อาจจะเพราะเพิ่งฟื้นไข้และร่างกายนี้ก็ไม่ค่อยแข็งแรง จากที่กำลังงอนบิดาอยู่ดี ๆ จางอี้หมิงก็หลับไปจริง ๆ เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงใครสักคนกำลังทำอะไรบางอย่าง เด็กน้อยจึงลุกขึ้นเดินไปทางหลังบ้าน ล้างหน้าล้างตาให้ปลอดโปร่งและเริ่มมองหาต้นตอของเสียงน่าสงสัย
เดินมาไม่นาน เด็กชายก็เห็นท่านย่าของตนเองกำลังตัดฟืนจากไม้อันเล็ก ๆ นางตัดไว้จำนวนเยอะพอสมควร
“ท่านย่า ตัดฟืนหรือขอรับ”
“อ้าว หมิงเอ๋อร์ ตื่นแล้วหรือ รู้สึกอย่างไรบ้าง”
“ข้าสบายดีขอรับ แข็งแรงขึ้นมาก ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย ข้าสามารถวิ่งรอบบ้านได้สามรอบเลยขอรับ” จางอี้หมิงตอบหญิงชรา เขาวิ่งไปรอบ ๆ ย่าของตนเพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ได้พูดเกินจริง
“หมิงเอ๋อร์ พอก่อน ย่าเชื่อแล้ว ไม่ต้องวิ่งให้เหนื่อย มา ๆ ช่วยย่าเอาฟืนเข้าไปในบ้าน ย่ากำลังจะทำอาหารไปส่งให้พ่อกับแม่ของเจ้าที่ทำงานในไร่”
จางอี้หมิงได้ยินดังนั้นจึงหยุดวิ่ง เขาเดินไปช่วยหูไป๋หงเก็บฟืนเข้าบ้าน นำไปวางใกล้ ๆ กับพื้นที่ซึ่งแยกไว้เป็นส่วนครัว
“โอ้โหท่านย่า เก่งมากเลยขอรับ ท่านย่าจุดไฟได้”
จางอี้หมิงเอ่ยชม จากความทรงจำที่ได้รับมา ท่านย่าของเขาไม่เคยเข้าครัวทำอาหาร ไม่เคยต้องทำงานหนัก เพราะเป็นฮูหยินที่ท่านปู่รักมาก ท่านย่าจึงอยู่ในเรือนอย่างสะดวกสบาย มีบ่าวรับใช้ทำให้ทั้งหมดมาโดยตลอด
เขาไม่นึกว่าท่านย่าที่ทำอันใดไม่เป็นเลยจะสามารถก่อไฟต้มข้าวเองได้
“หมิงเอ๋อร์ ประหลาดใจใช่ไหมเล่า ย่าของเจ้ายังทำอาหารได้ด้วยนะ ลูกสะใภ้หัวหน้าหมู่บ้านสอนพวกเรามากมาย ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้อร่อยเหมือนเมื่อก่อน แต่ตอนนี้ แค่มีอาหารให้กินก็ดีที่สุดแล้ว” นางตอบ
“ท่านย่ากำลังทำอันใดหรือขอรับ”
“ย่าจะทำโจ๊กธัญพืชผักป่า เมื่อวานพ่อของเจ้าได้ผักป่ามาไม่น้อย วันนี้ต้องทำไปมากหน่อย แม่ของเจ้าไปทำงานวันแรก ไม่รู้จะเป็นเช่นใดบ้าง”
“ข้าจะช่วยท่านย่าเองขอรับ” จางอี้หมิงบอกหญิงชรา เขาหันซ้ายหันขวาและเดินตรงไปที่ตะกร้าผัก
“ข้าขอเอาผักไปล้างน้ำ แต่ว่าข้าจะเอาไปล้างได้ที่ไหนหรือขอรับ” จางอี้หมิงหยิบตะกร้าขึ้นมาแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปล้างได้ที่ไหน
“หมิงเอ๋อร์ เดินออกไปไม่ไกล มีลำธารเล็ก ๆ ติดกับบ้านของเรา เจ้าเอาผักไปล้างที่นั่นได้ แต่ระวังหน่อยนะ ถึงแม้ว่า ลำธารจะไม่ลึก แต่อากาศเริ่มเย็นแล้ว เดี๋ยวจะกลับมาเป็นไข้” นางหูไป๋หงเอ่ยเตือนหลานชายด้วยความเป็นห่วง ลำธารที่สูงแค่หัวเข่าไม่ได้น่ากลัวเท่าความเย็นจากสายน้ำ
“ท่านย่ารอข้าสักครู่นะขอรับ ข้าสัญญาว่าจะไปไม่นาน”
จางอี้หมิงถือตะกร้าผักขนาดเล็กเดินไปตามทางที่ท่านย่าชี้นิ้ว เขาลัดเลาะมาเรื่อย ๆ ตามที่ท่านย่าได้บอกไว้ ไม่นานนักก็เจอลำธารสายเล็ก ๆ ผืนน้ำใสไหลเอื่อยมองเห็นหมู่มัจฉาตัวน้อยแหวกว่ายเลาะโขดหิน แม้มีไม้ยืนต้นไม่หนาตาเท่าใดนัก แต่ก็ช่วยให้ร่มเงาได้เป็นอย่างดี
ตรงริมตลิ่งเป็นบริเวณที่ราบเรียบ มีการถางหญ้าและทำแคร่ไม้ไผ่ไว้ใกล้ ๆ ซึ่งจางอี้เทาทำไว้สำหรับเป็นท่าอาบน้ำ ซักล้างต่าง ๆ หรือล้างผัก เด็กชายตัวน้อยรีบเดินไปตรงนั้น มือเล็ก ๆ หยิบผักออกมาจากตะกร้าเพื่อทำความสะอาด ไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย จางอี้หมิงหิ้วตะกร้าขึ้นมาเตรียมเดินกลับบ้าน
ระหว่างทางเด็กชายเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อย เขาซึมซับบรรยากาศดี ๆ ต้นไม้สูงใหญ่สีเขียว นกน้อยส่งเสียงบรรเลงเพลงไพเราะ หันไปทางไหนก็สบายตา แต่แล้วกลับมีสิ่งหนึ่งที่ชักจูงให้สองเท้าเล็ก ๆ ตรงปรี่เข้าไปหา มันคือบึงน้ำขนาดไม่ใหญ่มาก แสงแดดสะท้อนลงมาเผยหน้าคลื่นระยิบระยับ จางอี้หมิงเดินเข้าไปใกล้ ๆ เขาก้มลงมองผืนน้ำ แต่แล้วก็ต้องตาโตและอุทานออกมาเสียงดัง
รอดตายแล้วเรา!
“ท่านย่า ท่านย่าขอรับ ข้ากลับมาแล้ว”เสียงตะโกนที่ดังลั่นมาแต่ไกลทำให้นางหูถึงกับสะดุ้ง มือเหี่ยวย่นเกือบจะปล่อยหม้อที่ถือไว้หลุดจากมือ นางหันหน้าไปมองหลานชายและเอ่ยเสียงดุ “หมิงเอ๋อร์ เหตุใดจึงส่งเสียงดังนักเล่า ย่าเกือบทำหม้อหลุดมือ”“ท่านย่า ข้ามีของดีมาฝากขอรับ”จางอี้หมิงวางตะกร้าผักบนพื้น เขาก้มลงหยิบสิ่งที่ถือไว้ออกมา มันเป็นห่อขนาดไม่ใหญ่นัก ทำมาจากใบไม้ใหญ่ซ้อนกัน มือเล็ก ๆ คลายออก เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน แม้จะเก็บมาเพียงเล็กน้อย แต่เขามั่นใจว่านางหูไป๋หงต้องพอใจอย่างแน่นอน อี้หมิงยื่นมันให้ท่านย่าดูพร้อมรอยยิ้มกว้าง แต่เขาก็ต้องประหลาดใจเพราะสิ่งที่ได้กลับมาไม่ใช่คำชมอย่างที่ตนหวัง แต่เป็นเสียงดุยกใหญ่“หมิงเอ๋อร์ เจ้าเก็บสิ่งใดมา ย่าไม่เห็นรู้จัก เอาผักป่ามาให้ย่าได้แล้ว”“ท่านย่า ท่านไม่รู้จักสิ่งนี้หรือขอรับ”“มันคืออะไรเล่า”“มันคือผำหรือไข่น้ำขอรับ นำมาทำน้ำแกง ผัดใส่ไข่ อร่อยมากเลยขอรับ ข้าเก็บมานิดเดียว เพราะว่ากลัวตกลงไปในบึง รอบหน้าข้ารบกวนท่านย่าไปเก็บให้ข้าหน่อยได้ไหมขอรับ”“หมิงเอ๋อร์ อย่าบอกนะว่าเจ้าเดินออกนอกเส้นทางไปทางบึงน้ำ มันอันตรายมาก ครั้งหน้าเจ้าห้
แคว้นที่เขาอาศัยอยู่นี้มีชื่อว่าแคว้นฉิน มีการปกครองด้วยองค์จักรพรรดิ เมืองหลวงมีชื่อว่า ซูโจว ที่นั่นเคยเป็นบ้านของเขาก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านหลัวถง ซึ่งเป็นหมู่บ้านหนึ่งในเมืองไห่ถัง เมืองเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีสิ่งใดนัก แม้แต่การเดินทางจากเมืองหลวงมายังหมู่บ้านหลัวถงเองก็ใช้เวลานานกว่าสิบวันขณะนี้ บ้านเมืองอยู่ในช่วงสงบศึกหลังสงครามเพียงแค่ สิบห้าปี อาหารจึงยังไม่เพียงพอ แรงงานยังคงขาดแคลน แต่ศิลปะการแสดงเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งสำหรับการเดินทางจากหมู่บ้านหลัวถงเข้าไปในเมืองไห่ถัง ใช้เวลาเดินเท้าหนึ่งชั่วยาม หากเดินทางด้วยเกวียนจะใช้เวลาเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าเป็นรถม้าหรือม้า ก็จะย่นระยะเวลาไปอีกครึ่งหนึ่งของการเดินทางด้วยเกวียนค่าแรงชาวบ้านทั่วไปขั้นต่ำอยู่ที่ยี่สิบอีแปะต่อวัน โดยคนจ้างไม่ได้เลี้ยงอาหาร ชาวบ้านกินอาหารวันละสองมื้อ คือมื้อแรกเวลาประมาณ ยามอู่ (11.00 – 12.59) มื้อสุดท้ายประมาณยามโหย่ว (17.00 – 18.59) การซื้อขายสินค้าจ่ายเป็นเงินตำลึง ครอบครัวจางไปรับจ้างทำงานในไร่ของหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อแลกกับธัญพืชโดยไม่รับเงินค่าจ้างแต่อย่างใดค่าเงินหนึ่งพัน
เวลาสำหรับมื้ออาหารผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว เมื่อกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางหูและจางอี้หมิงจึงพาหลี่อ้ายกลับบ้าน เด็กน้อยบอกลาจางอี้เทาที่กำลังกลับไปทำงานตามปกติ พวกเขาเดินตามเส้นทางเดิม แต่เพราะขากลับมีคนป่วยมาด้วย การเดินทางจึงช้าลงไปเกือบเท่าตัว “หลี่อ้าย นอนพักตรงนี้ก่อน แม่จะไปเอาน้ำมาให้เจ้าดื่ม” หูไป๋หงเอ่ยกับลูกสะใภ้ นางให้หลี่อ้ายนั่งรอใต้ร่มไม้ก่อนจะเดินไปตักน้ำ พวกเขาเดินกันมาได้สักพักแล้ว จางอี้หมิงมองไปรอบ ๆ เมื่อไม่รู้ว่าตรงนี้คือที่ใดและเวลาใดจึงเอ่ยถาม“ท่านย่าขอรับ ตอนนี้ยามไหนแล้วขอรับ”“น่าจะยามเว่ย (13.00 – 14.59) นะหมิงเอ๋อร์ มีอะไรหรือ”“ข้าอยากขึ้นเขาไปหาผักป่าหรือของกินขอรับ ถ้าเรารีบไปตอนนี้อาจจะหาอะไรมากินได้บ้างก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน” “ไม่ได้นะหมิงเอ๋อร์ เจ้าเพิ่งฟื้นขึ้นมาวันนี้ เหตุใดจึงดื้อรั้นอยากออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก รอให้บิดาของเจ้ากลับมาจากไร่เสียก่อน ถ้าบิดาเจ้าไม่อนุญาต ย่าก็ไม่อนุญาตเช่นกัน ตอนนี้มารดาเจ้าล้มป่วยอยู่คนหนึ่งแล้ว หากเจ้าต้องมาล้มป่วยอีกคน ครอบครัวเราคงรับไม่ไหวแน่” นางหูถึงกับปฏิเสธทันควัน สถานการณ์ตอนนี้เป็นดังคำที่นางว่า คร
นางหูและจางอี้หมิงช่วยกันเก็บผักบุ้งมาได้พอประมาณ ทั้งสองรีบกลับไปหาหลี่อ้าย ก่อนจะพากันเดินกลับไปยังบ้านของตนเอง เพียงไม่นาน หัวหน้าครอบครัวก็เดินกลับเข้าบ้านพร้อมธัญพืชหยาบที่ได้จากการไปทำงานในวันนี้“ท่านแม่ เข้าบ้านก่อนเถอะขอรับ แล้วข้าจะเล่าให้ฟัง”จางอี้เทาเดินเอาห่อธัญพืชหยาบกับห่อเนื้อสัตว์วางไว้กลางบ้าน เขานั่งลงเพื่อพักผ่อนจากอาการปวดล้า จางอี้หมิงเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งไปหยิบน้ำมาให้บิดา เขาไม่ลืมเอาผ้าเช็ดหน้าพร้อมขันน้ำใบเล็กมาด้วย“หมิงเอ๋อร์ ช่างเป็นเด็กดีเสียจริง ขอบใจเจ้ามาก”“ไม่เป็นไรขอรับ ข้ารักท่านพ่อ ท่านพ่อทำงานเหนื่อย ข้าอยากช่วยท่านพ่อทำงานขอรับ” “อาเทา นี่มัน....” นางหูที่เดินเข้าไปดูห่อผ้าถึงกับเอ่ยถามด้วยความแปลกใจสิ่งที่นางเห็นในตอนนี้คือเนื้อสัตว์แน่ ๆ ถึงแม้ว่าจะมีส่วนเนื้อติดประปราย ที่เหลือมีแต่ไขมันเป็นส่วนมากก็เถอะ แต่ก็มีค่ามากนัก เนื้อชินนี้หากกะด้วยสายตาก็น่าจะประมาณเกือบห้าชั่ง“มีอะไรหรือเปล่าอาเทา”“วันนี้ทำงานที่ไร่วันสุดท้ายแล้วขอรับ พืชผลเก็บเกี่ยวหมดแล้ว ท่านพี่เย่จ่ายค่าจ้างเป็นธัญพืชตามที่เราแจ้งไป แต่ท่านพี่เย่คงสงสารบ้านเรา จึงแบ่งเนื้อ
ภายในกระท่อมปลายนาหลังเล็กที่บัดนี้ถูกจับจองให้เป็นบ้านของตระกูลจาง เสียงสะอื้นของหญิงสาวดังออกมาจากตัวบ้านไม่ขาดสาย นางกำลังร้องไห้กอดบุตรชายไว้แนบอก ร่างกายของเด็กชายตัวน้อยในอ้อมแขนผอมแห้งจนแทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก มีเพียงลมหายใจผะแผ่วเท่านั้นที่บ่งบอกถึงการมีชีวิตอยู่ให้คนเป็นแม่ได้อุ่นใจ เจ้าตัวน้อยนอนหลับใหลไม่ได้สติมาร่วมเดือนแล้ว การเดินทางจากเมืองหลวงมาหลัวถงเพื่อเริ่มชีวิตใหม่ต้องผ่านแนวภูเขามากมาย เด็กชายที่ไม่มีภูมิต้านทานมากพอจึงป่วยหนักเป็นไข้ป่า “หมิงเอ๋อร์ ตื่นได้แล้ว เจ้านอนขี้เซาเกินไปแล้วนะ” นางร้องเรียก “รีบตื่นมาเถิด แม่ปวดใจยิ่งนัก” “หมิงเอ๋อร์ลูกแม่...” นางซุกหน้าลงแนบแก้มบุตรชาย อ้อนวอนเหล่าเทพเซียนให้ช่วยเหลือ เสียงหวานปนเศร้าที่ร้องไห้เบา ๆ ดังชัดขึ้นมาในโสตประสาท เขาได้ยินเสียงเธอร้องเรียกใครสักคนอย่างอาวรณ์ น้ำเสียงนั้นห่วงหาเสียจนชวนให้ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น อยากลืมตาขึ้นมามองดูเสียให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ยังฝืนลืมตาขึ้นมาไม่ได้ “น้องหญิง อย่าได้ร่ำไห้เช่นนี้ หมิงเอ๋อร์จะเสียใจเอานะ” เสียงทุ้มที่เอ่ยปลอบประโลมอย่างอ่อนโยนชวนให้อยากรู้มาก
เมื่อพลบค่ำมาถึง จางอี้เทานั่งเหม่อมองตะวันที่กำลังลับขอบฟ้า แสงสีส้มช่างให้ความรู้สึกที่เศร้าหมองเหมือนดั่งครอบครัวของเขาในตอนนี้ ครอบครัวจางแต่เดิมพื้นเพเป็นคนเมืองหลวง ถึงแม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้เป็นบุตรชายของฮูหยินเอกเพราะนางหูไป๋หงนั้นเป็นเพียงฮูหยินรองของคหบดีค้าผ้า แต่บิดากลับรักใคร่มารดาเขามากกว่าใคร ส่งผลให้ตัวเขาได้รับความรักความโปรดปรานจากบิดาไม่น้อย เขาได้รับการศึกษาเล่าเรียนดั่งคุณชายคนหนึ่งจนสำเร็จเป็นบัณฑิต ต่อมาก็ทำงานเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษา เมื่อถึงเวลาแต่งงานมีครอบครัว บัณฑิตหนุ่มก็พบรักกับหลี่อ้าย ลูกสาวร้านผ้าปักที่เป็นคู่ค้ากับตระกูลมาช้านาน เมื่อแต่งงานกันได้หนึ่งปี ก็มีจางอี้หมิงเป็นโซ่ทองคล้องใจ สิ่งเหล่านี้สร้างความไม่พอใจให้กับฮูหยินใหญ่ นางคิดเสมอว่าฮูหยินรองและบุตรชายไม่สมควรเทียบเคียงนางซึ่งถูกยกย่องเป็นเมียเอก หลังจากที่บิดาถูกโจรดักปล้นและเสียชีวิตในระหว่างเดินทางไปทำการค้าต่างเมือง ฮูหยินใหญ่ไม่แม้แต่จะให้เขาและมารดาได้ทำพิธีเคารพศพบิดาเป็นครั้งสุดท้าย นางมอบหนังสือแยกบ้านรองออกจากตระกูลหลัก หยิบยื่นเงินให้เพียงเล็กน้อยและไล่พวกเขามาอยู่บ้านบรรพบุรุษที่ห
ในคืนนั้น ชายที่อยู่ในร่างเด็กน้อยนามจางอี้หมิงได้ฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้ง ข้างกายมีนางหูไป๋หง ท่านย่าของร่างนี้นอนอยู่ข้าง ๆ เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ เตียงนอนเป็นแคร่ไม้ไผ่ ตัวเขานอนกับนางหู ส่วนบิดามารดานอนถัดไปอีกแคร่ที่อยู่ใกล้ๆ เขานอนเรียบเรียงความคิดเงียบ ๆ คนเดียว จนความทรงจำของร่างใหม่และความทรงจำเดิมผสานกันอย่างสมบูรณ์ อานนท์ วังศรีซ้าย คือเขาในโลกเดิม ก่อนที่จะมาอาศัยอยู่ในร่างจางอี้หมิง เขาเติบโตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า บ้านอุ่นไอรัก เรียนจบแค่ชั้น ปวส. การตลาดภาคค่ำ เขาไม่ใช่คนที่เรียนเก่งหรือหน้าตาโดดเด่นอะไรเลย เป็นมนุษย์ที่พบเห็นได้ทั่วไปอย่างดาษดื่น แต่ถึงกระนั้น เขากลับเป็นคนที่มีฝีมือการทำอาหารในระดับที่น่าจับตามอง ไม่ได้อยากจะคุยโว แต่ลูกค้าหลายคนถึงกับออกปากแนะนำว่าเขาควรไปแข่งซูเปอร์เชฟไทยแลนด์เลยทีเดียว เขามีลูกค้าประจำหลายสิบคนแวะเวียนมาอุดหนุน ทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่เวียนไปเรื่อย ๆ พอได้มีเงินใช้ ชีวิตราบเรียบ ไม่มีอะไรโลดโผนตื่นเต้นเหมือนในหนัง ส่วนอาชีพรองคือนักวิจัยข้อมูล ก็พูดไปซะหรูอย่างงั้นแหละ ความจริงแล้วมันคือการรับจ้างค้นคว้าหาข้อมูลในอากู๋นั
อานนท์ในร่างเจ้าตัวน้อยนามจางอี้หมิงนอนคิดทบทวนเรื่องราวไปมาอยู่กว่าสองชั่วโมงจึงได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เขาพยักหน้าบอกตนเองให้ทำใจยอมรับและสุดท้ายก็นอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงมารดาเอ่ยเรียกชื่อ“หมิงเอ๋อร์ ตื่นได้แล้ว เจ้านอนนานไปแล้วนะ ลุกขึ้นมาคุยกับแม่หน่อยเถอะ” เสียงหวานปนเศร้าปลุกให้จางอี้หมิงลืมตาขึ้นด้วยความงัวเงีย“ท่านแม่...” “หมิงเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว” ดวงตาของผู้เป็นแม่เบิกกว้าง รอยยิ้มสวยผุดขึ้นบนใบหน้างาม “รอเดี๋ยวนะ แม่ไปบอกท่านพ่อของเจ้าก่อน”หลี่อ้ายรีบลุกขึ้นยืน นางเดินแกมวิ่งออกจากห้อง ปล่อยให้บุตรชายนอนรออย่างเงียบสงบ ดวงตากลมโตมองตามร่างของนางไปจนพ้นขอบประตู ได้แต่กระพริบตาปริบ ๆเขาเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบห้าปีที่ในตอนนี้ต้องมาทำตัวเป็นเด็กห้าขวบ ก็ไม่เท่าไรหรอก ต่างกันแค่ยี่สิบปีปีเอง...ซะที่ไหนล่ะเมื่อครู่แค่ตื่นมาปั้นหน้าซื่อ ๆ ตาใส ๆ ยังยากแทบแย่ จะแนบเนียนหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เพื่อความอยู่รอด เขาคงต้องปรับตัวครั้งใหญ่และคอยบอกตัวเองให้ยอมรับว่าตอนนี้เขาไม่ใช่อานนท์ วังศรีซ้าย แต่คือ จางอี้หมิง เด็กน้อยอายุห้าขวบ“หมิงเอ๋อร์ฟื้นแล้ว