Share

ตอนที่ 8

แคว้นที่เขาอาศัยอยู่นี้มีชื่อว่าแคว้นฉิน มีการปกครองด้วยองค์จักรพรรดิ เมืองหลวงมีชื่อว่า ซูโจว ที่นั่นเคยเป็นบ้านของเขาก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านหลัวถง ซึ่งเป็นหมู่บ้านหนึ่งในเมืองไห่ถัง เมืองเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีสิ่งใดนัก แม้แต่การเดินทางจากเมืองหลวงมายังหมู่บ้านหลัวถงเองก็ใช้เวลานานกว่าสิบวัน

ขณะนี้ บ้านเมืองอยู่ในช่วงสงบศึกหลังสงครามเพียงแค่   สิบห้าปี อาหารจึงยังไม่เพียงพอ แรงงานยังคงขาดแคลน แต่ศิลปะการแสดงเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

สำหรับการเดินทางจากหมู่บ้านหลัวถงเข้าไปในเมืองไห่ถัง ใช้เวลาเดินเท้าหนึ่งชั่วยาม หากเดินทางด้วยเกวียนจะใช้เวลาเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าเป็นรถม้าหรือม้า ก็จะย่นระยะเวลาไปอีกครึ่งหนึ่งของการเดินทางด้วยเกวียน

ค่าแรงชาวบ้านทั่วไปขั้นต่ำอยู่ที่ยี่สิบอีแปะต่อวัน โดยคนจ้างไม่ได้เลี้ยงอาหาร ชาวบ้านกินอาหารวันละสองมื้อ คือมื้อแรกเวลาประมาณ ยามอู่  (11.00 – 12.59)   มื้อสุดท้ายประมาณยามโหย่ว (17.00 – 18.59) การซื้อขายสินค้าจ่ายเป็นเงินตำลึง 

ครอบครัวจางไปรับจ้างทำงานในไร่ของหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อแลกกับธัญพืชโดยไม่รับเงินค่าจ้างแต่อย่างใด

ค่าเงินหนึ่งพันอีแปะ เท่ากับหนึ่งตำลึง  และสิบตำลึง เท่ากับหนึ่งตำลึงทอง 

เครื่องปรุงมีเพียงเกลือและน้ำตาลเท่านั้น ซึ่งมันก็มีราคาแพงมาก ชาวบ้านยากจนเช่นครอบครัวของเขาในตอนนี้ถึงไม่มีเครื่องปรุงใช้เลย อย่าว่าแต่เครื่องปรุงเลย แค่ธัญพืชหยาบก็หาได้ยากแล้ว 

สำหรับวิธีการปรุงอาหาร ชาวบ้านรู้จักแค่การต้ม ย่าง นึ่ง อบ เพียงเท่านั้น

ชาวบ้านมีอาชีพหาของป่า สมุนไพร เกษตรกรรมและการประมง เพราะหมู่บ้านหลัวถงด้านหลังติดภูเขา ด้านหน้าติดทะเล ช่างเหมาะจะเป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจโดยแท้

สำหรับอาชีพประมง มีชาวบ้านเพียงไม่กี่หลังที่มีเรือหาปลา นอกจากนั้นจะเป็นการจับปลาจากการดำน้ำและใช้แห  ปกติแล้ว คนหาปลาจะนำปลาไปขายในเมืองด้วยตนเอง แต่ชาวบ้านทั่วไปมักนำสิ่งของที่หามาได้ไปขายให้กับท่านลุงผิง ชายแก่วัยเกือบห้าสิบปีที่มีเกวียนรับคนจากหมู่บ้านเข้าเมือง โดยคิดค่านั่งเกวียนไปและกลับคนละสิบอีแปะ ลุงผิงจะนำสินค้าไปขายในเมืองอีกที นอกจากนี้ ลุงผิงยังรับซื้อของในเมืองกลับมาขายในหมู่บ้านด้วย

บ้านของครอบครัวจางอยู่ตรงท้ายหมู่บ้าน ติดกับภูเขามีข้อดีคือไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับชาวบ้าน ข้อเสียคืออาจจะมีสัตว์ร้ายหลงเข้ามาทำร้ายร่างกาย แต่ก็ยังไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น หมู่บ้านนี้มีจำนวนสามสิบหมู่ ถือว่ามีพื้นที่กว้างขวางพอสมควร ตอนนี้ครอบครัวของเขายังไม่ได้ทำสิ่งใดเพราะย้ายมาได้เพียงเดือนกว่า จางอี้หมิงก็ล้มป่วย หัวหน้าหมู่บ้านจึงแนะนำให้เพาะปลูกในปีหน้า อีกอย่างเพราะกำลังจะเข้าฤดูเหมันต์แล้วด้วย

“ท่านย่าขอรับ ท่านแม่จะทำงานในไร่ได้หรือไม่ขอรับ”

“หมิงเอ๋อร์ ย่าก็ไม่รู้เหมือนกัน แม่ของเจ้าเป็นหญิงสาวในห้องหอ งานหนักไม่เคยได้จับ ย่าก็หวังว่าแม่ของเจ้าจะไม่เป็นอะไร” นางหูก้มลงตอบคำถามของหลานชายด้วยสีหน้าวิตกกังวล

“ข้าจะรีบโตขอรับ ข้าจะหาเงินมาให้ท่านย่า ท่านพ่อ กับท่านแม่เยอะ ๆ เลยขอรับ”

“หมิงเอ๋อร์ เจ้าช่างเป็นเด็กดี กตัญญูรู้คุณคนยิ่ง ย่าจะรอวันนั้นนะ แต่ตอนนี้ย่าว่าพวกเรารีบเดินไปให้ถึงไร่ก่อนดีหรือไม่ ท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าคงหิวข้าวแล้วเป็นแน่”

“ดียิ่งขอรับ”

บทสนทนาจบลงเท่านั้น สองย่าหลานรีบเร่งฝีเท้าขึ้นอีกเท่าตัว หวังว่าจะไปถึงไร่ทันเวลาพักของจางอี้เทาและหลี่อ้าย แต่เมื่อเดินทางมาจนจวนจะถึงแคร่ไม้สำหรับพักผ่อน เสียงเซ็งแซ่ก็ดังออกมาจากกลุ่มชาวบ้านที่ยืมรวมตัวกัน จางอี้หมิงและนางหูมองหน้ากันด้วยความสงสัยก่อนจะเดินเข้าไป

“เกิดอะไรขึ้น” หูไป๋หงเอ่ยถาม นางจูงมือหลานชายเดินเข้าไปหา เมื่อเห็นว่าชาวบ้านกำลังโบกไม้โบกมือเหมือนเรียก

“สะใภ้จางน่ะสิ คงเป็นลมแดด” ชาวบ้านคนหนึ่งตอบ ก่อนคนที่เหลือจะเดินแยกย้ายกันไปพักผ่อนและแกะห่อข้าวออกมากิน เหลือเพียงครอบครัวจางเท่านั้น นางหูรีบเดินเข้าไปหา วางห่อข้าวที่ต้องนำมาส่งไว้บนแคร่ไม้ไผ่

“อาเทา สะใภ้เป็นเช่นใดบ้าง”

“ท่านแม่ น้องหญิงเป็นลมแดดไปกว่าสองเค่อแล้วขอรับ ทำยังไงก็ไม่ฟื้น ข้าว่าเราไปตามหมอผิงมาดูอาการดีหรือไม่ขอรับ” 

“อย่าเพิ่ง ขอแม่ดูอาการนางก่อน” นางหูลงมือบีบนวดและใช้ใบไม้แถวนั้นมาพัด ผ่านไปชั่วอึดใจ สะใภ้จางจึงเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา

“ฟื้นแล้ว ท่านแม่ฟื้นแล้วขอรับ” เป็นจางอี้หมิงที่นั่งใกล้มารดาของตนเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจ เด็กชายรีบร้องเรียกมารดา

“หมิงเอ๋อร์ ท่านแม่ ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” หลี่อ้ายคว้าตัวบุตรชายมาสวมกอดไว้หลวม ๆ ก่อนจะคลายวงแขน นางหันไปมองสมาชิกในครอบครัวที่เหลือแล้วถามออกมา

“น้องหญิง เจ้าเป็นลมแดด ตอนนี้เรายังอยู่ที่ไร่ของหัวหน้าหมู่บ้าน”

“ท่านพี่ ข้าเป็นลมเช่นนี้คงทำงานต่อไปไม่ได้ เราจะได้ส่วนแบ่งอาหารหรือไม่เจ้าคะ”

ในฐานะที่เป็นสะใภ้ หลี่อ้ายมีความกังวลขึ้นมาทันทีเมื่อได้รับคำตอบ ถ้าไม่ได้ส่วนแบ่งอาหารแล้วตนเองยังมาล้มป่วย คาดว่าครอบครัวคงแย่ยิ่งกว่านี้

“สะใภ้จาง ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะให้ส่วนแบ่งธัญพืชกับเจ้าเหมือนเดิม ป่วยก็กลับไปพักให้หายก่อน ถ้าดันทุรังทำงานต่อไป ข้าเกรงว่าร่างกายเจ้าคงย่ำแย่จนลุกไม่ขึ้นเป็นแน่” ซุนซูเย่ ลูกชายหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยขึ้น เขายิ้มปลอบใจและเดินกลับไปกินข้าวกับครอบครัวตนเองอีกมุมหนึ่ง

“ขอบคุณพี่ซูเย่ พวกข้าเกรงใจพี่ซูเย่ยิ่งนัก” จางอี้เทาเอ่ยด้วยความเกรงใจ ครอบครัวเขาทำงานก็ไม่ใช่จะได้เต็มที่ เนื่องจากไม่เคยมีใครต้องทำงานหนักมาก่อน งานอันใดที่ได้รับมอบหมายมา ก็ช้ากว่าชาวบ้านคนอื่น แต่ซุนซูเย่ก็ไม่เคยเอ่ยตำหนิ ทั้งยังคอยให้กำลังใจรวมถึงสอนงานต่าง ๆ มากมาย

“อาเทา เจ้ามากินข้าวก่อนเถอะ ตอนบ่ายจะได้ไปทำงานได้ตามปกติ ยิ่งอาเย่ไม่ตำหนิเรา ยิ่งต้องเกรงใจ” นางหูเอ่ย 

“หลี่อ้าย เจ้าลุกขึ้นไหวหรือไม่ ลุกมากินข้าวก่อน เสร็จแล้วข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน คงต้องให้พักตามที่อาเย่บอก ไม่เช่นนั้นเกิดเจ้าล้มป่วยไปมากกว่านี้ คงไม่ดีเป็นแน่”

“ท่านแม่ หมิงเอ๋อร์ ท่านกินข้าวหรือยังขอรับ”

“แม่กับอาหมิงก็ยังไม่ได้กินเช่นกัน แม่รีบเอาข้าวมาส่งให้ลูกก่อน”

“เช่นนั้น พวกเรามากินด้วยกันเถอะขอรับ” 

จางอี้เทาเสนอ เขาชวนให้ทุกคนกินข้าวด้วยกันพร้อมหน้า ถึงแม้ว่าอาหารที่มีจะเป็นแค่โจ๊กธัญพืชผักป่า แต่เมื่อทำงานหนักและความหิวมาเยือน ทันทีที่ได้ลิ้มรสคำแรก ก็ชวนให้รู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย

ขอบคุณท่านเทพทั้งหลายที่ยังให้พวกข้ามีข้าวกินในวันนี้

จางอี้เทากล่าวขอบคุณสวรรค์ในใจเงียบ  ๆ

แต่ไม่ใช่กับจางอี้หมิง เขาจะไม่ยอมทนกินอาหารหมูแบบนี้แน่

คิดสิคิด ในการหาข้อมูลต่าง ๆ ที่เราเคยทำมาก่อน ต้องเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์

สิ่งแรกคือต้องไปหาของกินในป่า นิยายเรื่องไหน ๆ ของกินหรือสมุนไพรล้ำค่ามักอยู่บนเขาทั้งนั้น

เห็นทีเขาต้องขึ้นเขาโดยเร็วซะแล้ว

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status