เมืองฉางอัน
เสียงประทัดมงคลดังขึ้นหน้าจวนคหบดีหลิน ต่อเนื่องยาวทั้งตรอกลั่วจินเนื่องจากงานมงคลใหญ่ บุตรีของคหบดีหลินเต๋อ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระชายาท่านอ๋อง “เว่ยจื่อหาน” อ๋องผู้ปกครองแคว้นเฉินโจว
“เจ้าสาวเรียบร้อยหรือยัง มาเร็ว ๆ เกี้ยวมารอรับอยู่หน้าจวนแล้ว”
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
“คุณหนู”
“อาจิงฝากดูแลเฟยเย่ด้วย”
“คุณหนูเจ้าคะ”
“ข้าไปนะ”
คำนั้นน่าจะเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่ "หลินเฟยลี่" บุตรสาวคนโตของคหบดีเลื่องชื่อบอกกับสาวใช้ที่ดูแลพวกนางและเติบโตมาพร้อมกัน
แคว้นเฉินโจวที่ปกครองโดยเว่ยอ๋องผู้เป็นบุตรของท่านอ๋องเว่ยเสวี่ยที่สิ้นไปเมื่อสี่ปีก่อน แม้ว่าจะปกครองด้วยคุณธรรม แต่บ้านเมืองในยามนี้มีศึกสงครามรอบด้าน
หลายแคว้นทำศึกต่อเนื่อง ทั้งทรัพยากรและเงินทองต่างก็เริ่มหมดจากท้องพระคลัง ราชสำนักไม่มีเงินมากพอที่จะแจกจ่ายไปตามแคว้นต่าง ๆ
ดังนั้นท่านอ๋อง“เว่ยจื่อหาน” จึงตัดสินใจรับข้อเสนอของคหบดีผู้มั่งคั่งที่สุดในเฉินโจว โดยการอภิเษกและแต่งตั้งบุตรสาวของหลินเต๋อเป็นพระชายา
“ส่งตัวเจ้าสาว”
ตำหนักท่านอ๋อง
“นางก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาแล้วงั้นหรือ”
“ทูลไท่เฟย เกี้ยวออกมาจากจวนคหบดีหลินแล้วเพคะ”
“แล้วสินเดิมที่ติดตัวนางมา จัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง เอารายการมาให้ข้าดูอีกที ก่อนส่งนางเข้าตำหนักจงให้คนตรวจสอบให้ละเอียด”
“เพคะ แต่ว่าไท่เฟย ท่านอ๋องตรัสสั่งไว้ว่า…”
“ที่นี่มีข้าดูแลอยู่ การตรวจสอบเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว ก่อนจะส่งให้ท่านอ๋อง ข้าปกครองในเรือนหลัง การรับนางเข้ามาก็เท่ากับนางเป็นคนตำหนักอ๋อง ดังนั้น ทรัพย์สินที่ติดตัวนางมา…”
“เพคะ หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะไท่เฟย”
“ท่านอ๋องเตรียมตัวเสร็จแล้วหรือยัง”
“ทูลไท่เฟย ท่านอ๋อง…อยู่ที่ห้องทรงอักษรเพคะ”
“อืม ให้คนไปแจ้งตอนเวลาส่งตัวก็แล้วกัน ถึงอย่างไรการแต่งงานนี้ เขาก็มิอาจเลี่ยงได้แล้ว”
“เพคะไท่เฟย”
“หยงไท่เฟย” พระชายารองของอดีตท่านอ๋องเว่ยผู้เป็นบิดา ในตอนนี้นางเป็นผู้ดูแลตำหนักอ๋องและเรือนหลัง
นางเป็นคนออกอุบายเสนอให้บุตรสาวคหบดีแต่งเข้ามาในตำหนักอ๋องเพื่อแลกกับทรัพย์สินกึ่งหนึ่งของจวนคหบดีหลินโดยอ้างว่าจะต้องนำเงินมาช่วยกองทัพเฉินโจวเพื่อช่วยท่านอ๋องรับศึกที่เกิดที่ชายแดนในตอนนี้
จวนคหบดี
“พี่ใหญ่ข้าละ ท่านพี่…แค่ก แค่ก”
“คุณหนู อย่าพึ่งลุกเจ้าค่ะ”
“อาจิง ข้าได้ยินเสียงประทัด ได้ยินเสียงแตรและวงดนตรี บอกข้ามา เฮือก!!…ว่าท่านพี่…แคก แคก”
“คุณหนูเจ้าคะ ได้โปรดนั่งลงก่อน ท่านไอเป็นเลือดอีกแล้ว”
“บอกข้ามา!!”
อาจิงตัวสั่นเทาไปทั้งตัวพร้อมกับน้ำตารื้นที่เช็ดออกไม่หมด นางรับปากคุณหนูใหญ่เอาไว้ ให้นางออกจากจวนก่อนแล้วค่อยบอก
“หลินเฟยเย่” น้องสาวฝาแฝดของนาง“คุณหนูใหญ่….ไปแล้วเจ้าค่ะ”
สีหน้าตกใจของหลินเฟยเย่ทำเอาอาจิงตกใจเมื่อนางเริ่มตาค้างและหายใจติดขัด นางป่วยกระเสาะกระแสะเพราะถูกพิษก่อนหน้าจะถึงงานแต่งงานที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
“เจ้าบอกว่าพี่ใหญ่….ไป….ไปแล้ว นาง…นี่นาง…เฮือก….”
“คุณหนู!! เร็วเข้าใครอยู่ข้างนอก รีบเรียกท่านหมอเร็วเข้า คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู!!”
กองทัพรักษาการณ์ชายแดนประเทศจีน ปี 2023
ระเบิด สายลับนั่น ลอบเข้ามาในกองทัพ ใช้อาวุธร้ายแรงทำให้พวกเขาสำลักควันพิษ ฉันหนีออกมาได้อย่างหวุดหวิดแต่ก็ถูกพวกมันจับได้และยิงเข้ากลางหลังจนตาย ทำไมกัน นี่ฉันยังทำภารกิจไม่สำเร็จเลย ทำไม ไม่ยุติธรรม!!
“เธอเป็นใคร ร้องไห้ทำไม”
“ช่วยข้า ช่วยข้ากับพี่สาวข้าด้วย”
“ภาษาอะไรกัน ทำไมพูดเหมือน โห ไม่ใช่แค่คำพูด ชุดก็โบราณมากหรือว่า…ไม่สิ ไม่ละมั้ง เรื่องแบบนี้มีแต่นิยายเท่านั้นแหละที่กล้าเขียน แม้แต่ซีรี่ย์ยังไม่กล้าทำเลยนะ”
“ช่วยด้วย ช่วยข้ากับพี่สาวด้วย ไม่มีเวลาแล้วข้ากลับไปไม่ได้ แต่เจ้าไปได้ข้าจะค่อย ๆ บอกทีหลัง”
“เดี๋ยวก่อนสิ เธออย่าผลักฉัน เดี๋ยวก่อนจะให้ไปไหนละ ฉันก็อยากกลับบ้านนะ เฮ้ย เวรเอ๊ย!! อ๊ากก…..”
ราวกับถูกผลักไปในหลุมที่ไม่มีที่สิ้นสุด ใบหน้าสุดท้ายที่มองเห็นช่างงดงามแต่ก็เศร้าที่สุดที่เคยพบมา เธอเป็นใครกันนะแล้วนี่คือฉันตายแล้วเหรอ
“เฮือก!!….”
“คุณหนู!! ท่านฟื้นขึ้นมาแล้ว ท่านหมอเจ้าคะ เร็วเข้า คุณหนู ….ฟื้นแล้ว”
“โอ๊ย เชี่ยไรเนี่ย เจ็บชิบ….แสงอะไรจ้าแบบนี้ โอ๊ย อะไรวะเนี่ย”
ราวกับหลับไปนานแสนนาน “จ้าวเฟยเฟย” ตื่นขึ้นมาพร้อมกับแสงที่จ้าจนนางปรับตัวไม่ทัน แต่เรื่องที่นางฝันนั้นประหลาดนัก บุตรคหบดีของเฉินโจวเป็นฝาแฝด เดิมทีนางต้องแต่งเข้าจวนอ๋องแต่ถูกวางยาพิษเสียก่อน พี่สาวฝาแฝดจึงถูกส่งตัวไปแต่งแทน
พวกนางมิได้ยินยอมที่จะแต่งงาน บิดาของพวกนางถูกข่มขู่แกมบังคับจากหยงไท่เฟยเป็นผู้ออกอุบายในเรื่องนี้เพราะความโลภในทรัพย์สินของจวนคหบดีหลิน
“โอย ปวดตา”
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านหมอมาแล้วเจ้าค่ะ”
นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา มองเห็นท่านหมอที่ดูมีอายุ ไว้เคราขาวเล็กน้อยหน้าตามีภูมิและมีความรู้ดูใจดีจ้องมองมาที่นางที่กำลังมองเขาอย่างนึกสงสัย
“คุณหนู ท่านรู้สึกยังไงบ้างขอรับ สองเดือนที่ท่านหลับไปไม่รู้สึกตัว ตาของท่านอาจจะยังปรับแสงได้ยากนิดหน่อยขอรับ”
หลับไปเกือบสองเดือนงั้นหรือ นางหันไปมองรอบ ๆ สภาพห้องนอนที่หรูหรา เครื่องประดับไม้ราคาแพงถ้วยโถประดับไปด้วยเครื่องทองเหลืองมูลค่าสูงแม้แต่เครื่องแต่งกายของสาวใช้และเครื่องนุ่งห่ม แค่มองก็พอจะรู้ว่า “คุณหนู” ที่พวกนางเรียกนั้นร่ำรวยขนาดไหน นั่นแสดงว่าเรื่องที่อยู่ในหัวนางตอนนี้….
“Oh! Shit!! Impossible!! (เป็นไปไม่ได้)”
อาจิงและท่านหมอตกใจจนเกือบทำถ้วยยาในมือร่วงเมื่อได้ยินหลินเฟยเย่พูดจาด้วยภาษาประหลาดที่นางไม่เคยได้ยินมาก่อน และตอนนี้นางก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นมาและเดินไปรอบ ๆ ห้องราวกับจะสำรวจ
ความทรงจำของหลินเฟยเย่ทุกๆความทรงจำไหลเข้ามาตั้งแต่นางนอนอยู่จนตอนนี้นางจำได้จนหมดว่าเกิดอะไรกับร่างนี้ นางเหลือบไปดูคนรอบ ๆ ข้างนางอย่างนึกระแวง
“ไม่ได้ พวกเขาจะรู้ไม่ได้ งั้นฉัน ไม่ใช่ ข้าก็ต้องรับบทเป็นนางสินะ เอาละนะหลินเฟยเย่ในเมื่อข้าได้โอกาสเข้ามาอยู่ในร่างของเจ้า ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง”
หลินเฟยเย่เดินไปที่กระจกพร้อมกับส่องดูใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย นางเคยเห็นใบหน้านี้มาก่อนราวกับกำลังสำรวจเรือนร่างอย่างนึกพอใจจนอาจิงและท่านหมอนั่งอ้าปากค้างเพราะคิดว่านางคงบ้าไปแล้ว
“สวยฟาดมากแม่ ตัวเล็กแต่หน้าอกใหญ่ใช่เล่นนะเรา หึหึ”
“คะ…คุณหนูเจ้าคะ ทะ…ท่าน สบายดีหรือไม่”
“อ้อ ข้าสบายดี สบายดีมากเลยละ ไหนดูก่อนนะ”
นางหันมาตอบอาจิงและหมุนตัวมานั่งพร้อมกับจับชีพจรของตัวเองเพื่อตรวจดู ท่านหมอยังคงอ้าปากค้างอยู่ด้วยความไม่เข้าใจว่านางกำลังทำอะไร
“อืม ถูกพิษกระจอกนี่ก็ป่วยแล้วสินะ อืม แก้ไม่ยาก พิษนี้สมัยข้ามียาแก้แล้วเพียงแค่ต้องใช้ของมากหน่อย ร่างกายอ่อนแอเกินไปลมหายใจไม่สม่ำเสมอคงต้องปรับธาตุในร่างกายใหม่ ความดันต่ำ นอนขนาดนี้ยังต่ำอีก โห ต้องบำรุงด่วน ๆ เลยนะเนี่ย นี่...เจ้าน่ะ!!”
อาจิงถึงกับตกใจเมื่อหลินเฟยเย่หันมาเรียกนางเสียงดัง
“เจ้าคะคุณหนู”
“ไปต้มยาบำรุงให้ข้าที บอกให้เขาต้มซุบ ไม่สิ น้ำแกงใส่กระดูกหมู โกจิเบอร์รี่ ไม่สิ ๆ สมัยนี้เขาเรียกอะไรละ อ้อ เก๋ากี้ ใส่รากบัวเยอะ ๆ เง็กเต็ก ปักคี้มากหน่อยข้าต้องบำรุง อ้อ ไม่ต้องใส่ตานเซินมานะ ข้านอนมากพอแล้ว”
“เอ่อ…..เจ้าค่ะ”
“ท่านหมอ!!”“ขะ…ขอรับ”“เอ่อ ข้าขอยืมเข็มเงินท่านหน่อยสิ”“เอ่อ..คุณหนู ท่าน จะเอาเข็มเงินไปทำอะไรหรือขอรับ”“รีดพิษ”""หา""ท่านหมอกับสาวใช้ที่เหลือถึงกับงงกับพฤติกรรมของคุณหนูรองที่เปลี่ยนไป แต่เขาก็ยอมยื่นเข็มเงินไปให้นางตามคำสั่ง เฟยเย่รับเข็มเงินจากท่านหมอและจับข้อมือตัวเองเอาไว้และทำสิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด นางจิ้มเข็มเงินไปที่เส้นเลือดที่ปูดขึ้นเพราะแรงบีบจนมีเลือดสีดำพวยพุ่งออกมา“คุณหนู นั่นท่านทำอะไรเจ้าคะ”“เงียบหน่อย หยุดโวยวายแล้วหาผ้ามาให้ข้าเร็วเข้า”“หน็อย คิดฆ่าคนด้วยวิธีนี้เหรอ กระจอกชะมัดพิษล้างตับนี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก มันมียาแก้นานแล้ว”“เอ่อ คุณหนู นี่ท่าน….”“ข้ารู้ได้อย่างไรนะหรือท่านหมอ เอาไว้ข้าจัดการพิษนี่เสร็จแล้วจะเหลา เอ๊ย เล่าให้ท่านฟัง”“ฮ้อ ๆ เอ่อ ขอรับ”ท่านหมอนั่งมองดูเฟยเย่ที่ใช้เข็มจิ้มตามเส้นเลือดเพื่อขับเลือดพิษสีดำออกตามจุดชีพจรทั้งสี่ออกมาด้วยนึกเลื่อมใสเพราะเขาไม่เคยทราบมาก่อนว่าวิธีนี้สามารถขับพิษออกมาจากร่างกายได้ แต่สำหรับหลินเฟยเย่ที่มีจ้าวเฟยเฟย “แพทย์ทหาร” ที่ประจำอยู่สนามรบกลับคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี วิวัฒนาการแพทย์แผนปัจจุบันจากยุคที
“ตำหนักท่านอ๋องคุ้มกันแน่นหนา เราคงกลับไม่ได้หรอก”“ทำตามที่ข้าบอก ข้าจัดการวางแผนมาแล้ว”“เย่เอ๋อร์เจ้าคิดจะทำสิ่งใด”“ท่านยินยอมหรือไม่พี่ใหญ่”“ข้า….แต่ว่าแล้วหลังจากที่ข้ากลับไปแล้ว...”“ข้าเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย ขอเพียงท่านไว้ใจข้า พี่ใหญ่ข้าผิดเองที่ทำให้ท่านต้อง…..”“เย่เอ๋อร์อย่าพูดเช่นนั้น เราเป็นพี่น้องกัน ข้า…อุ๊บ…อุ๊…”“พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไร”หลินเฟยลี่อาเจียนออกมา เฟยเย่พยายามหายามาให้นางตามที่นางบอก นางเป็นเช่นนี้มาร่วมเดือนแล้ว เฟยเย่นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นางจับชีพจรพี่สาวและต้องตกใจ“พี่ใหญ่ ท่าน!!….มีครรภ์กับท่านอ๋องงั้นหรือ”“เย่เอ๋อร์ อย่าพูดไปนะ ข้า…ยังไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้ ข้า..”“ท่านต้องรีบกลับไปที่จวน พี่ใหญ่ท่านทำตามที่ข้าบอก พวกเขายอมให้ท่านกลับไปแน่ อีกสองวันข้าจะส่งคนมารับท่าน”“ข้า…ต้องทำเช่นไรงั้นหรือ”“ท่านฟังข้านะ ทำตามที่ข้าบอก”สองวันถัดมา“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”“อาจิง มาปลุกอะไรแต่เช้าฟ้าจะถล่มหรือหิมะในฤดูสารทหรืออย่างไรเกิดอะไรขึ้น ข้าพึ่งได้นอนไม่กี่ชั่วยามเองนะ”“เร็วเข้าเจ้าค่ะ เห็นองครักษ์ที่จวนอ๋องส่งจดหมายมาบอ
เฟยเย่และอาจิงหันไปมองหลินเฟยลี่ด้วยความงุนงงและตกใจเมื่อนางเอ่ยคำนี้ออกมา เฟยเย่ถึงกับหันไปอีกทางพร้อมกับนึกย้อนกลับไปว่ามีเรื่องใดที่เจ้าของร่างลืมบอกไปหรือไม่นี่มันไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่นางจะเข้าใจได้ พี่สาวที่แต่งเข้าจวนอ๋องจู่ ๆ ก็ท้องและบอกว่าลูกในท้องของนางมิใช่บุตรของท่านอ๋อง“พี่ใหญ่ ท่านล้อเล่นไม่ได้นะเรื่องเช่นนี้….ท่านหมายความว่าอย่างไรแน่”“คือว่าเรื่องนี้…เย่เอ๋อร์ อาจิง พวกเจ้าเป็นพี่น้องของข้าที่ข้าไว้ใจมากที่สุด เย่เอ๋อร์…เด็กในครรภ์ข้าเป็นบุตรของรองแม่ทัพลั่ว”“เดี๋ยวนะ!! ท่านหมายถึง รองแม่ทัพลั่วมู่เฉินผู้นั้น!! Oh, my God! ” (พระเจ้าช่วย!!)“เย่เอ๋อร์ เจ้าจะกอดข้าทำไม ข้าในตอนนี้รู้สึกผิด…”“ไม่ใช่ ๆๆ โอยข้าอยากจะบ้าตาย อาจิงเจ้าดูแลพี่ใหญ่ไปก่อนนะ ข้าขอไปคิดทบทวนอะไรสักครู่”“คุณหนู ท่านจะไปที่ใด”“เดี๋ยวก่อน ข้าไม่ไปแล้วก็ได้ พี่ใหญ่ท่านกำลังบอกข้าว่าบุตรในครรภ์ของท่าน…เป็นลูกของผู้อื่น มิใช่ท่านอ๋อง”“ข้า…”“เรื่องเป็นเช่นไรกันแน่”“ในคืนส่งตัวนั้น ท่านอ๋องเพียงแค่เปิดหน้าเจ้าสาวและพูดคุยกับข้าเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้นแล้วเขาก็ถูกเรียกออกจากห้องส่งตัวไป นึกไม่ถึ
หลินเฟยเย่รีบวิ่งสุดกำลังเพื่อไปให้ถึงห้องของหลินเฟยลี่ เมื่อนางเปิดประตูเข้าไปก็ต้องตกใจเมื่อคนที่อยู่ในห้องนั้น…“เย่เอ๋อร์ เหตุใดจึงวิ่งมาจนหอบเช่นนั้น เจ้าเป็นอะไร”“พี่…พี่ใหญ่ นี่ท่าน….เฮ้อ…เฮ้ออ….อาจิง รินน้ำ ให้ข้าที”“คุณหนู ท่านรีบวิ่งออกมาเช่นนี้ข้าตกใจหมด แฮก แฮก รอสักครู่นะเจ้าคะ”ทั้งนายและบ่าวพากันนั่งหอบเพราะความเหนื่อย เฟยเย่นั้นรีบหันไปมองพี่สาวฝาแฝด มองทีไรก็ดูเหมือนได้ส่องกระจกทุกครั้ง ยิ่งในตอนนี้ที่นางกลับมาอยู่ที่จวน นางทั้งสองคนก็ยิ่งเหมือนกันจนแม้แต่สาวใช้ของพวกนางก็แทบจะมองไม่ออก“เจ้าใจเย็น ๆ ค่อย ๆ ดื่มเดี๋ยวสำลัก”“พี่ใหญ่ เหตุใดท่านไล่สาวใช้ออกไปจนหมด ท่านให้อาจิงไปซื้อของแล้วทำไม…”“ข้าก็แค่อยากนอนพักเท่านั้น เจ้าเป็นอะไรไป”“ข้า…”นางคิดถึงฝันเมื่อครู่ เหตุใดนางจึงฝันเช่นนั้นกันนะ หรือว่านางกังวลมากเกินไปทั้ง ๆ ที่พวกนางก็มิใช่พี่น้องแท้ ๆ เสียหน่อยแต่ก็ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ไม่ได้ คำพูดในฝันนั้นเหมือนจริงราวกับไม่ใช่ฝัน แต่คนที่ยิ้มให้นางตรงหน้านี่ก็ไม่ใช่ผีเสียหน่อย“เฮ้อ…ข้าคงวิตกเกินไปเจ้าค่ะ ข้า…”“เจ้าคงคิดมากเกินไป ข้าแค่อยากพักผ่อน เจ้าจะให้สาวใ
นางมองเท้าที่ห้อยอยู่ด้านบนศีรษะและค่อย ๆ ลุกขึ้นมา ร่างนางสั่นตั้งแต่หัวจรดเท้าและไม่อยากคิดว่าภาพตรงหน้านั้นจะเป็นเรื่องจริง “ต้องไม่ใช่ ไม่ใช่นางแน่ นางเอาตุ๊กตามาหลอกข้า นาง….”หลินเฟยเย่ก้าวขาถอยออกมาและค่อย ๆ ส่งโคมขึ้นไปมองร่างนั้นชัด ๆ ผ้าแพรสีขาว ใบหน้าซีดเผือดหลับตาไม่สนิทและ….“ไม่นะ!!! กรี๊ดดด!!!!!!………..พี่ใหญ่!!!”เสียงของนางดังพอจะทำให้คนในจวนแตกตื่นและรีบวิ่งตามหาเสียง พวกบ่าวไพร่และสาวใช้รีบวิ่งมาที่หน้าห้องคุณหนูใหญ่ในทันที หลินเฟยเย่ที่ยังช็อกอยู่กับเหตุการณ์ตรงหน้าพยายามไขว่คว้าบางอย่างที่นางมองไม่เห็น“ไม่นะ ไม่ใช่แบบนี้ ท่านจะตายได้อย่างไร ไม่นะพี่ใหญ่ ม่ายยยย!!!!!……”“คุณหนูรอง!! รีบพานางออกมาเร็วเข้า รีบไปแจ้งนายท่าน คุณหนูใหญ่!! ฮือออ…..”ผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบ กี่คนไม่รู้ที่เดินเข้ามาเพื่อตรวจอาการของหลินเฟยเย่ คหบดีหลินนั้นร่ำไห้จนเป็นลมไปแล้วเมื่อเห็นร่างไร้วิญญาณของบุตรสาวคนโตที่แขวนห้อยอยู่ในห้องทหารองครักษ์ในจวนพาร่างของหลินเฟยลี่ลงมา หลินเฟยเย่เองในตอนนี้แทบไม่ได้สติ“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู ท่านหมอกวน นายท่านกับคุณหนูรอง…เป็นเช่นไรบ้าง”“เฮ้อ…”ท่านหมอกว
จวนไท่เฟย“ว่าอย่างไรนะ นางจะกลับไปที่ตำหนักงั้นหรือ แล้วโรคที่นางเป็นเล่า”“เห็นว่าท่านหมอหลวงที่ส่งไปตรวจสอบแล้ว พระชายาหายเป็นปกติแล้วเพคะ”“เช่นนั้นก็ดี แล้วเรื่องที่ส่งจดหมายให้นางไป นางตอบกลับมาหรือยัง”“ยังเลยเพคะ”“หึ ช่างเถอะ ข้าไปรอเอาคำตอบที่ตำหนักอ๋องก็ได้ ท่านอ๋องจะกลับมาเมื่อใดนะ”“ยังไม่มีข่าวเลยเพคะ”“นั่นยิ่งดีใหญ่ ข้าจะได้หาข้ออ้างจัดการนังโง่นั่นได้ หัวอ่อนเช่นนั้นคงอีกไม่นานหรอก ทรัพย์สินเหล่านั้นนางไม่อยากให้ก็ต้องให้”“ไท่เฟยปราดเปรื่องยิ่งนักเพคะ”“อันถง เจ้านี่รู้ใจข้าเสียจริง”“มิได้เพคะ ขอเพียงได้อยู่รับใช้ไท่เฟยและท่านอ๋อง…อันถงก็พร้อมถวายชีวิตให้ทั้งสองพระองค์”“ดี งั้นพวกเราก็คงได้เวลากลับไปรอต้อนรับพระชายากันแล้วละ สั่งให้คนเตรียมตัวกลับตำหนักได้แล้ว”“เพคะไท่เฟย”สามวันถัดมา “ลี่….ลี่เอ๋อร์ เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มากนะเข้าใจหรือไม่”“ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องห่วงข้าจะระวังตัวเจ้าค่ะ ครบกำหนดร้อยวันพี่…น้องรองเมื่อใดข้าจะกลับมาทันทีเจ้าค่ะ”“ไปเถอะ” เฟยเย่สูดหายใจเข้าเต็มปอดพร้อมกับหันมายิ้มให้บิดาของนางก่อนจะเดินขึ้นรถม้าเพื่อกลับไปยังตำหนักท่านอ๋อ
“หลินเฟยลี่ เจ้าอย่าได้บังอาจ...”“คนที่บังอาจน่าจะเป็นคนที่ไท่เฟยคอยปกป้องจนละเลยกฎระเบียบเหล่านี้มากกว่านะเพคะ ดูสิ แค่บีบน้ำตาจระเข้ไม่กี่หยดก็เรียกคะแนนสงสารจากพระองค์ได้ น่าสมเพชเสียจริง หากว่าจะอยู่กันด้วยกฎหมู่เช่นนี้ เห็นทีเรื่องนี้เมื่อท่านอ๋องเสด็จกลับมา หม่อมฉันคงต้องกราบทูล…”“เจ้า…เจ้ากล้าหรือ??”เฟยเย่รู้จุดอ่อนของนางแล้ว เช่นนี้นี่เอง นางเองก็คงเกรงกลัวอำนาจท่านอ๋องอยู่ไม่น้อย แม้ว่าเรือนหลัง สาวใช้และบ่าวไพร่จะเป็นคนของนางเกือบทั้งหมดแต่ทหารองครักษ์รอบ ๆ ตำหนักเป็นคนของท่านอ๋อง ที่ฟังเพียงคำสั่งของท่านอ๋องและพระชายาเท่านั้น นางเข้าใจแล้วว่าจะเดินเกมไปในรูปแบบใด“(ถงอิน นังดอกบัวขาว เจ้านี่น่าสนใจดีนะ)”“เจ้าคิดจะทำอะไร มีอะไรก็เข้าไปคุยกันข้างใน”“ได้เพคะ แต่ว่า…หลังจากที่ข้าสั่งลงโทษพวกนางก่อน”“พระชายาเพคะ พวกนางเป็นสาวใช้ในตำหนักขอทรงโปรดปรานี…”ถงอินเดินออกมาและคุกเข่าอีกครั้งเพื่อเรียกร้องความเห็นใจให้พระชายายอมปล่อยสาวใช้ โดยปกตินางก็มักจะใช้วิธีนี้ซื้อใจสาวใช้ระดับล่างให้เป็นพวกของนาง เฟยเย่หันมามองหน้านาง“อ้อ ข้าเกือบลืมเจ้าไปเสียสนิท เจ้าเองก็เช่นกัน เจ้ามีห
เรือนพักอันถง“นังหลินเฟยอัน แค้นนี้ข้าต้องเอาคืนเป็นสิบเท่า”“พี่อันถง ไท่เฟยให้คนนำยานี่มาให้ท่านเจ้าค่ะ”“หึ ขนาดข้าถูกสั่งโบย นางยังแกล้งเป็นลมเพื่อหนีเหตุการณ์ ช่างเป็นผู้ที่มีความกรุณาเสียจริง”“พี่อันถง แต่ว่าไท่เฟย”“ข้ารู้ เจ้า..รีบ ๆ ทาให้ข้า นัง…พระชายา….นาง พักอยู่ที่ใด…”“พระชายาสั่งให้คนจัดห้องในตำหนักกลาง…”“เจ้าว่า…อย่างไรนะ ตำหนักกลาง…นั่นเป็น ตำหนักท่านอ๋อง นางกล้าดีเช่นไร…”“นะ..นางเอ่อ พระนางสั่งให้คนไปจัดห้องและสั่งทำความสะอาดตำหนักเจ้าค่ะ”“รอข้าหายเสียก่อนเถอะ หลินเฟยลี่ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าอยู่ตำหนัก..นั้นกับ…ท่านอ๋องของข้า…แน่”คำสั่งขายสาวใช้สองคนออกจากตำหนักทำให้ชื่อเสียงความโหดร้ายของพระชายาหลินเป็นที่เลื่องลือในตำหนัก แม้แต่สาวใช้ที่เป็นลูกน้องของอันถงเองก็เริ่มเกรงกลัวและไม่กล้าที่จะแสดงกิริยาไม่เคารพต่อพระชายาเพราะแม้แต่อันถง สาวใช้ที่เหมือนกับคนสนิทที่โตมากับท่านอ๋องและอยู่กับไท่เฟยตั้งแต่เด็กก็ยังถูกพระชายาหลินสั่งโบยโดยที่ไท่เฟยโกรธจนเป็นลมแต่กลับช่วยนางไม่ได้ วันถัดมา“พระชายา ตื่นจากบรรทมแล้วหรือเพคะ”“เจ้าไปถามมาแล้วใช่หรือไม่”“เพคะ หอบรรพชนของสกุลเ
“เอาละ พระชายาเราไปกันเถอะ อันถงเจ้ารีบกลับไปแจ้งไท่เฟยว่าข้ากับพระชายาจะไปเข้าเฝ้า”อันถงลุกขึ้นด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ นางไม่เคยถูกท่านอ๋องต่อว่าตรง ๆ เช่นนี้มาก่อนเลย พระชายาหลินใช้มารยาเพียงนิดหน่อยก็แย่งความโปรดปรานไป นางไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้น“เพคะท่านอ๋อง”อันถงและสาวใช้เดินกลับไปแล้ว เฟยเย่ยืดตัวขึ้นลงเพื่อดูว่านางไปแล้วแน่ ๆ ท่านอ๋องหันมามองท่าทีของนาง เมื่อเห็นว่าอันถงไปพ้นสายตาแล้วนางจึงรีบปล่อยมือจากแขนของเขาทันที“เฮ้อ ไปได้เสียที”“นี่เจ้าคิดจะทำสิ่งใดพระชายาหลิน”“เอ่อ…เปล่านะเพคะเมื่อครู่นี้หม่อมฉันรู้สึกเจ็บที่แผลจริง ๆ แล้วก็..”“พอแล้ว เดินตามข้ามาดี ๆ ในเมื่อเจ้าเล่นละครไปแล้วว่าเดินไม่ไหว เช่นนั้นเจ้าก็เล่นให้จบ!!”“แต่ว่า…ท่านอ๋องเพคะ!!”“เรียกข้าว่าเสด็จพี่สิ เจ้าลืมบทบาทของตัวเองไปแล้วงั้นหรือ”“เมื่อครู่นี้เพียงแค่…”“มือ แขน เกาะที่เดิม หรือจะให้ข้าอุ้มเจ้าไป”“กอดแล้ว ๆ แบบนี้พอพระทัยหรือยัง ไปสิ เดินไปสิเพคะ”“กอดแน่น ๆ เจ้าไม่กลัวว่าผู้อื่นจะจับได้หรืออย่างไรว่าเจ้าแสร้งทำ”เฟยเย่กระชับแขนของนางกอดพลางซบไปที่แขนของเขาจนแนบสนิทเมื่อเขาพานางเดินออกมาจากหอบรร
เฟยเย่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความระแวง นางรู้สึกว่านอนหลับไปได้เพียงไม่นอนเมื่อหันไปมองข้าง ๆ กลับพบแค่ความว่างเปล่า ท่านอ๋องออกไปแล้วซึ่งไม่รู้ว่าเขาไปที่ใดแน่ แต่เขาคงออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง“ไปไหนกันนะ”หอบรรพชนสกุลเว่ยอ๋องเว่ยจื่อหานเดินเข้ามาที่หอบรรพชนหลังจากที่ตื่นนอนมา เขาไม่ค่อยคุ้นชินกับการที่มีผู้อื่นนอนร่วมเตียง แต่เมื่อตื่นขึ้นมาพบพระชายาของเขานอนซบอยู่ที่หน้าอกของเขาและขาของนางก็พาดกอดเขาราวกับเขาเป็นหมอนข้างของนางกลับทำให้หัวใจเขาอบอุ่นขึ้นได้อย่างน่าประหลาด “นางเป็นคนแปลกหน้าสำหรับข้าแท้ ๆ เหตุใดจึง….ช่างเถอะ”เขาค่อย ๆ ขยับตัวลงจากเตียงด้วยเสียงที่เบาที่สุดเกรงว่านางจะตื่น หากว่านางตื่นขึ้นมาพบเขากลัวว่านางจะทำอะไรไม่ถูก และเขาก็ยังไม่อยากถูกทำร้ายร่างกายเพิ่มหากว่านางตื่นมาแล้วจำไม่ได้ว่าเขาคือผู้ใด รอยยิ้มนึกขำผุดขึ้นมาบนใบหน้าพร้อมกับขาที่ก้าวเข้ามาในหอบรรพชนสกุลเว่ย เมื่อเข้ามาถึงกลับแปลกตาไม่น้อยที่สถานที่ที่เกือบถูกลืมนี้สะอาดกว่าที่คิดเอาไว้มากนัก“สะอาดถึงเพียงนี้เชียวงั้นหรือ”“ทูลท่านอ๋อง แม่นมลี่บอกว่าช่วงเวลาที่พระชายาอยู่ที่นี่พระนางเป็นคนสั่งสาวใช้ให้มาท
เฟยเย่พลิกตัวและจับเขาและเอามือของท่านอ๋องไพล่หลังเอาไว้ได้ เขาสลัดนางหลุดได้ในทันทีพร้อมกับดึงตัวนางเข้ามา แต่เฟยเย่ยังไม่ยอมแพ้ นางใช้ขาเตะไปที่หลังของเขาหมายจะใช้ศีรษะกระแทกเขา ท่านอ๋องจับได้และกดนางลงที่เตียง“อยู่เฉย ๆ เจ้าคิดว่าวิธีนี้จะจัดการข้าได้งั้นหรือ”“ออกไปนะเจ้าคนชั้นต่ำ เจ้าเป็นคนของใครนึกไม่ถึงว่าจะกล้าใช้วิธีชั้นต่ำเช่นนี้จัดการกับข้า”เขาไม่เข้าใจที่นางพูดเลยสักนิด นี่นางกำลังหมายถึงสิ่งใด ที่นี่มีผู้ใดที่คิดจะทำร้ายนางกันแน่ ระหว่างที่เขาไม่อยู่เกิดสิ่งใดขึ้น เหตุใดสตรีที่ดูอ่อนแอและไม่สู้คนในวันนั้นถึงได้เปลี่ยนราวกับคนละคนเช่นนี้“หลังจากนี้ค่อยคุยเถอะ อยู่นิ่ง ๆ”เขาไม่อยากเสียเวลา ยิ่งนางดิ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งปลุกสัญชาตญาณดิบของเขาออกมามากเท่านั้น เขาเริ่มล้วงลงไปด้านล่างแม้นางจะดิ้นแต่ก็น้อยลงกว่าเดิม“ออกไปนะเจ้าคนชั่ว ข้าไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ซ้ำสอง”“ซ้ำสองงั้นหรือ”เขาไม่ทันถามจบศีรษะของนางก็กระแทกมาที่หน้าผากเขาเต็มแรงจนเขามึนงง นางจับเขาได้ในที่สุดเพราะเขาประมาท หลินเฟยเย่คว้าสายม่านที่เตียงมารัดเขาเอาไว้และสกัดจุดไม่ให้เขาขยับตัวพร้อมกับดึงชุดมาสวม
หนึ่งวันก่อนท่านอ๋องกลับ“พระชายาเพคะ ทุกอย่างจัดเตรียมเรียบร้อยแล้วเพคะ”“อืม ดีแล้ว ห้องของข้าเล่า”“คือว่า หากว่าพระองค์ย้ายในตอนนี้จะไม่เท่ากับว่า…เอ่อ…”“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นก็รอท่านอ๋องกลับมาก่อนก็แล้วกัน เจ้าจัดเตรียมห้องสำรองเอาไว้ อย่างไรข้าก็ไม่มีทางอยู่ร่วมห้องกับเขาได้หรอก”“เพคะ”“เจ้าบอกว่าทุกคนต่างล้วนรอคอยให้ท่านอ๋องผู้นี้กลับมา”“พระชายาเพคะ หม่อมฉันได้ข่าวว่าแม่นางอันถงแม้ว่าจะเป็นสาวใช้ข้างกายไท่เฟยแต่ที่จริงแล้วนางเองก็เติบโตมาพร้อมกับท่านอ๋องและยัง…”“ข้าเข้าใจแล้ว นางชื่นชอบท่านอ๋องสินะ”“เพคะ พระชายาทรงปราดเปรื่อง”“ดูไม่ยากสักนิด ท่าทางของนางที่ปฏิบัติต่อไท่เฟย แม้ว่าจะดูภักดีแต่ลับหลังนางกลับสร้างบารมีกับสาวใช้ในตำหนัก นั่นก็เท่ากับหาพวกให้ตนเอง” “แม้ว่าต่อหน้าจะเอาใจไท่เฟยแต่ลับหลังนางเองก็ถือมีดเช่นกันอีกทั้งนิสัยของไท่เฟยความชอบและพฤติกรรมล้วนแต่อยู่ในสายตานาง เช่นนี้การจัดการไท่เฟยได้คนหนึ่งก็เท่ากับนางไม่ต่างกับนายหญิงของที่นี่ และยิ่งไปกว่านั้นนางยังมีอำนาจมากกว่าพระชายาอย่างท่านพี่เสียอีก นี่เป็นเหตุผลที่ท่านพี่ไม่อาจอยู่ที่นี่ได้”“เป็นเช่นนี้เอง ดั
“พระ…พระชายากล่าวได้ถูกต้อง หม่อมฉัน จะจดจำไว้เพคะ”หลินเฟยเย่ยิ้มนิดหน่อยก่อนจะหันมามองที่หยงไท่เฟยที่นั่งนิ่งราวรูปปั้นแกะสลัก อีกทั้งสาวใช้คนสนิทที่ยอมลุกมาปรนนิบัติอย่างไม่บกพร่องอย่างอันถงด้วย“หม่อมฉันให้คนไปทำความสะอาดตัดหญ้ารอบ ๆ หอบรรพชนและให้ทำความสะอาดสระบัวทั้งหมดเพื่อปรับภูมิทัศน์โดยรอบ หวังว่าไท่เฟยจะไม่ทรงขัดข้อง”“ข้าจะไปขัดข้องอย่างไรได้เล่า เจ้าอยากทำสิ่งใดก็ทำไปเถอะ”“ยังมีธุระที่ต้องสะสางอีกมาก หม่อมฉันขอทูลลา”“นี่เจ้าคิดจะทำสิ่งใดอีก”หลินเฟยเย่หันมามองใบหน้าไท่เฟยที่เริ่มหวั่นวิตกอย่างปกปิดไม่มิด นางยิ้มออกมาเล็กน้อยและถามกลับไป“หน้าที่พระชายาท่านอ๋อง มีมากมายนะเพคะ ตำหนักนี้กว้างขวางแต่สาวใช้บ่าวไพร่ที่ดูแลโดย….(มองไปที่อันถง) คนของไท่เฟยดูเหมือนว่าจะทำหน้าที่ได้ไม่ดีนักบกพร่อง สะเพร่าอยู่หลายอย่างอีกทั้งบางคนยังเกียจคร้านไม่เอาการเอางานวัน ๆ คอยตามแต่พวกไร้ประโยชน์เพื่อทำสิ่งไร้ประโยชน์ คิดว่าน่าจะได้เวลาเก็บกวาดแล้ว ขอตัวเพคะ”พระชายาปรายตามามองซ่งฟางหรูที่พึ่งพยุงตัวเองขึ้นมาจากพื้นได้และนั่งที่เก้าอี้ แต่เมื่อนางหันมามองอีกครั้ง ซ่งฟางหรูจึงต้องพยายามลุกข
เรือนพักอันถง“นังหลินเฟยอัน แค้นนี้ข้าต้องเอาคืนเป็นสิบเท่า”“พี่อันถง ไท่เฟยให้คนนำยานี่มาให้ท่านเจ้าค่ะ”“หึ ขนาดข้าถูกสั่งโบย นางยังแกล้งเป็นลมเพื่อหนีเหตุการณ์ ช่างเป็นผู้ที่มีความกรุณาเสียจริง”“พี่อันถง แต่ว่าไท่เฟย”“ข้ารู้ เจ้า..รีบ ๆ ทาให้ข้า นัง…พระชายา….นาง พักอยู่ที่ใด…”“พระชายาสั่งให้คนจัดห้องในตำหนักกลาง…”“เจ้าว่า…อย่างไรนะ ตำหนักกลาง…นั่นเป็น ตำหนักท่านอ๋อง นางกล้าดีเช่นไร…”“นะ..นางเอ่อ พระนางสั่งให้คนไปจัดห้องและสั่งทำความสะอาดตำหนักเจ้าค่ะ”“รอข้าหายเสียก่อนเถอะ หลินเฟยลี่ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าอยู่ตำหนัก..นั้นกับ…ท่านอ๋องของข้า…แน่”คำสั่งขายสาวใช้สองคนออกจากตำหนักทำให้ชื่อเสียงความโหดร้ายของพระชายาหลินเป็นที่เลื่องลือในตำหนัก แม้แต่สาวใช้ที่เป็นลูกน้องของอันถงเองก็เริ่มเกรงกลัวและไม่กล้าที่จะแสดงกิริยาไม่เคารพต่อพระชายาเพราะแม้แต่อันถง สาวใช้ที่เหมือนกับคนสนิทที่โตมากับท่านอ๋องและอยู่กับไท่เฟยตั้งแต่เด็กก็ยังถูกพระชายาหลินสั่งโบยโดยที่ไท่เฟยโกรธจนเป็นลมแต่กลับช่วยนางไม่ได้ วันถัดมา“พระชายา ตื่นจากบรรทมแล้วหรือเพคะ”“เจ้าไปถามมาแล้วใช่หรือไม่”“เพคะ หอบรรพชนของสกุลเ
“หลินเฟยลี่ เจ้าอย่าได้บังอาจ...”“คนที่บังอาจน่าจะเป็นคนที่ไท่เฟยคอยปกป้องจนละเลยกฎระเบียบเหล่านี้มากกว่านะเพคะ ดูสิ แค่บีบน้ำตาจระเข้ไม่กี่หยดก็เรียกคะแนนสงสารจากพระองค์ได้ น่าสมเพชเสียจริง หากว่าจะอยู่กันด้วยกฎหมู่เช่นนี้ เห็นทีเรื่องนี้เมื่อท่านอ๋องเสด็จกลับมา หม่อมฉันคงต้องกราบทูล…”“เจ้า…เจ้ากล้าหรือ??”เฟยเย่รู้จุดอ่อนของนางแล้ว เช่นนี้นี่เอง นางเองก็คงเกรงกลัวอำนาจท่านอ๋องอยู่ไม่น้อย แม้ว่าเรือนหลัง สาวใช้และบ่าวไพร่จะเป็นคนของนางเกือบทั้งหมดแต่ทหารองครักษ์รอบ ๆ ตำหนักเป็นคนของท่านอ๋อง ที่ฟังเพียงคำสั่งของท่านอ๋องและพระชายาเท่านั้น นางเข้าใจแล้วว่าจะเดินเกมไปในรูปแบบใด“(ถงอิน นังดอกบัวขาว เจ้านี่น่าสนใจดีนะ)”“เจ้าคิดจะทำอะไร มีอะไรก็เข้าไปคุยกันข้างใน”“ได้เพคะ แต่ว่า…หลังจากที่ข้าสั่งลงโทษพวกนางก่อน”“พระชายาเพคะ พวกนางเป็นสาวใช้ในตำหนักขอทรงโปรดปรานี…”ถงอินเดินออกมาและคุกเข่าอีกครั้งเพื่อเรียกร้องความเห็นใจให้พระชายายอมปล่อยสาวใช้ โดยปกตินางก็มักจะใช้วิธีนี้ซื้อใจสาวใช้ระดับล่างให้เป็นพวกของนาง เฟยเย่หันมามองหน้านาง“อ้อ ข้าเกือบลืมเจ้าไปเสียสนิท เจ้าเองก็เช่นกัน เจ้ามีห
จวนไท่เฟย“ว่าอย่างไรนะ นางจะกลับไปที่ตำหนักงั้นหรือ แล้วโรคที่นางเป็นเล่า”“เห็นว่าท่านหมอหลวงที่ส่งไปตรวจสอบแล้ว พระชายาหายเป็นปกติแล้วเพคะ”“เช่นนั้นก็ดี แล้วเรื่องที่ส่งจดหมายให้นางไป นางตอบกลับมาหรือยัง”“ยังเลยเพคะ”“หึ ช่างเถอะ ข้าไปรอเอาคำตอบที่ตำหนักอ๋องก็ได้ ท่านอ๋องจะกลับมาเมื่อใดนะ”“ยังไม่มีข่าวเลยเพคะ”“นั่นยิ่งดีใหญ่ ข้าจะได้หาข้ออ้างจัดการนังโง่นั่นได้ หัวอ่อนเช่นนั้นคงอีกไม่นานหรอก ทรัพย์สินเหล่านั้นนางไม่อยากให้ก็ต้องให้”“ไท่เฟยปราดเปรื่องยิ่งนักเพคะ”“อันถง เจ้านี่รู้ใจข้าเสียจริง”“มิได้เพคะ ขอเพียงได้อยู่รับใช้ไท่เฟยและท่านอ๋อง…อันถงก็พร้อมถวายชีวิตให้ทั้งสองพระองค์”“ดี งั้นพวกเราก็คงได้เวลากลับไปรอต้อนรับพระชายากันแล้วละ สั่งให้คนเตรียมตัวกลับตำหนักได้แล้ว”“เพคะไท่เฟย”สามวันถัดมา “ลี่….ลี่เอ๋อร์ เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มากนะเข้าใจหรือไม่”“ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องห่วงข้าจะระวังตัวเจ้าค่ะ ครบกำหนดร้อยวันพี่…น้องรองเมื่อใดข้าจะกลับมาทันทีเจ้าค่ะ”“ไปเถอะ” เฟยเย่สูดหายใจเข้าเต็มปอดพร้อมกับหันมายิ้มให้บิดาของนางก่อนจะเดินขึ้นรถม้าเพื่อกลับไปยังตำหนักท่านอ๋อ
นางมองเท้าที่ห้อยอยู่ด้านบนศีรษะและค่อย ๆ ลุกขึ้นมา ร่างนางสั่นตั้งแต่หัวจรดเท้าและไม่อยากคิดว่าภาพตรงหน้านั้นจะเป็นเรื่องจริง “ต้องไม่ใช่ ไม่ใช่นางแน่ นางเอาตุ๊กตามาหลอกข้า นาง….”หลินเฟยเย่ก้าวขาถอยออกมาและค่อย ๆ ส่งโคมขึ้นไปมองร่างนั้นชัด ๆ ผ้าแพรสีขาว ใบหน้าซีดเผือดหลับตาไม่สนิทและ….“ไม่นะ!!! กรี๊ดดด!!!!!!………..พี่ใหญ่!!!”เสียงของนางดังพอจะทำให้คนในจวนแตกตื่นและรีบวิ่งตามหาเสียง พวกบ่าวไพร่และสาวใช้รีบวิ่งมาที่หน้าห้องคุณหนูใหญ่ในทันที หลินเฟยเย่ที่ยังช็อกอยู่กับเหตุการณ์ตรงหน้าพยายามไขว่คว้าบางอย่างที่นางมองไม่เห็น“ไม่นะ ไม่ใช่แบบนี้ ท่านจะตายได้อย่างไร ไม่นะพี่ใหญ่ ม่ายยยย!!!!!……”“คุณหนูรอง!! รีบพานางออกมาเร็วเข้า รีบไปแจ้งนายท่าน คุณหนูใหญ่!! ฮือออ…..”ผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบ กี่คนไม่รู้ที่เดินเข้ามาเพื่อตรวจอาการของหลินเฟยเย่ คหบดีหลินนั้นร่ำไห้จนเป็นลมไปแล้วเมื่อเห็นร่างไร้วิญญาณของบุตรสาวคนโตที่แขวนห้อยอยู่ในห้องทหารองครักษ์ในจวนพาร่างของหลินเฟยลี่ลงมา หลินเฟยเย่เองในตอนนี้แทบไม่ได้สติ“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู ท่านหมอกวน นายท่านกับคุณหนูรอง…เป็นเช่นไรบ้าง”“เฮ้อ…”ท่านหมอกว