“หลินเฟยลี่ เจ้าอย่าได้บังอาจ...”
“คนที่บังอาจน่าจะเป็นคนที่ไท่เฟยคอยปกป้องจนละเลยกฎระเบียบเหล่านี้มากกว่านะเพคะ ดูสิ แค่บีบน้ำตาจระเข้ไม่กี่หยดก็เรียกคะแนนสงสารจากพระองค์ได้ น่าสมเพชเสียจริง หากว่าจะอยู่กันด้วยกฎหมู่เช่นนี้ เห็นทีเรื่องนี้เมื่อท่านอ๋องเสด็จกลับมา หม่อมฉันคงต้องกราบทูล…”
“เจ้า…เจ้ากล้าหรือ??”
เฟยเย่รู้จุดอ่อนของนางแล้ว เช่นนี้นี่เอง นางเองก็คงเกรงกลัวอำนาจท่านอ๋องอยู่ไม่น้อย แม้ว่าเรือนหลัง สาวใช้และบ่าวไพร่จะเป็นคนของนางเกือบทั้งหมด
แต่ทหารองครักษ์รอบ ๆ ตำหนักเป็นคนของท่านอ๋อง ที่ฟังเพียงคำสั่งของท่านอ๋องและพระชายาเท่านั้น นางเข้าใจแล้วว่าจะเดินเกมไปในรูปแบบใด
“(ถงอิน นังดอกบัวขาว เจ้านี่น่าสนใจดีนะ)”
“เจ้าคิดจะทำอะไร มีอะไรก็เข้าไปคุยกันข้างใน”
“ได้เพคะ แต่ว่า…หลังจากที่ข้าสั่งลงโทษพวกนางก่อน”
“พระชายาเพคะ พวกนางเป็นสาวใช้ในตำหนักขอทรงโปรดปรานี…”
ถงอินเดินออกมาและคุกเข่าอีกครั้งเพื่อเรียกร้องความเห็นใจให้พระชายายอมปล่อยสาวใช้ โดยปกตินางก็มักจะใช้วิธีนี้ซื้อใจสาวใช้ระดับล่างให้เป็นพวกของนาง เฟยเย่หันมามองหน้านาง
“อ้อ ข้าเกือบลืมเจ้าไปเสียสนิท เจ้าเองก็เช่นกัน เจ้ามีหน้าที่ดูแลสาวใช้เป็นดั่งหัวหน้าพวกนางแต่กลับละเลย ทหาร!! โบยนางด้วยเช่นกัน”
“เจ้าอย่าได้บังอาจ!!…ถงอินเป็น…”
“นางเป็นสาวใช้!! หยงไท่เฟย พระองค์คงมิได้แก่จนเลอะเลือนลืมฐานะของนางไปใช่หรือไม่เพคะ ในเมื่อเป็นสาวใช้ที่ไร้กฎระเบียบ ก็ต้องถูกลงโทษด้วยเช่นกัน พวกเจ้ารออะไรอยู่นำตัวนางไปโบย!!”
""พ่ะย่ะค่ะ""
“ไม่นะ ไท่เฟยเพคะ ช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ!”
หยงไท่เฟยพูดไม่ออก ปากนางสั่นและเถียงพระชายาหลินไม่ได้เลยสักคำ เรื่องนี้หากจะพูดกันตามจริง สาวใช้ไม่ให้เกียรตินางถูกลงโทษก็ถือว่าถูกต้อง หากไม่ลงโทษก็จะถือเป็นความบกพร่องที่นางได้กล่าวออกมา
“ไท่เฟยเพคะ ช่วยด้วย ไท่เฟยเป็นลม”
ถงอินถือโอกาสนี้รีบวิ่งไปพยุงหยงไท่เฟยเพื่อหลีกหนีความผิด เฟยเย่หันไปมองทั้งคู่ที่หน้าลานตอนนี้สาวใช้และบ่าวไพร่ทั้งหมดต่างมารวมตัวกันที่หน้าตำหนักหน้ากันหมด
“แย่จริง....ดูเหมือนว่าไท่เฟยจะเป็นลมนะ”
“เพคะพระชายา ขอทรงโปรด…หม่อมฉันจะพยุงไท่เฟยเข้าไปพัก…”
“ไม่ต้อง ๆ อาจิงเจ้าช่วยไปพยุงไท่เฟยเข้าไปพักด้านใน เจ้าสองคนไปช่วยนางด้วย”
“เพคะพระชายา”
สาวใช้ที่ยืนอยู่รับคำสั่งพระชายาทันที ในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีผู้ใดกล้าจะทำกิริยาหยาบคายกับพระชายาอีกแล้วเมื่อเห็นว่าสาวใช้สองคนนั้นถูกโบยและยังไม่ทราบชะตากรรมพวกนางหลังจากนี้
“พระชายาเพคะ หม่อมฉันเป็นผู้ดูแลไท่เฟยมาโดยตลอด เกรงว่าคนอื่น ๆ จะไม่รู้พระทัย”
“เจ้าอย่าได้เป็นห่วง สาวใช้ของข้าอาจิงได้ร่ำเรียนวิชาแพทย์มานิดหน่อย นางพอจะมีความรู้เรื่องการดูแลผู้สูงอายุ ที่เจ้าพูดมาก็น่าคิดนะ เจ้าเป็นสาวใช้เพียงคนเดียวที่ไท่เฟยไว้ใจดูท่าว่าข้าควรจะหาสาวใช้อีกคนมาช่วยแล้วละ หากว่าวันหนึ่งขาดเจ้าไปเกรงว่านางคงจะแย่”
“พระชายา พระองค์ทรงทำเกินไปหรือไม่เพคะ”
“เจ้าไม่พอใจสิ่งใดงั้นหรือ สายตานั่นจะบอกอะไรข้างั้นหรือ สายตาแข็งกร้าวหมัดนั่นกำแน่น เจ้าโกรธงั้นหรืออันถง หรือเจ้าลืมไปแล้วจริง ๆ ว่าเจ้าเป็นผู้ใดในตำหนักนี้เอาละพูดมากพอแล้ว ลากนางไปโบยส่วนนางสองคน โบยให้ครบแล้วส่งไปขายทันที อย่าให้ข้าเห็นนางสองคนที่นี่อีก”
“พระชายาเพคะ หน้าที่ดูแลสาวใช้เป็น…”
“เป็นหน้าที่ของพระชายาท่านอ๋องเช่นกันที่จะมาช่วยหยงไท่เฟยดูแล อันถงดูเหมือนว่าเจ้าจะลืมไปอีกแล้วสินะ โบยนางสิบไม้แล้วส่งกลับไปที่ห้อง อ้อ ให้คนจัดตำหนักกลางข้าให้ด้วย ภายในครึ่งชั่วยามหากยังไม่เรียบร้อย อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าพวกเจ้า”
""พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ""
สาวใช้และบ่าวไพร่ในตำหนักรีบวิ่งไปทำหน้าที่กันอย่างรวดเร็วจนชนกันวุ่นวาย พวกเขาไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีวันเช่นนี้ วันที่มีคนที่เป็นใหญ่มากกว่าหยงไท่เฟยมาดูแลตำหนักท่านอ๋อง
เฟยเย่มองใบหน้าของอันถงที่ถูกโบยด้านล่าง สายตานางไม่ได้ยอมแพ้แม้ว่านางจะเจ็บแต่ก็แทบจะไม่ร้องออกมาเลยสักนิด
“น่าสนใจนี่ ดูแล้วไม่ธรรมดาเลย”
หลิน
เฟยเย่เดินกลับเข้าไปในตำหนักหน้าของไท่เฟยเพื่อดูอาการนาง ที่จริงนางรู้ว่าหยงไท่เฟยเพียงแค่แกล้งเป็นลมเพื่อจะช่วยอันถงและหลีกหนีความเสียหน้าเท่านั้นแต่นึกไม่ถึงว่าจะถูกเฟยเย่ดัดหลังด้วยวิธีนี้และยังยืนกรานลงโทษอันถงอีกด้วย
“หยงไท่เฟยอาการดีขึ้นหรือยัง เจ้าส่งคนไปเรียกหมอหลวงมาตรวจอาการหน่อย”
“ไม่ต้อง!!”
“อ้อ ดูแล้วอาการของพระองค์จะดีขึ้นแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยนะเพคะ”
“เจ้า…เจ้า…กล้าสั่งโบยคนของข้า”
“คนของพระองค์งั้นหรือ ไท่เฟยเพคะ บ่าวไพร่ในตำหนักล้วนเป็นคนของท่านอ๋อง และในเมื่อหม่อมฉันแต่งเข้ามาแล้วหน้าที่ดูแลตำหนักและเรือนหลังเวลาท่านอ๋องไม่อยู่ก็ต้องเป็นหน้าที่ของหม่อมฉัน แม้ว่าก่อนหน้านี้พระองค์จะเป็นผู้ดูแลแต่ก็…อย่างที่เห็น”
“กฎระเบียบหละหลวมดูไม่เคร่งราวกับมิใช่ตำหนักอ๋อง บ่าวไพร่สาวใช้เหล่านี้ คงได้เวลาเปลี่ยนแปลงแล้ว ดังนั้นเมื่อไท่เฟยไม่ค่อยมีเวลาอีกทั้งสุขภาพก็ไม่ใคร่จะสู้ดีนัก หน้าที่นี้หม่อมฉันคงต้องจัดการดูแลเองแล้วละเพคะ”
“หยุดนะ!! เจ้าอย่าได้บังอาจตราบใดที่ข้ายังอยู่ที่นี่ เจ้าไม่มีสิทธิ์!!”
“หยงไม่เฟยคงลืมเรื่องจดหมายที่เขียนไปหาหม่อมฉันแล้วสินะเพคะ หากว่าหม่อมฉันจะส่งจดหมายนั่นไปปรึกษาท่านอ๋องที่ชายแดนก่อนจะตัดสินใจน่าจะเป็นการดีกว่าที่จะ….”
“ช้าก่อน เจ้า…เจ้าอย่าได้นำเรื่องร้อนพระทัยนี้ไป…รบกวนท่านอ๋อง ตอนนี้ท่านอ๋องกำลังรับศึกอยู่เรื่องภายในตำหนัก”
“หืม อย่างไรเพคะ”
หยงไท่เฟยไม่คิดว่านางกลับมาในครั้งนี้จะมาพร้อมกับท่าทีที่แตกต่างกันเช่นนี้ ราวกับมิใช่คนเดียวกันเช่นนี้ สายตานั่นทำให้นางเริ่มหวาดกลัว
นางพึ่งก้าวเข้ามาในตำหนักไม่ถึงสามเค่อก็สั่งโบยอันถงสาวใช้ข้างกายไท่เฟยที่ไม่เคยมีผู้ใดกล้าต่อว่าอีกทั้งในตอนนี้คนทั้งตำหนักต่างเห็นที่นางสั่งลงโทษล้วนเริ่มหวาดกลัวนางมากขึ้น
ตำหนักกลาง
“พระชายาเพคะ ทำเช่นนี้จะเป็นการสร้างศัตรูหรือไม่เพคะ พระองค์ตรัสว่าการที่เรามาที่นี่เป้าหมายมีเพียงแค่….”
“เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยให้พวกนางก่อกองทัพในนี้งั้นหรือ ก่อนที่พวกนางจะทำเช่นนั้น มิสู้ข้าเร่งสร้างกองทัพของตัวเองขึ้นมาก่อนแล้วค่อยรวบกัดหัวกัดหางทีเดียวไม่ดีกว่างั้นหรือ เจ้าเอานี่ไป”
“นี่คือสิ่งใดหรือเพคะ”
“รายชื่อในนั้นคือสาวใช้ที่เป็นลูกน้องคนสนิทของอันถง พวกนางเป็นทั้งคนสนิทและเป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์ที่นางคอยเรียกใช้งาน เป็นคนที่เราต้องจัดการกลุ่มแรก
คนเหล่านี้กินเบี้ยหวัดท่านอ๋องกับสกุลหลินที่จ่ายให้แต่กลับทำงานรับใช้สวะอย่างอันถง ดูแล้วข้าก็ไม่ควรเก็บขยะเปียกพวกนี้เอาไว้ให้เกิดปัญหาทีหลัง”
“เกือบสิบคน นี่จะให้ทำอย่างไรกับพวกนางเพคะ หรือว่าพระองค์จะสั่งลงโทษเช่นเดิมอีก”
“ไม่ต้องทำอย่างไร เราแค่รอเวลาเท่านั้น น่าจะอีกไม่นานนี้หรอก"
“รอเวลาหรือเพคะ แล้วรอเวลาอันใด”
"รอหมูเข้าอวย แล้วจับเชือดทีเดียว”
“เพคะ”
เรือนพักอันถง“นังหลินเฟยอัน แค้นนี้ข้าต้องเอาคืนเป็นสิบเท่า”“พี่อันถง ไท่เฟยให้คนนำยานี่มาให้ท่านเจ้าค่ะ”“หึ ขนาดข้าถูกสั่งโบย นางยังแกล้งเป็นลมเพื่อหนีเหตุการณ์ ช่างเป็นผู้ที่มีความกรุณาเสียจริง”“พี่อันถง แต่ว่าไท่เฟย”“ข้ารู้ เจ้า..รีบ ๆ ทาให้ข้า นัง…พระชายา….นาง พักอยู่ที่ใด…”“พระชายาสั่งให้คนจัดห้องในตำหนักกลาง…”“เจ้าว่า…อย่างไรนะ ตำหนักกลาง…นั่นเป็น ตำหนักท่านอ๋อง นางกล้าดีเช่นไร…”“นะ..นางเอ่อ พระนางสั่งให้คนไปจัดห้องและสั่งทำความสะอาดตำหนักเจ้าค่ะ”“รอข้าหายเสียก่อนเถอะ หลินเฟยลี่ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าอยู่ตำหนัก..นั้นกับ…ท่านอ๋องของข้า…แน่”คำสั่งขายสาวใช้สองคนออกจากตำหนักทำให้ชื่อเสียงความโหดร้ายของพระชายาหลินเป็นที่เลื่องลือในตำหนัก แม้แต่สาวใช้ที่เป็นลูกน้องของอันถงเองก็เริ่มเกรงกลัวและไม่กล้าที่จะแสดงกิริยาไม่เคารพต่อพระชายาเพราะแม้แต่อันถง สาวใช้ที่เหมือนกับคนสนิทที่โตมากับท่านอ๋องและอยู่กับไท่เฟยตั้งแต่เด็กก็ยังถูกพระชายาหลินสั่งโบยโดยที่ไท่เฟยโกรธจนเป็นลมแต่กลับช่วยนางไม่ได้ วันถัดมา“พระชายา ตื่นจากบรรทมแล้วหรือเพคะ”“เจ้าไปถามมาแล้วใช่หรือไม่”“เพคะ หอบรรพชนของสกุลเ
“พระ…พระชายากล่าวได้ถูกต้อง หม่อมฉัน จะจดจำไว้เพคะ”หลินเฟยเย่ยิ้มนิดหน่อยก่อนจะหันมามองที่หยงไท่เฟยที่นั่งนิ่งราวรูปปั้นแกะสลัก อีกทั้งสาวใช้คนสนิทที่ยอมลุกมาปรนนิบัติอย่างไม่บกพร่องอย่างอันถงด้วย“หม่อมฉันให้คนไปทำความสะอาดตัดหญ้ารอบ ๆ หอบรรพชนและให้ทำความสะอาดสระบัวทั้งหมดเพื่อปรับภูมิทัศน์โดยรอบ หวังว่าไท่เฟยจะไม่ทรงขัดข้อง”“ข้าจะไปขัดข้องอย่างไรได้เล่า เจ้าอยากทำสิ่งใดก็ทำไปเถอะ”“ยังมีธุระที่ต้องสะสางอีกมาก หม่อมฉันขอทูลลา”“นี่เจ้าคิดจะทำสิ่งใดอีก”หลินเฟยเย่หันมามองใบหน้าไท่เฟยที่เริ่มหวั่นวิตกอย่างปกปิดไม่มิด นางยิ้มออกมาเล็กน้อยและถามกลับไป“หน้าที่พระชายาท่านอ๋อง มีมากมายนะเพคะ ตำหนักนี้กว้างขวางแต่สาวใช้บ่าวไพร่ที่ดูแลโดย….(มองไปที่อันถง) คนของไท่เฟยดูเหมือนว่าจะทำหน้าที่ได้ไม่ดีนักบกพร่อง สะเพร่าอยู่หลายอย่างอีกทั้งบางคนยังเกียจคร้านไม่เอาการเอางานวัน ๆ คอยตามแต่พวกไร้ประโยชน์เพื่อทำสิ่งไร้ประโยชน์ คิดว่าน่าจะได้เวลาเก็บกวาดแล้ว ขอตัวเพคะ”พระชายาปรายตามามองซ่งฟางหรูที่พึ่งพยุงตัวเองขึ้นมาจากพื้นได้และนั่งที่เก้าอี้ แต่เมื่อนางหันมามองอีกครั้ง ซ่งฟางหรูจึงต้องพยายามลุกข
หนึ่งวันก่อนท่านอ๋องกลับ“พระชายาเพคะ ทุกอย่างจัดเตรียมเรียบร้อยแล้วเพคะ”“อืม ดีแล้ว ห้องของข้าเล่า”“คือว่า หากว่าพระองค์ย้ายในตอนนี้จะไม่เท่ากับว่า…เอ่อ…”“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นก็รอท่านอ๋องกลับมาก่อนก็แล้วกัน เจ้าจัดเตรียมห้องสำรองเอาไว้ อย่างไรข้าก็ไม่มีทางอยู่ร่วมห้องกับเขาได้หรอก”“เพคะ”“เจ้าบอกว่าทุกคนต่างล้วนรอคอยให้ท่านอ๋องผู้นี้กลับมา”“พระชายาเพคะ หม่อมฉันได้ข่าวว่าแม่นางอันถงแม้ว่าจะเป็นสาวใช้ข้างกายไท่เฟยแต่ที่จริงแล้วนางเองก็เติบโตมาพร้อมกับท่านอ๋องและยัง…”“ข้าเข้าใจแล้ว นางชื่นชอบท่านอ๋องสินะ”“เพคะ พระชายาทรงปราดเปรื่อง”“ดูไม่ยากสักนิด ท่าทางของนางที่ปฏิบัติต่อไท่เฟย แม้ว่าจะดูภักดีแต่ลับหลังนางกลับสร้างบารมีกับสาวใช้ในตำหนัก นั่นก็เท่ากับหาพวกให้ตนเอง” “แม้ว่าต่อหน้าจะเอาใจไท่เฟยแต่ลับหลังนางเองก็ถือมีดเช่นกันอีกทั้งนิสัยของไท่เฟยความชอบและพฤติกรรมล้วนแต่อยู่ในสายตานาง เช่นนี้การจัดการไท่เฟยได้คนหนึ่งก็เท่ากับนางไม่ต่างกับนายหญิงของที่นี่ และยิ่งไปกว่านั้นนางยังมีอำนาจมากกว่าพระชายาอย่างท่านพี่เสียอีก นี่เป็นเหตุผลที่ท่านพี่ไม่อาจอยู่ที่นี่ได้”“เป็นเช่นนี้เอง ดั
เฟยเย่พลิกตัวและจับเขาและเอามือของท่านอ๋องไพล่หลังเอาไว้ได้ เขาสลัดนางหลุดได้ในทันทีพร้อมกับดึงตัวนางเข้ามา แต่เฟยเย่ยังไม่ยอมแพ้ นางใช้ขาเตะไปที่หลังของเขาหมายจะใช้ศีรษะกระแทกเขา ท่านอ๋องจับได้และกดนางลงที่เตียง“อยู่เฉย ๆ เจ้าคิดว่าวิธีนี้จะจัดการข้าได้งั้นหรือ”“ออกไปนะเจ้าคนชั้นต่ำ เจ้าเป็นคนของใครนึกไม่ถึงว่าจะกล้าใช้วิธีชั้นต่ำเช่นนี้จัดการกับข้า”เขาไม่เข้าใจที่นางพูดเลยสักนิด นี่นางกำลังหมายถึงสิ่งใด ที่นี่มีผู้ใดที่คิดจะทำร้ายนางกันแน่ ระหว่างที่เขาไม่อยู่เกิดสิ่งใดขึ้น เหตุใดสตรีที่ดูอ่อนแอและไม่สู้คนในวันนั้นถึงได้เปลี่ยนราวกับคนละคนเช่นนี้“หลังจากนี้ค่อยคุยเถอะ อยู่นิ่ง ๆ”เขาไม่อยากเสียเวลา ยิ่งนางดิ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งปลุกสัญชาตญาณดิบของเขาออกมามากเท่านั้น เขาเริ่มล้วงลงไปด้านล่างแม้นางจะดิ้นแต่ก็น้อยลงกว่าเดิม“ออกไปนะเจ้าคนชั่ว ข้าไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ซ้ำสอง”“ซ้ำสองงั้นหรือ”เขาไม่ทันถามจบศีรษะของนางก็กระแทกมาที่หน้าผากเขาเต็มแรงจนเขามึนงง นางจับเขาได้ในที่สุดเพราะเขาประมาท หลินเฟยเย่คว้าสายม่านที่เตียงมารัดเขาเอาไว้และสกัดจุดไม่ให้เขาขยับตัวพร้อมกับดึงชุดมาสวม
เฟยเย่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความระแวง นางรู้สึกว่านอนหลับไปได้เพียงไม่นอนเมื่อหันไปมองข้าง ๆ กลับพบแค่ความว่างเปล่า ท่านอ๋องออกไปแล้วซึ่งไม่รู้ว่าเขาไปที่ใดแน่ แต่เขาคงออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง“ไปไหนกันนะ”หอบรรพชนสกุลเว่ยอ๋องเว่ยจื่อหานเดินเข้ามาที่หอบรรพชนหลังจากที่ตื่นนอนมา เขาไม่ค่อยคุ้นชินกับการที่มีผู้อื่นนอนร่วมเตียง แต่เมื่อตื่นขึ้นมาพบพระชายาของเขานอนซบอยู่ที่หน้าอกของเขาและขาของนางก็พาดกอดเขาราวกับเขาเป็นหมอนข้างของนางกลับทำให้หัวใจเขาอบอุ่นขึ้นได้อย่างน่าประหลาด “นางเป็นคนแปลกหน้าสำหรับข้าแท้ ๆ เหตุใดจึง….ช่างเถอะ”เขาค่อย ๆ ขยับตัวลงจากเตียงด้วยเสียงที่เบาที่สุดเกรงว่านางจะตื่น หากว่านางตื่นขึ้นมาพบเขากลัวว่านางจะทำอะไรไม่ถูก และเขาก็ยังไม่อยากถูกทำร้ายร่างกายเพิ่มหากว่านางตื่นมาแล้วจำไม่ได้ว่าเขาคือผู้ใด รอยยิ้มนึกขำผุดขึ้นมาบนใบหน้าพร้อมกับขาที่ก้าวเข้ามาในหอบรรพชนสกุลเว่ย เมื่อเข้ามาถึงกลับแปลกตาไม่น้อยที่สถานที่ที่เกือบถูกลืมนี้สะอาดกว่าที่คิดเอาไว้มากนัก“สะอาดถึงเพียงนี้เชียวงั้นหรือ”“ทูลท่านอ๋อง แม่นมลี่บอกว่าช่วงเวลาที่พระชายาอยู่ที่นี่พระนางเป็นคนสั่งสาวใช้ให้มาท
“เอาละ พระชายาเราไปกันเถอะ อันถงเจ้ารีบกลับไปแจ้งไท่เฟยว่าข้ากับพระชายาจะไปเข้าเฝ้า”อันถงลุกขึ้นด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ นางไม่เคยถูกท่านอ๋องต่อว่าตรง ๆ เช่นนี้มาก่อนเลย พระชายาหลินใช้มารยาเพียงนิดหน่อยก็แย่งความโปรดปรานไป นางไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้น“เพคะท่านอ๋อง”อันถงและสาวใช้เดินกลับไปแล้ว เฟยเย่ยืดตัวขึ้นลงเพื่อดูว่านางไปแล้วแน่ ๆ ท่านอ๋องหันมามองท่าทีของนาง เมื่อเห็นว่าอันถงไปพ้นสายตาแล้วนางจึงรีบปล่อยมือจากแขนของเขาทันที“เฮ้อ ไปได้เสียที”“นี่เจ้าคิดจะทำสิ่งใดพระชายาหลิน”“เอ่อ…เปล่านะเพคะเมื่อครู่นี้หม่อมฉันรู้สึกเจ็บที่แผลจริง ๆ แล้วก็..”“พอแล้ว เดินตามข้ามาดี ๆ ในเมื่อเจ้าเล่นละครไปแล้วว่าเดินไม่ไหว เช่นนั้นเจ้าก็เล่นให้จบ!!”“แต่ว่า…ท่านอ๋องเพคะ!!”“เรียกข้าว่าเสด็จพี่สิ เจ้าลืมบทบาทของตัวเองไปแล้วงั้นหรือ”“เมื่อครู่นี้เพียงแค่…”“มือ แขน เกาะที่เดิม หรือจะให้ข้าอุ้มเจ้าไป”“กอดแล้ว ๆ แบบนี้พอพระทัยหรือยัง ไปสิ เดินไปสิเพคะ”“กอดแน่น ๆ เจ้าไม่กลัวว่าผู้อื่นจะจับได้หรืออย่างไรว่าเจ้าแสร้งทำ”เฟยเย่กระชับแขนของนางกอดพลางซบไปที่แขนของเขาจนแนบสนิทเมื่อเขาพานางเดินออกมาจากหอบรร
เมืองฉางอันเสียงประทัดมงคลดังขึ้นหน้าจวนคหบดีหลิน ต่อเนื่องยาวทั้งตรอกลั่วจินเนื่องจากงานมงคลใหญ่ บุตรีของคหบดีหลินเต๋อ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระชายาท่านอ๋อง “เว่ยจื่อหาน” อ๋องผู้ปกครองแคว้นเฉินโจว“เจ้าสาวเรียบร้อยหรือยัง มาเร็ว ๆ เกี้ยวมารอรับอยู่หน้าจวนแล้ว”“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ”“คุณหนู”“อาจิงฝากดูแลเฟยเย่ด้วย”“คุณหนูเจ้าคะ”“ข้าไปนะ”คำนั้นน่าจะเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่ "หลินเฟยลี่" บุตรสาวคนโตของคหบดีเลื่องชื่อบอกกับสาวใช้ที่ดูแลพวกนางและเติบโตมาพร้อมกัน แคว้นเฉินโจวที่ปกครองโดยเว่ยอ๋องผู้เป็นบุตรของท่านอ๋องเว่ยเสวี่ยที่สิ้นไปเมื่อสี่ปีก่อน แม้ว่าจะปกครองด้วยคุณธรรม แต่บ้านเมืองในยามนี้มีศึกสงครามรอบด้านหลายแคว้นทำศึกต่อเนื่อง ทั้งทรัพยากรและเงินทองต่างก็เริ่มหมดจากท้องพระคลัง ราชสำนักไม่มีเงินมากพอที่จะแจกจ่ายไปตามแคว้นต่าง ๆดังนั้นท่านอ๋อง“เว่ยจื่อหาน” จึงตัดสินใจรับข้อเสนอของคหบดีผู้มั่งคั่งที่สุดในเฉินโจว โดยการอภิเษกและแต่งตั้งบุตรสาวของหลินเต๋อเป็นพระชายา“ส่งตัวเจ้าสาว”ตำหนักท่านอ๋อง“นางก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาแล้วงั้นหรือ”“ทูลไท่เฟย เกี้ยวออกมาจากจวนคหบดีหลินแล้วเพ
“ท่านหมอ!!”“ขะ…ขอรับ”“เอ่อ ข้าขอยืมเข็มเงินท่านหน่อยสิ”“เอ่อ..คุณหนู ท่าน จะเอาเข็มเงินไปทำอะไรหรือขอรับ”“รีดพิษ”""หา""ท่านหมอกับสาวใช้ที่เหลือถึงกับงงกับพฤติกรรมของคุณหนูรองที่เปลี่ยนไป แต่เขาก็ยอมยื่นเข็มเงินไปให้นางตามคำสั่ง เฟยเย่รับเข็มเงินจากท่านหมอและจับข้อมือตัวเองเอาไว้และทำสิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด นางจิ้มเข็มเงินไปที่เส้นเลือดที่ปูดขึ้นเพราะแรงบีบจนมีเลือดสีดำพวยพุ่งออกมา“คุณหนู นั่นท่านทำอะไรเจ้าคะ”“เงียบหน่อย หยุดโวยวายแล้วหาผ้ามาให้ข้าเร็วเข้า”“หน็อย คิดฆ่าคนด้วยวิธีนี้เหรอ กระจอกชะมัดพิษล้างตับนี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก มันมียาแก้นานแล้ว”“เอ่อ คุณหนู นี่ท่าน….”“ข้ารู้ได้อย่างไรนะหรือท่านหมอ เอาไว้ข้าจัดการพิษนี่เสร็จแล้วจะเหลา เอ๊ย เล่าให้ท่านฟัง”“ฮ้อ ๆ เอ่อ ขอรับ”ท่านหมอนั่งมองดูเฟยเย่ที่ใช้เข็มจิ้มตามเส้นเลือดเพื่อขับเลือดพิษสีดำออกตามจุดชีพจรทั้งสี่ออกมาด้วยนึกเลื่อมใสเพราะเขาไม่เคยทราบมาก่อนว่าวิธีนี้สามารถขับพิษออกมาจากร่างกายได้ แต่สำหรับหลินเฟยเย่ที่มีจ้าวเฟยเฟย “แพทย์ทหาร” ที่ประจำอยู่สนามรบกลับคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี วิวัฒนาการแพทย์แผนปัจจุบันจากยุคที
“เอาละ พระชายาเราไปกันเถอะ อันถงเจ้ารีบกลับไปแจ้งไท่เฟยว่าข้ากับพระชายาจะไปเข้าเฝ้า”อันถงลุกขึ้นด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ นางไม่เคยถูกท่านอ๋องต่อว่าตรง ๆ เช่นนี้มาก่อนเลย พระชายาหลินใช้มารยาเพียงนิดหน่อยก็แย่งความโปรดปรานไป นางไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้น“เพคะท่านอ๋อง”อันถงและสาวใช้เดินกลับไปแล้ว เฟยเย่ยืดตัวขึ้นลงเพื่อดูว่านางไปแล้วแน่ ๆ ท่านอ๋องหันมามองท่าทีของนาง เมื่อเห็นว่าอันถงไปพ้นสายตาแล้วนางจึงรีบปล่อยมือจากแขนของเขาทันที“เฮ้อ ไปได้เสียที”“นี่เจ้าคิดจะทำสิ่งใดพระชายาหลิน”“เอ่อ…เปล่านะเพคะเมื่อครู่นี้หม่อมฉันรู้สึกเจ็บที่แผลจริง ๆ แล้วก็..”“พอแล้ว เดินตามข้ามาดี ๆ ในเมื่อเจ้าเล่นละครไปแล้วว่าเดินไม่ไหว เช่นนั้นเจ้าก็เล่นให้จบ!!”“แต่ว่า…ท่านอ๋องเพคะ!!”“เรียกข้าว่าเสด็จพี่สิ เจ้าลืมบทบาทของตัวเองไปแล้วงั้นหรือ”“เมื่อครู่นี้เพียงแค่…”“มือ แขน เกาะที่เดิม หรือจะให้ข้าอุ้มเจ้าไป”“กอดแล้ว ๆ แบบนี้พอพระทัยหรือยัง ไปสิ เดินไปสิเพคะ”“กอดแน่น ๆ เจ้าไม่กลัวว่าผู้อื่นจะจับได้หรืออย่างไรว่าเจ้าแสร้งทำ”เฟยเย่กระชับแขนของนางกอดพลางซบไปที่แขนของเขาจนแนบสนิทเมื่อเขาพานางเดินออกมาจากหอบรร
เฟยเย่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความระแวง นางรู้สึกว่านอนหลับไปได้เพียงไม่นอนเมื่อหันไปมองข้าง ๆ กลับพบแค่ความว่างเปล่า ท่านอ๋องออกไปแล้วซึ่งไม่รู้ว่าเขาไปที่ใดแน่ แต่เขาคงออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง“ไปไหนกันนะ”หอบรรพชนสกุลเว่ยอ๋องเว่ยจื่อหานเดินเข้ามาที่หอบรรพชนหลังจากที่ตื่นนอนมา เขาไม่ค่อยคุ้นชินกับการที่มีผู้อื่นนอนร่วมเตียง แต่เมื่อตื่นขึ้นมาพบพระชายาของเขานอนซบอยู่ที่หน้าอกของเขาและขาของนางก็พาดกอดเขาราวกับเขาเป็นหมอนข้างของนางกลับทำให้หัวใจเขาอบอุ่นขึ้นได้อย่างน่าประหลาด “นางเป็นคนแปลกหน้าสำหรับข้าแท้ ๆ เหตุใดจึง….ช่างเถอะ”เขาค่อย ๆ ขยับตัวลงจากเตียงด้วยเสียงที่เบาที่สุดเกรงว่านางจะตื่น หากว่านางตื่นขึ้นมาพบเขากลัวว่านางจะทำอะไรไม่ถูก และเขาก็ยังไม่อยากถูกทำร้ายร่างกายเพิ่มหากว่านางตื่นมาแล้วจำไม่ได้ว่าเขาคือผู้ใด รอยยิ้มนึกขำผุดขึ้นมาบนใบหน้าพร้อมกับขาที่ก้าวเข้ามาในหอบรรพชนสกุลเว่ย เมื่อเข้ามาถึงกลับแปลกตาไม่น้อยที่สถานที่ที่เกือบถูกลืมนี้สะอาดกว่าที่คิดเอาไว้มากนัก“สะอาดถึงเพียงนี้เชียวงั้นหรือ”“ทูลท่านอ๋อง แม่นมลี่บอกว่าช่วงเวลาที่พระชายาอยู่ที่นี่พระนางเป็นคนสั่งสาวใช้ให้มาท
เฟยเย่พลิกตัวและจับเขาและเอามือของท่านอ๋องไพล่หลังเอาไว้ได้ เขาสลัดนางหลุดได้ในทันทีพร้อมกับดึงตัวนางเข้ามา แต่เฟยเย่ยังไม่ยอมแพ้ นางใช้ขาเตะไปที่หลังของเขาหมายจะใช้ศีรษะกระแทกเขา ท่านอ๋องจับได้และกดนางลงที่เตียง“อยู่เฉย ๆ เจ้าคิดว่าวิธีนี้จะจัดการข้าได้งั้นหรือ”“ออกไปนะเจ้าคนชั้นต่ำ เจ้าเป็นคนของใครนึกไม่ถึงว่าจะกล้าใช้วิธีชั้นต่ำเช่นนี้จัดการกับข้า”เขาไม่เข้าใจที่นางพูดเลยสักนิด นี่นางกำลังหมายถึงสิ่งใด ที่นี่มีผู้ใดที่คิดจะทำร้ายนางกันแน่ ระหว่างที่เขาไม่อยู่เกิดสิ่งใดขึ้น เหตุใดสตรีที่ดูอ่อนแอและไม่สู้คนในวันนั้นถึงได้เปลี่ยนราวกับคนละคนเช่นนี้“หลังจากนี้ค่อยคุยเถอะ อยู่นิ่ง ๆ”เขาไม่อยากเสียเวลา ยิ่งนางดิ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งปลุกสัญชาตญาณดิบของเขาออกมามากเท่านั้น เขาเริ่มล้วงลงไปด้านล่างแม้นางจะดิ้นแต่ก็น้อยลงกว่าเดิม“ออกไปนะเจ้าคนชั่ว ข้าไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ซ้ำสอง”“ซ้ำสองงั้นหรือ”เขาไม่ทันถามจบศีรษะของนางก็กระแทกมาที่หน้าผากเขาเต็มแรงจนเขามึนงง นางจับเขาได้ในที่สุดเพราะเขาประมาท หลินเฟยเย่คว้าสายม่านที่เตียงมารัดเขาเอาไว้และสกัดจุดไม่ให้เขาขยับตัวพร้อมกับดึงชุดมาสวม
หนึ่งวันก่อนท่านอ๋องกลับ“พระชายาเพคะ ทุกอย่างจัดเตรียมเรียบร้อยแล้วเพคะ”“อืม ดีแล้ว ห้องของข้าเล่า”“คือว่า หากว่าพระองค์ย้ายในตอนนี้จะไม่เท่ากับว่า…เอ่อ…”“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นก็รอท่านอ๋องกลับมาก่อนก็แล้วกัน เจ้าจัดเตรียมห้องสำรองเอาไว้ อย่างไรข้าก็ไม่มีทางอยู่ร่วมห้องกับเขาได้หรอก”“เพคะ”“เจ้าบอกว่าทุกคนต่างล้วนรอคอยให้ท่านอ๋องผู้นี้กลับมา”“พระชายาเพคะ หม่อมฉันได้ข่าวว่าแม่นางอันถงแม้ว่าจะเป็นสาวใช้ข้างกายไท่เฟยแต่ที่จริงแล้วนางเองก็เติบโตมาพร้อมกับท่านอ๋องและยัง…”“ข้าเข้าใจแล้ว นางชื่นชอบท่านอ๋องสินะ”“เพคะ พระชายาทรงปราดเปรื่อง”“ดูไม่ยากสักนิด ท่าทางของนางที่ปฏิบัติต่อไท่เฟย แม้ว่าจะดูภักดีแต่ลับหลังนางกลับสร้างบารมีกับสาวใช้ในตำหนัก นั่นก็เท่ากับหาพวกให้ตนเอง” “แม้ว่าต่อหน้าจะเอาใจไท่เฟยแต่ลับหลังนางเองก็ถือมีดเช่นกันอีกทั้งนิสัยของไท่เฟยความชอบและพฤติกรรมล้วนแต่อยู่ในสายตานาง เช่นนี้การจัดการไท่เฟยได้คนหนึ่งก็เท่ากับนางไม่ต่างกับนายหญิงของที่นี่ และยิ่งไปกว่านั้นนางยังมีอำนาจมากกว่าพระชายาอย่างท่านพี่เสียอีก นี่เป็นเหตุผลที่ท่านพี่ไม่อาจอยู่ที่นี่ได้”“เป็นเช่นนี้เอง ดั
“พระ…พระชายากล่าวได้ถูกต้อง หม่อมฉัน จะจดจำไว้เพคะ”หลินเฟยเย่ยิ้มนิดหน่อยก่อนจะหันมามองที่หยงไท่เฟยที่นั่งนิ่งราวรูปปั้นแกะสลัก อีกทั้งสาวใช้คนสนิทที่ยอมลุกมาปรนนิบัติอย่างไม่บกพร่องอย่างอันถงด้วย“หม่อมฉันให้คนไปทำความสะอาดตัดหญ้ารอบ ๆ หอบรรพชนและให้ทำความสะอาดสระบัวทั้งหมดเพื่อปรับภูมิทัศน์โดยรอบ หวังว่าไท่เฟยจะไม่ทรงขัดข้อง”“ข้าจะไปขัดข้องอย่างไรได้เล่า เจ้าอยากทำสิ่งใดก็ทำไปเถอะ”“ยังมีธุระที่ต้องสะสางอีกมาก หม่อมฉันขอทูลลา”“นี่เจ้าคิดจะทำสิ่งใดอีก”หลินเฟยเย่หันมามองใบหน้าไท่เฟยที่เริ่มหวั่นวิตกอย่างปกปิดไม่มิด นางยิ้มออกมาเล็กน้อยและถามกลับไป“หน้าที่พระชายาท่านอ๋อง มีมากมายนะเพคะ ตำหนักนี้กว้างขวางแต่สาวใช้บ่าวไพร่ที่ดูแลโดย….(มองไปที่อันถง) คนของไท่เฟยดูเหมือนว่าจะทำหน้าที่ได้ไม่ดีนักบกพร่อง สะเพร่าอยู่หลายอย่างอีกทั้งบางคนยังเกียจคร้านไม่เอาการเอางานวัน ๆ คอยตามแต่พวกไร้ประโยชน์เพื่อทำสิ่งไร้ประโยชน์ คิดว่าน่าจะได้เวลาเก็บกวาดแล้ว ขอตัวเพคะ”พระชายาปรายตามามองซ่งฟางหรูที่พึ่งพยุงตัวเองขึ้นมาจากพื้นได้และนั่งที่เก้าอี้ แต่เมื่อนางหันมามองอีกครั้ง ซ่งฟางหรูจึงต้องพยายามลุกข
เรือนพักอันถง“นังหลินเฟยอัน แค้นนี้ข้าต้องเอาคืนเป็นสิบเท่า”“พี่อันถง ไท่เฟยให้คนนำยานี่มาให้ท่านเจ้าค่ะ”“หึ ขนาดข้าถูกสั่งโบย นางยังแกล้งเป็นลมเพื่อหนีเหตุการณ์ ช่างเป็นผู้ที่มีความกรุณาเสียจริง”“พี่อันถง แต่ว่าไท่เฟย”“ข้ารู้ เจ้า..รีบ ๆ ทาให้ข้า นัง…พระชายา….นาง พักอยู่ที่ใด…”“พระชายาสั่งให้คนจัดห้องในตำหนักกลาง…”“เจ้าว่า…อย่างไรนะ ตำหนักกลาง…นั่นเป็น ตำหนักท่านอ๋อง นางกล้าดีเช่นไร…”“นะ..นางเอ่อ พระนางสั่งให้คนไปจัดห้องและสั่งทำความสะอาดตำหนักเจ้าค่ะ”“รอข้าหายเสียก่อนเถอะ หลินเฟยลี่ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าอยู่ตำหนัก..นั้นกับ…ท่านอ๋องของข้า…แน่”คำสั่งขายสาวใช้สองคนออกจากตำหนักทำให้ชื่อเสียงความโหดร้ายของพระชายาหลินเป็นที่เลื่องลือในตำหนัก แม้แต่สาวใช้ที่เป็นลูกน้องของอันถงเองก็เริ่มเกรงกลัวและไม่กล้าที่จะแสดงกิริยาไม่เคารพต่อพระชายาเพราะแม้แต่อันถง สาวใช้ที่เหมือนกับคนสนิทที่โตมากับท่านอ๋องและอยู่กับไท่เฟยตั้งแต่เด็กก็ยังถูกพระชายาหลินสั่งโบยโดยที่ไท่เฟยโกรธจนเป็นลมแต่กลับช่วยนางไม่ได้ วันถัดมา“พระชายา ตื่นจากบรรทมแล้วหรือเพคะ”“เจ้าไปถามมาแล้วใช่หรือไม่”“เพคะ หอบรรพชนของสกุลเ
“หลินเฟยลี่ เจ้าอย่าได้บังอาจ...”“คนที่บังอาจน่าจะเป็นคนที่ไท่เฟยคอยปกป้องจนละเลยกฎระเบียบเหล่านี้มากกว่านะเพคะ ดูสิ แค่บีบน้ำตาจระเข้ไม่กี่หยดก็เรียกคะแนนสงสารจากพระองค์ได้ น่าสมเพชเสียจริง หากว่าจะอยู่กันด้วยกฎหมู่เช่นนี้ เห็นทีเรื่องนี้เมื่อท่านอ๋องเสด็จกลับมา หม่อมฉันคงต้องกราบทูล…”“เจ้า…เจ้ากล้าหรือ??”เฟยเย่รู้จุดอ่อนของนางแล้ว เช่นนี้นี่เอง นางเองก็คงเกรงกลัวอำนาจท่านอ๋องอยู่ไม่น้อย แม้ว่าเรือนหลัง สาวใช้และบ่าวไพร่จะเป็นคนของนางเกือบทั้งหมดแต่ทหารองครักษ์รอบ ๆ ตำหนักเป็นคนของท่านอ๋อง ที่ฟังเพียงคำสั่งของท่านอ๋องและพระชายาเท่านั้น นางเข้าใจแล้วว่าจะเดินเกมไปในรูปแบบใด“(ถงอิน นังดอกบัวขาว เจ้านี่น่าสนใจดีนะ)”“เจ้าคิดจะทำอะไร มีอะไรก็เข้าไปคุยกันข้างใน”“ได้เพคะ แต่ว่า…หลังจากที่ข้าสั่งลงโทษพวกนางก่อน”“พระชายาเพคะ พวกนางเป็นสาวใช้ในตำหนักขอทรงโปรดปรานี…”ถงอินเดินออกมาและคุกเข่าอีกครั้งเพื่อเรียกร้องความเห็นใจให้พระชายายอมปล่อยสาวใช้ โดยปกตินางก็มักจะใช้วิธีนี้ซื้อใจสาวใช้ระดับล่างให้เป็นพวกของนาง เฟยเย่หันมามองหน้านาง“อ้อ ข้าเกือบลืมเจ้าไปเสียสนิท เจ้าเองก็เช่นกัน เจ้ามีห
จวนไท่เฟย“ว่าอย่างไรนะ นางจะกลับไปที่ตำหนักงั้นหรือ แล้วโรคที่นางเป็นเล่า”“เห็นว่าท่านหมอหลวงที่ส่งไปตรวจสอบแล้ว พระชายาหายเป็นปกติแล้วเพคะ”“เช่นนั้นก็ดี แล้วเรื่องที่ส่งจดหมายให้นางไป นางตอบกลับมาหรือยัง”“ยังเลยเพคะ”“หึ ช่างเถอะ ข้าไปรอเอาคำตอบที่ตำหนักอ๋องก็ได้ ท่านอ๋องจะกลับมาเมื่อใดนะ”“ยังไม่มีข่าวเลยเพคะ”“นั่นยิ่งดีใหญ่ ข้าจะได้หาข้ออ้างจัดการนังโง่นั่นได้ หัวอ่อนเช่นนั้นคงอีกไม่นานหรอก ทรัพย์สินเหล่านั้นนางไม่อยากให้ก็ต้องให้”“ไท่เฟยปราดเปรื่องยิ่งนักเพคะ”“อันถง เจ้านี่รู้ใจข้าเสียจริง”“มิได้เพคะ ขอเพียงได้อยู่รับใช้ไท่เฟยและท่านอ๋อง…อันถงก็พร้อมถวายชีวิตให้ทั้งสองพระองค์”“ดี งั้นพวกเราก็คงได้เวลากลับไปรอต้อนรับพระชายากันแล้วละ สั่งให้คนเตรียมตัวกลับตำหนักได้แล้ว”“เพคะไท่เฟย”สามวันถัดมา “ลี่….ลี่เอ๋อร์ เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มากนะเข้าใจหรือไม่”“ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องห่วงข้าจะระวังตัวเจ้าค่ะ ครบกำหนดร้อยวันพี่…น้องรองเมื่อใดข้าจะกลับมาทันทีเจ้าค่ะ”“ไปเถอะ” เฟยเย่สูดหายใจเข้าเต็มปอดพร้อมกับหันมายิ้มให้บิดาของนางก่อนจะเดินขึ้นรถม้าเพื่อกลับไปยังตำหนักท่านอ๋อ
นางมองเท้าที่ห้อยอยู่ด้านบนศีรษะและค่อย ๆ ลุกขึ้นมา ร่างนางสั่นตั้งแต่หัวจรดเท้าและไม่อยากคิดว่าภาพตรงหน้านั้นจะเป็นเรื่องจริง “ต้องไม่ใช่ ไม่ใช่นางแน่ นางเอาตุ๊กตามาหลอกข้า นาง….”หลินเฟยเย่ก้าวขาถอยออกมาและค่อย ๆ ส่งโคมขึ้นไปมองร่างนั้นชัด ๆ ผ้าแพรสีขาว ใบหน้าซีดเผือดหลับตาไม่สนิทและ….“ไม่นะ!!! กรี๊ดดด!!!!!!………..พี่ใหญ่!!!”เสียงของนางดังพอจะทำให้คนในจวนแตกตื่นและรีบวิ่งตามหาเสียง พวกบ่าวไพร่และสาวใช้รีบวิ่งมาที่หน้าห้องคุณหนูใหญ่ในทันที หลินเฟยเย่ที่ยังช็อกอยู่กับเหตุการณ์ตรงหน้าพยายามไขว่คว้าบางอย่างที่นางมองไม่เห็น“ไม่นะ ไม่ใช่แบบนี้ ท่านจะตายได้อย่างไร ไม่นะพี่ใหญ่ ม่ายยยย!!!!!……”“คุณหนูรอง!! รีบพานางออกมาเร็วเข้า รีบไปแจ้งนายท่าน คุณหนูใหญ่!! ฮือออ…..”ผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบ กี่คนไม่รู้ที่เดินเข้ามาเพื่อตรวจอาการของหลินเฟยเย่ คหบดีหลินนั้นร่ำไห้จนเป็นลมไปแล้วเมื่อเห็นร่างไร้วิญญาณของบุตรสาวคนโตที่แขวนห้อยอยู่ในห้องทหารองครักษ์ในจวนพาร่างของหลินเฟยลี่ลงมา หลินเฟยเย่เองในตอนนี้แทบไม่ได้สติ“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู ท่านหมอกวน นายท่านกับคุณหนูรอง…เป็นเช่นไรบ้าง”“เฮ้อ…”ท่านหมอกว