำหน้าที่นี้” ซือเจ๋อเยว่ถามขึ้น “ผู้ลั่นระฆังคืออะไร?” เยียนเซียวหรานถอนหายใจเสียงเบา “ที่ชายแดนมีคำกล่าวกันว่า เมื่อคนตายและวิญ
เขายิ้มแย้มพร้อมกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ข้าพาเจ๋อเยว่นำไปก่อน พวกเจ้าสู้ ๆ ล่ะ”ซือเจ๋อเยว่ “...”เยียนเซียวหราน “...”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยความร้อนใจ “นี่ เจ้าพาพวกเขาไปด้วยกันสิ!”ไป๋จื้อเซียนกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “สถานการณ์แบบนี้ไม่ฆ่าคนก็พาพวกเขาออกไปไม่ได้”“ก่อนหน้านี้ข้าเคยสาบานต่อสวรรค์ไว้ว่า ไม่สามารถลงมือฆ่าคนได้โดยไม่มีสาเหตุ ดังนั้น...”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ามองเขา ในดวงตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ทั้งสองข้างของเขาแฝงไปด้วยหยอกเย้า ท่าทางเหมือนกับกำลังดูละครด้วยความสุขนางรู้ดีว่า เรื่องในวันนี้เขานั้นเจตนา!นางรู้ดีว่า คนที่ชั่วร้ายเช่นไป๋จื้อเซียนจะยอมร่วมมือกับพวกเขาได้อย่างไร?นางกล่าวด้วยความร้อนใจ “ปล่อยข้าลง! ข้าจะไปช่วยพวกเขา!”ไป๋จื้อเซียนยิ้มด้วยความร่าเริงพร้อมกล่าว “ตอนนี้ด้านล่างมีแต่คน ทั้งเจ้ายังไม่เป็นวรยุทธ์ หากลงไปจริง ๆ ก็รังแต่จะยิ่งอันตราย”“อีกอย่าง ขอเพียงเจ้าสงบ เยียนเซียวหรานก็จะไม่เป็นพะวง ก็สามารถแสดงความสามารถของเขาได้อย่างเต็มที่”“ข้าเชื่อ ด้วยความสามารถของเขา ต้องสามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้แน่ ปลอดภัยหายห่วง” ซือเจ๋อเยว่ค้อนเขา เขากะพริบตาใส
เยียนเซียวหรานกวัดแกว่งกระบี่ในมืออย่างสุดแรง พยายามพาซือเจ๋อเยว่พุ่งตัวออกไปด้านนอกชื่อปาเลี่ยกลับด่าทออย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงนั้น “ไอ้แม่งเอ๊ย ครั้งก่อนเกือบตายที่ด่านอวิ๋นหลิ่ง ครั้งนี้ยังจะมาอีก!”เขาพูดจบก็กล่าวกับซือเจ๋อเยว่อีก “องค์หญิง ค่ายกลนั่นของท่านเมื่อครั้งก่อน เอาออกมาใช้อีกครั้งได้หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “เอามาใช้อีกครั้ง ข้าก็สามารถตายตรงนี้ต่อหน้าพวกเจ้าได้เลย!”ชื่อปาเลี่ย “...”เยียนเซียวหรานกล่าวเสียงขรึม “เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว พุ่งไปข้างหน้าด้วยกันกับข้า”ซือเจ๋อเยว่ครุ่นคิด ครั้งนี้อยู่ภายในห้องปิดตาย จะอย่างไรก็ต้องพุ่งตัวเข้าไปหาก่อนดังนั้นนางจึงหยิบยันต์ออกมา ใช้คาถาเต๋าทำให้ระเบิด ภายในชั่วพริบตา ภายในห้องก็มีลมกระโชกแรงเกิดขึ้น พัดทหารยามพวกนั้นที่อยู่หน้าประตูลอยกระเด็นออกไปข้างนอกชื่อปาเลี่ยหลบไม่ทัน หัวจึงกระแทกพื้นเยียนเซียวหรานอยากจะจับเขาเอาไว้ แต่ลมแรงเกินไป จึงทำให้ไม่สามารถจับเขาได้เลยซือเจ๋อเยว่คว้าขาของชื่อปาเลี่ยเอาไว้แล้วกล่าว “รีบไป!”ชื่อปาเลี่ย “!!!!!!”เขาเองก็อยากจะหนีไปโดยเร็วเช่นกัน แต่ปัญหาคือลมทั้งรุนแ
สิ่งของที่อยู่ด้านในมองดูค่อนข้างสลับซับซ้อน กองกันเละเทะ ทันทีที่ดูก็รู้ว่าหลังจากถูกใครบางคนรื้อค้นจนเละเทะ ก็ไม่ได้จัดระเบียบใหม่ภายในห้องที่รกรุงรังแบบนี้ อยากจะตามหาสิ่งของที่พวกเขาอยากได้ เหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หลังจากที่ซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานรื้อค้นรอบหนึ่ง ก็ไม่ได้อะไรแม้แต่อย่างเดียวทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ก็เห็นความจนปัญญาจากดวงตาของอีกฝ่ายภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ราวกับว่าไม่มีความจำเป็นที่จะตามหาต่อไปแล้วในเวลานี้เอง เสียงของทหารยามก็ดังลอยมาจากหน้าประตู “ใครกัน?”ซือเจ๋อเยว่รีบเก็บไข่มุกราตรีลงไป ด้านในจึงกลับคืนสู่ความมืดอีกครั้งเนื่องจากเมื่อครู่นี้ทหารยามได้เห็น ‘การแสดง’ ของไป๋จื้อเซียน ภายในใจจึงหวาดกลัวเป็นอย่างมากแต่เพราะมีคำสั่งของนายพลที่เฝ้าด่าน เขาจึงไม่กล้าละทิ้งหน้าที่โดยพลการอีก จึงเรียกเพื่อนร่วมงาน ตั้งใจว่าจะจุดเทียนแล้วเข้าไปตรวจค้นด้านในตอนที่เขากำลังจะเปิดประตู ทหารยามคนนั้นก็หันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นใบหน้าที่ชั่วร้ายของไป๋จื้อเซียน เสื้อผ้าสีแดงราวกับเลือดทหารยามไม่ได้รู้สึกตัวในทันที ยังถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”ไป๋จื้อ
ไป๋จื้อเซียน “...”ในช่วงเวลาหนึ่งพันปีที่เขาตายไป ไม่มีผู้ใดกล้าสั่งให้เขาทำเรื่องใดก็ตามตอนนี้ซือเจ๋อเยว่กลับให้เขาไปแสร้งทำเป็นผีเพื่อถ่วงเวลาทหารยาม นางเห็นเขาเป็นตัวอะไรกันแน่!เขาหันหน้ามองนาง นางประสานมือคำนับเขาพร้อมกล่าว “คุณชายไป๋ดีที่สุด รบกวนด้วย”ดวงตาของนางเปล่งประกายราวกับดวงดาว ในดวงตาแฝงไปด้วยความอ้อนวอนเล็ก ๆคำปฏิเสธของไป๋จื้อเซียนที่กำลังจะพูดออกมา ได้กลืนกลับลงไปอีกครั้งร่างของเขาหายไปจากด้านบนคานห้อง ไปปรากฏตัวอยู่ที่ท้องฟ้าของด่านอวิ๋นหลิ่งทหารยามเมื่อครู่ตะโกนว่ามีผี ไป๋จื้อเซียนก็ปรากฏตัวที่ท้องฟ้าด้วยชุดสีแดงทันที เกือบจะทำให้ทหารยามที่อยู่ประตูด่านตกใจจนขวัญกระเจิงถึงแม้เขาจะหน้าตาดีแค่ไหน แต่การปรากฏตัวขึ้นในยามราตรีเช่นนี้ นั่นก็ทำให้คนตกใจได้เช่นกันอย่างไรเสียก็คนไม่มีคนปกติคนใดสามารถลอยอยู่กลางอากาศได้เช่นนี้ นี่จึงเห็นได้ชัดว่าก็คือผี!ก่อนหน้านี้ไป๋จื้อเซียนฆ่าคนเหมือนผักปลา คิดมาตลอดว่ามีเพียงดวงวิญญาณที่ไร้ความสามารถพวกนั้นเท่านั้นถึงได้แกล้งหลอกผีให้ผู้คนตกใจบัดนี้ไม่คิดเลยว่าเขากลับต้องมาทำเรื่องแบบนี้เช่นกันสายของเขาที่จ้องมองพลท
ซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานต่างรู้ดี พยานอย่างชื่อปาเลี่ย แม้แต่จะยืนยันว่าเยียนอ๋องพ่ายศึกเพราะถูกคนวางแผนชั่วยังยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะลากจวนหนิงกั๋วกงลงมาเอี่ยวด้วยหากสามารถตามหาสำเนาของเอกสารฉบับนั้นตามที่เยียนอ๋องซื่อจื่อกล่าว อย่างน้อยก็สามารถทำให้จวนเยียนอ๋องเป็นอิสระจากคดีนั้นได้ สามารถทำให้เยียนเซียวหรานสืบทอดตำแหน่งได้ดังนั้นพวกเขาจึงปรึกษาหารือกันครู่หนึ่ง ตัดสินใจว่าจะไปที่ด่านอวิ๋นหลิ่งอีกสักรอบครั้งนี้พวกเขาฉลาดแล้ว ได้รู้จักคนของเยียนเซียวหรานที่อยู่ในกองทัพไม่น้อย เพื่อป้องกันถูกคนจำได้ เขาจึงสวมหน้ากากหนังมนุษย์ส่วนซือเจ๋อเยว่ นางแต่งตัวเป็นผู้ชายชื่อปาเลี่ยเองก็กลัวคนจำได้เช่นกัน เขาไม่ได้สวมหน้ากาก แต่ว่าหาอะไรมาครอบลูกตาข้างหนึ่งเอาไว้แสร้งทำเป็นคนตาบอดเสียเลยหลังจากที่ไป๋จื้อเซียนมองเห็นการแต่งกายของพวกเขาก็รู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นในมุมมองของเขา หากเกิดการต่อสู้ขึ้นที่ด่านอวิ๋นหลิ่งจริง ๆ เขาฆ่าล้างบางด่านอวิ๋นหลิ่งไปเลยเสียก็สิ้นเรื่องเพียงแต่เขายังจำคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้กับซือเจ๋อเยว่ได้ ว่าต่อไปจะสังหารผู้คนตามใจชอบไม่ได้อีกแล้วคำมั่นสัญญ
เยียนอ๋องซื่อจื่อแย้มยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกเกรงใจข้า” “ข้ากับองค์หญิง ก่อนหน้านี้แม้แต่พบหน้ากันก็ยังไม่เคย จะให้มีความผูกพันใด ๆ ได้อย่างไร""ระหว่างข้ากับนาง แม้แต่สถานะสามีภรรยาก็ถูกท่านย่าทำลายไปตั้งแต่คืนวันแต่งงานแล้ว""หากคำนวณให้ดี ข้ากับนางไม่มีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย นางไม่อาจนับว่าเป็นภรรยาของข้า""ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจข้า หากเจ้าชอบนาง ก็สามารถไล่ตามความรู้สึกของเจ้าได้อย่างเต็มที่"เยียนเซียวหรานได้ยินถ้อยคำนี้แล้วก็ไม่รู้จะตอบกลับเช่นไรเยียนอ๋องซื่อจื่อเอื้อมมือไปตบไหล่เขา แต่มือของเขากลับทะลุผ่านร่างอีกฝ่ายไปเขาชะงักไปชั่วครู่ ซึ่งในเวลานี้เอง ที่เขาได้ตระหนักถึงความจริงว่าตนได้จากโลกนี้ไปอย่างแท้จริงเขาตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงที่แผ่วเบา "การได้พบกับคนที่ตนชอบไม่ใช่เรื่องง่าย""เมื่อพบเจอแล้ว ก็ควรทะนุถนอมให้ดี""ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า สิ่งที่ข้าปรารถนามากที่สุดก็คือขอให้เจ้ามีชีวิตที่เป็นสุข"เยียนเซียวหรานได้ยินดังนั้นดวงตาก็พลันร้อนผ่าว เอ่ยด้วยเสียงที่แผ่วเบา "พี่ใหญ่ ข้าจะทำตามที่ท่านบอก"เย
ซือเจ๋อเยว่เอ่ยด้วยความรู้สึกประทับใจ “เยียนอ๋องกับพระชายาช่างให้กำเนิดบุตรชายได้ดีนัก อีกทั้งยังอบรมสั่งสอนอย่างยอดเยี่ยม” เมื่อไป๋จื้อเซียนที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ยิน สีหน้าไม่สบอารมณ์ทันที “พวกเขาจะเก่งกว่าข้าหรือ?” ซือเจ๋อเยว่ยังคงไม่ชินกับการที่ไป๋จื้อเซียนอยู่ข้างกายเขาฝึกฝนมาหลายปี ฝีมือเลิศล้ำอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นหูหรือสายตาล้วนเกินขีดจำกัดของมนุษย์ธรรมดา ที่สำคัญเขาก็มีพฤติกรรมประหลาด ชอบเอาตนเองไปเปรียบเทียบกับเยียนเซียวหรานทุกเรื่อง นางคิดว่าสมองของเขาคงมีปัญหา เพราะยามนี้เขายังไม่ได้เป็นแม้กระทั่งสหายของนางเลยด้วยซ้ำ แต่กลับมาขอให้นางเปรียบเทียบกับคนรักของนาง เช่นนี้แล้วจะเปรียบเทียบได้หรือ?แต่เพราะนิสัยของเขาเอาแน่เอานอนไม่ได้ ยามนี้นางยังไม่อยากมีปัญหากับเขา นางจึงตอบกลับไป “แต่ละคนก็มีข้อดีของตนเอง แต่หากเอ่ยถึงเรื่องต่อสู้ แม้คุณชายไป๋จะไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า แต่ก็ต้องติดหนึ่งในสามอันดับแน่นอน” “เรียกข้าว่าจื้อเซียน” ไป๋จื้อเซียนเหลือบมองนางตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เอื่อยเฉื่อย “คุณชายไป๋อะไร ฟังดูห่างเหินนัก” ชื่อปาเลี่ยที่ยืนฟังด้วยความสนใจอยู
ซือเจ๋อเยว่จ้องมองชื่อปาเลี่ยด้วยแววตาที่จริงจัง “เสี่ยวเลี่ย เจ้าไม่เพียงแต่เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ ทั้งยังกล้าหาญอย่างแท้จริง" "เจ้าจะทนเห็นทหารกล้าพวกนั้นถูกสังหาร และยังต้องถูกกล่าวหาด้วยความอัปยศได้หรือ?” ชื่อปาเลี่ยอ้าปากกำลังจะตอบ แต่ซือเจ๋อเยว่รีบชิงเอ่ยก่อน “แน่นอนว่าเจ้าย่อมไม่เต็มใจ!” “ก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกข้า ว่าทหารเหล่านั้นคือวีรบุรุษ ดวงวิญญาณของพวกเขาถูกฝังในดินแดนต่างถิ่นก็ถือว่าน่าเวทนาเพียงพอแล้ว พวกเขาไม่ควรต้องถูกกล่าวร้ายซ้ำอีก!” ชื่อปาเลี่ยพยายามย้อนคิดอย่างจริงจัง “ข้าเคยเอ่ยเช่นนั้นหรือ?” ซือเจ๋อเยว่ตอบกลับ “แน่นอนว่าเคย!” "ข้าคิดว่าในเมื่อพวกเราล้วนเป็นสหาย ก็ควรร่วมแรงร่วมใจกัน"“สำคัญที่สุดคือหากเจ้าไม่ร่วมมือกับพวกข้า พวกเขาก็ไม่มีทางยอมรับแน่” "ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่า หากเจ้าสามารถล้างมลทินให้ดวงวิญญาณทั้งห้าหมื่นดวงได้ ก็จะสั่งสมบุญกุศลอันยิ่งใหญ่"ชื่อปาเลี่ยฟังคำกล่าวของนางหัวใจพลันสั่นสะเทือน เขาหันไปมอง ก็เห็นว่าเยียนอ๋องซื่อจื่อและดวงวิญญาณของเหล่าทหารจ้องมองเขาอยู่ เขานึกถึงบรรดาซากศพใต้ภูเขาเชียนจั้งที่สลายกลายเป็นธุลีดินแม้ว่าเข
“ก่อนที่ท่านจะสิ้นใจคงไปกระตุ้นค่ายกลมายาเข้า ภาพที่ท่านเห็นทั้งหมดล้วนเป็นความเท็จ” เยียนอ๋องซื่อจื่อชะงักไปชั่วครู่แล้วเอ่ยขึ้น “ความเท็จ?” ซือเจ๋อเยว่ที่อยู่ข้างกายเอ่ยขึ้น “ใช่แล้ว ท่านลองคิดดูให้ดี หากสิ่งที่ท่านเห็นเป็นเรื่องจริง ท่านซึ่งถูกพันธนาการอยู่ที่นี่จะสามารถมองเห็นราชโองการไว้อาลัยของฮ่องเต้ได้อย่างไร?” “ซึ่งข้าก็อยู่ในเมืองหลวงมาโดยตลอด เป็นเพราะตั้งแต่จวนเยียนอ๋องพ่ายศึกก็มีข้อถกเถียงมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฮ่องเต้เจาหมิงจึงไม่เคยออกโองการไว้อาลัยให้” เมื่อเยียนอ๋องซื่อจื่อพยายามระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ก็ขมวดคิ้วเข้มเป็นความจริง เมื่อไตร่ตรองให้ดี ก็จะพบว่ามันมีจุดบกพร่องทางตรรกะอยู่มากมาย เป็นเพราะกว่าครึ่งของดวงวิญญาณของเขาถูกพันธนาการไว้ที่นี่ เขาเอ่ยถาม “หากเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือของฮ่องเต้สุ…ฮ่องเต้ แล้วเป็นฝีมือของผู้ใดกันแน่?” เยียนเซียวหรานตอบไป “ข้ากับองค์หญิงได้สืบสวนเรื่องนี้มาตลอด และหลักฐานทั้งหมดชี้ไปที่จวนหนิงกั๋วกง” “พวกเขาร่วมมือกับพวกเต๋าสายดำใช้วิชาอาถรรพ์สร้างค่ายกลอันชั่วร้าย พวกเขาใช้ดวงวิญญาณของกองทัพหย่งอันนับหมื่นเป็นเครื่องบูช