ในที่สุด เยียนซุ่ยซุ่ยก็นึกถึงวิธีที่เคยใช้ในการรักษาซือเจ๋อเยว่ยามที่นางหมดสติครั้งก่อน นางลองใช้วิธีการฝังเข็มให้กับร่างกายของซือเจ๋อเยว่ดูอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าซือเจ๋อเยว่มีสีหน้าดีขึ้น นางก็ทำเช่นนี้ทุกวัน หลังจากใช้วิธีการลองผิดลองถูกในการฝังเข็มให้ซือเจ๋อเยว่ไปหลายวัน สีหน้าของนางก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหลับสนิทไปถึงเจ็ดวันเต็ม ก่อนจะฟื้นขึ้นมาอย่างแท้จริง ซือเจ๋อเยว่ยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น "ข้าไม่เป็นไร พักผ่อนอีกไม่กี่วันก็คงดีขึ้น" นางยกแขนขึ้นเพื่อมองดูข้อมือของตนเอง ก็พบว่าเส้นสีแดงที่ข้อมือกลับมาเหลือเพียงเล็กน้อยอีกครั้งนางอดไม่ได้ที่จะสบถในใจอย่างเดือดดาล ทั้งที่เห็นได้ชัดว่าก่อนที่นางจะหมดสติไปนางดูดกลืนอายุขัยจากเยียนเซียวหรานมาได้มากมาย แต่ยามนี้กลับหายไปหมดอีกแล้ว?นางเพียงแค่ต่อสู้กับนักพรตชั่วที่หน้าประตูของอารามเต๋าเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เส้นสีแดงถึงกับหายไปมากมายเพียงนี้เชียวหรือ?เจ้าบ้านี่ คล้ายดั่งเจอผีไม่มีผิด!ไม่สิ ต่อให้เจอผีก็ไม่ได้น่ากลัวถึงเพียงนี้!นางถามขึ้น "ข้านอนหลับไปนานเพียงใดแล้ว?" เยียนเหนียนเหนียนตอบไป "เจ็ดวัน องค์หญิง ขอโทษด้ว
แท้จริงแล้วเยียนเซียวหรานไม่อยากพบนางเพียงลำพังนัก สำหรับเรื่องพลังชั่วร้าย เขากลับไม่กังวลอันใด เพราะเขาคุ้นเคยกับมันมานาน ครั้งนี้จึงไม่มีผลกระทบมากนัก เพียงแต่เขารู้ว่าการที่ซือเจ๋อเยว่เรียกหาเขา ต้องมีเรื่องอื่นเป็นแน่หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กว่าเขาจะไปหานางก็ช่วงบ่ายแล้วเมื่อมาถึงเขาก็ไม่ได้เข้าไปในห้องนอน แต่ยืนอยู่ด้านนอกใกล้ฉากกั้นลมแล้วเอ่ยขึ้น "องค์หญิงอยากรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นใช่หรือไม่?" "วันนั้นหลังจากองค์หญิงหมดสติไป ข้าขับไล่พวกนักพรตน้อยเหล่านั้นออกไป และกลัวว่านักพรตเฒ่าจะแผลงฤทธิ์ จึงพาตัวองค์หญิงออกมาทันที" ซือเจ๋อเยว่เห็นเงาของเขาผ่านฉากกั้นลม นางรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เขาไม่ยอมเข้ามาใกล้ ซึ่งนางในสภาพนี้ก็ไม่สามารถกระโดดไปอยู่ด้านหน้าเขาได้ นางจึงถามเขาเกี่ยวกับเรื่องสำคัญโดยตรง "นักพรตเฒ่าไม่ได้ทำร้ายเจ้าหรือ?" "ทำ" เยียนเซียวหรานตอบ "แต่ยามที่เขามาแย่งกระบี่ไม้ท้อ เขากลับถูกยันต์บนด้ามกระบี่ทำให้กระเด็นกลับไป" ซือเจ๋อเยว่หัวเราะขึ้นมา "ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าเฒ่าขี้ขลาดคนนั้นจะต้องมาแย่งกระบี่ไม้ท้อ" เยียนเซียวหรานมองลึกลงไปในด
ซือเจ๋อเยว่ขมวดคิ้ว พลางถามขึ้น "หากครั้งนี้ก็ยังไม่สามารถหาตัวผู้ที่อยู่เบื้องหลังได้ เราเสียเวลาเปล่าหรือ?""ก็ไม่ถึงกับเสียเวลาเปล่า" เยียนเซียวหรานตอบเสียงเรียบ "ข้าคาดเดาได้บ้างแล้วว่าผู้ใดคือผู้ที่อยู่เบื้องหลัง"ซือเจ๋อเยว่ถามด้วยความสงสัย "ผู้ใดหรือ?"เยียนเซียวหรานมองนางผ่านฉากกั้นลม มันเป็นฉากกั้นลมกึ่งโปร่งแสง เขาเห็นร่างกายที่อ่อนแอของนางนอนอยู่บนเตียงได้อย่างเลือนรางเขานึกถึงการคาดเดาของตนเอง เดิมทีเรื่องการวางแผนที่โหดร้ายเจ้าเล่ห์ของราชสำนักที่มีต่อจวนเยียนอ๋องไม่เกี่ยวข้องกับนางแต่ยามนี้กลับลากนางเข้ามาในวังวนใหญ่ของจวนเยียนอ๋องจวนเยียนอ๋องเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน เขายังรับมือไม่ไหวซึ่งนางที่ถูกส่งไปยังสำนักเต๋าตั้งแต่ยังเด็ก พลัดพรากจากญาติสนิท เมื่อกลับมายังเมืองหลวงก็ถูกญาติสนิทคิดร้าย นางจึงเป็นคนที่โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งอย่างแท้จริงเขาคิดถึงสิ่งเหล่านี้แล้วใจอ่อนลงเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบา "องค์หญิงร่างกายยังไม่หายดี พักฟื้นให้สบาย เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง"ซือเจ๋อเยว่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย "ก็ได้ หากเจ้าไม่อยากเอ่ยก็ไม่ต้องเอ่ย"นางเพิ่งมาเมืองหลวงไม่นาน บา
สีหน้าของเยียนเซียวหรานเปลี่ยนไปเล็กน้อยเรื่องที่นางจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงสิบแปดปี เขาเองก็รู้ แต่ก็ไม่ได้เชื่อมากนักเพราะหากนางไม่ป่วยนอนบนเตียง ก็จะดูมีชีวิตชีวา ยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลาไม่มีผู้ใดจะเชื่อมโยงเรื่องตายก่อนไวอันควรกับนางแต่ความจริงคือนางเป็นคนที่แม้แต่ชีพจรก็ไม่มี พลังของคาถาลัทธิเต๋าสูงส่งแต่ใช้เมื่อใดก็จะเป็นลมหมดสติไปแล้วเขาเอ่ยเสียงเบา "ข้าจะหาหมอดีๆ มาให้องค์หญิง จะต้องรักษาได้แน่"ซือเจ๋อเยว่ถอนหายใจเสียงเบา "โรคของข้า หมอรักษาไม่ได้ แต่มีคนหนึ่งที่รักษาได้"เยียนเซียวหรานถาม "ผู้ใด?"ซือเจ๋อเยว่ไม่เอ่ยวาจาใด แต่หันไปมองเขาสายตาของเยียนเซียวหรานเปลี่ยนไปหลายครั้ง แล้วถามขึ้นอีกครั้ง "ผู้ใด?"ซือเจ๋อเยว่นึกถึงนิสัยที่เคร่งครัดของเขา คิดว่าหากนางบอกว่าเป็นเขา วิธีการรักษาคือกอดและจูบตนเอง คงจะถูกเขาตบให้ตายอยู่เสียตรงนี้คำกล่าวที่นางจะเอ่ยจึงเปลี่ยนไป "อาจารย์ใหญ่ของข้า แต่เขาเดินทางไปไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาอยู่ที่ใด""คาดว่ากว่าจะหาเขาพบ ข้าคงตายไปหลายรอบแล้ว""ไม่เอ่ยเรื่องนี้แล้ว น้องสามช่วยข้าดื่มน้ำแก้วนี้ได้หรือไม่?"เยียนเซียวหร
เยียนเซียวหราน “...”แม้เขาจะรู้ว่านางกำลังพูดจาโป้ปด แต่เขาก็ไม่สามารถหักล้างได้เช่นกันในเวลานี้เอง เยียนซุ่ยซุ่ยเดินเข้ามา “องค์หญิง คนของวังหลวงมาอีกแล้ว เชิญท่านเสด็จเข้าวัง”ซือเจ๋อเยว่ไม่ได้มีความสนใจการเข้าวังหลวงสักเท่าไร จึงถาม “ผู้ใดในวังหลวงต้องการพบข้า?”เยียนซุ่ยซุ่ยตอบ “ฝ่าบาทเจ้าค่ะ”ซือเจ๋อเยว่ถอนหายใจ หากเป็นอวิ๋นไท่เฟยนางยังสามารถแกล้งตายได้ หากเป็นฮ่องเต้เจาหมิงละก็ นางก็ไม่สามารถแกล้งตายต่อไปได้อีกแล้วนางกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง “เอาเถอะ ข้าล้างหน้าเสร็จก็จะเข้าวัง”พระชายาเยียนอ๋องได้ยินข่าวเดินเข้ามาพร้อมกล่าว “หากองค์หญิงไม่สบาย ก็ไม่ต้องเข้าวังหรอก ฝ่าบาททรงเข้าใจได้”ซือเจ๋อเยว่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เสด็จอาทรงเรียกพบ ต่อให้ข้าเหลือลมหายใจแค่เฮือกสุดท้ายก็ต้องเข้าวัง ต่อให้ต้องหามเข้าไปก็ตามเจ้าค่ะ”ในสายตาของพระชายาเยียนอ๋องมีความเป็นห่วงเล็กน้อยซือเจ๋อเยว่ค่อย ๆ ลุกขึ้นมา แล้วค่อยให้เยียนซุ่ยซุ่ยช่วยหวีผมให้นางจนเสร็จเรียบร้อย จากนั้นค่อย ๆ เดินออกจากห้องเยียนเซียวหรานมองเห็นท่าทางนี้ของนาง ก็รู้สึกว่าตนเองอาจจะเข้าใจนางผิดไปแล้ว เป็นเพราะท่าทางของนา
ฮ่องเต้เจาหมิงได้ยินประโยคนี้ของนาง ก็หันหน้าไปมอง “นี่เจ้ากำลังโทษเราอย่างนั้นหรือ?”ซือเจ๋อเยว่ส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่ใช่เพคะ เดิมทีหม่อมฉันเติบโตมาในชนบท ที่ได้ร่ำเรียนย่อมเป็นความสามารถตามชนบทเพคะ”“หม่อมฉันเชื่อว่าทุกคนควรมีทักษะบางอย่างเป็นของตนเองเพคะ ถึงแม้ว่าความสามารถของหม่อมฉันจะไม่ค่อยเป็นที่นิยมสักเท่าใดนัก แต่ก็มีประโยชน์เพคะ”“หม่อมฉันออกจากเรือนโดยไม่ต้องพกเงิน ไม่มีเวลาให้ใช้จ่ายเงินเพคะ เพียงแค่นั่งข้างถนน แขวนป้ายดูดวง ก็สามารถหาเงินเลี้ยงชีพตนเองได้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เจาหมิงโมโหจนหัวเราะออกมา “เจ้าเป็นถึงองค์หญิงผู้สง่าผ่าเผยของแคว้น ตั้งแผงข้างถนนดูดวงให้ผู้คน สมควรแล้วอย่างนั้นหรือ?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยท่าทางจริงจัง “หม่อมฉันใช้ความสามารถหาเงิน มีปัญหาอะไรหรือเพคะ? มีตรงไหนที่น่าอายกันเพคะ?”ฮ่องเต้เจาหมิง “...”ซือเจ๋อเยว่กล่าวต่ออีกว่า “หม่อมฉันเติบโตในสำนักเต๋า หม่อมฉันไม่เรียนเรื่องพวกนี้ แล้วหม่อมฉันจะเรียนอะไรเพคะ?”“อีกอย่าง แม้ว่าสิ่งนี้จะนำความอับอายมาสู่ราชวงศ์ หม่อมฉันก็คงทำให้อับอายไม่นานนัก”“อย่างมากก็แค่จนกว่าหม่อมฉันจะอายุสิบแปดปี จวบจนบัดนี
ซือเจ๋อเยว่ตอบ “ไม่ทราบเพคะ เขาเอาแต่วิ่งไปทั่วทั้งวัน ผู้ใดจะรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนกันเล่าเพคะ?”ฮ่องเต้เจาหมิงถามนาง “ยันต์ห้าอัสนีบาตรก็เป็นยันต์ที่อาจารย์ใหญ่ของเจ้ามอบให้เจ้า?”ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า “ใช่เพคะ ก่อนหน้าที่หม่อมฉันจะเข้าวัง เขามอบยันต์และคาถาให้หม่อมฉันเป็นกอง”“พูดว่าหากใครจะรังแกหม่อมฉัน ก็ให้ยันต์แผ่นหนึ่งแก่อีกฝ่าย รับรองว่าอีกฝ่ายจะต้องว่าง่าย”“แต่หม่อมฉันก็คิดไม่ถึงเช่นกัน ว่าอานุภาพของยันต์ห้าอัสนีบาตจะรุนแรงขนาดนั้น ถึงกับผ่าจ้าวซือหว่านจนตายทันที”นางพูดจบก็ขยับเข้าไปใกล้ตรงหน้าของฮ่องเต้เจาหมิง เอ่ยถาม “เสด็จอา ยันต์ห้าอัสนีบาตรผ่าเพียงสิ่งชั่วร้ายเท่านั้น เหตุใดหลังจากหม่อมฉันแปะจ้าวซือหว่าน นางก็ถูกฟ้าผ่าตายทันทีเลยเล่าเพคะ?”ฮ่องเต้เจาหมิงมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉยแวบหนึ่งแล้วกล่าว “เรื่องนี้เจ้าเองรู้อยู่แก่ใจ เหตุใดจึงถามข้า?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “กล่าวเช่นนี้ แสดงว่าเสด็จอาทรงทราบว่านางตายอย่างไร”“ในเมื่อเสด็จอาทรงทราบแล้ว เหตุใดจึงเรียกหม่อมฉันเข้าวังเพื่อซักถามเรื่องนี้เล่าเพคะ?”ฮ่องเต้เจาหมิง “...”นางอ้อมรอบหนึ่ง ทำให้เขาอ้อมเข้ามาติ
ฮ่องเต้เจาหมิงจ้องมองเขา กล่าว “ราชครู นางให้เราลงโทษเจ้า โดยการตัดหัวของเจ้า”ราชครูกล่าวด้วยความโมโหเล็กน้อย “นังเด็กคนนี้ช่างกำเริบเสิบสานนัก วันหน้าหากกระหม่อมเจอนาง จะตีนางให้ตายอย่างแน่นอน!”ฮ่องเต้เจาหมิงกล่าวเสียงเรียบ “ตีนาง? ราชครูทำลงอย่างนั้นหรือ?”ราชครูถอนหายใจเบา ๆ กล่าว “จากสิ่งที่นางทำในวันนี้ กระหม่อมมีอะไรที่ทำไม่ลงพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้เจาหมิงไม่เชื่อคำพูดของเขาอย่างเห็นได้ชัด กล่าว “นางฉลาดหลักแหลมกว่าที่เราจินตนาการเอาไว้เสียอีก สมกับที่เป็นบุตรของเสด็จพี่”“หากเสด็จพี่เห็นท่าทางแบบนี้ของนาง ไม่รู้ว่าจะดีใจมากแค่ไหน”เมื่อราชครูได้ยินดังคำพูดประโยคนี้ สีหน้าท่าทางก็ดูหงอยเหงา “เกรงว่าหากดีใจขึ้นมา อาการป่วยของเขาจะไร้หนทางรักษา ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับชะตากรรม”“กระหม่อมใช้ความพยายามมากมายขนาดนั้นเพื่อต่อชีวิตนาง อย่างมากก็ทำได้เพียงทำให้นางมีชีวิตอยู่ได้ถึงสิบแปดปีเท่านั้น”ฮ่องเต้เจาหมิงกล่าวเตือนเขา “เจ้าก็อย่าได้ทุกข์ใจมากเกินไป ยังไม่ถึงตอนสุดท้าย ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลงได้”ราชครูถอนหายใจ ไม่ได้พูดต่ออีกฮ่องเต้เจาหมิงสายตาลึกซึ้งขึ้นเล็กน้อย ข้างใ
นางสวมรองเท้ามือเป็นระวิง เพียงแต่ยิ่งลนลาน ก็ยิ่งทำได้ไม่ดีเดิมทีรองเท้าที่สวมได้อย่างง่ายดายมากเป็นเพราะนางตกตะลึงสวมห้าหกครั้งก็ยังไม่เข้าเยียนเซียวหรานยื่นมือออกไปจับข้อเท้าของนางเอาไว้ นางหันหน้าไปมองเขา เขากลับไม่ได้มองนาง แต่ยกรองเท้าข้างหนึ่งขึ้นมา ค่อย ๆ สวมเข้าไปที่เท้าของนางซือเจ๋อเยว่ “...”นางรู้สึกว่าตนเองในเวลานี้โง่นิด ๆหลังจากเยียนเซียวหรานสวมรองเท้าในนางเสร็จข้างหนึ่งแล้ว ก็สวมอีกข้างอีกให้นางนางกระโดดลงจากเตียงอย่างว่องไว “ลำบากเจ้าแล้ว”นางพูดจบคิดจะหนี กลับถูกเยียนเซียวหรานจับข้อมือขาวเล็กเอาไว้นางมองเขาแล้วถาม “ยังมีธุระอะไรอีกหรือ?”เยียนเซียวหรานไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยื่นมือออกไปแล้วช่วยติดจัดปกคอเสื้อให้นาง ช่วยนางปรับสายคาดเอวให้เรียบร้อย ซือเจ๋อเยว่ “!!!!!”นางหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันทีเยียนเซียวหรานหวีผมให้นางอีก กล่าวเสียงเรียบ “เสร็จแล้ว”ซือเจ๋อเยว่หันหน้าไปมองเขา ดวงตาของเขาล้ำลึกตามเดิม นางมองเห็นเงาสะท้อนของตนเองในดวงตาของเขาการเต้นของหัวใจนางเริ่มเต้นรัวขึ้นอีกครั้ง นางรู้ว่าขืนเป็นแบบนี้ต่อไปจะไม่เข้าท่า จึงรีบกระโดดหนีออกทางหน้าต่า
ตอนนี้สมองของซือเจ๋อเยว่ไม่พอใช้แล้ว เมื่อได้ยินเขาถามแบบนี้ นางตอบว่า‘อืม’ทีหนึ่ง ไม่ได้เข้าใจความหมายของเขาจริง ๆเยียนเซียวหรานจับมือของนาง ดึงแขนเสื้อของนางขึ้น เส้นแดงที่อยู่ภายในก็ปรากฏขึ้นเขาขมวดคิ้วเล็กน้อยกล่าว “ดูเหมือนจะยังไม่ค่อยชัดเท่าไหร่”ในที่สุดซือเจ๋อเยว่ก็เข้าใจความหมายของเขา นางอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขากลับกล่าวขึ้น “อาจจะเป็นเพราะห่างกันไปหน่อย”ครู่ต่อมา มือของเขาประคองเอวนาง ทันทีที่ออกแรงเพียงเล็กน้อย ก็อุ้มนางขึ้นมาวางไว้บนต้นขาของเขาซือเจ๋อเยว่ “...”ซือเจ๋อเยว่ “!!!!!”อยู่ ๆ เขากลายเป็นคนที่เร่าร้อนจนเกินไป นางรับมือไม่ค่อยไหว!เยียนเซียวหรานสูงกว่านางมาก แล้วก็แข็งแรงกว่านางมาก ถูกเขากอดไว้ในอ้อมแขน ชุดนอนของเขาคลุมไว้แค่ครึ่งเดียว นางรู้สึกเหมือนกับถูกฝังอยู่ในอ้อมอกของเขาภายในหัวใจของซือเจ๋อเยว่มีความตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไร ทั้งยังจูบลงมาบนริมฝีปากนางนางใช้มือดันแผ่นออกของเขาอย่างไม่รู้ตัว เขาหันไปมองนาง ภายในดวงตาที่ดำขลับคู่นั้นสะท้อนให้เห็นถึงแววตาที่เขามองไม่ออกน้ำเสียงของเขาแหบแห้งเล็กน้อย “มีขั้นตอนไหนที่ข้าทำไม
ซือเจ๋อเยว่หันหน้ากลับมาเผชิญหน้ากับใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา ถาม “เจ้ามีธุระอะไรอีกอย่างนั้นหรือ?”มุมปากของเยียนเซียวหรานยกขึ้นเล็กน้อย “ไหน ๆ คืนนี้องค์หญิงก็มาแล้ว ไม่เติมอายุขัยสักหน่อยแล้วค่อยไปหรือ?”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางร้อง‘หา’ทีหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้สติอยู่ครู่หนึ่งเยียนเซียวหรานเหลือบตาขึ้น สายตาจดจ้องไปที่นางกล่าว “องค์หญิงอยากจะอายุยืนยาวร้อยปีไม่ใช่หรือ?”“ข้าเกรงว่าข้าไม่ให้ความร่วมมือ วันข้างหน้าองค์หญิงจะมาหาเรื่องข้า”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางคิดว่าเขาค่อนข้างผูกพยาบาทวันนั้นนางก็แค่พูดเล่นกับเขาต่อหน้าของเหล่าไท่จวินเท่านั้น เขากลับจำได้อย่างแม่นยำในเวลานี้นางรู้ว่านางมีตัวเลือกอยู่สองข้อ ข้อแรกคืออยู่ต่อเสียเลย ข้อสองคือรีบหนีไปอย่างแรกจะน่าอายเกินไปหน่อย อย่างหลังจะขี้ขลาดเกินไปหน่อยนางครุ่นคิดครู่หนึ่ง คิดว่าถึงอย่างไรก็เป็นแบบนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะเริ่มจากทำอะไรเพื่อผลประโยชน์ระยะยาวของตัวเองหากทำตัวขี้ขลาดในเวลาแบบนี้ ต่อไปนางจะมาหาเขาได้อย่างไร? ต่อให้มาหาเขาด้วยอย่างหน้าด้านอีก คิดว่าก็อาจจะถูกเขาหัวเราะเยาะเอาได้ดังนั้นนางจึงถอดรองเท้า แล้วกระโ
ตอนที่นางได้ยินก็ไม่ได้ประหลาดใจมากเท่าใดนัก ดวงสมรสของลู่จิ่นเหนียง นั่นก็ทำได้เพียงเป็นอนุของคนอื่นเท่านั้นปกติการเป็นอนุ ขอเพียงแค่ฝั่งผู้ชายชอบนาง ทุกอย่างจะปรากฏขึ้นในดวงสมรสสิ่งเหล่านี้สามารถยืนยันได้ว่า อวิ๋นเยว่หยางรับลู่จิ่นเหนียงเป็นอนุเพราะมีจุดประสงค์อื่น เขาไม่ได้ชอบลู่จิ่นเหนียงเมื่อซือเจ๋อเยว่นึกถึงท่าทางที่หยิ่งผยองเกินความเป็นจริงของลู่จิ่นเหนียง รู้ว่าหากครั้งนี้ลู่จิ่นเหนียงไม่เอาชีวิตไปทิ้งที่จวนหนิงกั๋วกง ก็ต้องได้รับบาดเจ็บทางร่างกายหรือจิตใจเพียงแต่เรื่องนี้ตามที่เหล่าไท่จวินได้กล่าว ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับจวนอ๋องแล้ว นางก็คร้านจะช่วยเป็นธุระให้ลู่จิ่นเหนียงบัดนี้สิ่งที่นางเป็นกังวลยิ่งกว่าก็คือเรื่องที่อวิ๋นเยว่หยางขโมยดวงชะตาของเยียนเซียวหรานไปสองครั้งก่อนนางได้ตามหาค่ายกลนั่นแต่ก็จบลงด้วยความล้มเหลว แล้วก็ตามหาค่ายกลอันนั้นไม่เจออีก เกรงว่าดวงชะตาของเยียนเซียวหรานจะถูกขโมยไปจนหมดแล้วหลายวันมานี้ซือเจ๋อเยว่คิดอยู่หลายวิธี หลังจากตัดออกไปจำนวนหนึ่ง ก็รู้สึกว่าถ้ามีปัญหาแบบนี้หรือว่าแบบนั้น ความเสี่ยงก็มากทั้งนั้นนางคิดอยู่หลายตลบ คิดว่าบางทีอาจจะสาม
ซุ่ยซุ่ยของนางยังไม่ออกเรือน สถานการณ์ของจวนเยียนอ๋องเป็นแบบนี้ นางต้องปลุกใจให้ฮึกเหิมเสียหน่อย อย่างน้อยก็ไม่ควรเป็นภาระของพวกเขาเหล่าไท่จวินที่อยู่ข้าง ๆ กล่าว “แม้ว่าวันนี้เวินชิงจะรับปากองค์หญิง ต้องทำตามที่รับปาก”“ต่อไปเจ้ามีเวลาว่าง ก็มาอยู่เป็นเพื่อนคนแก่อย่างข้า”เบ้าตาของจู้อี๋เหนียงแดงเล็กน้อย คุกเข่าลงบนพื้นกล่าวเสียงเบา “ลูกอกตัญญู ทำให้เหล่าไท่จวินต้องเป็นห่วง”เหล่าไท่จวินยื่นมือออกไปประคองนางลุกขึ้น จับมือของนางแล้วตบเบา ๆ “เรื่องในอดีตก็ให้ผ่านไป พวกเราต้องมองไปข้างหน้า”จู้อี๋เหนียงเช็ดน้ำตากล่าว “ข้าเชื่อฟังเหล่าไท่จวิน”ซือเจ๋อเยว่ชอบบรรยากาศของจวนเยียนอ๋องที่สุด เหล่าไท่จวินเป็นคนชราที่เฉลียวฉลาด ถึงแม้คนในจวนจะมากมาย แต่นางกลับน่าเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่งตอนที่จวนเยียนอ๋องเกิดเรื่อง คนที่ได้รับความกระทบกระเทือนมากที่สุดไม่ใช่เหล่าไท่จวิน แล้วก็ไม่ใช่พระชายาเยียนอ๋อง แต่ทว่าเป็นจู้อี๋เหนียงก่อนหน้านี้จู้อี๋เหนียงเป็นคนอมทุกข์มาตลอด ออกจากเรือนน้อยมากเหล่าไท่จวินไปปลอบใจจู้อี๋เหนียงเป็นประจำในจวนมีของของดีอะไร เหล่าไท่จวินก็จะคิดถึงนาง ไม่ใช่เพราะว่านางเป็
“อย่างไรเสียจวนหนิงกั๋วกงก็ดีกว่าจวนเยียนอ๋อง สิ่งที่เรียกว่าชื่อเสียงของจวนเยียนอ๋อง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยินดีช่วยพี่ชายของเจ้าให้เลื่อนตำแหน่ง”“ตามที่ข้ามอง จวนเยียนอ๋องที่ไม่มีน้ำใจ ไม่รู้จักปรับตัวเช่นนี้ก็สมควรล่มสลาย!”ลู่จิ่นเหนียงได้ฟังคำพูดพวกนี้ก็ไม่ได้รู้สึกมีตรงไหนผิดปกติ เดิมทีจวนเยียนอ๋องก็ยึดติดกับหลักการมากเกินไปต่อให้เยียนซื่อจะปฏิบัติต่อนางดีมากแค่ไหน ทันทีที่นางพูดเรื่องที่ให้เขาช่วยเหลือ เขาก็จะชักสีหน้าทันทีเมื่อเปรียบเทียบกัน จวนหนิงกั๋วกงมีความเปิดกว้างมากกว่า แล้วก็เต็มไปด้วยความจริงใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อมีเรื่องนี้ เมื่อนางมองเห็นเครื่องประดับและผ้าเหล่านี้ ก็ไม่รู้สึกว่าเป็นแบบเก่าอีกแล้วลู่ฮูหยินกล่าวอีกว่า “คุณชายรองให้ความสำคัญกับเจ้าเป็นอย่างมาก อยากจะให้เจ้ารีบเจ้าจวนเร็วหน่อย”“วันนี้ข้าได้ปรึกษากับท่านพ่อของเจ้าแล้ว พรุ่งนี้จะส่งตัวเจ้าเข้าจวนหนิงกั๋วกง ตามความต้องการของจวนกั๋วกง”ลู่จิ่นเหนียงตกตะลึงไปทันที “ไปจวนหนิงกั๋วกงวันพรุ่งนี้? นี่มันจะรีบเกินไปหน่อยหรือไม่?”ลู่ฮูหยินตอบ “รีบที่ไหนกัน นี่เห็นได้ชัดเจนว่าจวนหนิงกั๋วกงให้ความสำคัญกับ
นางพ่นลมหายใจกล่าว “องค์หญิงอย่างไรเสียก็จัดการเรื่องของตนเองให้ดีเถอะ เลิกริษยาคนอื่น ใจกว้าง บางทีอาจจะสามารถมีชีวิตได้ถึงสิบแปดปี!”เมื่อซือเจ๋อเยว่ได้ยินคำพูดถากถางของลู่จิ่นเหนียงไม่เพียงไม่โกรธ ทั้งยังรู้สึกน่าขันเล็กน้อยนางทำอะไรด้วยใจมาตลอด ในเวลานี้เตือนสติลู่จิ่นเหนียงก็เป็นเพราะเยียนซื่อแต่น่าเสียดายที่ผู้หญิงคนนี้ความคิดบิดเบี้ยวตั้งแต่ภายใน กระเสือกกระสนรนหาที่ตาย ต่อให้เทพต้าหลัวมาที่นี่ เกรงว่าก็คงจะช่วยชีวิตนางเอาไว้ไม่ได้นางพยักหน้ากล่าว “ข้าคิดว่าที่เจ้าพูดนั้นมีเหตุผลมาก คนที่จิตใจคับแคบ จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานจริง ๆ”นางพูดจบก็คร้านจะสนใจลู่จิ่นเหนียงอีก กล่าวกับเยียนเซียวหราน “น้องสาม พวกเราไปกันเถอะ!”ลู่จิ่นเหนียงยังอยากจะพูดอะไรบางอย่างอีก เยียนเซียวหรานมองนางด้วยสายตาเย็นยะเยือกแวบหนึ่งสายตานั้นเย็นยะเยือกเข้ากระดูก ความน่าสะพรึงกลัวเต็มเปี่ยม ลู่จิ่นเหนียงเห็นก็รู้สึกกลัวจนขนลุกขนพอง คำพูดที่กำลังจะพูดออกมาก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียวทันใดนั้นนางก็พบว่า เยียนเซียวหรานแตกต่างไปจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง บนร่างกายของเขามีพลังอำนาจอันแข็งแกร่ง ที่ไม
นางกับเยียนเซียวหรานตรงไปยังร้านขายเสื้อผ้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ซึ่งด้านในร้านมีผ้าหลากหลายที่สุดเยียนเซียวหรานกลัวว่านางจะเกิดเรื่อง จึงเดินตามหลังนางตลอดทุกฝีก้าวซือเจ๋อเยว่เลือกผ้าให้แต่ละคน รวมกันทั้งหมดสิบกว่าพับ พวกเขาไม่สะดวกถือไปด้วย จึงให้เถ้าแก่มอบหมายให้คนส่งไปที่จวนเยียนอ๋องทันทีที่ซือเจ๋อเยว่จ่ายเงินเสร็จ ก็เห็นลู่จิ่นเหนียงพาสาวใช้เดินเข้ามาหา ทั้งสองคนพบกันโดยบังเอิญ จึงมีความประหลาดใจเล็กน้อยลู่จิ่นเหนียงเป็นเพราะครั้งก่อนซือเจ๋อเยว่เคยฉีกหน้านาง นางจึงไม่ชอบซือเจ๋อเยว่เป็นอย่างยิ่งในเวลานี้เมื่อเจอกัน นางยังคงกล่าวด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม “องค์หญิง ไม่เจอกันนานเลย”ซือเจ๋อเยว่คุ้นเคยกับการมองหน้านางแวบหนึ่ง ใต้ตาของนางดำคล้ำ คาดว่านางน่าจะเอาเด็กออกแล้ว ต่อไปก็คงจะไม่มีลูกของตัวเองอีกนอกจากนี้แล้ว ชีวิตในวังหลวงของนางมีเต็มความซับซ้อน เมื่อเห็นฉากนี้ ต่อไปลู่จิ่นเหนียงคงจะใช้ชีวิตอย่างค่อนข้างขรุขระสีหน้าของนางยังนับว่าพอถูไถไปได้ ใบหน้าเหมือนว่ายังพอมีความสุขอยู่บ้างในเมื่ออีกฝ่ายยอมรับผิดแล้วก็ย่อมให้อภัย ซือเจ๋อเยว่ยิ้มตอบ ตั้งใจที่จะออกไปพร้อมกั
ซือเจ๋อเยว่ลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าว “อวิ๋นไท่เฟยหมดสติไปเพราะตื่นเต้นเกินไป พวกท่านส่งนางกลับไปเถอะ”คำพูดที่นางพูดกับอวิ๋นไท่เฟยเมื่อครู่นี้ บรรดาคนในวังหลวงที่อยู่ใกล้ต่างก็ได้ยินกันหมดพวกเขามองซือเจ๋อเยว่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ในเวลานี้มีคนหลายคนร่วมแรงกันประคองอวิ๋นไท่เฟยขึ้นมา แล้วรีบวิ่งออกไปคนของวังหลวงที่ถูกวิญญาณรายล้อมคนนั้น ในเวลานี้วิญญาณปล่อยนางไปแล้ว ทันทีที่นางได้รับอิสระ ก็รีบวิ่งหนีอย่างโซซัดโซเซกลางวันแสก ๆ เลยนะ!พวกเขาเจอเรื่องแบบนี้ น่ากลัวมากเกินไปจริง ๆ!ฮองเฮามองไม่เห็นวิญญาณ เห็นเพียงซือเจ๋อเยว่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทำให้อวิ๋นไท่เฟยตกใจจนหมดสติไปทันที จากนั้นกลุ่มคนก็วิ่งหนีกันฉี่ราดสารรูปเช่นนี้ของพวกเขา ตอนที่มาอวดดีมากขนาดไหน ตอนกลับไปก็ดูไม่จืดมากเท่านั้นฮองเฮากับอวิ๋นไท่เฟยประมือกันมาหลายครั้ง ถึงแม้นางจะชนะมากกว่าแพ้ แต่นั่นก็เป็นเพียงการสู้กันด้วยวาจา ไฉนเลยจะมีความสุขเท่าครั้งนี้?นางมองซือเจ๋อเยว่กล่าว “เมื่อครู่นี้เจ้าทำอะไรพวกเขา?”ซือเจ๋อเยว่ตอบ “หม่อมฉันก็อาศัยอยู่ในสำนักเต๋ามาเป็นเวลานาน ถึงอย่างไรก็ยังพอมีความสามารถเป็นของ