ฮ่องเต้เจาหมิงได้ยินประโยคนี้ของนาง ก็หันหน้าไปมอง “นี่เจ้ากำลังโทษเราอย่างนั้นหรือ?”ซือเจ๋อเยว่ส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่ใช่เพคะ เดิมทีหม่อมฉันเติบโตมาในชนบท ที่ได้ร่ำเรียนย่อมเป็นความสามารถตามชนบทเพคะ”“หม่อมฉันเชื่อว่าทุกคนควรมีทักษะบางอย่างเป็นของตนเองเพคะ ถึงแม้ว่าความสามารถของหม่อมฉันจะไม่ค่อยเป็นที่นิยมสักเท่าใดนัก แต่ก็มีประโยชน์เพคะ”“หม่อมฉันออกจากเรือนโดยไม่ต้องพกเงิน ไม่มีเวลาให้ใช้จ่ายเงินเพคะ เพียงแค่นั่งข้างถนน แขวนป้ายดูดวง ก็สามารถหาเงินเลี้ยงชีพตนเองได้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เจาหมิงโมโหจนหัวเราะออกมา “เจ้าเป็นถึงองค์หญิงผู้สง่าผ่าเผยของแคว้น ตั้งแผงข้างถนนดูดวงให้ผู้คน สมควรแล้วอย่างนั้นหรือ?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยท่าทางจริงจัง “หม่อมฉันใช้ความสามารถหาเงิน มีปัญหาอะไรหรือเพคะ? มีตรงไหนที่น่าอายกันเพคะ?”ฮ่องเต้เจาหมิง “...”ซือเจ๋อเยว่กล่าวต่ออีกว่า “หม่อมฉันเติบโตในสำนักเต๋า หม่อมฉันไม่เรียนเรื่องพวกนี้ แล้วหม่อมฉันจะเรียนอะไรเพคะ?”“อีกอย่าง แม้ว่าสิ่งนี้จะนำความอับอายมาสู่ราชวงศ์ หม่อมฉันก็คงทำให้อับอายไม่นานนัก”“อย่างมากก็แค่จนกว่าหม่อมฉันจะอายุสิบแปดปี จวบจนบัดนี
ซือเจ๋อเยว่ตอบ “ไม่ทราบเพคะ เขาเอาแต่วิ่งไปทั่วทั้งวัน ผู้ใดจะรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนกันเล่าเพคะ?”ฮ่องเต้เจาหมิงถามนาง “ยันต์ห้าอัสนีบาตรก็เป็นยันต์ที่อาจารย์ใหญ่ของเจ้ามอบให้เจ้า?”ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า “ใช่เพคะ ก่อนหน้าที่หม่อมฉันจะเข้าวัง เขามอบยันต์และคาถาให้หม่อมฉันเป็นกอง”“พูดว่าหากใครจะรังแกหม่อมฉัน ก็ให้ยันต์แผ่นหนึ่งแก่อีกฝ่าย รับรองว่าอีกฝ่ายจะต้องว่าง่าย”“แต่หม่อมฉันก็คิดไม่ถึงเช่นกัน ว่าอานุภาพของยันต์ห้าอัสนีบาตจะรุนแรงขนาดนั้น ถึงกับผ่าจ้าวซือหว่านจนตายทันที”นางพูดจบก็ขยับเข้าไปใกล้ตรงหน้าของฮ่องเต้เจาหมิง เอ่ยถาม “เสด็จอา ยันต์ห้าอัสนีบาตรผ่าเพียงสิ่งชั่วร้ายเท่านั้น เหตุใดหลังจากหม่อมฉันแปะจ้าวซือหว่าน นางก็ถูกฟ้าผ่าตายทันทีเลยเล่าเพคะ?”ฮ่องเต้เจาหมิงมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉยแวบหนึ่งแล้วกล่าว “เรื่องนี้เจ้าเองรู้อยู่แก่ใจ เหตุใดจึงถามข้า?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “กล่าวเช่นนี้ แสดงว่าเสด็จอาทรงทราบว่านางตายอย่างไร”“ในเมื่อเสด็จอาทรงทราบแล้ว เหตุใดจึงเรียกหม่อมฉันเข้าวังเพื่อซักถามเรื่องนี้เล่าเพคะ?”ฮ่องเต้เจาหมิง “...”นางอ้อมรอบหนึ่ง ทำให้เขาอ้อมเข้ามาติ
ฮ่องเต้เจาหมิงจ้องมองเขา กล่าว “ราชครู นางให้เราลงโทษเจ้า โดยการตัดหัวของเจ้า”ราชครูกล่าวด้วยความโมโหเล็กน้อย “นังเด็กคนนี้ช่างกำเริบเสิบสานนัก วันหน้าหากกระหม่อมเจอนาง จะตีนางให้ตายอย่างแน่นอน!”ฮ่องเต้เจาหมิงกล่าวเสียงเรียบ “ตีนาง? ราชครูทำลงอย่างนั้นหรือ?”ราชครูถอนหายใจเบา ๆ กล่าว “จากสิ่งที่นางทำในวันนี้ กระหม่อมมีอะไรที่ทำไม่ลงพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้เจาหมิงไม่เชื่อคำพูดของเขาอย่างเห็นได้ชัด กล่าว “นางฉลาดหลักแหลมกว่าที่เราจินตนาการเอาไว้เสียอีก สมกับที่เป็นบุตรของเสด็จพี่”“หากเสด็จพี่เห็นท่าทางแบบนี้ของนาง ไม่รู้ว่าจะดีใจมากแค่ไหน”เมื่อราชครูได้ยินดังคำพูดประโยคนี้ สีหน้าท่าทางก็ดูหงอยเหงา “เกรงว่าหากดีใจขึ้นมา อาการป่วยของเขาจะไร้หนทางรักษา ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับชะตากรรม”“กระหม่อมใช้ความพยายามมากมายขนาดนั้นเพื่อต่อชีวิตนาง อย่างมากก็ทำได้เพียงทำให้นางมีชีวิตอยู่ได้ถึงสิบแปดปีเท่านั้น”ฮ่องเต้เจาหมิงกล่าวเตือนเขา “เจ้าก็อย่าได้ทุกข์ใจมากเกินไป ยังไม่ถึงตอนสุดท้าย ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลงได้”ราชครูถอนหายใจ ไม่ได้พูดต่ออีกฮ่องเต้เจาหมิงสายตาลึกซึ้งขึ้นเล็กน้อย ข้างใ
นางไม่เคยถือสาที่จะแสดงความเกลียดชังของนางที่มีซือเจ๋อเยว่ต่อหน้าคนอื่นมาก่อนนางถึงขนาดไม่ยินยอมให้ซือเจ๋อเยว่มีการไปมาหาสู่กันกับคนในครอบครัวฝั่งมารดาของนางเนื่องจากนางรู้สึกว่าซือเจ๋อเยว่หยาบคายเกินไป จะแปดเปื้อนดวงตาคนในครอบครัวฝั่งมารดาของนางได้วันนี้เป็นเพราะอวิ๋นเยว่หยางเป็นฝ่ายอยากจะพบซือเจ๋อเยว่ผู้ที่เป็นญาติผู้น้อง นางถึงได้ยอมกล้ำกลืนฝืนทนยอมให้เขาพบซือเจ๋อเยว่ก่อนหน้านี้อวิ๋นเยว่หยางก็รู้ว่าอวิ๋นไท่เฟยไม่ชอบซือเจ๋อเยว่เอามาก ๆ เขาไม่ได้มีความสนใจต่อญาติผู้น้องที่บิดาตายและตัวตนน่าอับอายคนนี้เช่นกันเพียงแต่เมื่อหลายวันก่อนเขาได้วางแผน อยากจะดึงผู้วิเศษที่อยู่ข้างกายของเยียนเซียวหรานออกมาเดิมทีเขาคิดว่าเรื่องนี้มีนักพรตจื่อหยางออกหน้า ก็สามารถทำได้สำเร็จอย่างง่ายดายผลปรากฏว่าวันนี้ไม่เพียงไม่สามารถสังหารผู้วิเศษที่อยู่ข้างกายของเยียนเซียวหรานได้ ในทางกลับกันยังทำให้นักพรตจื่อหยางได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกด้วยเมื่อวานนี้หลังจากที่นักพรตจื่อหยางฟื้นขึ้นมาได้บอกกับเขาว่า ผู้วิเศษที่อยู่ข้างกายเยียนเซียวหรานก็คือซือเจ๋อเยว่ตอนนั้นเขาตกใจจริง ๆ คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงผู้ไ
เดิมทีเป็นเพราะซือเจ๋อเยว่เชื่อฟังอวิ๋นไท่เฟยถึงได้แต่งงานเข้าจวนเยียนอ๋องแทนองค์หญิงสาม อวิ๋นเยว่หยางจึงคิดว่านางเป็นสตรีประเภทมีลักษณะนิสัยนุ่มนิ่มควบคุมได้ง่ายแต่เมื่อเขาลองคิดถึงเรื่องราวที่ซือเจ๋อเยว่ได้ทำในช่วงนี้ดูอย่างละเอียด ก็รู้สึกว่าก่อนหน้านี้มองนางผิดไปแล้วลักษณะนิสัยของนางเดิมทีก็ไม่ได้นุ่มนิ่ม ยังค่อนข้างนิสัยไม่ดีอีกด้วยเขารู้ว่าซือเจ๋อเยว่เพิ่งออกไป เขาจะตามนางไปเดี๋ยวนี้ บางทีอาจจะยังตามได้ทันด้วยเหตุนี้เขาจึงกล่าวกับอวิ๋นไท่เฟย “ท่านอาหญิง ข้ายังมีธุระต้องออกวังหลวงก่อน วันหน้าค่อยมาเยี่ยมท่านใหม่”เขาพูดจบไม่รอให้อวิ๋นไท่เฟยตอบ คารวะทีหนึ่งแล้วก็เดินออกไปข้างนอกอย่างรีบร้อนช่วงหลายวันมานี้อวิ๋นไท่เฟยถูกซือเจ๋อเยว่หักหน้ามาหลายครั้งแล้ว นางขว้างปาแจกันดอกไม้ด้วยความโมโหหลายใบ ยืนด่าทออยู่ตรงนั้นร่างกายของซือเจ๋อเยว่อันที่จริงไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว ในเวลานี้นางเพียงแค่อยู่ในช่วง ‘แกล้งป่วย’ เท่านั้น เดินช้ามากไปตลอดทางดังนั้นตอนที่อวิ๋นเยว่หยางไล่ตามมา นางได้เดินออกไปนอกวังหลวงมารวมตัวกับเยียนซุ่ยซุ่ยแล้วตอนที่อวิ๋นเยว่หยางเห็นซือเจ๋อเยว่ ก็มีความประห
“ไม่เช่นนั้นวันพรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปรับองค์หญิงที่จวนอ๋อง จะได้ให้ท่านปู่ท่านย่าได้พบองค์หญิงด้วย”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยใบหน้าประหลาดใจ “ที่แท้เสด็จแม่ของข้าก็มีชีวิตกับเขาด้วยหรือเนี่ย!”“ข้าคิดมาตลอดว่าที่นางทำไม่ดีแบบนั้นกับข้า เป็นเพราะว่านางหัวใจทำมาจากก้อนหินเสียอีกนะ!”อวิ๋นเยว่หยางสีหน้าแข็งทื่ออย่างอดไม่ได้ กระแอมเบา ๆ หนึ่งทีแล้วกล่าว “ท่านอาหญิงเป็นคนปากร้ายแต่ใจดีมาตลอด ปากนางพูดจาไม่น่าฟัง อันที่จริงในใจของนางเป็นห่วงองค์หญิงอย่างยิ่ง”เมื่อซือเจ๋อเยว่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ก็ยิ้ม “คงใช่กระมัง ตั้งแต่เด็กจนโตข้าไม่ได้เติบโตอยู่ข้างกายนาง จึงไม่ค่อยเข้าใจนางสักเท่าไร”อวิ๋นเยว่หยางเดินถอยหลังไปหนึ่งก้าว กล่าวเสียงอ่อนโยน “วันพรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปรับองค์หญิงที่จวนอ๋อง”“ท่านปู่ท่านย่าได้พบองค์หญิง จะต้องดีใจเป็นอย่างยิ่ง”ซือเจ๋อเยว่ไม่ได้ตอบรับทันที เพียงหันหน้าไปพูดกับเยียนซุ่ยซุ่ย “พวกเรากลับจวนกันเถอะ!”เยียนซุ่ยซุ่ยพยักหน้า ตอนที่ทั้งสองคนเดินผ่านข้างกายของอวิ๋นเยว่หยางซือเจ๋อเยว่เหมือนกับขาอ่อนไป ล้มเข้าไปทางอวิ๋นเยว่หยางอวิ๋นเยว่หยางยื่นมือออกไปประคองนางด้วยจิตใต้
ซือเจ๋อเยว่ถูกเสียงของเยียนเซียวหรานทำให้ตกใจ หันหน้าไปมองอย่างรวดเร็ว “เจ้าไม่ได้เข้ามาทางประตูหรือ?”เขาเข้าใกล้เกินไป ทันทีที่นางหันหน้ากลับมา ริมฝีปากก็พาดผ่านใบหน้าของเขา เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าวทันทีคิ้วของซือเจ๋อเยว่เลิกขึ้นเล็กน้อย นี่คือความจริงจังที่เสแสร้ง!นางหันหน้าไปมองทางหน้าต่างบานนั้นที่ยังกำลังโยกไหวอยู่ นางเข้าใจทันทีว่าเขาเข้ามาจากที่ไหนหากเป็นคนอื่น บางทีนางอาจจะแหย่เล่นสักหน่อย แต่นางรู้ว่าเยียนเซียวหรานหน้าบาง ในใจของนางเดิมก็มีจุดประสงค์ไม่ดีแอบแฝง จึงไม่ควรแหย่เล่นตอนที่เยียนเซียวหรานกำลังพยายามคิดหาข้ออ้าง ซือเจ๋อเยว่ก็กล่าวขึ้น “น้องสามมาได้เวลาพอดีเลย ข้ามีสิ่งของบางอย่างจะให้เจ้าดู”เยียนเซียวหรานแอบถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง ซือเจ๋อเยว่กวักนิ้วเรียกเขา บอกเป็นนัย ๆ ว่าให้เขาเดินเข้ามาใกล้อีกนิดเขามองนางแวบหนึ่ง หรี่ดวงตาลงครึ่งหนึ่ง ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้ขยับนางกล่าวเร่งรัดอีกครั้ง “รีบเข้ามาสิ!”เยียนเซียวหรานพยายามข่มอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในใจลง ค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ ๆ ข้างกายนางนางชี้ไปที่เส้นผมเส้นหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะ “รู้หรือไม่ว่านี่คืออะไร?”หลังจา
ดวงตาบนหุ่นคนที่นางแต้มด้วยหมึกอย่างลวก ๆ ดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมาในทันใด ดวงตาสีดำคู่นั้นทำให้เยียนเซียวหรานรู้สึกขนลุกอยู่ในใจเขาถามนาง “ของสิ่งนี้มีประโยชน์อะไร?”ซือเจ๋อเยว่ยื่นเข็มเล่มหนึ่งให้เขา “เจ้าขัดตาตรงไหนของมันก็ทิ่มลงไปตรงนั้น”“คาถาสาปแช่ง?” เยียนเซียวหรานถามหลังจากซือเจ๋อเยว่ครุ่นคิดก็ตอบ “ข้าได้ยินมาว่าสตรีในวังหลวงชอบใช้ผ้ามาทำเป็นรูปคน ด้านบนเต็มไปด้วยเข็ม ใช้สำหรับสาปแช่งคนอื่น การกระทำเช่นนี้เรียกว่าคาถาสาปแช่ง”“อันที่จริงของประเภทนั้นที่พวกนางใช้เพียงแค่ใช้ผ้ามาทำเป็นรูปคนเท่านั้น หรือคนที่วิชาเต๋าไม่เก่งกล้าจะใช้คาถาเพื่อสร้างหุ่นเชิด แต่ก็ไม่ได้ผล”“คาถาที่ข้าใช้เรียกหุ่นเชิดแทนตัวคน แตกต่างจากของพวกนาง ได้ผลชะงัด แทงตรงไหนโดนตรงนั้น”“เขาทำร้ายเจ้าจนย่ำแย่ขนาดนั้น เจ้าเอาเข็มแทงส่วนที่เกี่ยวข้องของหุ่นคนตัวนี้ เขาก็จะรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง”เยียนเซียวหรานถาม “สุดยอดขนาดนี้เชียวหรือ?”ซือเจ๋อเยว่ถอนหายใจเบา ๆ “เจ้าสามารถสงสัยคุณธรรมของข้าได้ แต่เจ้าไม่ควรสงสัยในวิชาเต๋าของข้า”“หากเจ้าไม่เชื่อ เจ้าดึงเส้นผมออกมาเส้นหนึ่ง ข้าจะทำขึ้นมาอีกตัว ให้เจ้า
เขาจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา "เป็นข้าที่ไร้เดียงสาเกินไป คิดว่าเรื่องราวระหว่างเราจะต่างออกไป" "แต่ข้ากลับลืมไปว่า เจ้าเป็นคนของสำนักเต๋า เราสองคนก็อยู่กันคนละฝ่ายตั้งแต่แรกเริ่ม" "ซือเจ๋อเยว่ ตั้งแต่นี้ไปข้าขอตัดขาดจากเจ้า หากพบกันอีก ข้าจะฆ่าเจ้าแน่นอน!" เมื่อเอ่ยจบเขาก็หยิบของสิ่งหนึ่งจากร่างกายแล้วขว้างออกไป สิ่งนั้นทำหน้าที่รับแรงโจมตีจากค่ายกลแทนเขา ก่อนที่ตัวเขาจะพุ่งออกจากค่ายกลราวกับดาวตกก็ไม่ปาน ซือเจ๋อเยว่รีบไล่ตามออกไป แต่ภายนอกกลับไร้เงาของไป๋จื้อเซียน นางรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง วันนี้เขาเข้าใจนางผิด แล้วจากไปเช่นนี้ ภายภาคหน้าก็ไม่อาจล่วงรู้เลยว่าจะเกิดอันใดขึ้นอีก ยังดีที่เขาเคยสาบานต่อสวรรค์ ว่าจะไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ อย่างน้อยสถานการณ์ก็ยังไม่เลวร้ายถึงระดับนั้น แต่เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาขาดสะบั้นในบัดนี้ ด้วยนิสัยของเขา ย่อมต้องหาหนทางสังหารนางให้ได้อย่างแน่นอน! นางคิดว่าตนเองยังคงประเมินไป๋จื้อเซียนต่ำเกินไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถหลบหนีออกจากค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาได้ เยียนเซียวหรานถามขึ้น "เมื่อครู่นี้เกิดอันใดขึ้น?" ซือเจ๋อเยว่ถอนหายใจ "ตุ๊
ซือเจ๋อเยว่ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้นับหลังจากตั้งแต่ที่อาจารย์สามปั้นเสร็จแล้ววางไว้ที่นี่ ก็ไม่เคยมีความรู้สึกอะไรนางคิดมาตลอดว่าอาจารย์สามทำเช่นนี้เพราะจะหยอกนางเล่น ไม่คิดเลยว่าจนกระทั่งวันนี้จะมีความเคลื่อนไหวแล้วที่ประตูมีเสียงของไป๋จื้อเซียนดังลอยเข้ามา “เจ้าล่อลวงข้ามาที่นี่ ก็เพราะอยากจะฆ่าข้าใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ากลับไปมองก็เห็นไป๋จื้อเซียนยืนอยู่ที่หน้าประตู ตุ๊กตาดินเผาเหล่านั้นรวมตัวกันกลายเป็นค่ายกล จะจัดการกับเขาหลังจากที่วันนี้เขาเดินเข้ามาในสำนักเต๋า ความสามารถทุกด้านก็ถูกลดทอนลง ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้ยังเป็นตุ๊กตาที่อาจารย์สามปั้นขึ้นเองกับมืออีกด้วย ด้านในมีค่ายกลที่ร้ายแรงเป็นอย่างยิ่งซ่อนอยู่ไป๋จื้อเซียนในเวลานี้ถูกค่ายกลนี้ขังเอาไว้ ไม่สามารถดิ้นให้หลุดได้เขาเกิดความสงสัยมาก ประกอบกับก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่อยากจะจัดการเขามาตลอด เขาจึงคิดว่านางเป็นผู้ควบคุมให้ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้มาจัดการเขาก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่เคยคิดอยากจะจัดการเขาในสำนักเต๋าจริง ๆ แต่เป็นครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางจริง ๆเป็นเพราะร่างกายที่พิเศษเ
ความทรุดโทรมนี้เริ่มปรากฏตั้งแต่ประตูเขาที่เก่าและทรุดโทรม ยาวไปตลอดทางจนถึงกระทั่งถึงโถงใหญ่ของสำนักเต๋าด้านในก็มีเพียงรูปหล่องทองคำปรมาจารย์เต๋าที่ยังมีสภาพดีอยู่เพียงเท่านั้น อาคารอื่น ๆ ของวัดก็สามารถใช้คำว่าชำรุดทรุดโทรมมาบรรยายได้เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมา นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ที่เฝ้าภูเขาก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว ไม่ไปไหนแล้วใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่ได้ยินก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าอาศัยคืนเดียวก็จะไปแล้ว”ใบหน้าของนักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ก็มีสีหน้าผิดหวังปรากฏขึ้นมาทันที นางหยิบทองหนึ่งกำมือออกมาจากมิติคาถาเต๋าแล้วมอบให้เขา “ค่าอาหารของปีนี้”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ใช้สองมือรับทองคำ ใบหน้ามีรอยยิ้มขึ้นมาทันที “อย่างไรเสียศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็เก่งกาจ!”สำนักเต๋าผ่านไปด้วยความยากลำบากมาก ทองคำเหล่านี้เมื่อแลกเป็นเงินก็ได้หลายพันตำลึง เพียงพอที่จะให้พวกเขามีกินได้ถึงสิ้นปีซือเจ๋อเยว่ถามเขา “พวกอาจารย์ออกจากสำนักเต๋าตั้งแต่เมื่อใด?”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ “ทันทีที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ออกไปจากสำนักเต๋า เจ้าสำนักพวกเขาก็ไปแล้ว”ซือเจ๋อเยว่ขมวดคิ้ว “พวกเขาได้บอกหรือไ
ซือเจ๋อเยว่เผชิญหน้ากับสายตาที่แฝงไปด้วยความน้อยใจของไป๋จื้อเซียน นางมีความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยท่าทางเช่นนี้ของเขา เกรงว่าคนที่ไม่รู้จะคิดว่าพวกเขากำลังสุมหัวกันกลั่นแกล้งเขาแต่เรื่องจริงคือเขาเกือบทำให้พวกเขาต้องติดกับดักจนตายในเวลานี้นางจำต้องกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋มาก”ไป๋จื้อเซียนมองนางด้วยสีหน้าน่าสงสารพร้อมกล่าว “เมื่อครู่นี้เจ้าดุข้า”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางสูดหายใจในใจทีหนึ่ง เจ้าหมอนี่แสดงละครเก่งมาก!นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ข้ามีนิสัยใจร้อน เวลามองอะไรก็มักจะมองแค่สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ไม่สู้คุณชายไป๋ที่มองการณ์ไกล”“คุณชายไป๋คาดการณ์เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในตอนหลังได้ตั้งแต่แรกแล้ว ข้าชื่นชมตบะอันล้ำลึกทำให้ข้านับถือจากใจจริง”“ครั้งหน้าหากยังมีเรื่องแบบเดียวกันอีก คุณชายไป๋ได้โปรดแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเสียหน่อย พวกเราจะได้ร่วมมือกันได้ดี”นางพูดจบก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อย “คุณชายไป๋ช่วยพวกเราคำนวณดูหน่อยได้หรือไม่ พวกเรากลับเมืองหลวงครั้งนี้ จะล้มจวนหนิงกั๋วกงได้หรือไม่?”ไป๋จื้อเซียน “...”ถึงแม้เขาจะมีชีวิตอยู่มาหนึ่งพันปีแล้วก็ตาม เรียนรู้เพียงความสามารถฆ
“ถึงแม้วันนี้ข้ากับชื่อปาเลี่ยจะบุกฝ่าออกมาได้ แต่ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด”“การล้อเล่นแบบนี้ อย่างไรคุณชายไป๋ช่วยลดลงหน่อยจะดีมาก”ไป๋จื้อเซียนจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา เขาหันหน้าไปมองไป๋จื้อเซียน โดยไม่ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อยชื่อปาเลี่ยที่อยู่ข้าง ๆ พูดไกล่เกลี่ย “ครั้งนี้พวกข้าไม่เป็นอะไร อย่างไรก็ช่างเถอะ”ความโกรธที่ไป๋จื้อเซียนมีอยู่มากมายไม่มีที่ระบาย ยกมือขึ้นแล้วสะบัดทำให้ชื่อปาเลี่ยลอยกระเด็นออกไปชื่อปาเลี่ย “!!!!!”หากวันหลังเขายังกล้าสอดเรื่องของพวกเขาอีก เขาก็คือก็คือไอ้ลูกหมา!เขากระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ร้องโอ๊ยออกมาทีหนึ่งซือเจ๋อเยว่รีบยื่นมือออกไปประคองชื่อปาเลี่ย “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”ชื่อปาเลี่ยกุมหน้าอกกล่าว “ข้าเจ็บหน้าอกนิดหน่อย”ในระหว่างที่พูดเขารู้สึกผิดปกติบริเวณหน้าอก ยื่นมือออกไปแล้วล้วง ไม่คิดเลยว่าจะควักสมุดบันทึกเล็ก ๆ เล่มหนึ่งออกมาจากข้างใน “นี่มันอะไรกัน?”หลังจากซือเจ๋อเยว่รับมาก็เปิดสมุดบันทึกเล่มเล็ก พบว่าเป็นสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้ายฉบับนั้นที่เยียนอ๋องซื่อจื่อกล่าวไว้นางทั้งตกใจทั้งดีใจ “นี่คือสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้าย!”เยียนเซียวหรา
ซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ข้าไม่เป็นอะไร”นางพูดจบก็กล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”เยียนเซียวหรานยิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นอะไร”เขาพูดจบก็ประสานมือคำนับไป๋จื้อเซียนกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋ที่พาองค์หญิงออกมาได้อย่างปลอดภัย ทำให้ข้าไม่ต้องเป็นพะวงที่จะบุกฝ่ากองทัพออกมา”สีหน้าของไป๋จื้อเซียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เรื่องนี้เขาวางแผนทำร้ายเยียนเซียวหราน เยียนเซียวหรานขอบคุณเขาจึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมากยังมีท่าทีของซือเจ๋อเยว่อีก ในดวงตาของนางมีเพียงเยียนเซียวหรานเท่านั้น ไม่มีเขาเลยแม้แต่น้อยความรู้สึกแบบนี้ทำให้ไป๋จื้อเซียนไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งเขารู้สึกไม่พอใจ จึงอยากจะทำร้ายชื่อปาเลี่ยอีกครั้งดวงตาของเขากวาดมองไปยังชื่อปาเลี่ย ชื่อปาเลี่ยได้หลบไปอยู่ที่ด้านหลังของซือเจ๋อเยว่อย่างรวดเร็ว “คุณชายไป๋จะทำร้ายข้า องค์หญิงช่วยด้วย!”ซือเจ๋อเยว่รู้ว่าไป๋จื้อเซียนมีนิสัยขี้โมโห เขาติดตามอยู่ข้าง ๆ พวกเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับระเบิดเวลา ไม่รู้ว่าจะเบิดขึ้นเมื่อไหร่เพียงแต่หากปล่อยเขาไป วันข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะก่อเหตุวุ่นวายอะไรขึ้นอีกนางคิดว่า อย่างไรเสียก็ต้องคิดหาว
เขายิ้มแย้มพร้อมกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ข้าพาเจ๋อเยว่นำไปก่อน พวกเจ้าสู้ ๆ ล่ะ”ซือเจ๋อเยว่ “...”เยียนเซียวหราน “...”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยความร้อนใจ “นี่ เจ้าพาพวกเขาไปด้วยกันสิ!”ไป๋จื้อเซียนกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “สถานการณ์แบบนี้ไม่ฆ่าคนก็พาพวกเขาออกไปไม่ได้”“ก่อนหน้านี้ข้าเคยสาบานต่อสวรรค์ไว้ว่า ไม่สามารถลงมือฆ่าคนได้โดยไม่มีสาเหตุ ดังนั้น...”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ามองเขา ในดวงตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ทั้งสองข้างของเขาแฝงไปด้วยหยอกเย้า ท่าทางเหมือนกับกำลังดูละครด้วยความสุขนางรู้ดีว่า เรื่องในวันนี้เขานั้นเจตนา!นางรู้ดีว่า คนที่ชั่วร้ายเช่นไป๋จื้อเซียนจะยอมร่วมมือกับพวกเขาได้อย่างไร?นางกล่าวด้วยความร้อนใจ “ปล่อยข้าลง! ข้าจะไปช่วยพวกเขา!”ไป๋จื้อเซียนยิ้มด้วยความร่าเริงพร้อมกล่าว “ตอนนี้ด้านล่างมีแต่คน ทั้งเจ้ายังไม่เป็นวรยุทธ์ หากลงไปจริง ๆ ก็รังแต่จะยิ่งอันตราย”“อีกอย่าง ขอเพียงเจ้าสงบ เยียนเซียวหรานก็จะไม่เป็นพะวง ก็สามารถแสดงความสามารถของเขาได้อย่างเต็มที่”“ข้าเชื่อ ด้วยความสามารถของเขา ต้องสามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้แน่ ปลอดภัยหายห่วง” ซือเจ๋อเยว่ค้อนเขา เขากะพริบตาใส
เยียนเซียวหรานกวัดแกว่งกระบี่ในมืออย่างสุดแรง พยายามพาซือเจ๋อเยว่พุ่งตัวออกไปด้านนอกชื่อปาเลี่ยกลับด่าทออย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงนั้น “ไอ้แม่งเอ๊ย ครั้งก่อนเกือบตายที่ด่านอวิ๋นหลิ่ง ครั้งนี้ยังจะมาอีก!”เขาพูดจบก็กล่าวกับซือเจ๋อเยว่อีก “องค์หญิง ค่ายกลนั่นของท่านเมื่อครั้งก่อน เอาออกมาใช้อีกครั้งได้หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “เอามาใช้อีกครั้ง ข้าก็สามารถตายตรงนี้ต่อหน้าพวกเจ้าได้เลย!”ชื่อปาเลี่ย “...”เยียนเซียวหรานกล่าวเสียงขรึม “เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว พุ่งไปข้างหน้าด้วยกันกับข้า”ซือเจ๋อเยว่ครุ่นคิด ครั้งนี้อยู่ภายในห้องปิดตาย จะอย่างไรก็ต้องพุ่งตัวเข้าไปหาก่อนดังนั้นนางจึงหยิบยันต์ออกมา ใช้คาถาเต๋าทำให้ระเบิด ภายในชั่วพริบตา ภายในห้องก็มีลมกระโชกแรงเกิดขึ้น พัดทหารยามพวกนั้นที่อยู่หน้าประตูลอยกระเด็นออกไปข้างนอกชื่อปาเลี่ยหลบไม่ทัน หัวจึงกระแทกพื้นเยียนเซียวหรานอยากจะจับเขาเอาไว้ แต่ลมแรงเกินไป จึงทำให้ไม่สามารถจับเขาได้เลยซือเจ๋อเยว่คว้าขาของชื่อปาเลี่ยเอาไว้แล้วกล่าว “รีบไป!”ชื่อปาเลี่ย “!!!!!!”เขาเองก็อยากจะหนีไปโดยเร็วเช่นกัน แต่ปัญหาคือลมทั้งรุนแ
สิ่งของที่อยู่ด้านในมองดูค่อนข้างสลับซับซ้อน กองกันเละเทะ ทันทีที่ดูก็รู้ว่าหลังจากถูกใครบางคนรื้อค้นจนเละเทะ ก็ไม่ได้จัดระเบียบใหม่ภายในห้องที่รกรุงรังแบบนี้ อยากจะตามหาสิ่งของที่พวกเขาอยากได้ เหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หลังจากที่ซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานรื้อค้นรอบหนึ่ง ก็ไม่ได้อะไรแม้แต่อย่างเดียวทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ก็เห็นความจนปัญญาจากดวงตาของอีกฝ่ายภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ราวกับว่าไม่มีความจำเป็นที่จะตามหาต่อไปแล้วในเวลานี้เอง เสียงของทหารยามก็ดังลอยมาจากหน้าประตู “ใครกัน?”ซือเจ๋อเยว่รีบเก็บไข่มุกราตรีลงไป ด้านในจึงกลับคืนสู่ความมืดอีกครั้งเนื่องจากเมื่อครู่นี้ทหารยามได้เห็น ‘การแสดง’ ของไป๋จื้อเซียน ภายในใจจึงหวาดกลัวเป็นอย่างมากแต่เพราะมีคำสั่งของนายพลที่เฝ้าด่าน เขาจึงไม่กล้าละทิ้งหน้าที่โดยพลการอีก จึงเรียกเพื่อนร่วมงาน ตั้งใจว่าจะจุดเทียนแล้วเข้าไปตรวจค้นด้านในตอนที่เขากำลังจะเปิดประตู ทหารยามคนนั้นก็หันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นใบหน้าที่ชั่วร้ายของไป๋จื้อเซียน เสื้อผ้าสีแดงราวกับเลือดทหารยามไม่ได้รู้สึกตัวในทันที ยังถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”ไป๋จื้อ