กระบี่ในมือของเยียนเซียวหรานสะท้อนแสงเงินเย็นเยือก สายตาเย็นชาหรี่ลง “หากเจ้ากล้าทำร้ายองค์หญิงแม้เพียงนิด ข้าจะต้องให้เจ้าถูกกุดหัวทั้งเป็นให้จงได้”ทั้งร่างของเขาอาบเอิบด้วยจิตสังหาร เปี่ยมรัศมีหาญกล้าสามารถ เส้นผมสีดำพลิ้วไหวตามสายลม ในค่ำคืนเช่นนี้ราวกับเทพสังหารมาเยือนโลกมนุษย์ก็มิปานซือเจ๋อเยว่เห็นท่าทีของเขาแล้วก็เกิดประหลาดใจ คล้ายว่าเขากำลังโกรธเคือง?เหวยอิ้งหวนเอ่ยถาม “เจ้าเป็นใคร? เหตุใดจึงบุกเข้ามาในจวนเยียนอ๋องกลางดึกเช่นนี้?”ชายชุดดำหาได้สนใจเขาแม้แต่นิด คมกระบี่ค่อยๆ กรีดลงบนคอของซือเจ๋อเยว่พลางขู่ “ข้าจะนับถึงสาม หากพวกเจ้ายังมิหลีกไป ก็เตรียมเก็บศพนางได้เลย!”พูดจบก็เริ่มนับ “หนึ่ง!”ซือเจ๋อเยว่เริ่มโอดร้อง “ฮือๆ” ขึ้นมา “พวกเจ้าถอยไปเร็ว ถอยไป ข้ามิอยากตาย!”เยียนเซียวหรานเห็นนางร้องไห้เสียงแผ่วเช่นนั้น เรือนคิ้วก็ขมวดขึ้นน้อยๆ แม้ยามปกตินางจะดูแข็งแกร่งเพียงใด ทว่าท้ายที่สุดก็เป็นเพียงแม่นางน้อยอายุสิบกว่าปีเท่านั้นจะเกิดกลัวก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเขาโบกมือเป็นนัยให้องครักษ์ของจวนอ๋อง เหล่าองครักษ์จึงได้ถอยห่างเปิดทางออกชายชุดดำเห็นว่าเหวยอิ้งหวนยังคงยืนขว
วันนี้หลังจากเขามาถึงจวนเยียนอ๋องแล้ว ยังไม่ทันได้ลงมือทำสิ่งใด ก็ถูกเยียนเซียวหรานพบเข้าเสียก่อนจากนั้นก็เป็นการเอาชีวิตรอด ตลอดต้นจนจบล้วนไม่มีผู้ใดเข้าใกล้เขาเลย นอกเสียจากซือเจ๋อเยว่หรือว่า...จดหมายฉบับนั้นจะเป็นซือเจ๋อเยว่ใส่เข้ามา?เขามองนางด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ซือเจ๋อเยว่เพียงแค่เลิกคิ้วให้เขาน้อยๆ แล้วกระพริบตาปริบๆ อีกครั้งทีแม้ว่านางจะไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด ทว่าชายชุดดำก็เข้าใจได้โดยไม่ต้องสงสัยว่านางกำลังด่าเขาว่า “โง่เง่า!”ชายชุดดำ “...”เขาเองก็อยากจะด่ากลับไปเช่นกัน หากแต่ร่างกายของเขาเย็นเฉียบเสียจนพูดอะไรไม่ออกแม้แต่ประโยคคำเดียวแล้วเหวยอิ้งหวนเปิดจดหมายออกพึ่งพาแสงจากโคมไฟอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเขานิ่งค้างไปซือเจ๋อเยว่เอ่ยถาม “ใต้เท้าเหวย ในจดหมายเขียนไว้ว่าอย่างไรหรือ?”เหวยอิ้งหวนหาได้ตอบคำถามของนาง เพียงกล่าว “ค่ำคืนนี้ทำองค์หญิงตกพระทัยเสียแล้ว”ว่าจบก็หันกล่าวกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ข้างเคียง “พาเหล่าผู้ต้องสงสัยกลับไปยังศาลต้าหลี่”เมื่อเจ้าหน้าที่จับชายชุดดำมัดเอาไว้แล้ว ก็ลากเขาขึ้นมาจากพื้น ยามที่ชายชุดดำถูกลากตัวออกไปเขาก็ยังคงถลึงตาจ
เยียนเซียวหรานกอดนางไว้ตามสัญชาตญาณยามนี้นัยน์ตาดอกท้อเย้ายวนของนางลืมไม่ค่อยขึ้น จึงได้แต่พึมพำ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องสนใจข้า”เมื่อพูดจบนางหลับตา แล้วหมดสติไปทันทีเยียนเซียวหราน “...”หญิงสาวในอ้อมกอดอรชรบอบบาง เมื่อตกอยู่ในอ้อมกอดเขา ราวกับไม่ค่อยมีน้ำหนักตอนนางมีสติ ฉลาดมีไหวพริบ เมื่อยามหมดสติ กลับน่ารักน่าเอ็นดูน้อยมากที่เยียนเซียวหรานจะใกล้ชิดหญิงสาวเช่นนี้ ความใกล้ชิดเดียวที่มีคือเมื่อสองปีก่อนยามนี้เมื่อนางตกอยู่ในอ้อมกอด นางได้กลิ่นหอมจางๆ ของกล้วยไม้จากตัวนางขณะเดียวกัน ยังรู้สึกถึงความอ่อนนุ่มของร่างนาง นั่นเป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากร่างของบุรุษอย่างสิ้นเชิงเขารีบผละออกจากนางราวถูกไฟดูด ทว่าวินาทีที่ผละออกก็รีบดึงตัวนางกลับมาอีกครั้งองครักษ์หลายคนที่อยู่ข้างกันเบิกตาโต แต่ไม่มีใครกล้าพูดสิ่งใดเยียนเซียวหรานหันมององครักษ์เหล่านั้น พวกเขารีบพากันถอยหลังไปหลายก้าว จากนั้นโบกมือพัลวัน “พวกเรายิ่งไม่ได้ขอรับ!”“คุณชายสามรีบอุ้มองค์หญิงกลับไปที่ห้องเถอะขอรับ ดูเหมือนนางอาการไม่ค่อยดี”เยียนเซียวหรานรู้ว่าตอนนี้ควรพานางกลับไปที่ห้อง แต่ว่า...พวกองครักษ
แต่ซือเจ๋อเยว่ยังมีลมหายใจอยู่ ซ้ำยังพูดได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์สายตาที่นางมองซือเจ๋อเยว่เต็มไปด้วยความสงสัย แล้วเอ่ยเสียงค่อย “ท่านย่า ข้าจะอยู่ดูแลองค์หญิง”เหล่าไท่จวินรู้ว่านางเป็นคนละเอียดอ่อน แม้จะไม่ช่ำชองในวิชาแพทย์แต่อย่างไรก็พอรู้ ให้นางดูแลซือเจ๋อเยว่จึงเหมาะสมที่สุดทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น เหล่าไท่จวินก็ยังกำชับนาง “เจ้าต้องตื่นตัวเสียบ้าง อย่านอนหลับลึก หากองค์หญิงไม่สบายตรงไหน เจ้าต้องรีบมาแจ้งข้า”เยียนซุ่ยซุ่ยพยักหน้าเหล่าไท่จวินไม่ค่อยวางใจจึงหันมองซือเจ๋อเยว่อีกครั้ง ต่อมาจึงพาทุกคนออกจากห้องนางซือเจ๋อเยว่ไม่ได้ทรมานอย่างนี้นานแล้ว แขนขาล่องลอยไร้เรี่ยงแรง ร่างกายอ่อนปวกเปียก เหมือนแช่อยู่ในน้ำทั้งตัว กระทั่งหายใจติดขัดนางรู้สึกราวกับตัวเองกำลังตกลงไปในเหวลึก หินพิทักษ์ใจตรงหน้าอกร้อนวูบวาบ ร้อนจนนางรู้สึกทรมาน ทว่ากลับทำให้นางหายใจได้อีกครั้งมือเท้าของนางเย็นเฉียบ หนาวจนปวดร้าวไปถึงกระดูกร่างกายของนางกลายเป็นวงจรประหลาด แขนขาหนาวเย็น หน้าอกร้อนวูบวาบ ทั้งสองสิ่งปะทะกัน บางครั้งนางรู้สึกร้อนจนใกล้ตาย แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าใกล้จะหนาวตายเช่นกันใน
เยียนเซียวหรานคำนึงถึงสถานะของทั้งสอง จึงดันซือเจ๋อเยว่ออก แต่นางกลับกอดเขาไม่ยอมปล่อยเขากลัวนางบาดเจ็บ จึงไม่กล้าออกแรงดึงนาง ดังนั้นนางจึงได้คืบเอาศอกนอนอยู่บนตักเขาเสียเลยเรื่องเช่นนี้เขากระดากปากที่จะพูดซือเจ๋อเยว่จับใจความสำคัญในคำพูดของเขา “เมื่อคืนข้าไข้ขึ้นสูงหรือ?”เยียนเซียวหรานหันมองนาง “องค์หญิงอาจจะไม่รู้ แต่ท่านนอนไปสองวันสองคืนแล้ว”ซือเจ๋อเยว่ “!!!”ไม่เคยเกิดเรื่องอย่างนี้มาก่อน!เยียนเซียวหรานถามนาง “องค์หญิงมีอาจารย์ทั้งหมดกี่คน?”ซือเจ๋อเยว่ตอบทันควัน “เก้าคน”เยียนเซียวหรานตอบเสียงเรียบ “ยังดีที่มีแค่เก้าคน”ซือเจ๋อเยว่ไม่เข้าใจ “อะไรคือยังดีที่มีแค่เก้าคน?”เยียนเซียวหรานมองนางแล้วอมยิ้ม “ตอนองค์หญิงฝัน อาจารย์คนหนึ่งด่าไปสองชั่วยาม อาจารย์เก้าคนก็คือสิบแปดชั่วยาม”“หากมากกว่านี้อีกหน่อย แล้วด่ากันต่อไปเช่นนี้ ตอนตื่นมาลำคอขององค์หญิงอาจจะเสียหายไปแล้ว”ซือเจ๋อเยว่ “...”ซือเจ๋อเยว่ “!!!”จู่ๆ นางพบว่าผิวเผินเยียนเซียวหรานดูเป็นคนดีมีคุณธรรม แต่ภายในกลับร้ายไม่เบาตอนนี้ลำคอของนางแห้งผาก นางอยากดื่มน้ำเยียนเซียวหรานยกน้ำมาหนึ่งถ้วย นางหันมองเข
ซือเจ๋อเยว่ยังคงไม่มีชีพจร นางหันมองอีกฝ่ายอย่างตะลึง “ทำไมองค์หญิงถึงไม่มีชีพจร?”ซือเจ๋อเยว่ดึงแขนเสื้อลง “ตำแหน่งชีพจรของข้าไม่เหมือนกับคนทั่วไป หากตรวจอย่างคนทั่วไป ไม่เจอชีพจรหรอก”ก่อนหน้านี้ตอนเยียนซุ่ยซุ่ยอ่านตำราแพทย์เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอของจริงนางถามซือเจ๋อเยว่ “แล้วชีพจรขององค์หญิงอยู่ที่ใด?”ซือเจ๋อเยว่ส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้ ทว่าดูเหมือนอาจารย์ใหญ่ของข้าจะรู้ แต่เขาไม่บอกข้า”เยียนซุ่ยซุ่ยทำหน้าสงสัย ยังคิดจะช่วยนางหาตำแหน่งของชีพจร แต่กลับถูกปฏิเสธซือเจ๋อเยว่ถามเยียนเซียวหราน “ช่วงที่ข้านอนหลับ มีข่าวคราวจากศาลต้าหลี่บ้างหรือไม่?”เยียนเซียวหรานตอบ “มี เหวยอิ้งหวนเคยมาที่จวนอ๋องหนึ่งครั้ง คนชุดดำที่พวกเราจับได้ ถูกคนฆ่าตายระหว่างถูกส่งกลับไปที่ศาลต้าหลี่”เมื่อซือเจ๋อเยว่ได้ยินเรื่องนี้ ไม่แปลกใจสักนิด “ฆ่าได้ดี หากเขาถูกฆ่า จะยิ่งยืนยันได้ว่ามีคนต้องการใส่ร้ายจวนเยียนอ๋อง”“เดิมทีเสด็จอายังสงสัยจวนเยียนอ๋อง ยามนี้เมื่อมีคนลงมือเล่นงานจวนอ๋อง ยิ่งเห็นได้ชัดว่าจวนเยียนอ๋องคือผู้บริสุทธิ์”ความจริง ตั้งแต่ตอนที่นางกับเยียนเซี
เยียนเซียวหรานรู้ว่าอาการป่วยของนางเมื่อวานประหลาดไม่น้อย ร่างกายนางดูอ่อนแออยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะแย่ถึงเพียงนี้เขาหันมองซือเจ๋อเยว่อย่างอดไม่ได้ หญิงสาวสีหน้าขาวซีด ร่างกายบอบบาง คล้ายเพียงลมพัดนางก็ปลิวไปตามลมซือเจ๋อเยว่ยิ้มแล้วพูดต่อไป “เดิมทีข้ารู้สึกว่าชีวิตไม่มีสิ่งใดน่าสนุก แต่อาจารย์ใหญ่บอกว่าคนเราเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ควรเห็นคุณค่าของเวลาในทุกวัน”“เดิมทีครั้งนี้ข้าไม่อยากกลับเมืองหลวง แต่อาจารย์ใหญ่บอกว่าครอบครัวของข้าอยู่เมืองหลวง อย่างไรก่อนตายข้าก็ควรพบพวกเขาสักครั้ง ดังนั้นข้าจึงกลับมา”จางย่วนเจิ้งรู้ว่าคำพูดเหล่านี้นางฝากไปถึงฮ่องเต้เจาหมิง ทันใดนั้นจึงลุกขึ้นโค้งคำนับ “ข้าไร้ความสามารถ องค์หญิงโปรดรักษาเนื้อรักษาตัวด้วย”สถานการณ์อย่างนาง ตรวจไม่พบชีพจร แม้แต่เทียบยาก็ไม่ต้องเขียนซือเจ๋อเยว่คำนับตอบ เหล่าไท่จวินให้เยียนเซียวหรานไปส่งจางย่วนเจิ้งหลังจากพวกเขาออกไป เหล่าไท่จวินถามซือเจ๋อเยว่ “คำพูดเมื่อครู่ขององค์หญิงเป็นความจริงหรือ?”ซือเจ๋อเยว่หัวเราะ “ข้าหลอกเขานะ ร่างกายของข้าอ่อนแอ เสด็จอาถึงจะยิ่งวางใจ”“เขาตรวจไม่พบชีพจรข้า ความจริงเป็นเพราะตำแหน่งชีพ
“แม้ซือเจ๋อเยว่จะมีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิง แต่ก็ต้องแต่งงานกับเยียนอ๋องซื่อจื่อที่ตายในสมรภูมิรบ ช่างน่าเวทนาเสียจริง!”“อย่างนางนับเป็นองค์หญิงที่ใดกัน? นางก็แค่เด็กบ้านนอกที่เติบโตในสำนักเต๋า แถมยังเป็นดาวอัปมงคลอีกด้วย”“ข้ายังได้ยินมาว่า นางเป็นเหตุให้ฮ่องเต้องค์ก่อนสิ้นพระชนม์ด้วย”“ดาวอัปมงคลแต่งกับคนตาย ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมนัก!”ซือเจ๋อเยว่นั่งอยู่ในเกี้ยวแต่งงานหน้าประตูวังหลวงด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ฟังเหล่าข้าราชบริพารรอบข้างวิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุด ริมฝีปากของนางเผยรอยยิ้มเย็นเยียบอดีตฮ่องเต้กับฮ่องเต้เจาหมิงเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตกัน เมื่อครั้งอดีตฮ่องเต้สวรรคตอย่างกะทันหัน มีพระธิดาเพียงองค์เดียวคือซือเจ๋อเยว่ บรรดาขุนนางจึงยกย่องให้ฮ่องเต้เจาหมิงขึ้นครองบัลลังก์เมื่อฮ่องเต้เจาหมิงขึ้นครองราชย์ พระองค์ประกาศว่าจะทรงเลี้ยงดูพระธิดาน้อยวัยสองขวบอย่างดี แต่ไม่นานนัก นางกลับล้มป่วยหนัก และใช้ข้ออ้างที่ว่าต้องพักฟื้นร่างกายเพื่อส่งนางไปยังสำนักเต๋าพวกเขาไม่รู้เลยว่าอาการเจ็บป่วยครานั้นได้คร่าชีวิตเด็กน้อยวัยสองขวบไปแล้ว ที่อยู่ในร่างนี้คือวิญญาณของผู้ใหญ่จากศตวรรษที่ยี