5 : แม่เจ้าโว้ย ! ข้ารวยแล้ว !
บุรุษที่อยู่เรือนด้านข้างเริ่มหงุดหงิด เขาได้ยินเสียงคำพูดคุยหรือเสียงเหมือนคน กำลังทำงานตลอดทั้งวัน ให้ซ่งหลินต๋าไปแอบดู ถึงได้รู้ว่าบ้านของเด็กสาวผู้นั้น กำลังซ่อมแซมห้องสุขา กับล้างบ่อน้ำอยู่
“ความจริงพวกนางก็น่าสงสารนะขอรับ เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ไม่มีบ่าวรับใช้ติดตามมาด้วย ยังต้องออกไปหาช่าง มาซ่อมห้องสุขาอีก เจอคนดีก็แล้วหากเจอคนไม่ดี คงแย่เหมือนกัน อีกอย่างในตรอกหนิงอันแห่งนี้ คุณชายกว้านซื้อที่ดินทั้งตรอกเอาไว้หมดแล้ว หากพวกเราเดินทางกลับเมืองหลวงไป เกรงว่าจะเงียบวังเวงอาจเป็นเป้าหมายของโจรผู้ร้ายได้” ซ่งหลินต๋าอดนึกสงสารสองแม่ลูกนั่นไม่ได้
“หากสงสารนัก ก็อยู่ดูแลพวกเขาที่นี่แล้วกัน ไม่ต้องตามข้ากลับเมืองหลวงไปหรอก”
“ทำเช่นนั้นได้อย่างไร หน้าที่ของข้าคือดูแลคุณชายนะขอรับ ท่านไปไหนข้าไปด้วย” ซ่งหลินต๋ารีบหุบปากไม่เอ่ยถึงสองแม่ลูกนั่นอีก หากถูกคุณชายสั่งให้อยู่ที่นี่จริง ก็ซวยเขาสิ
“บัญชีครึ่งปีนี้รวบรวมมาหมดแล้วหรือยัง” หยวนเหวินเซียวปิดสมุดบัญชีในมือลงหลังเอ่ยถาม
ซ่งหลินต๋า “ข้าให้ผู้ดูแลแต่ละร้าน รวบรวมมาหมดแล้วขอรับ มีบัญชีร้านไหนมีปัญหาหรือไม่คุณชาย”
“ไม่มีปัญหาหรอก แต่กำไรยิ่งน้อยลงในแต่ละปี ขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่าคนที่เมืองหลวงจะหาคนอื่น มาทำงานแทนข้าในสักวัน”
ซ่งหลินต๋าเองไม่ได้ถนัดเรื่องทำการค้าขาย งานถนัดเขาจึงมีเพียง เรื่องการคุ้มครองผู้เป็นนาย
หยวนเหวินเซียวถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ย “อยู่ต่ออีกสักสามสี่วันแล้วกัน ข้าจะเข้าไปดูร้านค้าแต่ละแห่งอีกที ว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกันแน่”
“ขอรับคุณชาย” ซ่งหลินต๋าคำนับ แล้วหมุนตัวออกจากห้องทำงานของผู้เป็นนายไป
หยวนเหวินเซียวอยู่ต่อตามที่เขาเอ่ยไว้จริง ๆ จากนั้นก็พาทุกคนเดินทางกลับเมืองหลวงไป ทำให้ตรอกหนิงอันยิ่งเงียบเหงาลงกว่าเดิม
เพราะความเงียบผิดปกติของตรอกหนิงอัน อีกทั้งเรือนข้าง ๆ ก็ไม่มีแสงไฟจากตะเกียงยามค่ำคืน ทำให้หลี่เมิ่งเหยาออกไปสอบถามผู้คนที่อยู่ละแวกนี้ ถึงได้รู้ว่าเรือนในตรอกหนิงอันทั้งหมดสี่เรือน ล้วนเป็นของคุณชายสามตระกูลหยวนผู้นั้น และตอนนี้เขาเดินทางกลับเมืองหลวงไปแล้ว ทั้งตรอกจึงมีเพียงเรือนของนาง ที่มีคนอยู่อาศัย
เลวจริง ๆ มากว้านซื้อแล้วไม่อยู่
ชาวบ้านละแวกนี้ต่างเล่าว่า เขาเป็นบุตรชายตระกูลหยวนแห่งเมืองหลวง มีกิจการค้าขายที่เมืองฉางอยู่มากมาย จึงเดินทางมาดูแลปีละครั้งสองครั้ง และจะอยู่ที่ตรอกหนิงอัน เพื่อทำงานเสียส่วนใหญ่
แต่ที่กว้านซื้อที่ดินเอาไว้ทั้งหมด คงเพราะรำคาญเพื่อนบ้านสอดรู้สอดเห็นแถวนั้น ที่เรือนของนางไม่ถูกซื้อไป เขาคงเห็นว่าไม่มีผู้อยู่อาศัย ให้ระคายสายตาเป็นแน่
พอเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้มารดาฟัง เฉาซูหลิ่งกลับตื่นตระหนกด้วยความตกใจ
“เหยาเอ๋อร์เจ้าบอกว่าทั้งตรอกนี่ เราอยู่กันแค่สองคนจริงรึ”
“จริงสิท่านแม่ ดีออกไม่ต้องวุ่นวายกับใคร อยากทำอะไรก็ทำได้ตามสบาย”
หลี่เมิ่งเหยาไม่คิดมาก อย่างไรเสียนางก็ไม่ชอบข้องแวะ กับคนแปลกหน้าอยู่แล้ว
ตรงกันข้ามกับมารดาของนาง เคยสุขสบายอยู่ในจวนมีสาวใช้ดูแลรอบข้าง แม้แต่ตอนอยู่ที่บ้านเดิม คนในครอบครัวต่างเอาอกเอาใจนาง
“แล้วหากเกิดมีโจรผู้ร้ายเล่า เจ้ากับข้าเป็นเพียงสตรีกับเด็กเองนะ จะหาใครแถวนี้มาช่วยเหลือได้”
ข้าไม่เด็กแล้วนะ
หลี่เมิ่งเหยาแอบแย้งในใจ
“เรือนของเราไม่ได้มีทรัพย์สมบัติอะไร โจรคงไม่โง่ถึงเพียงนั้น”
“มีข้าอยู่นี่ไง” เอ่ยแล้วทำหน้าเขินอายเล็กน้อย คล้ายอยากสื่อว่านางงามถึงเพียงนี้ มีหรือโจรผู้ร้ายจะไม่สนใจได้
โหช่างมั่นหน้า
หลี่เมิ่งเหยาแอบเอือมระอาเล็กน้อย
“อยู่ ๆ ไปก่อนเถอะ ท่านแม่อย่าพึ่งคิดอะไรมากนักเลย ข้าจะค่อย ๆ หาทางออกให้เอง”
“ข้าช่างเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่องจริง ๆ ยามตกทุกข์ได้ยาก กลับอ่อนแอถึงเพียงนี้ เหยาเอ๋อร์เจ้าดูจะเข้มแข็งกว่าข้าเสียอีก”
ยามนี้น่าแปลกนัก เมื่อต้องสบสายตากับบุตรสาว กลับเป็นนางเองที่ต้องหลุบตาลง ราวกับสายตาของอีกฝ่าย สามารถมองทะลุมาถึง จิตใจแสนหวั่นไหวของตนได้
“ท่านแม่กำลังตั้งท้องอยู่ อารมณ์อาจแปรปรวนง่าย ท่านอย่าพยายามคิดเรื่องร้ายนักเลย มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ น้องของข้าจะได้คลอดออกมาง่าย ๆ”
“จริงของเจ้า ข้าตั้งใจไว้ว่าจะออกไปซื้อผ้ามาตัดชุดไว้ให้เขา เสื้อเด็กทารกคงไม่ต้องแบ่งเพศอะไร”
“หากท่านแม่ทำแล้วมีความสุขก็ทำไปเถอะ แต่เอาไว้อีกสองสามวันก่อนได้หรือไม่ ข้ายังถอนหญ้าหลังเรือนไม่เสร็จเลย”
“ได้ ๆ”
เฉาซูหลิ่งมองบุตรสาว ที่เดินไปยังสวนหลังเรือน ด้วยสายตาซับซ้อน ไม่มีท่าทีหวาดหวั่นต่อสถานการณ์ตรงหน้า เหยาเอ๋อร์ของนาง เปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ
ใช้เวลาราวครึ่งเดือน เรือนของพวกนางก็สะอาดสะอ้าน หลังคาที่เคยชำรุดได้จ้างช่างมาซ่อมแซมให้ หลี่เมิ่งเหยาต้องการเตรียมพร้อม สำหรับน้องที่กำลังจะเกิดมา และเหมือนร่างกายจะเหนื่อยล้าจากการทำงานหนัก ทำให้นางหลับสนิท ไม่ได้ฝันอีกเลย กระทั่งคืนนี้
หลี่เมิ่งเหยาสำรวจห้องหนังสือก่อนเป็นอันดับแรก นางพบตำราหลากหลายชนิด มีทั้งศิลปะการต่อสู้ การหมุนเวียนพลังลมปราณ เคล็ดวิชาอันหลากหลาย
แต่สายตากลับมาหยุดอยู่ที่ตำราปกดำ มันดูพิเศษกว่าเล่มอื่น ๆ ตรงที่มันมีแสงสว่างจาง ๆ ติดอยู่บนหน้าปก
กฎการใช้เรือนโลกันตร์
น่าสนใจนางรีบนำไปเปิดอ่านอย่างรวดเร็ว กฎที่ว่ามีอยู่ประโยคเดียว
ฝึกฝนจนชำนาญ
“โอ๊ย ! ฝึกฝนจนชำนาญ ไร้อาจารย์สั่งสอนเช่นนี้ ข้าจะไปฝึกฝนจนชำนาญได้อย่างไร”
นางแทบจะพ่นลมออกจมูกอยู่แล้ว มองค้อนตำราบนโต๊ะอย่างเคือง ๆ ไม่บอกด้วยว่าฝึกฝนจนชำนาญ แล้วนำไปใช้นอกความฝันได้หรือไม่ คิดแล้วก็ขำออกมาเบา ๆ
ต้องชำนาญก่อนถึงรู้สินะ
นับจากนั้นมาหลี่เมิ่งเหยาก็ต้องศึกษาตำรา ที่อยู่ในเรือนโลกันตร์ อีกทั้งยังฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ การหมุนเวียนพลังลมปราณ เพื่อให้มีวรยุทธ์ที่แข็งแกร่ง เพราะไม่มีพื้นฐานเรื่องพวกนี้มาก่อน นางจึงค่อย ๆ ทำความเข้าใจกับมันไป
และแล้ววันหนึ่งโชคก็เข้าข้างนาง เมื่อนางเกิดเห็นภาพถุงใบหนึ่ง บนกำไลหยกโลกันตร์ มันเขียนไว้ว่า ถุงเฉียนคุน
นางเคยอ่านนิยายโบราณมาบ้าง จำได้ว่าเจ้าถุงนี่สามารถเก็บสิ่งของต่าง ๆ ได้มากมาย บางคนเรียกขานว่าถุงเอกภพ หากถุงนี่ติดอยู่บนกำไลหยกโลกันตร์ เช่นนั้นก็สามารถนำติดตัว กลับไปตอนตื่นได้
หัวใจของนางเริ่มเต้นแรง ความหวังเรื่องความร่ำรวยอยู่ไม่ไกล รีบวิ่งไปยังเรือนสมบัติ ที่นี่ไม่มีตั๋วเงินแม้แต่ใบเดียว ของส่วนใหญ่เป็นทองคำกับเครื่องประดับ และพวกเครื่องเรือนยุคโบราณทั้งนั้น
หลี่เมิ่งเหยาตรงไปหาหีบทองคำแท่งเป็นอันดับแรก นางเปิดถุงเฉียนคุนออกมา แล้วหยิบทองคำใส่ลงไปในนั้นสามก้อน กำไลหยกโลกันตร์ไม่แสดงน้ำหนักของสิ่งของ ย่อมหมายความว่านางจะหยิบสิ่งใดใส่เข้าไปก็ได้
ดวงตานางประกายวาววับ แต่ก็พยายามหักห้ามใจตัวเองเอาไว้ ให้หยิบไปแต่พอดีอย่าโลภมาก นางจึงเลือกหีบทองคำหนึ่งหีบ กับหีบเครื่องประดับสตรีอีกหีบ ใช้พลังลมปราณที่ฝึกฝนมา ยกของสองหีบ หย่อนลงไปในถุงเฉียนคุน
จากนั้นรีบหลับตาลงให้ตัวเองกลับไปยังโลกความจริง ครั้นลืมตาขึ้นได้ก็รีบจุดตะเกียง ต้องเป็นหนึ่งเดียวกับกำไลหยกโลกันตร์ ถึงจะมองเห็นถุงเฉียนคุน
นางหมุนเวียนพลังลมปราณตรงจุดตันเถียน เคลื่อนย้ายไปยังกำไลหยกบนข้อมือ ทันใดนั้นแสงสีขาวก็เปล่งประกายขึ้นมา ปรากฏถุงเฉียนคุณให้นางเห็น
ลองยื่นมือเข้าไปในถุง แล้วหยิบเอาทองคำออกมาหนึ่งแท่ง ตามด้วยปิ่นปักผมทองระย้าใหญ่อีกอัน
แม่เจ้าโว้ย ! ข้ารวยแล้ว !
สามเดือนผ่านไป
หลังจากนำทองไปขายได้เงินมาก้อนโต หลี่เมิ่งเหยาก็ขายปิ่นทองเล่มนั้นไปด้วย นางต้องปลอมตัวไปขายของในแต่ละครั้ง เพราะไม่อยากให้คนที่โรงรับจำนำผิดสังเกต
หลังจากทยอยขายของมีค่าออกไป นางก็มีเงินอยู่ในมือหลายพันตำลึง สามารถซื้อของบำรุงร่างกายมาให้มารดาได้ เปลี่ยนเครื่องเรือนเก่าออกให้หมด ท้ายที่สุดก็ซื้อบ่าวชายหญิงสูงวัยคู่หนึ่ง มาไว้คอยดูแลเรือน
“เหยาเอ๋อร์เจ้าไปเอาเงินมากจากไหนกัน”
เฉาซูหลิ่งเห็นบุตรสาวซื้อโน่นนี่ โดยไม่ได้มาขอเงินจากนาง อีกทั้งยังมีบ่าวรับใช้ถึงสองคนภายในเรือน ก็อดนึกสงสัยไม่ได้
“ท่านแม่ข้ามีเรื่องปิดบังท่านอยู่”
“เรื่องอะไร”
“คือว่าเมื่อเดือนก่อน ข้าออกไปซื้อของที่ตลาด บังเอิญได้ช่วยแม่เฒ่าผู้หนึ่งเอาไว้ นางหกล้มอยู่กลางถนนไม่มีคนสนใจ ข้าช่วยพยุงนางแล้วพาไปหาที่นั่ง มารู้ทีหลังว่านางเป็นฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลเศรษฐี และไม่ชอบติดค้างบุญคุณผู้อื่น นางมอบหยกชิ้นหนึ่งเป็นการตอบแทน ข้าไม่รับก็ไม่ได้เพราะนางจะโกรธ พอนางจากไปแล้ว ข้าเอาหยกนั่นไปโรงรับจำนำ ขายไปได้เงินมาหลายร้อยตำลึงเลย”
เป็นการโกหกที่ยากเหลือเกิน หลี่เมิ่งเหยาแอบไขว้นิ้วขอโทษมารดาไปด้วย เพราะเรื่องจริงนั้นแม้แต่ตัวนางยังเข้าใจยาก คนอื่นไหนเลยจะเชื่อได้ง่าย ๆ
เฉาซูหลิ่งย่นคิ้วมองบุตรสาว
“เรื่องใหญ่เพียงนี้เจ้ากลับไม่บอกข้า”
“ท่านแม่ข้าไม่ได้คิดจะปิดบังท่าน ท่านไม่เห็นรึว่า ข้าซื้อของเข้าเรือนมากมายเพียงใด อีกทั้งของบำรุงร่างกายของท่าน ข้าก็หาซื้อมาให้”
“ช่างเถอะ ๆ นับว่าเป็นความโชคดีของเจ้า แล้วเงินนั่นยังเหลืออยู่อีกหรือไม่ เจ้าคงไม่ได้ใช้ซื้อเครื่องเรือนจนหมดหรอกนะ”
“ยังมีเจ้าค่ะ ข้าแบ่งเอาไว้ใช้จ่ายตอนท่านแม่คลอดด้วย”
“เจ้าคิดได้เช่นนั้นก็ดีแล้ว แต่ว่าบ่าวรับใช้สองคนนั้น ไว้ใจได้แน่หรือ”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ข้าเห็นพวกเขาดูสงบเสงี่ยมดี เหมือนว่าตระกูลที่เคยอยู่ เจ้านายกระทำความผิด เลยต้องขายบ่าวไพร่ออกมาจนหมด พวกเขามีอายุมากแล้วคนเลยไม่ซื้อไป ขืนอยู่กับนายหน้าต่อไปคงไม่ดีแน่”
“เจ้าก็ใจอ่อนเกินไป”
“ข้าดูหน่วยก้านแล้ว แม้จะอายุห้าสิบกันแต่ยังแข็งแรงทั้งคู่นะเจ้าคะ ท่านแม่จะได้ไม่เหนื่อยมาก มีป้าหลูคนคอยทำอาหารให้กิน กับทำความสะอาดเรือนให้อยู่ มีลุงจงอยู่ด้วยบ้านเราจะได้มีบุรุษอย่างไร ท่านแม่จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยอีกต่อไป ดูไปแล้วลุงจง น่าจะมีความสามารถด้านวรยุทธ์อยู่บ้าง”
นางพอสังเกตท่าทางการก้าวเดินของเขาได้ ดูหนักแน่นไม่ล่องลอยเหมือนคนทั่วไป
“จริงหรือ”
“ข้าสังเกตดูแล้วน่าจะใช่เจ้าค่ะ ท่านแม่ลองถามพวกเขาดูก็ได้”
“เอาไว้ข้าค่อยถามแล้วกัน”
เอ่ยแล้วลูบหน้าท้องตัวเองไปด้วย อีกห้าเดือนนางก็จะคลอดแล้ว ยามนี้มีคนเข้ามาอยู่ด้วย ค่อยรู้สึกวางใจขึ้นมาหน่อย
หลี่เมิ่งเหยานอกจาก จะซื้อตัวพวกเขามาจากนายหน้าแล้ว ยังมอบเงินเดือนให้ทั้งคู่อีกด้วย นางไม่อยากเอาเปรียบผู้คนในยุคนี้ อย่างน้อยทำงานก็ย่อมได้รับค่าตอบแทน
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านบอกจะให้เงินเดือนข้ากับสามีหรือเจ้าคะ” หลูเพ่ยไม่คิดว่าจะมีเรื่องดี ๆ เช่นนี้กับตนเอง
“ทำไมเล่าปกติเจ้านายที่เก่าของพวกท่าน ก็จ่ายเงินเดือนไม่ใช่หรือ”
“จ่ายเจ้าค่ะ แต่ว่าพวกเขาค่อนข้างมีฐานะร่ำรวย” หลูเพ่ยเห็นสองแม่ลูกอยู่ในเรือนหลังเก่าแค่สองคน นางจึงคิดว่าฐานะทางครอบครัวไม่ได้ร่ำรวยอันใด
“อ้อ ท่านคิดว่าข้าจนสินะ”
“ไม่ใช่ ๆ” หลูเพ่ยรีบโบกมือปฏิเสธ
“ท่านคิดถูกแล้วล่ะ”
“อ่อ” แต่คำตอบของหลี่เมิ่งเหยา ทำให้นางรีบหันไปทางสามี สายตาเหมือนอยากขอร้อง ช่วยอธิบายให้เด็กสาวผู้นี้เข้าใจที
“คุณหนูขอรับ นางไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่ว่าท่านได้ซื้อตัวข้ากับนางมาแล้ว นับเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวง พวกเราสองคนต้องทำงานตอบแทนท่านอยู่แล้ว ไม่ต้องมอบเงินเดือนให้ก็ได้ อย่างไรก็กินอยู่กับท่านที่เรือน” จงกุ้ยตอบแทนภรรยา
“ซื้อตัวก็ส่วนซื้อตัวสิ เงินเดือนก็อีกเรื่องไม่เกี่ยวข้องกัน ตกลงตามนี้แหละ”
หลี่เมิ่งเหยาไม่อยากเอ่ยมากความ นางอธิบายหน้าที่หลักให้ทั้งคู่ได้เข้าใจ ก่อนพาทั้งคู่ไปยังห้องพักด้านหลัง วันนี้ให้พวกเขาได้นอนหลับพักผ่อนไปก่อน ค่อยเริ่มงานจริงวันถัดไป