แคว้นที่เขาอาศัยอยู่นี้มีชื่อว่าแคว้นฉิน มีการปกครองด้วยองค์จักรพรรดิ เมืองหลวงมีชื่อว่า ซูโจว ที่นั่นเคยเป็นบ้านของเขาก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านหลัวถง ซึ่งเป็นหมู่บ้านหนึ่งในเมืองไห่ถัง เมืองเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีสิ่งใดนัก แม้แต่การเดินทางจากเมืองหลวงมายังหมู่บ้านหลัวถงเองก็ใช้เวลานานกว่าสิบวัน
ขณะนี้ บ้านเมืองอยู่ในช่วงสงบศึกหลังสงครามเพียงแค่ สิบห้าปี อาหารจึงยังไม่เพียงพอ แรงงานยังคงขาดแคลน แต่ศิลปะการแสดงเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
สำหรับการเดินทางจากหมู่บ้านหลัวถงเข้าไปในเมืองไห่ถัง ใช้เวลาเดินเท้าหนึ่งชั่วยาม หากเดินทางด้วยเกวียนจะใช้เวลาเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าเป็นรถม้าหรือม้า ก็จะย่นระยะเวลาไปอีกครึ่งหนึ่งของการเดินทางด้วยเกวียน
ค่าแรงชาวบ้านทั่วไปขั้นต่ำอยู่ที่ยี่สิบอีแปะต่อวัน โดยคนจ้างไม่ได้เลี้ยงอาหาร ชาวบ้านกินอาหารวันละสองมื้อ คือมื้อแรกเวลาประมาณ ยามอู่ (11.00 – 12.59) มื้อสุดท้ายประมาณยามโหย่ว (17.00 – 18.59) การซื้อขายสินค้าจ่ายเป็นเงินตำลึง
ครอบครัวจางไปรับจ้างทำงานในไร่ของหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อแลกกับธัญพืชโดยไม่รับเงินค่าจ้างแต่อย่างใด
ค่าเงินหนึ่งพันอีแปะ เท่ากับหนึ่งตำลึง และสิบตำลึง เท่ากับหนึ่งตำลึงทอง
เครื่องปรุงมีเพียงเกลือและน้ำตาลเท่านั้น ซึ่งมันก็มีราคาแพงมาก ชาวบ้านยากจนเช่นครอบครัวของเขาในตอนนี้ถึงไม่มีเครื่องปรุงใช้เลย อย่าว่าแต่เครื่องปรุงเลย แค่ธัญพืชหยาบก็หาได้ยากแล้ว
สำหรับวิธีการปรุงอาหาร ชาวบ้านรู้จักแค่การต้ม ย่าง นึ่ง อบ เพียงเท่านั้น
ชาวบ้านมีอาชีพหาของป่า สมุนไพร เกษตรกรรมและการประมง เพราะหมู่บ้านหลัวถงด้านหลังติดภูเขา ด้านหน้าติดทะเล ช่างเหมาะจะเป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจโดยแท้
สำหรับอาชีพประมง มีชาวบ้านเพียงไม่กี่หลังที่มีเรือหาปลา นอกจากนั้นจะเป็นการจับปลาจากการดำน้ำและใช้แห ปกติแล้ว คนหาปลาจะนำปลาไปขายในเมืองด้วยตนเอง แต่ชาวบ้านทั่วไปมักนำสิ่งของที่หามาได้ไปขายให้กับท่านลุงผิง ชายแก่วัยเกือบห้าสิบปีที่มีเกวียนรับคนจากหมู่บ้านเข้าเมือง โดยคิดค่านั่งเกวียนไปและกลับคนละสิบอีแปะ ลุงผิงจะนำสินค้าไปขายในเมืองอีกที นอกจากนี้ ลุงผิงยังรับซื้อของในเมืองกลับมาขายในหมู่บ้านด้วย
บ้านของครอบครัวจางอยู่ตรงท้ายหมู่บ้าน ติดกับภูเขามีข้อดีคือไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับชาวบ้าน ข้อเสียคืออาจจะมีสัตว์ร้ายหลงเข้ามาทำร้ายร่างกาย แต่ก็ยังไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น หมู่บ้านนี้มีจำนวนสามสิบหมู่ ถือว่ามีพื้นที่กว้างขวางพอสมควร ตอนนี้ครอบครัวของเขายังไม่ได้ทำสิ่งใดเพราะย้ายมาได้เพียงเดือนกว่า จางอี้หมิงก็ล้มป่วย หัวหน้าหมู่บ้านจึงแนะนำให้เพาะปลูกในปีหน้า อีกอย่างเพราะกำลังจะเข้าฤดูเหมันต์แล้วด้วย
“ท่านย่าขอรับ ท่านแม่จะทำงานในไร่ได้หรือไม่ขอรับ”
“หมิงเอ๋อร์ ย่าก็ไม่รู้เหมือนกัน แม่ของเจ้าเป็นหญิงสาวในห้องหอ งานหนักไม่เคยได้จับ ย่าก็หวังว่าแม่ของเจ้าจะไม่เป็นอะไร” นางหูก้มลงตอบคำถามของหลานชายด้วยสีหน้าวิตกกังวล
“ข้าจะรีบโตขอรับ ข้าจะหาเงินมาให้ท่านย่า ท่านพ่อ กับท่านแม่เยอะ ๆ เลยขอรับ”
“หมิงเอ๋อร์ เจ้าช่างเป็นเด็กดี กตัญญูรู้คุณคนยิ่ง ย่าจะรอวันนั้นนะ แต่ตอนนี้ย่าว่าพวกเรารีบเดินไปให้ถึงไร่ก่อนดีหรือไม่ ท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าคงหิวข้าวแล้วเป็นแน่”
“ดียิ่งขอรับ”
บทสนทนาจบลงเท่านั้น สองย่าหลานรีบเร่งฝีเท้าขึ้นอีกเท่าตัว หวังว่าจะไปถึงไร่ทันเวลาพักของจางอี้เทาและหลี่อ้าย แต่เมื่อเดินทางมาจนจวนจะถึงแคร่ไม้สำหรับพักผ่อน เสียงเซ็งแซ่ก็ดังออกมาจากกลุ่มชาวบ้านที่ยืมรวมตัวกัน จางอี้หมิงและนางหูมองหน้ากันด้วยความสงสัยก่อนจะเดินเข้าไป
“เกิดอะไรขึ้น” หูไป๋หงเอ่ยถาม นางจูงมือหลานชายเดินเข้าไปหา เมื่อเห็นว่าชาวบ้านกำลังโบกไม้โบกมือเหมือนเรียก
“สะใภ้จางน่ะสิ คงเป็นลมแดด” ชาวบ้านคนหนึ่งตอบ ก่อนคนที่เหลือจะเดินแยกย้ายกันไปพักผ่อนและแกะห่อข้าวออกมากิน เหลือเพียงครอบครัวจางเท่านั้น นางหูรีบเดินเข้าไปหา วางห่อข้าวที่ต้องนำมาส่งไว้บนแคร่ไม้ไผ่
“อาเทา สะใภ้เป็นเช่นใดบ้าง”
“ท่านแม่ น้องหญิงเป็นลมแดดไปกว่าสองเค่อแล้วขอรับ ทำยังไงก็ไม่ฟื้น ข้าว่าเราไปตามหมอผิงมาดูอาการดีหรือไม่ขอรับ”
“อย่าเพิ่ง ขอแม่ดูอาการนางก่อน” นางหูลงมือบีบนวดและใช้ใบไม้แถวนั้นมาพัด ผ่านไปชั่วอึดใจ สะใภ้จางจึงเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา
“ฟื้นแล้ว ท่านแม่ฟื้นแล้วขอรับ” เป็นจางอี้หมิงที่นั่งใกล้มารดาของตนเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจ เด็กชายรีบร้องเรียกมารดา
“หมิงเอ๋อร์ ท่านแม่ ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” หลี่อ้ายคว้าตัวบุตรชายมาสวมกอดไว้หลวม ๆ ก่อนจะคลายวงแขน นางหันไปมองสมาชิกในครอบครัวที่เหลือแล้วถามออกมา
“น้องหญิง เจ้าเป็นลมแดด ตอนนี้เรายังอยู่ที่ไร่ของหัวหน้าหมู่บ้าน”
“ท่านพี่ ข้าเป็นลมเช่นนี้คงทำงานต่อไปไม่ได้ เราจะได้ส่วนแบ่งอาหารหรือไม่เจ้าคะ”
ในฐานะที่เป็นสะใภ้ หลี่อ้ายมีความกังวลขึ้นมาทันทีเมื่อได้รับคำตอบ ถ้าไม่ได้ส่วนแบ่งอาหารแล้วตนเองยังมาล้มป่วย คาดว่าครอบครัวคงแย่ยิ่งกว่านี้
“สะใภ้จาง ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะให้ส่วนแบ่งธัญพืชกับเจ้าเหมือนเดิม ป่วยก็กลับไปพักให้หายก่อน ถ้าดันทุรังทำงานต่อไป ข้าเกรงว่าร่างกายเจ้าคงย่ำแย่จนลุกไม่ขึ้นเป็นแน่” ซุนซูเย่ ลูกชายหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยขึ้น เขายิ้มปลอบใจและเดินกลับไปกินข้าวกับครอบครัวตนเองอีกมุมหนึ่ง
“ขอบคุณพี่ซูเย่ พวกข้าเกรงใจพี่ซูเย่ยิ่งนัก” จางอี้เทาเอ่ยด้วยความเกรงใจ ครอบครัวเขาทำงานก็ไม่ใช่จะได้เต็มที่ เนื่องจากไม่เคยมีใครต้องทำงานหนักมาก่อน งานอันใดที่ได้รับมอบหมายมา ก็ช้ากว่าชาวบ้านคนอื่น แต่ซุนซูเย่ก็ไม่เคยเอ่ยตำหนิ ทั้งยังคอยให้กำลังใจรวมถึงสอนงานต่าง ๆ มากมาย
“อาเทา เจ้ามากินข้าวก่อนเถอะ ตอนบ่ายจะได้ไปทำงานได้ตามปกติ ยิ่งอาเย่ไม่ตำหนิเรา ยิ่งต้องเกรงใจ” นางหูเอ่ย
“หลี่อ้าย เจ้าลุกขึ้นไหวหรือไม่ ลุกมากินข้าวก่อน เสร็จแล้วข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน คงต้องให้พักตามที่อาเย่บอก ไม่เช่นนั้นเกิดเจ้าล้มป่วยไปมากกว่านี้ คงไม่ดีเป็นแน่”
“ท่านแม่ หมิงเอ๋อร์ ท่านกินข้าวหรือยังขอรับ”
“แม่กับอาหมิงก็ยังไม่ได้กินเช่นกัน แม่รีบเอาข้าวมาส่งให้ลูกก่อน”
“เช่นนั้น พวกเรามากินด้วยกันเถอะขอรับ”
จางอี้เทาเสนอ เขาชวนให้ทุกคนกินข้าวด้วยกันพร้อมหน้า ถึงแม้ว่าอาหารที่มีจะเป็นแค่โจ๊กธัญพืชผักป่า แต่เมื่อทำงานหนักและความหิวมาเยือน ทันทีที่ได้ลิ้มรสคำแรก ก็ชวนให้รู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย
ขอบคุณท่านเทพทั้งหลายที่ยังให้พวกข้ามีข้าวกินในวันนี้
จางอี้เทากล่าวขอบคุณสวรรค์ในใจเงียบ ๆ
แต่ไม่ใช่กับจางอี้หมิง เขาจะไม่ยอมทนกินอาหารหมูแบบนี้แน่
คิดสิคิด ในการหาข้อมูลต่าง ๆ ที่เราเคยทำมาก่อน ต้องเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์
สิ่งแรกคือต้องไปหาของกินในป่า นิยายเรื่องไหน ๆ ของกินหรือสมุนไพรล้ำค่ามักอยู่บนเขาทั้งนั้น
เห็นทีเขาต้องขึ้นเขาโดยเร็วซะแล้ว
เวลาสำหรับมื้ออาหารผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว เมื่อกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางหูและจางอี้หมิงจึงพาหลี่อ้ายกลับบ้าน เด็กน้อยบอกลาจางอี้เทาที่กำลังกลับไปทำงานตามปกติ พวกเขาเดินตามเส้นทางเดิม แต่เพราะขากลับมีคนป่วยมาด้วย การเดินทางจึงช้าลงไปเกือบเท่าตัว “หลี่อ้าย นอนพักตรงนี้ก่อน แม่จะไปเอาน้ำมาให้เจ้าดื่ม” หูไป๋หงเอ่ยกับลูกสะใภ้ นางให้หลี่อ้ายนั่งรอใต้ร่มไม้ก่อนจะเดินไปตักน้ำ พวกเขาเดินกันมาได้สักพักแล้ว จางอี้หมิงมองไปรอบ ๆ เมื่อไม่รู้ว่าตรงนี้คือที่ใดและเวลาใดจึงเอ่ยถาม“ท่านย่าขอรับ ตอนนี้ยามไหนแล้วขอรับ”“น่าจะยามเว่ย (13.00 – 14.59) นะหมิงเอ๋อร์ มีอะไรหรือ”“ข้าอยากขึ้นเขาไปหาผักป่าหรือของกินขอรับ ถ้าเรารีบไปตอนนี้อาจจะหาอะไรมากินได้บ้างก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน” “ไม่ได้นะหมิงเอ๋อร์ เจ้าเพิ่งฟื้นขึ้นมาวันนี้ เหตุใดจึงดื้อรั้นอยากออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก รอให้บิดาของเจ้ากลับมาจากไร่เสียก่อน ถ้าบิดาเจ้าไม่อนุญาต ย่าก็ไม่อนุญาตเช่นกัน ตอนนี้มารดาเจ้าล้มป่วยอยู่คนหนึ่งแล้ว หากเจ้าต้องมาล้มป่วยอีกคน ครอบครัวเราคงรับไม่ไหวแน่” นางหูถึงกับปฏิเสธทันควัน สถานการณ์ตอนนี้เป็นดังคำที่นางว่า คร
นางหูและจางอี้หมิงช่วยกันเก็บผักบุ้งมาได้พอประมาณ ทั้งสองรีบกลับไปหาหลี่อ้าย ก่อนจะพากันเดินกลับไปยังบ้านของตนเอง เพียงไม่นาน หัวหน้าครอบครัวก็เดินกลับเข้าบ้านพร้อมธัญพืชหยาบที่ได้จากการไปทำงานในวันนี้“ท่านแม่ เข้าบ้านก่อนเถอะขอรับ แล้วข้าจะเล่าให้ฟัง”จางอี้เทาเดินเอาห่อธัญพืชหยาบกับห่อเนื้อสัตว์วางไว้กลางบ้าน เขานั่งลงเพื่อพักผ่อนจากอาการปวดล้า จางอี้หมิงเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งไปหยิบน้ำมาให้บิดา เขาไม่ลืมเอาผ้าเช็ดหน้าพร้อมขันน้ำใบเล็กมาด้วย“หมิงเอ๋อร์ ช่างเป็นเด็กดีเสียจริง ขอบใจเจ้ามาก”“ไม่เป็นไรขอรับ ข้ารักท่านพ่อ ท่านพ่อทำงานเหนื่อย ข้าอยากช่วยท่านพ่อทำงานขอรับ” “อาเทา นี่มัน....” นางหูที่เดินเข้าไปดูห่อผ้าถึงกับเอ่ยถามด้วยความแปลกใจสิ่งที่นางเห็นในตอนนี้คือเนื้อสัตว์แน่ ๆ ถึงแม้ว่าจะมีส่วนเนื้อติดประปราย ที่เหลือมีแต่ไขมันเป็นส่วนมากก็เถอะ แต่ก็มีค่ามากนัก เนื้อชินนี้หากกะด้วยสายตาก็น่าจะประมาณเกือบห้าชั่ง“มีอะไรหรือเปล่าอาเทา”“วันนี้ทำงานที่ไร่วันสุดท้ายแล้วขอรับ พืชผลเก็บเกี่ยวหมดแล้ว ท่านพี่เย่จ่ายค่าจ้างเป็นธัญพืชตามที่เราแจ้งไป แต่ท่านพี่เย่คงสงสารบ้านเรา จึงแบ่งเนื้อ
ภายในกระท่อมปลายนาหลังเล็กที่บัดนี้ถูกจับจองให้เป็นบ้านของตระกูลจาง เสียงสะอื้นของหญิงสาวดังออกมาจากตัวบ้านไม่ขาดสาย นางกำลังร้องไห้กอดบุตรชายไว้แนบอก ร่างกายของเด็กชายตัวน้อยในอ้อมแขนผอมแห้งจนแทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก มีเพียงลมหายใจผะแผ่วเท่านั้นที่บ่งบอกถึงการมีชีวิตอยู่ให้คนเป็นแม่ได้อุ่นใจ เจ้าตัวน้อยนอนหลับใหลไม่ได้สติมาร่วมเดือนแล้ว การเดินทางจากเมืองหลวงมาหลัวถงเพื่อเริ่มชีวิตใหม่ต้องผ่านแนวภูเขามากมาย เด็กชายที่ไม่มีภูมิต้านทานมากพอจึงป่วยหนักเป็นไข้ป่า “หมิงเอ๋อร์ ตื่นได้แล้ว เจ้านอนขี้เซาเกินไปแล้วนะ” นางร้องเรียก “รีบตื่นมาเถิด แม่ปวดใจยิ่งนัก” “หมิงเอ๋อร์ลูกแม่...” นางซุกหน้าลงแนบแก้มบุตรชาย อ้อนวอนเหล่าเทพเซียนให้ช่วยเหลือ เสียงหวานปนเศร้าที่ร้องไห้เบา ๆ ดังชัดขึ้นมาในโสตประสาท เขาได้ยินเสียงเธอร้องเรียกใครสักคนอย่างอาวรณ์ น้ำเสียงนั้นห่วงหาเสียจนชวนให้ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น อยากลืมตาขึ้นมามองดูเสียให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ยังฝืนลืมตาขึ้นมาไม่ได้ “น้องหญิง อย่าได้ร่ำไห้เช่นนี้ หมิงเอ๋อร์จะเสียใจเอานะ” เสียงทุ้มที่เอ่ยปลอบประโลมอย่างอ่อนโยนชวนให้อยากรู้มาก
เมื่อพลบค่ำมาถึง จางอี้เทานั่งเหม่อมองตะวันที่กำลังลับขอบฟ้า แสงสีส้มช่างให้ความรู้สึกที่เศร้าหมองเหมือนดั่งครอบครัวของเขาในตอนนี้ ครอบครัวจางแต่เดิมพื้นเพเป็นคนเมืองหลวง ถึงแม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้เป็นบุตรชายของฮูหยินเอกเพราะนางหูไป๋หงนั้นเป็นเพียงฮูหยินรองของคหบดีค้าผ้า แต่บิดากลับรักใคร่มารดาเขามากกว่าใคร ส่งผลให้ตัวเขาได้รับความรักความโปรดปรานจากบิดาไม่น้อย เขาได้รับการศึกษาเล่าเรียนดั่งคุณชายคนหนึ่งจนสำเร็จเป็นบัณฑิต ต่อมาก็ทำงานเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษา เมื่อถึงเวลาแต่งงานมีครอบครัว บัณฑิตหนุ่มก็พบรักกับหลี่อ้าย ลูกสาวร้านผ้าปักที่เป็นคู่ค้ากับตระกูลมาช้านาน เมื่อแต่งงานกันได้หนึ่งปี ก็มีจางอี้หมิงเป็นโซ่ทองคล้องใจ สิ่งเหล่านี้สร้างความไม่พอใจให้กับฮูหยินใหญ่ นางคิดเสมอว่าฮูหยินรองและบุตรชายไม่สมควรเทียบเคียงนางซึ่งถูกยกย่องเป็นเมียเอก หลังจากที่บิดาถูกโจรดักปล้นและเสียชีวิตในระหว่างเดินทางไปทำการค้าต่างเมือง ฮูหยินใหญ่ไม่แม้แต่จะให้เขาและมารดาได้ทำพิธีเคารพศพบิดาเป็นครั้งสุดท้าย นางมอบหนังสือแยกบ้านรองออกจากตระกูลหลัก หยิบยื่นเงินให้เพียงเล็กน้อยและไล่พวกเขามาอยู่บ้านบรรพบุรุษที่ห
ในคืนนั้น ชายที่อยู่ในร่างเด็กน้อยนามจางอี้หมิงได้ฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้ง ข้างกายมีนางหูไป๋หง ท่านย่าของร่างนี้นอนอยู่ข้าง ๆ เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ เตียงนอนเป็นแคร่ไม้ไผ่ ตัวเขานอนกับนางหู ส่วนบิดามารดานอนถัดไปอีกแคร่ที่อยู่ใกล้ๆ เขานอนเรียบเรียงความคิดเงียบ ๆ คนเดียว จนความทรงจำของร่างใหม่และความทรงจำเดิมผสานกันอย่างสมบูรณ์ อานนท์ วังศรีซ้าย คือเขาในโลกเดิม ก่อนที่จะมาอาศัยอยู่ในร่างจางอี้หมิง เขาเติบโตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า บ้านอุ่นไอรัก เรียนจบแค่ชั้น ปวส. การตลาดภาคค่ำ เขาไม่ใช่คนที่เรียนเก่งหรือหน้าตาโดดเด่นอะไรเลย เป็นมนุษย์ที่พบเห็นได้ทั่วไปอย่างดาษดื่น แต่ถึงกระนั้น เขากลับเป็นคนที่มีฝีมือการทำอาหารในระดับที่น่าจับตามอง ไม่ได้อยากจะคุยโว แต่ลูกค้าหลายคนถึงกับออกปากแนะนำว่าเขาควรไปแข่งซูเปอร์เชฟไทยแลนด์เลยทีเดียว เขามีลูกค้าประจำหลายสิบคนแวะเวียนมาอุดหนุน ทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่เวียนไปเรื่อย ๆ พอได้มีเงินใช้ ชีวิตราบเรียบ ไม่มีอะไรโลดโผนตื่นเต้นเหมือนในหนัง ส่วนอาชีพรองคือนักวิจัยข้อมูล ก็พูดไปซะหรูอย่างงั้นแหละ ความจริงแล้วมันคือการรับจ้างค้นคว้าหาข้อมูลในอากู๋นั
อานนท์ในร่างเจ้าตัวน้อยนามจางอี้หมิงนอนคิดทบทวนเรื่องราวไปมาอยู่กว่าสองชั่วโมงจึงได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เขาพยักหน้าบอกตนเองให้ทำใจยอมรับและสุดท้ายก็นอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงมารดาเอ่ยเรียกชื่อ“หมิงเอ๋อร์ ตื่นได้แล้ว เจ้านอนนานไปแล้วนะ ลุกขึ้นมาคุยกับแม่หน่อยเถอะ” เสียงหวานปนเศร้าปลุกให้จางอี้หมิงลืมตาขึ้นด้วยความงัวเงีย“ท่านแม่...” “หมิงเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว” ดวงตาของผู้เป็นแม่เบิกกว้าง รอยยิ้มสวยผุดขึ้นบนใบหน้างาม “รอเดี๋ยวนะ แม่ไปบอกท่านพ่อของเจ้าก่อน”หลี่อ้ายรีบลุกขึ้นยืน นางเดินแกมวิ่งออกจากห้อง ปล่อยให้บุตรชายนอนรออย่างเงียบสงบ ดวงตากลมโตมองตามร่างของนางไปจนพ้นขอบประตู ได้แต่กระพริบตาปริบ ๆเขาเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบห้าปีที่ในตอนนี้ต้องมาทำตัวเป็นเด็กห้าขวบ ก็ไม่เท่าไรหรอก ต่างกันแค่ยี่สิบปีปีเอง...ซะที่ไหนล่ะเมื่อครู่แค่ตื่นมาปั้นหน้าซื่อ ๆ ตาใส ๆ ยังยากแทบแย่ จะแนบเนียนหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เพื่อความอยู่รอด เขาคงต้องปรับตัวครั้งใหญ่และคอยบอกตัวเองให้ยอมรับว่าตอนนี้เขาไม่ใช่อานนท์ วังศรีซ้าย แต่คือ จางอี้หมิง เด็กน้อยอายุห้าขวบ“หมิงเอ๋อร์ฟื้นแล้ว
“ท่านพี่ วันนี้ช่างเป็นวันดียิ่งนัก หมิงเอ๋อร์ฟื้นแล้ว ข้าคิดว่าจะไปช่วยท่านพี่ทำงานในไร่ของหัวหน้าหมู่บ้าน เราไปทำสองคนอาจจะได้ธัญพืชเพิ่ม” หลี่อ้ายพูดขึ้นก่อนจะถามความเห็นสามี “ให้หมิงเอ๋อร์อยู่กับท่านแม่ ท่านพี่เห็นเป็นเช่นไรเจ้าคะ” “น้องหญิง แต่เจ้าไม่เคยได้ทำงานพวกนี้มาก่อน พี่กลัวว่าเจ้าจะเจ็บไข้ไปอีกคน มือของเจ้าเคยจับแต่เข็มปักผ้า จะให้ไปจับจอบจับเสียม แล้วเจ้าจะทำได้เช่นไร”“ท่านพี่ก็ไม่เคยจับจอบจับเสียม เคยแต่จับพู่กัน เพื่อครอบครัวแล้วท่านยังทำได้ ข้าก็จะเป็นเช่นท่านพี่” เสียงหวานตอบด้วยความอ่อนโยน นางคว้ามือหนามากอบกุมเอาไว้ “เราเป็นครอบครัวเดียวกัน หมิงเอ๋อร์ฟื้นขึ้นมาแล้ว เราต้องการอาหาร อีกอย่าง ฤดูหนาวกำลังจะมาถึง ถ้าไม่ตุนเสบียงเอาไว้มาก ๆ ข้าเกรงว่าพวกเราคงผ่านฤดูหนาวปีนี้ไปไม่ได้ ท่านพี่ให้ข้าได้ลองไปดูก่อนเถิดนะเจ้าคะ”“อาเทา แม่จะดูแลหมิงเอ๋อร์ให้เอง พวกเจ้าไปทำงานให้สบายใจเถอะ” หูไป๋หงพูดเสริม สายตามองมายังบุตรชายที่กำลังคิดหนัก“ได้ งั้นก็ตกลงตามนี้”สุดท้ายแล้ว จางอี้เทาก็ยินยอม เขาเองคิดมาสักพักแล้วเช่นกันว่าจะผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างไร“ท่านแม่ ข้าขอโทษ น้
อาจจะเพราะเพิ่งฟื้นไข้และร่างกายนี้ก็ไม่ค่อยแข็งแรง จากที่กำลังงอนบิดาอยู่ดี ๆ จางอี้หมิงก็หลับไปจริง ๆ เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงใครสักคนกำลังทำอะไรบางอย่าง เด็กน้อยจึงลุกขึ้นเดินไปทางหลังบ้าน ล้างหน้าล้างตาให้ปลอดโปร่งและเริ่มมองหาต้นตอของเสียงน่าสงสัยเดินมาไม่นาน เด็กชายก็เห็นท่านย่าของตนเองกำลังตัดฟืนจากไม้อันเล็ก ๆ นางตัดไว้จำนวนเยอะพอสมควร“ท่านย่า ตัดฟืนหรือขอรับ”“อ้าว หมิงเอ๋อร์ ตื่นแล้วหรือ รู้สึกอย่างไรบ้าง”“ข้าสบายดีขอรับ แข็งแรงขึ้นมาก ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย ข้าสามารถวิ่งรอบบ้านได้สามรอบเลยขอรับ” จางอี้หมิงตอบหญิงชรา เขาวิ่งไปรอบ ๆ ย่าของตนเพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ได้พูดเกินจริง“หมิงเอ๋อร์ พอก่อน ย่าเชื่อแล้ว ไม่ต้องวิ่งให้เหนื่อย มา ๆ ช่วยย่าเอาฟืนเข้าไปในบ้าน ย่ากำลังจะทำอาหารไปส่งให้พ่อกับแม่ของเจ้าที่ทำงานในไร่”จางอี้หมิงได้ยินดังนั้นจึงหยุดวิ่ง เขาเดินไปช่วยหูไป๋หงเก็บฟืนเข้าบ้าน นำไปวางใกล้ ๆ กับพื้นที่ซึ่งแยกไว้เป็นส่วนครัว “โอ้โหท่านย่า เก่งมากเลยขอรับ ท่านย่าจุดไฟได้”จางอี้หมิงเอ่ยชม จากความทรงจำที่ได้รับมา ท่านย่าของเขาไม่เคยเข้าครัวทำอาหาร ไม่เคยต้องทำ