จวนไท่เฟย
“ว่าอย่างไรนะ นางจะกลับไปที่ตำหนักงั้นหรือ แล้วโรคที่นางเป็นเล่า”
“เห็นว่าท่านหมอหลวงที่ส่งไปตรวจสอบแล้ว พระชายาหายเป็นปกติแล้วเพคะ”
“เช่นนั้นก็ดี แล้วเรื่องที่ส่งจดหมายให้นางไป นางตอบกลับมาหรือยัง”
“ยังเลยเพคะ”
“หึ ช่างเถอะ ข้าไปรอเอาคำตอบที่ตำหนักอ๋องก็ได้ ท่านอ๋องจะกลับมาเมื่อใดนะ”
“ยังไม่มีข่าวเลยเพคะ”
“นั่นยิ่งดีใหญ่ ข้าจะได้หาข้ออ้างจัดการนังโง่นั่นได้ หัวอ่อนเช่นนั้นคงอีกไม่นานหรอก ทรัพย์สินเหล่านั้นนางไม่อยากให้ก็ต้องให้”
“ไท่เฟยปราดเปรื่องยิ่งนักเพคะ”
“อันถง เจ้านี่รู้ใจข้าเสียจริง”
“มิได้เพคะ ขอเพียงได้อยู่รับใช้ไท่เฟยและท่านอ๋อง…อันถงก็พร้อมถวายชีวิตให้ทั้งสองพระองค์”
“ดี งั้นพวกเราก็คงได้เวลากลับไปรอต้อนรับพระชายากันแล้วละ สั่งให้คนเตรียมตัวกลับตำหนักได้แล้ว”
“เพคะไท่เฟย”
สามวันถัดมา
“ลี่….ลี่เอ๋อร์ เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มากนะเข้าใจหรือไม่”
“ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องห่วงข้าจะระวังตัวเจ้าค่ะ ครบกำหนดร้อยวันพี่…น้องรองเมื่อใดข้าจะกลับมาทันทีเจ้าค่ะ”
“ไปเถอะ”
เฟยเย่สูดหายใจเข้าเต็มปอดพร้อมกับหันมายิ้มให้บิดาของนางก่อนจะเดินขึ้นรถม้าเพื่อกลับไปยังตำหนักท่านอ๋อง
ตำหนักท่านอ๋อง
“พระชายา ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบคุณพวกเจ้ามาก อาจิงเราเข้าไปกันเถอะ”
“เพคะ”
หลินเฟยเย่เดินลงรถม้าเพื่อเข้าไปในตำหนัก ดูเหมือนข่าวที่ว่าหยงไท่เฟยกลับมาถึงตำหนักก่อนหน้านางนั้นเป็นเรื่องจริง เพราะในตำหนักมีการจัดเตรียมความพร้อมและทำความสะอาดอย่างดี
“ดูเหมือนว่าข้าคงต้องแวะทักทายนางก่อนสินะ”
“คุณหนู…เอ่อ พระชายาเพคะ”
“ไม่ต้องกลัวหรอก เรามาที่นี่เพราะอะไรเจ้าลืมแล้วงั้นหรือ”
“เพคะ”
เฟยเย่หันไปมองบ่าวไพร่และสาวใช้ในตำหนักที่ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจพระชายาที่พึ่งเดินเข้ามา พวกเขาทำราวกับว่านางเป็นเพียงสาวใช้ที่เดินเข้าออกในตำหนักเป็นประจำ ซึ่งเรื่องนี้นางได้อ่านจากบันทึกของเฟยลี่มาก่อนแล้ว
“นี่สินะ ฐานะพระชายาที่พวกนางหวังให้ข้าเป็น”
“พระชายาเพคะ ดูเหมือนว่าพวกเขา....”
“เจ้าดูให้ดีนะอาจิง นี่เจ้าสองคนน่ะ มานี่”
สาวใช้ทั้งสองคนที่ถูกเรียกไว้ชักสีหน้าไม่พอใจในทันทีที่ถูกเรียกแต่ก็ยอมเดินมาหาพระชายาที่พึ่งกลับเข้ามา พวกนางถวายความเคารพอย่างลวก ๆ
“ถวายบังคมพระชายา”
“เดี๋ยวก่อน จะไปไหน”
“พวกข้ามีงานต้องทำอีกมาก หากว่าท่านไม่มีอะไรจะสั่ง…”
“เพี๊ยะ!! เพี๊ยะ!!”
“กรี๊ด…พระ…พระชายา เหตุใดท่าน”
“สามหาว เจ้ากล้าพูดคำสามัญกับข้าเชียวงั้นหรือ ทหาร!!”
ทหารองครักษ์ด้านหน้าประตูเป็นคนของท่านอ๋อง พวกเขาทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เมื่อพวกเขาวิ่งมาและถวายคำนับพระชายาตามศักดิ์อันสมควร
“พระชายา มีเรื่องใดสั่งการพ่ะย่ะค่ะ”
“บ่าวไพร่ในตำหนักที่ไม่เชื่อฟัง พวกเรามีวิธีการสั่งสอนเช่นไร”
“โทษสถานเบาคือเฆี่ยนด้วยแส้ โบย โทษหนักคือนำออกไปขายพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี เช่นนั้นจับพวกนางไปโบยคนละสิบไม้”
“ท่านสั่งโบยพวกข้าเพราะเหตุใดกัน นี่ท่าน…”
“เพี๊ยะ!!”
“ปากเจ้าเรียกข้าว่าพระชายา แต่วาจาเจ้าช่างสามหาวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ดูท่าแล้วตำหนักอ๋องแห่งนี้คงต้องจัดระเบียบสาวใช้กันใหม่ทั้งหมดสินะ”
“พระชายา พระองค์มีสิทธิ์อันใดที่…”
"ข้ามีสิทธิ์เต็มที่ในฐานะพระชายาท่านอ๋อง เป็นเจ้าของตำหนักแห่งนี้ครึ่งหนึ่งเหตุใดแค่บ่าวเพียงสองคนจะจัดการไม่ได้ หรือพวกเจ้าว่าอย่างไร พวกท่านเป็นทหารองครักษ์ที่ท่านอ๋องทรงวางพระทัย ท่านคิดว่าที่ข้ากล่าวไปนั้น ถูกหรือไม่”
ทหารองครักษ์รีบตอบไปในทันทีเมื่อพระชายาเอ่ยคำถามเหล่านี้ขึ้นมา
“กราบทูลพระชายา พระองค์มีสิทธิ์สั่งสอนบ่าวไพร่สาวใช้ในตำหนัก หน้าที่นี่เป็นของพระชายาท่านอ๋องมิผิดพ่ะย่ะค่ะ”
“พวกเจ้าได้ยินชัดหรือยัง เช่นนั้นก็โบยพวกนางตรงนี้ ตอนนี้เลย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“พระชายา โปรดอภัยหม่อมฉันด้วย บ่าวเพียงพลั้งปาก..”
“พลั้งปากงั้นหรือ อ้อ เช่นนั้นเองสินะ”
“เพคะ เพคะ ครั้งหน้าจะไม่ทำอีกแล้วเพคะ”
“อ้อ เช่นนั้นเองแค่พลั้งปาก เฮ้อ ถ้าเช่นนั้นก็ช่างเถอะ”
อาจิงแปลกใจจนหันไปมองหน้าพระชายา สาวใช้ทั้งสองต่างถอนหายใจอย่างโล่งอกและหันไปยิ้มเยาะเย้ยเพราะคิดว่านางทำได้แค่ข่มขู่เท่านั้นแต่ว่า…
“เช่นนั้นครั้งนี้ก็ถือว่าข้าพลั้งปากเช่นกัน ที่สั่งลงโทษโบยพวกเจ้า ทหาร โบยพวกนางเดี๋ยวนี้!!”
สาวใช้ทั้งสองรีบคุกเข่าด้วยความกลัว เหตุใดจู่ ๆเมื่อพระชายาที่หัวอ่อนกลับมาในครั้งนี้เมื่อมาถึงกลับเปลี่ยนท่าทีเป็นดุดันเช่นนี้ แล้วยังสั่งทหารจับพวกนางโบยด้วย
“โอ๊ย พระชายาเพคะ โปรดปรานีด้วย หม่อมฉันผิดไปแล้ว ขอทรงอภัย โอ๊ย!!”
เสียงสาวใช้ทั้งสองถูกโบยเริ่มดังขึ้น บ่าวไพร่และสาวใช้คนอื่น ๆ ต่างลอบมองดูและคาดไม่ถึงว่าจะเป็นพระชายาผู้หัวอ่อนและไม่กล้าสู้คนผู้นั้นจะเป็นผู้ที่สั่งโบยสาวใช้ทั้งสอง
เสียงนั้นดังจนหยงไท่เฟยเดินออกมาพร้อมกับคนที่ประคองนางออกมา นางเป็นสตรีที่มีใบหน้าหมดจดดูน่าเอ็นดูอยู่ไม่น้อย
“นั่นพวกเจ้าทำสิ่งใดกัน!!”
“ไท่เฟยเพคะ โปรดช่วยหม่อมฉันด้วย”
“ข้าสั่งให้พวกเจ้าหยุดโบยงั้นหรือ โบยต่อสิ”
“เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!! กล้าดีเช่นไรสั่งโบยสาวใช้ในตำหนัก”
หลินเฟยเย่หันไปมองผู้ที่ตะคอกเสียงดังอยู่ด้านหลัง นางมองสตรีสูงอายุในชุดสีเข้มพร้อมกับผู้ติดตามข้างกายที่เป็นสตรี พวกนางคือหยงไท่เฟยและอันถงไม่ผิดแน่นอน
หยงไท่เฟยหันไปมองใบหน้าที่แข็งกร้าวและสายตาดุดันที่เปลี่ยนไปของพระชายาหลินที่มองนางอย่างไม่ได้นึกเกรงกลัวเฉกเช่นก่อนที่นางจะป่วย
“ข้าถามว่าเจ้า…ใช้สิทธิ์อันใดสั่งโบยบ่าวไพร่!!”
“ถวายบังคมหยงไท่เฟย”
“ข้าถามว่าเจ้า…"
“พระองค์ถามได้ถูกต้องเพคะ หม่อมฉันสั่งโบยสาวใช้เพราะพวกนางมิได้ทำความเคารพ หม่อมฉันเป็นถึงพระชายาเว่ยอ๋อง ปกครองตำหนักนี้ร่วมกับท่านอ๋อง สิทธิ์และอำนาจแม้จะไม่ได้มากเท่ากับไท่เฟยแต่ข้าก็เป็นพระชายาท่านอ๋อง หากบ่าวไพร่ในตำหนักแม้แต่ทำความเคารพนายยังทำไม่เป็น ก็ดูน่าสงสัยว่าก่อนหน้านี้คงขาดการอบรม ศีลธรรมต่ำทราม ไร้กฎระเบียบไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ผู้ใดไม่ทราบคงคิดว่าตำหนักอ๋องไม่มีผู้ที่มีความรู้คอยดูแลอบรมบ่าวไพร่”
“หลิน…เฟยลี่!! เจ้า…เจ้าหาว่าข้าละเลยบ่าวไพร่ไม่สั่งสอนงั้นหรือ”
“เปล่าเพคะ ไท่เฟยเข้าพระทัยผิดแล้วเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่ช่วยสั่งสอนบ่าวไพร่ชั้นต่ำที่ไม่รู้จักแม้แต่เคารพเจ้านายในตำหนักเท่านั้น”
“หรือไท่เฟยหมายจะให้บ่าวไพร่พวกนี้ทำเรื่องน่าอับอายจนคนเอาไปพูดได้ว่าไท่เฟยเลอะเลือนแม้แต่บ่าวไพร่สาวใช้ก็ไม่มีปัญญาสั่งสอน แก่แล้วแก่เลยไร้ความรู้ความสามารถ อยู่เฝ้าตำหนักดั่งหุ่นไม้กระบอกกลวง ๆ กันเล่าเพคะ”
“เจ้า!! เจ้า…นัง…”
“เพคะ หม่อมฉันอยู่นี่เพคะ เอาเป็นว่าหน้าที่สั่งสอนพวกนางหม่อมฉันจะดูแลต่อเอง ไม่ลำบากไท่เฟยเพคะ”
“พระชายา หม่อมฉันขออนุญาตบังอาจ....”
“หากรู้ว่าบังอาจก็จงหุบปากเน่า ๆ ของเจ้าไปถงอิน เจ้าเองก็มิได้ต่างกันเลย เป็นสาวใช้ข้างกายไท่เฟย แต่กลับละเลยหน้าที่ปล่อยให้สาวใช้เหล่านี้ทำตัวไร้กฎระเบียบ หรือว่าเจ้าตั้งใจให้ไท่เฟยเลอะเลือนเช่นนี้กันแน่!!”
“บ่าวมิกล้า พระชายาอย่าได้กล่าวหาหม่อมฉันเช่นนี้ หม่อมฉันเพียงแค่…”
ถงอินเริ่มสะอื้น ไท่เฟยหันไปและดึงตัวนางขึ้นมาพร้อมกับดึงนางไปอยู่ด้านหลัง เฟยเย่เข้าใจแล้ว นางใช้ไม้นี้เองสินะ หยงไท่เฟยถึงได้รักนางนัก
“เจ้าคิดว่ายอมคุกเข่าแล้วบีบน้ำตานิดหน่อยก็จะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปงั้นหรือถงอิน”
“หลินเฟยลี่ เจ้าอย่าได้บังอาจ...”“คนที่บังอาจน่าจะเป็นคนที่ไท่เฟยคอยปกป้องจนละเลยกฎระเบียบเหล่านี้มากกว่านะเพคะ ดูสิ แค่บีบน้ำตาจระเข้ไม่กี่หยดก็เรียกคะแนนสงสารจากพระองค์ได้ น่าสมเพชเสียจริง หากว่าจะอยู่กันด้วยกฎหมู่เช่นนี้ เห็นทีเรื่องนี้เมื่อท่านอ๋องเสด็จกลับมา หม่อมฉันคงต้องกราบทูล…”“เจ้า…เจ้ากล้าหรือ??”เฟยเย่รู้จุดอ่อนของนางแล้ว เช่นนี้นี่เอง นางเองก็คงเกรงกลัวอำนาจท่านอ๋องอยู่ไม่น้อย แม้ว่าเรือนหลัง สาวใช้และบ่าวไพร่จะเป็นคนของนางเกือบทั้งหมดแต่ทหารองครักษ์รอบ ๆ ตำหนักเป็นคนของท่านอ๋อง ที่ฟังเพียงคำสั่งของท่านอ๋องและพระชายาเท่านั้น นางเข้าใจแล้วว่าจะเดินเกมไปในรูปแบบใด“(ถงอิน นังดอกบัวขาว เจ้านี่น่าสนใจดีนะ)”“เจ้าคิดจะทำอะไร มีอะไรก็เข้าไปคุยกันข้างใน”“ได้เพคะ แต่ว่า…หลังจากที่ข้าสั่งลงโทษพวกนางก่อน”“พระชายาเพคะ พวกนางเป็นสาวใช้ในตำหนักขอทรงโปรดปรานี…”ถงอินเดินออกมาและคุกเข่าอีกครั้งเพื่อเรียกร้องความเห็นใจให้พระชายายอมปล่อยสาวใช้ โดยปกตินางก็มักจะใช้วิธีนี้ซื้อใจสาวใช้ระดับล่างให้เป็นพวกของนาง เฟยเย่หันมามองหน้านาง“อ้อ ข้าเกือบลืมเจ้าไปเสียสนิท เจ้าเองก็เช่นกัน เจ้ามีห
เรือนพักอันถง“นังหลินเฟยอัน แค้นนี้ข้าต้องเอาคืนเป็นสิบเท่า”“พี่อันถง ไท่เฟยให้คนนำยานี่มาให้ท่านเจ้าค่ะ”“หึ ขนาดข้าถูกสั่งโบย นางยังแกล้งเป็นลมเพื่อหนีเหตุการณ์ ช่างเป็นผู้ที่มีความกรุณาเสียจริง”“พี่อันถง แต่ว่าไท่เฟย”“ข้ารู้ เจ้า..รีบ ๆ ทาให้ข้า นัง…พระชายา….นาง พักอยู่ที่ใด…”“พระชายาสั่งให้คนจัดห้องในตำหนักกลาง…”“เจ้าว่า…อย่างไรนะ ตำหนักกลาง…นั่นเป็น ตำหนักท่านอ๋อง นางกล้าดีเช่นไร…”“นะ..นางเอ่อ พระนางสั่งให้คนไปจัดห้องและสั่งทำความสะอาดตำหนักเจ้าค่ะ”“รอข้าหายเสียก่อนเถอะ หลินเฟยลี่ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าอยู่ตำหนัก..นั้นกับ…ท่านอ๋องของข้า…แน่”คำสั่งขายสาวใช้สองคนออกจากตำหนักทำให้ชื่อเสียงความโหดร้ายของพระชายาหลินเป็นที่เลื่องลือในตำหนัก แม้แต่สาวใช้ที่เป็นลูกน้องของอันถงเองก็เริ่มเกรงกลัวและไม่กล้าที่จะแสดงกิริยาไม่เคารพต่อพระชายาเพราะแม้แต่อันถง สาวใช้ที่เหมือนกับคนสนิทที่โตมากับท่านอ๋องและอยู่กับไท่เฟยตั้งแต่เด็กก็ยังถูกพระชายาหลินสั่งโบยโดยที่ไท่เฟยโกรธจนเป็นลมแต่กลับช่วยนางไม่ได้ วันถัดมา“พระชายา ตื่นจากบรรทมแล้วหรือเพคะ”“เจ้าไปถามมาแล้วใช่หรือไม่”“เพคะ หอบรรพชนของสกุลเ
“พระ…พระชายากล่าวได้ถูกต้อง หม่อมฉัน จะจดจำไว้เพคะ”หลินเฟยเย่ยิ้มนิดหน่อยก่อนจะหันมามองที่หยงไท่เฟยที่นั่งนิ่งราวรูปปั้นแกะสลัก อีกทั้งสาวใช้คนสนิทที่ยอมลุกมาปรนนิบัติอย่างไม่บกพร่องอย่างอันถงด้วย“หม่อมฉันให้คนไปทำความสะอาดตัดหญ้ารอบ ๆ หอบรรพชนและให้ทำความสะอาดสระบัวทั้งหมดเพื่อปรับภูมิทัศน์โดยรอบ หวังว่าไท่เฟยจะไม่ทรงขัดข้อง”“ข้าจะไปขัดข้องอย่างไรได้เล่า เจ้าอยากทำสิ่งใดก็ทำไปเถอะ”“ยังมีธุระที่ต้องสะสางอีกมาก หม่อมฉันขอทูลลา”“นี่เจ้าคิดจะทำสิ่งใดอีก”หลินเฟยเย่หันมามองใบหน้าไท่เฟยที่เริ่มหวั่นวิตกอย่างปกปิดไม่มิด นางยิ้มออกมาเล็กน้อยและถามกลับไป“หน้าที่พระชายาท่านอ๋อง มีมากมายนะเพคะ ตำหนักนี้กว้างขวางแต่สาวใช้บ่าวไพร่ที่ดูแลโดย….(มองไปที่อันถง) คนของไท่เฟยดูเหมือนว่าจะทำหน้าที่ได้ไม่ดีนักบกพร่อง สะเพร่าอยู่หลายอย่างอีกทั้งบางคนยังเกียจคร้านไม่เอาการเอางานวัน ๆ คอยตามแต่พวกไร้ประโยชน์เพื่อทำสิ่งไร้ประโยชน์ คิดว่าน่าจะได้เวลาเก็บกวาดแล้ว ขอตัวเพคะ”พระชายาปรายตามามองซ่งฟางหรูที่พึ่งพยุงตัวเองขึ้นมาจากพื้นได้และนั่งที่เก้าอี้ แต่เมื่อนางหันมามองอีกครั้ง ซ่งฟางหรูจึงต้องพยายามลุกข
หนึ่งวันก่อนท่านอ๋องกลับ“พระชายาเพคะ ทุกอย่างจัดเตรียมเรียบร้อยแล้วเพคะ”“อืม ดีแล้ว ห้องของข้าเล่า”“คือว่า หากว่าพระองค์ย้ายในตอนนี้จะไม่เท่ากับว่า…เอ่อ…”“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นก็รอท่านอ๋องกลับมาก่อนก็แล้วกัน เจ้าจัดเตรียมห้องสำรองเอาไว้ อย่างไรข้าก็ไม่มีทางอยู่ร่วมห้องกับเขาได้หรอก”“เพคะ”“เจ้าบอกว่าทุกคนต่างล้วนรอคอยให้ท่านอ๋องผู้นี้กลับมา”“พระชายาเพคะ หม่อมฉันได้ข่าวว่าแม่นางอันถงแม้ว่าจะเป็นสาวใช้ข้างกายไท่เฟยแต่ที่จริงแล้วนางเองก็เติบโตมาพร้อมกับท่านอ๋องและยัง…”“ข้าเข้าใจแล้ว นางชื่นชอบท่านอ๋องสินะ”“เพคะ พระชายาทรงปราดเปรื่อง”“ดูไม่ยากสักนิด ท่าทางของนางที่ปฏิบัติต่อไท่เฟย แม้ว่าจะดูภักดีแต่ลับหลังนางกลับสร้างบารมีกับสาวใช้ในตำหนัก นั่นก็เท่ากับหาพวกให้ตนเอง” “แม้ว่าต่อหน้าจะเอาใจไท่เฟยแต่ลับหลังนางเองก็ถือมีดเช่นกันอีกทั้งนิสัยของไท่เฟยความชอบและพฤติกรรมล้วนแต่อยู่ในสายตานาง เช่นนี้การจัดการไท่เฟยได้คนหนึ่งก็เท่ากับนางไม่ต่างกับนายหญิงของที่นี่ และยิ่งไปกว่านั้นนางยังมีอำนาจมากกว่าพระชายาอย่างท่านพี่เสียอีก นี่เป็นเหตุผลที่ท่านพี่ไม่อาจอยู่ที่นี่ได้”“เป็นเช่นนี้เอง ดั
เฟยเย่พลิกตัวและจับเขาและเอามือของท่านอ๋องไพล่หลังเอาไว้ได้ เขาสลัดนางหลุดได้ในทันทีพร้อมกับดึงตัวนางเข้ามา แต่เฟยเย่ยังไม่ยอมแพ้ นางใช้ขาเตะไปที่หลังของเขาหมายจะใช้ศีรษะกระแทกเขา ท่านอ๋องจับได้และกดนางลงที่เตียง“อยู่เฉย ๆ เจ้าคิดว่าวิธีนี้จะจัดการข้าได้งั้นหรือ”“ออกไปนะเจ้าคนชั้นต่ำ เจ้าเป็นคนของใครนึกไม่ถึงว่าจะกล้าใช้วิธีชั้นต่ำเช่นนี้จัดการกับข้า”เขาไม่เข้าใจที่นางพูดเลยสักนิด นี่นางกำลังหมายถึงสิ่งใด ที่นี่มีผู้ใดที่คิดจะทำร้ายนางกันแน่ ระหว่างที่เขาไม่อยู่เกิดสิ่งใดขึ้น เหตุใดสตรีที่ดูอ่อนแอและไม่สู้คนในวันนั้นถึงได้เปลี่ยนราวกับคนละคนเช่นนี้“หลังจากนี้ค่อยคุยเถอะ อยู่นิ่ง ๆ”เขาไม่อยากเสียเวลา ยิ่งนางดิ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งปลุกสัญชาตญาณดิบของเขาออกมามากเท่านั้น เขาเริ่มล้วงลงไปด้านล่างแม้นางจะดิ้นแต่ก็น้อยลงกว่าเดิม“ออกไปนะเจ้าคนชั่ว ข้าไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ซ้ำสอง”“ซ้ำสองงั้นหรือ”เขาไม่ทันถามจบศีรษะของนางก็กระแทกมาที่หน้าผากเขาเต็มแรงจนเขามึนงง นางจับเขาได้ในที่สุดเพราะเขาประมาท หลินเฟยเย่คว้าสายม่านที่เตียงมารัดเขาเอาไว้และสกัดจุดไม่ให้เขาขยับตัวพร้อมกับดึงชุดมาสวม
เฟยเย่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความระแวง นางรู้สึกว่านอนหลับไปได้เพียงไม่นอนเมื่อหันไปมองข้าง ๆ กลับพบแค่ความว่างเปล่า ท่านอ๋องออกไปแล้วซึ่งไม่รู้ว่าเขาไปที่ใดแน่ แต่เขาคงออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง“ไปไหนกันนะ”หอบรรพชนสกุลเว่ยอ๋องเว่ยจื่อหานเดินเข้ามาที่หอบรรพชนหลังจากที่ตื่นนอนมา เขาไม่ค่อยคุ้นชินกับการที่มีผู้อื่นนอนร่วมเตียง แต่เมื่อตื่นขึ้นมาพบพระชายาของเขานอนซบอยู่ที่หน้าอกของเขาและขาของนางก็พาดกอดเขาราวกับเขาเป็นหมอนข้างของนางกลับทำให้หัวใจเขาอบอุ่นขึ้นได้อย่างน่าประหลาด “นางเป็นคนแปลกหน้าสำหรับข้าแท้ ๆ เหตุใดจึง….ช่างเถอะ”เขาค่อย ๆ ขยับตัวลงจากเตียงด้วยเสียงที่เบาที่สุดเกรงว่านางจะตื่น หากว่านางตื่นขึ้นมาพบเขากลัวว่านางจะทำอะไรไม่ถูก และเขาก็ยังไม่อยากถูกทำร้ายร่างกายเพิ่มหากว่านางตื่นมาแล้วจำไม่ได้ว่าเขาคือผู้ใด รอยยิ้มนึกขำผุดขึ้นมาบนใบหน้าพร้อมกับขาที่ก้าวเข้ามาในหอบรรพชนสกุลเว่ย เมื่อเข้ามาถึงกลับแปลกตาไม่น้อยที่สถานที่ที่เกือบถูกลืมนี้สะอาดกว่าที่คิดเอาไว้มากนัก“สะอาดถึงเพียงนี้เชียวงั้นหรือ”“ทูลท่านอ๋อง แม่นมลี่บอกว่าช่วงเวลาที่พระชายาอยู่ที่นี่พระนางเป็นคนสั่งสาวใช้ให้มาท
“เอาละ พระชายาเราไปกันเถอะ อันถงเจ้ารีบกลับไปแจ้งไท่เฟยว่าข้ากับพระชายาจะไปเข้าเฝ้า”อันถงลุกขึ้นด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ นางไม่เคยถูกท่านอ๋องต่อว่าตรง ๆ เช่นนี้มาก่อนเลย พระชายาหลินใช้มารยาเพียงนิดหน่อยก็แย่งความโปรดปรานไป นางไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้น“เพคะท่านอ๋อง”อันถงและสาวใช้เดินกลับไปแล้ว เฟยเย่ยืดตัวขึ้นลงเพื่อดูว่านางไปแล้วแน่ ๆ ท่านอ๋องหันมามองท่าทีของนาง เมื่อเห็นว่าอันถงไปพ้นสายตาแล้วนางจึงรีบปล่อยมือจากแขนของเขาทันที“เฮ้อ ไปได้เสียที”“นี่เจ้าคิดจะทำสิ่งใดพระชายาหลิน”“เอ่อ…เปล่านะเพคะเมื่อครู่นี้หม่อมฉันรู้สึกเจ็บที่แผลจริง ๆ แล้วก็..”“พอแล้ว เดินตามข้ามาดี ๆ ในเมื่อเจ้าเล่นละครไปแล้วว่าเดินไม่ไหว เช่นนั้นเจ้าก็เล่นให้จบ!!”“แต่ว่า…ท่านอ๋องเพคะ!!”“เรียกข้าว่าเสด็จพี่สิ เจ้าลืมบทบาทของตัวเองไปแล้วงั้นหรือ”“เมื่อครู่นี้เพียงแค่…”“มือ แขน เกาะที่เดิม หรือจะให้ข้าอุ้มเจ้าไป”“กอดแล้ว ๆ แบบนี้พอพระทัยหรือยัง ไปสิ เดินไปสิเพคะ”“กอดแน่น ๆ เจ้าไม่กลัวว่าผู้อื่นจะจับได้หรืออย่างไรว่าเจ้าแสร้งทำ”เฟยเย่กระชับแขนของนางกอดพลางซบไปที่แขนของเขาจนแนบสนิทเมื่อเขาพานางเดินออกมาจากหอบรร
เมืองฉางอันเสียงประทัดมงคลดังขึ้นหน้าจวนคหบดีหลิน ต่อเนื่องยาวทั้งตรอกลั่วจินเนื่องจากงานมงคลใหญ่ บุตรีของคหบดีหลินเต๋อ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระชายาท่านอ๋อง “เว่ยจื่อหาน” อ๋องผู้ปกครองแคว้นเฉินโจว“เจ้าสาวเรียบร้อยหรือยัง มาเร็ว ๆ เกี้ยวมารอรับอยู่หน้าจวนแล้ว”“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ”“คุณหนู”“อาจิงฝากดูแลเฟยเย่ด้วย”“คุณหนูเจ้าคะ”“ข้าไปนะ”คำนั้นน่าจะเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่ "หลินเฟยลี่" บุตรสาวคนโตของคหบดีเลื่องชื่อบอกกับสาวใช้ที่ดูแลพวกนางและเติบโตมาพร้อมกัน แคว้นเฉินโจวที่ปกครองโดยเว่ยอ๋องผู้เป็นบุตรของท่านอ๋องเว่ยเสวี่ยที่สิ้นไปเมื่อสี่ปีก่อน แม้ว่าจะปกครองด้วยคุณธรรม แต่บ้านเมืองในยามนี้มีศึกสงครามรอบด้านหลายแคว้นทำศึกต่อเนื่อง ทั้งทรัพยากรและเงินทองต่างก็เริ่มหมดจากท้องพระคลัง ราชสำนักไม่มีเงินมากพอที่จะแจกจ่ายไปตามแคว้นต่าง ๆดังนั้นท่านอ๋อง“เว่ยจื่อหาน” จึงตัดสินใจรับข้อเสนอของคหบดีผู้มั่งคั่งที่สุดในเฉินโจว โดยการอภิเษกและแต่งตั้งบุตรสาวของหลินเต๋อเป็นพระชายา“ส่งตัวเจ้าสาว”ตำหนักท่านอ๋อง“นางก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาแล้วงั้นหรือ”“ทูลไท่เฟย เกี้ยวออกมาจากจวนคหบดีหลินแล้วเพ
“เอาละ พระชายาเราไปกันเถอะ อันถงเจ้ารีบกลับไปแจ้งไท่เฟยว่าข้ากับพระชายาจะไปเข้าเฝ้า”อันถงลุกขึ้นด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ นางไม่เคยถูกท่านอ๋องต่อว่าตรง ๆ เช่นนี้มาก่อนเลย พระชายาหลินใช้มารยาเพียงนิดหน่อยก็แย่งความโปรดปรานไป นางไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้น“เพคะท่านอ๋อง”อันถงและสาวใช้เดินกลับไปแล้ว เฟยเย่ยืดตัวขึ้นลงเพื่อดูว่านางไปแล้วแน่ ๆ ท่านอ๋องหันมามองท่าทีของนาง เมื่อเห็นว่าอันถงไปพ้นสายตาแล้วนางจึงรีบปล่อยมือจากแขนของเขาทันที“เฮ้อ ไปได้เสียที”“นี่เจ้าคิดจะทำสิ่งใดพระชายาหลิน”“เอ่อ…เปล่านะเพคะเมื่อครู่นี้หม่อมฉันรู้สึกเจ็บที่แผลจริง ๆ แล้วก็..”“พอแล้ว เดินตามข้ามาดี ๆ ในเมื่อเจ้าเล่นละครไปแล้วว่าเดินไม่ไหว เช่นนั้นเจ้าก็เล่นให้จบ!!”“แต่ว่า…ท่านอ๋องเพคะ!!”“เรียกข้าว่าเสด็จพี่สิ เจ้าลืมบทบาทของตัวเองไปแล้วงั้นหรือ”“เมื่อครู่นี้เพียงแค่…”“มือ แขน เกาะที่เดิม หรือจะให้ข้าอุ้มเจ้าไป”“กอดแล้ว ๆ แบบนี้พอพระทัยหรือยัง ไปสิ เดินไปสิเพคะ”“กอดแน่น ๆ เจ้าไม่กลัวว่าผู้อื่นจะจับได้หรืออย่างไรว่าเจ้าแสร้งทำ”เฟยเย่กระชับแขนของนางกอดพลางซบไปที่แขนของเขาจนแนบสนิทเมื่อเขาพานางเดินออกมาจากหอบรร
เฟยเย่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความระแวง นางรู้สึกว่านอนหลับไปได้เพียงไม่นอนเมื่อหันไปมองข้าง ๆ กลับพบแค่ความว่างเปล่า ท่านอ๋องออกไปแล้วซึ่งไม่รู้ว่าเขาไปที่ใดแน่ แต่เขาคงออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง“ไปไหนกันนะ”หอบรรพชนสกุลเว่ยอ๋องเว่ยจื่อหานเดินเข้ามาที่หอบรรพชนหลังจากที่ตื่นนอนมา เขาไม่ค่อยคุ้นชินกับการที่มีผู้อื่นนอนร่วมเตียง แต่เมื่อตื่นขึ้นมาพบพระชายาของเขานอนซบอยู่ที่หน้าอกของเขาและขาของนางก็พาดกอดเขาราวกับเขาเป็นหมอนข้างของนางกลับทำให้หัวใจเขาอบอุ่นขึ้นได้อย่างน่าประหลาด “นางเป็นคนแปลกหน้าสำหรับข้าแท้ ๆ เหตุใดจึง….ช่างเถอะ”เขาค่อย ๆ ขยับตัวลงจากเตียงด้วยเสียงที่เบาที่สุดเกรงว่านางจะตื่น หากว่านางตื่นขึ้นมาพบเขากลัวว่านางจะทำอะไรไม่ถูก และเขาก็ยังไม่อยากถูกทำร้ายร่างกายเพิ่มหากว่านางตื่นมาแล้วจำไม่ได้ว่าเขาคือผู้ใด รอยยิ้มนึกขำผุดขึ้นมาบนใบหน้าพร้อมกับขาที่ก้าวเข้ามาในหอบรรพชนสกุลเว่ย เมื่อเข้ามาถึงกลับแปลกตาไม่น้อยที่สถานที่ที่เกือบถูกลืมนี้สะอาดกว่าที่คิดเอาไว้มากนัก“สะอาดถึงเพียงนี้เชียวงั้นหรือ”“ทูลท่านอ๋อง แม่นมลี่บอกว่าช่วงเวลาที่พระชายาอยู่ที่นี่พระนางเป็นคนสั่งสาวใช้ให้มาท
เฟยเย่พลิกตัวและจับเขาและเอามือของท่านอ๋องไพล่หลังเอาไว้ได้ เขาสลัดนางหลุดได้ในทันทีพร้อมกับดึงตัวนางเข้ามา แต่เฟยเย่ยังไม่ยอมแพ้ นางใช้ขาเตะไปที่หลังของเขาหมายจะใช้ศีรษะกระแทกเขา ท่านอ๋องจับได้และกดนางลงที่เตียง“อยู่เฉย ๆ เจ้าคิดว่าวิธีนี้จะจัดการข้าได้งั้นหรือ”“ออกไปนะเจ้าคนชั้นต่ำ เจ้าเป็นคนของใครนึกไม่ถึงว่าจะกล้าใช้วิธีชั้นต่ำเช่นนี้จัดการกับข้า”เขาไม่เข้าใจที่นางพูดเลยสักนิด นี่นางกำลังหมายถึงสิ่งใด ที่นี่มีผู้ใดที่คิดจะทำร้ายนางกันแน่ ระหว่างที่เขาไม่อยู่เกิดสิ่งใดขึ้น เหตุใดสตรีที่ดูอ่อนแอและไม่สู้คนในวันนั้นถึงได้เปลี่ยนราวกับคนละคนเช่นนี้“หลังจากนี้ค่อยคุยเถอะ อยู่นิ่ง ๆ”เขาไม่อยากเสียเวลา ยิ่งนางดิ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งปลุกสัญชาตญาณดิบของเขาออกมามากเท่านั้น เขาเริ่มล้วงลงไปด้านล่างแม้นางจะดิ้นแต่ก็น้อยลงกว่าเดิม“ออกไปนะเจ้าคนชั่ว ข้าไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ซ้ำสอง”“ซ้ำสองงั้นหรือ”เขาไม่ทันถามจบศีรษะของนางก็กระแทกมาที่หน้าผากเขาเต็มแรงจนเขามึนงง นางจับเขาได้ในที่สุดเพราะเขาประมาท หลินเฟยเย่คว้าสายม่านที่เตียงมารัดเขาเอาไว้และสกัดจุดไม่ให้เขาขยับตัวพร้อมกับดึงชุดมาสวม
หนึ่งวันก่อนท่านอ๋องกลับ“พระชายาเพคะ ทุกอย่างจัดเตรียมเรียบร้อยแล้วเพคะ”“อืม ดีแล้ว ห้องของข้าเล่า”“คือว่า หากว่าพระองค์ย้ายในตอนนี้จะไม่เท่ากับว่า…เอ่อ…”“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นก็รอท่านอ๋องกลับมาก่อนก็แล้วกัน เจ้าจัดเตรียมห้องสำรองเอาไว้ อย่างไรข้าก็ไม่มีทางอยู่ร่วมห้องกับเขาได้หรอก”“เพคะ”“เจ้าบอกว่าทุกคนต่างล้วนรอคอยให้ท่านอ๋องผู้นี้กลับมา”“พระชายาเพคะ หม่อมฉันได้ข่าวว่าแม่นางอันถงแม้ว่าจะเป็นสาวใช้ข้างกายไท่เฟยแต่ที่จริงแล้วนางเองก็เติบโตมาพร้อมกับท่านอ๋องและยัง…”“ข้าเข้าใจแล้ว นางชื่นชอบท่านอ๋องสินะ”“เพคะ พระชายาทรงปราดเปรื่อง”“ดูไม่ยากสักนิด ท่าทางของนางที่ปฏิบัติต่อไท่เฟย แม้ว่าจะดูภักดีแต่ลับหลังนางกลับสร้างบารมีกับสาวใช้ในตำหนัก นั่นก็เท่ากับหาพวกให้ตนเอง” “แม้ว่าต่อหน้าจะเอาใจไท่เฟยแต่ลับหลังนางเองก็ถือมีดเช่นกันอีกทั้งนิสัยของไท่เฟยความชอบและพฤติกรรมล้วนแต่อยู่ในสายตานาง เช่นนี้การจัดการไท่เฟยได้คนหนึ่งก็เท่ากับนางไม่ต่างกับนายหญิงของที่นี่ และยิ่งไปกว่านั้นนางยังมีอำนาจมากกว่าพระชายาอย่างท่านพี่เสียอีก นี่เป็นเหตุผลที่ท่านพี่ไม่อาจอยู่ที่นี่ได้”“เป็นเช่นนี้เอง ดั
“พระ…พระชายากล่าวได้ถูกต้อง หม่อมฉัน จะจดจำไว้เพคะ”หลินเฟยเย่ยิ้มนิดหน่อยก่อนจะหันมามองที่หยงไท่เฟยที่นั่งนิ่งราวรูปปั้นแกะสลัก อีกทั้งสาวใช้คนสนิทที่ยอมลุกมาปรนนิบัติอย่างไม่บกพร่องอย่างอันถงด้วย“หม่อมฉันให้คนไปทำความสะอาดตัดหญ้ารอบ ๆ หอบรรพชนและให้ทำความสะอาดสระบัวทั้งหมดเพื่อปรับภูมิทัศน์โดยรอบ หวังว่าไท่เฟยจะไม่ทรงขัดข้อง”“ข้าจะไปขัดข้องอย่างไรได้เล่า เจ้าอยากทำสิ่งใดก็ทำไปเถอะ”“ยังมีธุระที่ต้องสะสางอีกมาก หม่อมฉันขอทูลลา”“นี่เจ้าคิดจะทำสิ่งใดอีก”หลินเฟยเย่หันมามองใบหน้าไท่เฟยที่เริ่มหวั่นวิตกอย่างปกปิดไม่มิด นางยิ้มออกมาเล็กน้อยและถามกลับไป“หน้าที่พระชายาท่านอ๋อง มีมากมายนะเพคะ ตำหนักนี้กว้างขวางแต่สาวใช้บ่าวไพร่ที่ดูแลโดย….(มองไปที่อันถง) คนของไท่เฟยดูเหมือนว่าจะทำหน้าที่ได้ไม่ดีนักบกพร่อง สะเพร่าอยู่หลายอย่างอีกทั้งบางคนยังเกียจคร้านไม่เอาการเอางานวัน ๆ คอยตามแต่พวกไร้ประโยชน์เพื่อทำสิ่งไร้ประโยชน์ คิดว่าน่าจะได้เวลาเก็บกวาดแล้ว ขอตัวเพคะ”พระชายาปรายตามามองซ่งฟางหรูที่พึ่งพยุงตัวเองขึ้นมาจากพื้นได้และนั่งที่เก้าอี้ แต่เมื่อนางหันมามองอีกครั้ง ซ่งฟางหรูจึงต้องพยายามลุกข
เรือนพักอันถง“นังหลินเฟยอัน แค้นนี้ข้าต้องเอาคืนเป็นสิบเท่า”“พี่อันถง ไท่เฟยให้คนนำยานี่มาให้ท่านเจ้าค่ะ”“หึ ขนาดข้าถูกสั่งโบย นางยังแกล้งเป็นลมเพื่อหนีเหตุการณ์ ช่างเป็นผู้ที่มีความกรุณาเสียจริง”“พี่อันถง แต่ว่าไท่เฟย”“ข้ารู้ เจ้า..รีบ ๆ ทาให้ข้า นัง…พระชายา….นาง พักอยู่ที่ใด…”“พระชายาสั่งให้คนจัดห้องในตำหนักกลาง…”“เจ้าว่า…อย่างไรนะ ตำหนักกลาง…นั่นเป็น ตำหนักท่านอ๋อง นางกล้าดีเช่นไร…”“นะ..นางเอ่อ พระนางสั่งให้คนไปจัดห้องและสั่งทำความสะอาดตำหนักเจ้าค่ะ”“รอข้าหายเสียก่อนเถอะ หลินเฟยลี่ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าอยู่ตำหนัก..นั้นกับ…ท่านอ๋องของข้า…แน่”คำสั่งขายสาวใช้สองคนออกจากตำหนักทำให้ชื่อเสียงความโหดร้ายของพระชายาหลินเป็นที่เลื่องลือในตำหนัก แม้แต่สาวใช้ที่เป็นลูกน้องของอันถงเองก็เริ่มเกรงกลัวและไม่กล้าที่จะแสดงกิริยาไม่เคารพต่อพระชายาเพราะแม้แต่อันถง สาวใช้ที่เหมือนกับคนสนิทที่โตมากับท่านอ๋องและอยู่กับไท่เฟยตั้งแต่เด็กก็ยังถูกพระชายาหลินสั่งโบยโดยที่ไท่เฟยโกรธจนเป็นลมแต่กลับช่วยนางไม่ได้ วันถัดมา“พระชายา ตื่นจากบรรทมแล้วหรือเพคะ”“เจ้าไปถามมาแล้วใช่หรือไม่”“เพคะ หอบรรพชนของสกุลเ
“หลินเฟยลี่ เจ้าอย่าได้บังอาจ...”“คนที่บังอาจน่าจะเป็นคนที่ไท่เฟยคอยปกป้องจนละเลยกฎระเบียบเหล่านี้มากกว่านะเพคะ ดูสิ แค่บีบน้ำตาจระเข้ไม่กี่หยดก็เรียกคะแนนสงสารจากพระองค์ได้ น่าสมเพชเสียจริง หากว่าจะอยู่กันด้วยกฎหมู่เช่นนี้ เห็นทีเรื่องนี้เมื่อท่านอ๋องเสด็จกลับมา หม่อมฉันคงต้องกราบทูล…”“เจ้า…เจ้ากล้าหรือ??”เฟยเย่รู้จุดอ่อนของนางแล้ว เช่นนี้นี่เอง นางเองก็คงเกรงกลัวอำนาจท่านอ๋องอยู่ไม่น้อย แม้ว่าเรือนหลัง สาวใช้และบ่าวไพร่จะเป็นคนของนางเกือบทั้งหมดแต่ทหารองครักษ์รอบ ๆ ตำหนักเป็นคนของท่านอ๋อง ที่ฟังเพียงคำสั่งของท่านอ๋องและพระชายาเท่านั้น นางเข้าใจแล้วว่าจะเดินเกมไปในรูปแบบใด“(ถงอิน นังดอกบัวขาว เจ้านี่น่าสนใจดีนะ)”“เจ้าคิดจะทำอะไร มีอะไรก็เข้าไปคุยกันข้างใน”“ได้เพคะ แต่ว่า…หลังจากที่ข้าสั่งลงโทษพวกนางก่อน”“พระชายาเพคะ พวกนางเป็นสาวใช้ในตำหนักขอทรงโปรดปรานี…”ถงอินเดินออกมาและคุกเข่าอีกครั้งเพื่อเรียกร้องความเห็นใจให้พระชายายอมปล่อยสาวใช้ โดยปกตินางก็มักจะใช้วิธีนี้ซื้อใจสาวใช้ระดับล่างให้เป็นพวกของนาง เฟยเย่หันมามองหน้านาง“อ้อ ข้าเกือบลืมเจ้าไปเสียสนิท เจ้าเองก็เช่นกัน เจ้ามีห
จวนไท่เฟย“ว่าอย่างไรนะ นางจะกลับไปที่ตำหนักงั้นหรือ แล้วโรคที่นางเป็นเล่า”“เห็นว่าท่านหมอหลวงที่ส่งไปตรวจสอบแล้ว พระชายาหายเป็นปกติแล้วเพคะ”“เช่นนั้นก็ดี แล้วเรื่องที่ส่งจดหมายให้นางไป นางตอบกลับมาหรือยัง”“ยังเลยเพคะ”“หึ ช่างเถอะ ข้าไปรอเอาคำตอบที่ตำหนักอ๋องก็ได้ ท่านอ๋องจะกลับมาเมื่อใดนะ”“ยังไม่มีข่าวเลยเพคะ”“นั่นยิ่งดีใหญ่ ข้าจะได้หาข้ออ้างจัดการนังโง่นั่นได้ หัวอ่อนเช่นนั้นคงอีกไม่นานหรอก ทรัพย์สินเหล่านั้นนางไม่อยากให้ก็ต้องให้”“ไท่เฟยปราดเปรื่องยิ่งนักเพคะ”“อันถง เจ้านี่รู้ใจข้าเสียจริง”“มิได้เพคะ ขอเพียงได้อยู่รับใช้ไท่เฟยและท่านอ๋อง…อันถงก็พร้อมถวายชีวิตให้ทั้งสองพระองค์”“ดี งั้นพวกเราก็คงได้เวลากลับไปรอต้อนรับพระชายากันแล้วละ สั่งให้คนเตรียมตัวกลับตำหนักได้แล้ว”“เพคะไท่เฟย”สามวันถัดมา “ลี่….ลี่เอ๋อร์ เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มากนะเข้าใจหรือไม่”“ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องห่วงข้าจะระวังตัวเจ้าค่ะ ครบกำหนดร้อยวันพี่…น้องรองเมื่อใดข้าจะกลับมาทันทีเจ้าค่ะ”“ไปเถอะ” เฟยเย่สูดหายใจเข้าเต็มปอดพร้อมกับหันมายิ้มให้บิดาของนางก่อนจะเดินขึ้นรถม้าเพื่อกลับไปยังตำหนักท่านอ๋อ
นางมองเท้าที่ห้อยอยู่ด้านบนศีรษะและค่อย ๆ ลุกขึ้นมา ร่างนางสั่นตั้งแต่หัวจรดเท้าและไม่อยากคิดว่าภาพตรงหน้านั้นจะเป็นเรื่องจริง “ต้องไม่ใช่ ไม่ใช่นางแน่ นางเอาตุ๊กตามาหลอกข้า นาง….”หลินเฟยเย่ก้าวขาถอยออกมาและค่อย ๆ ส่งโคมขึ้นไปมองร่างนั้นชัด ๆ ผ้าแพรสีขาว ใบหน้าซีดเผือดหลับตาไม่สนิทและ….“ไม่นะ!!! กรี๊ดดด!!!!!!………..พี่ใหญ่!!!”เสียงของนางดังพอจะทำให้คนในจวนแตกตื่นและรีบวิ่งตามหาเสียง พวกบ่าวไพร่และสาวใช้รีบวิ่งมาที่หน้าห้องคุณหนูใหญ่ในทันที หลินเฟยเย่ที่ยังช็อกอยู่กับเหตุการณ์ตรงหน้าพยายามไขว่คว้าบางอย่างที่นางมองไม่เห็น“ไม่นะ ไม่ใช่แบบนี้ ท่านจะตายได้อย่างไร ไม่นะพี่ใหญ่ ม่ายยยย!!!!!……”“คุณหนูรอง!! รีบพานางออกมาเร็วเข้า รีบไปแจ้งนายท่าน คุณหนูใหญ่!! ฮือออ…..”ผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบ กี่คนไม่รู้ที่เดินเข้ามาเพื่อตรวจอาการของหลินเฟยเย่ คหบดีหลินนั้นร่ำไห้จนเป็นลมไปแล้วเมื่อเห็นร่างไร้วิญญาณของบุตรสาวคนโตที่แขวนห้อยอยู่ในห้องทหารองครักษ์ในจวนพาร่างของหลินเฟยลี่ลงมา หลินเฟยเย่เองในตอนนี้แทบไม่ได้สติ“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู ท่านหมอกวน นายท่านกับคุณหนูรอง…เป็นเช่นไรบ้าง”“เฮ้อ…”ท่านหมอกว