สองย่าหลานช่วยกันถือห่อธัญพืชและเนื้อเลวเดินเข้าไปในครัว นางหูคิดไม่ตกว่าเนื้อที่อุดมไปด้วยไขมันจะกลายมาเป็นเนื้อสวรรค์ได้อย่างไร เมื่อมาถึงที่หมาย จางอี้หมิงจึงบอกให้ท่านย่าทำตาม ด้วยขนาดตัวที่เล็กเท่าเด็กห้าขวบ จะให้มาทำอาหารก็คงจะเป็นไปไม่ได้
แค่จะจับหม้อหรือกระทะ ก็ยกไม่ขึ้นแล้ว เขายังไม่อยากตายซ้ำสองเร็ว ๆ นี้หรอกนะ“ท่านย่า เตานี้สำหรับต้มโจ๊กธัญพืช ส่วนเตานี้ทำน้ำมันนะขอรับ ท่านย่าตัดเอาส่วนเนื้อออกไว้ก่อนนะขอรับ ส่วนวิธีทำง่ายมาก ขั้นแรกคือตั้งกระทะให้ร้อน ใช้ไฟแรง ๆ ในตอนแรก แล้วใส่ไขมันทั้งหมดลงไป เติมน้ำเปล่าลงไปเล็กน้อย เสียดายที่ไม่มีเกลือ แต่ไม่ใส่ก็ไม่เป็นไรขอรับ แล้วค่อย ๆ คนให้ทั่ว ถ้าน้ำมันเริ่มออก เราจะเปลี่ยนไปใช้ไฟกลาง ต้องค่อย ๆ คน ป้องกันไม่ให้มันแตก ความร้อนจะทำให้ไขมันละลายออกมา เราจะเอาน้ำมันที่ออกมาจากไขมันนี้ไปทำอาหารขอรับ”
“ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือหมิงเอ๋อร์”
“ง่ายขนาดนั้นเลยขอรับท่านย่า แต่ว่าต้องใช้เวลานานมากกว่าจะเจียวน้ำมันออกมาจนหมด ท่านย่าอาจจะต้องเมื่อยมือหน่อยนะขอรับ ส่วนกากไขมันที่ได้ เราจะเอาไปใส่ในผัดผักบุ้งขอรับ”
ได้ยินดังนั้น นางหูก็เริ่มทำการเจียวน้ำมันตามที่หลานชายบอก ถึงแม้จะเงอะงะในตอนแรก แต่จางอี้หมิงที่เป็นนักทำอาหารมาก่อนก็คอยประกบไม่ห่าง การเจียวเอาน้ำมันมาใช้จึงสำเร็จไปได้ด้วยดี
“ท่านย่าขอรับ ตักน้ำมันที่ได้ออกมาพักไว้ให้เย็นก่อน เราสามารถเก็บน้ำมันไว้ทำอาหารได้หลายอย่างเลยขอรับ”
“ได้ ๆ แล้วกากอันนี้ละหมิงเอ๋อร์ ต้องเอาไปทำอะไร”
“ท่านย่า กากนี้เรียกว่ากากเนื้อหมู เราจะเอามาใส่ในผัดผักบุ้ง ท่านย่าแยกเอาไว้ต่างหากก่อนนะขอรับ บ้านเราพอจะมีกระเทียมกับขิงไหมขอรับ”
“กระเทียมหรือ มีนะ อันนี้เราหาได้ตามป่า”
“โอ้ ดียิ่งขอรับ ท่านย่าทุบกระเทียมให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ เมื่อน้ำมันร้อนแล้ว เอากระเทียมลงไปเจียว พอกระเทียมเริ่มเหลือง ใส่ผักบุ้งลงไป ตามด้วยเครื่องเทศสักเล็กน้อยแล้วก็คนเร็ว ๆ” หมิงเอ๋อร์อธิบาย “ท่านย่าสุมไฟแรง ๆ เลยนะขอรับ ผัดไม่ต้องนาน”
“หมิงเอ๋อร์ ผัดแค่นี้พอไหม” นางหูเงยหน้าขึ้นจากเตาเพื่อเอ่ยถามหลานชาย
การปรุงอาหารมาถึงขั้นตอนใส่ผักบุ้งและเครื่องเทศลงไปแล้ว เด็กน้อยชะเง้อคอมอง ท่าทีราวกับพ่อครัวจากร้านอาหารชื่อดัง
“ท่านย่า พอแล้วขอรับ ผัดนานผักบุ้งจะเหนียวและไม่อร่อย ท่านย่าอย่าลืมโรยด้วยกากเนื้อหมูนะขอรับ” พ่อครัวตัวน้อยเอ่ยสำทับท่านย่าอีกครั้ง
“กลิ่นอันใดถึงได้หอมออกไปถึงข้างนอก” จางอี้เทาที่เสร็จจากอาบน้ำเดินเข้ามาในส่วนครัวเพราะได้กลิ่นหอมจากอาหาร มันเป็นกลิ่นที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
“ท่านพ่อกลับมาแล้วหรือขอรับ นี่คือผัดผักบุ้งไฟแดงใส่เครื่องเทศขอรับ รับรองท่านพ่อต้องเติมข้าวสองถ้วยแน่นอน”
“เช่นนั้นหรือ โอ้อวดไปหรือไม่” จางอี้เทาเอ่ยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ รู้สึกทั้งขบขันและเอ็นดูบุตรชายที่ยืดอกเล็ก ๆ ตอบบิดาด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องเหลือเกิน
“ท่านพี่ ท่านแม่ หมิงเอ๋อร์”
หลี่อ้ายเดินตามมา นางตื่นได้สักพักแล้ว อาการไข้เริ่มดีขึ้นหลังจากที่ได้นอนพักตลอดทั้งบ่าย ทำเอาสองพ่อลูกและท่านย่าพูดเป็นเสียงเดียวกัน
“น้องหญิงตื่นแล้ว!”
“ท่านแม่ตื่นแล้ว!”
“สะใภ้ เจ้าตื่นแล้ว!”
“เจ้าค่ะ กลิ่นหอมปลุกให้ข้าตื่น...”
“สะใภ้ เจ้าไปนั่งที่แคร่ก่อน เพิ่งตื่นขึ้นมาอาจจะยังวิงเวียน แม่ทำอาหารจานเนื้อไว้ หมิงเอ๋อร์เป็นคนสอนแม่ให้ทำ มีอะไรไว้ไปเล่าตอนกินข้าว อาเทา มาช่วยแม่ยกกับข้าวออกไปด้วย”
“ขอรับ”
นางหูตักโจ๊กธัญพืชใส่ถ้วยใบเล็ก ๆ ตามจำนวนคน และตักผัดผักบุ้งไฟแดงยื่นส่งให้ลูกชายเพื่อนำออกไปวางที่สำรับ เมื่อทุกคนนั่งล้อมวงกันแล้ว จางอี้เทาจึงเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก
“กลิ่นหอม หน้าตาใช้ได้ แต่ไม่รู้รสชาติจะอร่อยหรือไม่”
“ท่านพ่อ ข้ารับรองว่ามันต้องอร่อยขอรับ ผัดผักบุ้งจานนี้จะอร่อยมากกว่านี้ถ้าเรามีเกลือ พริกสด และเครื่องปรุงอย่างอื่น แต่แค่เครื่องเทศที่นำมาใช้แทนเครื่องปรุงก็พอได้ขอรับ เครื่องเทศให้ความหอมและรสเผ็ดร้อน ถึงแม้จะไม่มีเกลือ แต่ก็ดีกว่านำมาต้มกินขอรับ ท่านพ่อลองดูหน่อยนะขอรับ”
จางอี้หมิงอธิบายให้บิดาฟังพร้อมกับใช้ตะเกียบคีบผัดผักบุ้งใส่ลงไปในถ้วยโจ๊กของบิดา ดวงตาใสซื่อมองด้วยความคาดหวัง จางอี้เทาจึงปฏิเสธไม่ลง ต้องหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วคีบผักบุ้งชิ้นเล็ก ๆ ขึ้นมาลองแตะที่ริมฝีปาก เมื่อได้สัมผัสกับรสชาติที่ไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อน ประกอบกับบุตรชายที่กำลังมองมาด้วยสายตาลุ้นระทึก จางอี้เทาถึงกับกลั้นหายใจ พุ้ยผัดผักเข้าปากไป
“ท่านพ่อ เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“อร่อย มันอร่อยมาก พ่อไม่เคยได้กินอะไรแบบนี้มาก่อนเลย น้องหญิงเจ้าลองดู อร่อยมากเชียวล่ะ” จางอี้เทาเอ่ยตอบบุตรชาย ก่อนจะคีบผัดผักบุ้งวางลงไปบนถ้วยโจ๊กของภรรยา
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
“ท่านแม่ เป็นอย่างไรบ้างขอรับ” เด็กน้อยถามเมื่อเห็นมารดากินเข้าไปเต็มคำ
“อร่อยมาก หมิงเอ๋อร์ มันเรียกว่าอะไรนะ”
“ผัดผักบุ้งเครื่องเทศขอรับ ที่มันอร่อยเพราะเราปรุงอาหารด้วยการใช้น้ำมันมาผัด”
“น้ำมันเช่นนั้นเหรอ มันคืออะไร แม่พลาดสิ่งใดไปหรือไม่”
ลืมไปว่าท่านพ่อกับท่านย่ารู้เรื่องแล้ว แต่ท่านแม่ยังไม่รู้เพราะท่านแม่นอนป่วยอยู่นี่นา
“สะใภ้ไม่ต้องตกใจไป หมิงเอ๋อร์เล่าให้แม่ฟังว่าตอนที่ไม่สบาย ท่านเทพมาพาไปสวรรค์ และสอนความรู้ต่าง ๆ ให้มากมาย และยังรักษาโรคให้หมิงเอ๋อร์ด้วย การผัดและอาหารในวันนี้ ก็เป็นอาหารสวรรค์เช่นกัน”
“อะไรนะเจ้าคะ หมิงเอ๋อร์ เป็นความจริงหรือลูก โอ้! ขอบคุณสวรรค์ที่คืนหมิงเอ๋อร์ให้กับข้า” หลี่อ้ายถึงกับตาโตด้วยความตกใจ ในขณะเดียวกันนางก็ดีใจจนน้ำตาคลอที่ได้บุตรชายคืนกลับมา
“น้องหญิง เหตุการณ์มันผ่านไปแล้ว ตอนนี้หมิงเอ๋อร์สบายดี อย่าได้เป็นกังวลอีกเลย ห่วงแต่น้องหญิงเถอะ ไม่สบายแบบนี้ต้องพักผ่อนให้มาก ๆ ครอบครัวเราคงจะไม่ไหวถ้าน้องหญิงล้มป่วย”
“เจ้าค่ะท่านพี่ ข้าจะพยายามรักษาตัวดี ๆ นอนพักสักไม่กี่วันคงจะหายดีเจ้าค่ะ ไม่ต้องไปเรียกท่านหมอผิงนะเจ้าคะ”
“หมิงเอ๋อร์ อาหารวันนี้อร่อยมากจริง ๆ เรามีน้ำมันที่เจียวไว้อีกมาก คงกินไปได้อีกหลายมื้อ ผักบุ้งเราก็ไปเก็บเอาที่ริมบึง ใช่แล้ว มันยังมีผักอีกอย่างหนึ่งนี่ หมิงเอ๋อร์ทำเป็นใช่หรือไม่” นางหูเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น หลังจากที่ได้ลองชิมอาหารสวรรค์อย่างผัดผักบุ้งเครื่องเทศแล้วก็อยากลองผักอีกชนิดที่ว่า
“ทำเป็นขอรับท่านย่า แต่ว่าคงยังเอามาทำไม่ได้ ไข่น้ำถ้ามีเครื่องปรุงไม่ครบ มันจะมีกลิ่นคาว ข้าขอหาวิธีกลบกินคาวก่อนนะขอรับ” จางอี้หมิงตอบท่านย่าก่อนจะเอ่ยสำทับ
“อย่าลืมกินกากหมูด้วยนะขอรับ มันกรุบ ๆ อร่อยใช่ไหมขอรับ”
“อือ อือ อือ”
ทว่าเสียงที่ตอบกลับมามีเพียงเสียงอือในลำคอเท่านั้น เพราะตอนนี้ทั้งนางหู ลูกชายและลูกสะใภ้ ต่างกำลังตั้งหน้าตั้งตาคีบผัดผักบุ้งเครื่องเทศเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ครอบครัวจางเพลิดเพลินกับรสชาติอาหารสวรรค์ ปล่อยให้จางอี้หมิงแอบยกยิ้มคนเดียวเงียบ ๆ
ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านย่า
ต่อไปข้าจะทำให้ครอบครัวของเราดีขึ้นแน่นอนขอรับ
ข้าสัญญา
เช้าวันถัดมา หลังจากที่ตื่นนอนล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย จางอี้เทาซึ่งไม่ต้องไปทำงานในไร่ของหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว จึงเตรียมตัวขึ้นไปบนภูเขา เขาหวังจะได้ผักป่ามาไว้ทำอาหารและถ้าโชคดีอาจจะได้สมุนไพรมาขายเพื่อให้ครอบครัวมีเงินบ้าง“ท่านพ่อจะไปไหนขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามบิดา เขาเห็นจางอี้เทาถือมีดและแบกตะกร้าสานสะพายขึ้นหลังเตรียมตัวออกจากบ้าน“หมิงเอ๋อร์ พ่อจะขึ้นเขาไปหาผักป่า ถ้าโชคดีเราอาจจะได้สมุนไพรมาขาย” “ขึ้นเขาหรือขอรับ” จางอี้หมิงทวนคำก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าไปด้วยขอรับ”“ไม่ได้ หมิงเอ๋อร์เพิ่งหายป่วยเมื่อวาน เจ้าไปกับพ่อไม่ได้” จางอี้เทารีบห้าม ลูกของเขาตัวเท่านี้จะไปสันทัดการปีนเขาได้อย่างไร หากผลัดตกหกล้มบาดเจ็บขึ้นมาจะแย่เอา“แต่ท่านพ่อขอรับ ท่านพ่อลืมไปแล้วหรือขอรับว่าท่านเทพได้รักษาโรคให้ข้าแล้ว ตอนนี้ข้าแข็งแรงดี อีกอย่าง ข้าอาจจะเจอสมุนไพรหรืออาหารสวรรค์อีกก็ได้นะขอรับ” จางอี้หมิงรีบอธิบาย เด็กชายออดอ้อนบิดาตนเอง ในนิยายไม่ว่าจะเรื่องไหน ๆ ที่เขาหาข้อมูลมานักต่อนัก ส่วนมากแล้ว อาหารและสมุนไพรต่าง ๆ อยู่บนภูเขากันทั้งนั้น ดังนั้นจางอี้หมิงจะไม่ยอมพลาดโอกาสติดสอยหอยตามจางอี้เทาเด็ดข
“ท่านพ่อ เราสร้างบ้านได้โดยไม่ต้องใช้เงินสักอีแปะขอรับ”“เจ้าว่าอย่างไรนะหมิงเอ๋อร์ มันจะเป็นไปได้ยังไง พ่อยังไม่เคยได้ยินว่าการสร้างบ้านไม่ต้องเสียเงินมาก่อน” จางอี้เทาถามกลับด้วยความตื่นเต้นจางอี้หมิงยกยิ้ม หลังจากที่นอนคิดมาทั้งคืน เขาเห็นสมควรที่จะต้องสร้างบ้านอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ทนอากาศหนาวและหิมะที่กำลังจะมาถึง รวมทั้งเรื่องการตุนเสบียงและเชื้อเพลิงให้เพียงพอกับฤดูหนาวด้วยเขาค้นทุกรอยหยักในสมองเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้ค้นคว้ามาตลอดหลายปีในการรับจ้างหาข้อมูลให้นักเขียน จนเขาจำได้ถึงเรื่องการสร้างบ้านดินที่หลังคาทำด้วยไม้ไผ่ มันสามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ นับว่าตอบโจทย์ไม่น้อย แต่อีกปัญหานั่นคือแรงงาน ครอบครัวเขาไม่มีเงินแม้แต่อีแปะเดียว แล้วจะเอาเงินที่ไหนจ้างชาวบ้านให้มาช่วยสร้างบ้านดิน ถึงแม้ว่าวัสดุจะไม่ต้องซื้อ แต่แรงงานก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดีนอนคิดพลิกตัวไปแปดแสนล้านตลบ เขาก็หาคำตอบไม่ได้ แต่เมื่อครู่ท่านพ่อบอกว่า ถ้ายังเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ พวกเราคงไม่ลำบากเช่นนี้ ใช่แล้ว!! ท่านพ่อเคยเป็นอาจารย์ ท่านพ่อรู้หนังสือ แต่ชาวบ้านไม่รู้หนังสือ ถ้าท่านพ่อเสนอการสอนหนังสือให้ลูกหลา
“ท่านพ่อ ท่านไม่รู้จักต้นพวกนั้นหรือขอรับ” อี้หมิงถามเสียงใส มือก็ชี้ไปที่เหล่ากอหญ้าขนาดไม่ใหญ่นัก“หมิงเอ๋อร์ พวกนั้นมันต้นหญ้าทั้งนั้น ไม่ใช่สมุนไพร ไม่ใช่อาหาร ไม่ใช่ผักป่าและยังไม่ใช่ดอกไม้ด้วย ไม่มีใครกินมัน กลิ่นมันเหม็นเขียวและฉุน พ่อขึ้นเขามาก็เห็นแบบนี้ตลอด”“ท่านพ่อ มันคือต้นหญ้าหวาน มันให้รสหวานเหมือนน้ำตาลเลยขอรับ”“รสหวานเหมือนน้ำตาลเช่นนั้นหรือ”“ใช่แล้วขอรับ แต่ว่ามันต้องเอาไปตากแห้งก่อนแล้วนำไปต้มกับน้ำ มันจะกลายเป็นน้ำเชื่อม เราสามารถเอาไปทำอาหาร ทำขนม หรือชงดื่มเป็นชาได้ขอรับ ข้อดีอีกอย่างคือเก็บไว้ได้นาน” อี้หมิงเริ่มอธิบายอีกครั้ง “ท่านพ่อ น้ำตาลและเกลือในตลาดราคาเท่าไรหรือขอรับ”“ถ้าพ่อจำไม่ผิด น้ำตาลราคาจินละสี่สิบอีแปะ เกลือแพงมาก ราคาประมาณจินละหกสิบห้าอีแปะ”“แพงมากเลยขอรับ ท่านพ่อไปทำงานที่บ้านท่านลุงเย่ได้ค่าจ้างวันละยี่สิบอีแปะเท่านั้นเอง ข้าเข้าใจแล้วขอรับว่าเหตุใด บ้านเราถึงไม่มีเกลือหรือน้ำตาลกินเลย เพราะมันแพงเช่นนี้นี่เอง ถ้าข้าทำน้ำตาลผักออกมาขาย ท่านพ่อว่ามันจะขายได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเงยหน้าเอ่ยกับบิดา ดวงตามีไฟลุกวาวด้วยความตื่นเต้น “น้ำตาลผ
เมื่อกลับมาถึงบ้าน นางหูได้ทำโจ๊กธัญพืชและผัดผักบุ้งไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จางอี้หมิงบอกให้บิดานำต้นหญ้าหวานมาเด็ดเอาแต่ใบอ่อนล้างให้สะอาดก่อนจะนำไปตากแดด เสร็จแล้วทั้งครอบครัวจึงเริ่มนั่งล้อมวงกินข้าวมื้อแรกของวัน เว้นแต่หลี่อ้ายที่ไม่ได้มานั่งกินข้าวด้วย จางอี้เทาจึงนำโจ๊กไปป้อนให้ภรรยาถึงเตียงนอนหลังจากที่ตนเองกินเรียบร้อยแล้ว“เมื่อวานแม่ว่าผัดผักบุ้งอร่อยมากแล้ว วันนี้อร่อยกว่าเมื่อวานเสียอีก” นางหูเอ่ยขึ้นมาหลังจากคีบผัดผักบุ้งเข้าปาก รสชาติมันอร่อยถูกปากกว่าเดิมเป็นไหน ๆ“เพราะท่านย่ารู้จักการควบคุมไฟแล้วอย่างไรเล่าขอรับ รวมถึงรู้ว่าความสุกจะเอามากน้อยเพียงไหน ลองทำไปอีกสักสี่ห้าครั้ง ท่านย่าก็สามารถไปเป็นแม่ครัวหลวงได้สบายเลยขอรับ”“หมิงเอ๋อร์ เจ้าช่างปากหวาน ย่าแค่พอทำได้ คนที่เก่งคือหมิงเอ๋อร์ต่างหากเล่า”“ข้าเก่งเช่นท่านพ่อขอรับ” จางอี้หมิงยกความดีความชอบให้บิดาพร้อมกับชูนิ้วโป้งทั้งสองมือ หูไป๋หงและจางอี้เทาถึงกับหัวเราะออกมา นานเท่าไรแล้วที่ครอบครัวจางไม่ได้หัวเราะเสียงดังเช่นนี้ คงตั้งแต่ย้ายออกมาจากเมืองหลวงกระมัง“อาเทา แม่เห็นเจ้าตากอะไรกลางลานบ้าน เจ้าได้สมุนไพรมาเช
“ง่ายเช่นนี้เลยหรือหมิงเอ๋อร์”“ง่ายเช่นนี้เลยขอรับ เพียงแต่ว่าข้าไม่รู้ว่ารสชาติความหวานมันจะเป็นยังไง คงต้องรอหลังจากที่ต้มเสร็จแล้ว เราค่อยมาดูว่าจะปรับอัตราส่วนเช่นใดขอรับ” อี้หมิงตอบนางหู ก่อนจะหันไปบอกบิดา“ท่านพ่อขอรับ รบกวนท่านพ่อไปตัดกระบอกไม้ไผ่มาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ขอรับ ข้าจะเอามาใส่น้ำตาลผัก พรุ่งนี้เราจะเอาไปให้ท่านลุงเย่ชิม บ้านเราไม่มีไหเปล่า คงต้องใช้กระบอกไม้ไผ่แทน ท่านพ่อตัดมาเยอะ ๆ เลยนะขอรับ เพราะข้าจะเอาไปเป็นสินค้าทดลองให้เถ้าแก่ในตลาดลองชิมดูขอรับ”“ได้สิ พ่อจะไปทำให้เดี๋ยวนี้” จางอี้เทาผละออกไปทำตามที่บุตรชายต้องการ ปล่อยให้สองย่าหลานทำน้ำตาลผักกันต่อไป“หมิงเอ๋อร์ ถ้าน้ำตาลผักที่เรากำลังทำอยู่นี้มันขายได้ บ้านเราคงมีเงินเข้าบ้าน และมีเงินซื้ออาหารไว้สำหรับฤดูหนาวนี้แล้ว”“ท่านย่า ข้าว่ามันต้องขายได้อย่างแน่นอนเพราะชาวบ้านคงอยากกินน้ำตาล แต่มันแพง เลยซื้อไม่ได้ ถ้าเราทำน้ำตาลผักออกมาขาย เราไม่ต้องขายแพงมาก ให้ชาวบ้านได้กินของดี ๆ บ้าง ข้าว่ามันต้องขายได้ อีกอย่าง ท่านย่ารู้หรือไม่ เราสามารถเอาน้ำตาลผักใส่ลงไปในโจ๊กธัญพืช เพียงแค่นี้ก็ได้โจ๊กที่มีรสหวานแล้วขอร
หลังราตรีที่โอบล้อมด้วยรอยยิ้มและความสุขผ่านพ้นไป วันรุ่งขึ้นในยามซื่อ ( 09.00 – 10.59) สองพ่อลูกตระกูลจางจึงพากันออกเดินมุ่งสู่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อพบซุนถง จางอี้เทาถือกระบอกน้ำตาลผักไปสองกระบอกด้วย มันมีทั้งแบบเข้มข้นสำหรับปรุงอาหารและแบบเจือจางสำหรับใช้ดื่มแทนชาด้วยบ้านจางนั้นอยู่ท้ายหมู่บ้าน พวกเขาจึงต้องใช้เวลามากพอสมควรกว่าจะถึงบ้านครอบครัวซุน จางอี้หมิงจับมือบิดามาตลอดทาง เด็กน้อยได้โอกาสมองสำรวจโน่นนี่อย่างหนำใจ“ท่านลุงซุนถง อยู่บ้านหรือไม่ขอรับ” เมื่อมาถึงที่หมาย จางอี้เทาก็ตะโกนเรียกอยู่สองสามครั้ง“ใครมาโวยวายอยู่หน้าบ้านข้า” ซุนซูเย่เดินออกมาดู “อ้าวอาเทาเองหรือ มีอะไรหรือเปล่า” “ท่านพี่เย่ ข้าอาเทากับหมิงเอ๋อร์มีธุระอยากจะขอคุยกับท่านลุงถง ไม่ทราบท่านหัวหน้าหมู่บ้านอยู่หรือไม่ขอรับ” “เจ้ามาหาท่านพ่อหรือ เข้ามาในบ้านก่อน ท่านพ่ออยู่หลังบ้าน”“ขอบคุณขอรับ ข้าไม่ได้มาหาท่านลุงถงอย่างเดียว ข้าอยากปรึกษาบางอย่างกับท่านพี่เย่ด้วยขอรับ”“ได้ ๆ งั้นพวกเราไปหาท่านพ่อกันก่อนเถอะ” ซุนซูเย่ตอบ เขาเดินนำสองพ่อลูกตรงไปทางหลังบ้านที่มีซุนถงกำลังนั่งสานตะกร้าอยู่“ท่านพ่อ อาเทา
“ท่านพ่ออย่าลืมน้ำตาลผัก” จางอี้หมิงเมื่อเห็นว่าบิดาดีใจที่บรรลุวัตถุประสงค์แล้วจึงสะกิดเตือน“โอ้ จริงด้วย ท่านลุงถง ท่านพี่เย่ นี่เป็นน้ำตาลผักที่บ้านข้าได้คิดค้นขึ้นมา ข้านำมาให้สองกระบอก สีเข้มเอาไว้ปรุงอาหารแทนน้ำตาล ส่วนสีอ่อน เอาไว้ดื่มแทนชา มันหวานอร่อยมาก ท่านลุงถงลองชิมดูได้” จางอี้เทาแย้มยิ้ม เขายื่นน้ำตาลผักให้หัวหน้าหมู่บ้านไปทั้งสองกระบอก“อาเทา เจ้าว่าอย่างไรนะ” ซุนถงถึงกับชะงัก ชายชราลองแคะหูตัวเองเผื่อว่ามันอาจจะเพี้ยนไปแล้ว“น้ำตาลผักเช่นนั้นหรือ ใช้แทนน้ำตาลได้งั้นหรือ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”“ใช่แล้วขอรับ น้ำตาลผัก ท่านต้องการความหวานมากน้อยแค่ไหนก็ตักใส่ได้เลยขอรับ ค่อย ๆ ใส่ไปทีละน้อย ได้ความหวานตามที่ต้องการแล้วก็หยุดได้ขอรับ เมื่อคืนวานบ้านข้าต้มโจ๊กธัญพืชใส่น้ำตาลผัก อร่อยมากทีเดียว นี่ก็ใกล้ยามอู่ (11.00 – 12.59) แล้ว ท่านลองให้ท่านพี่เจียวเม่ยทำดูได้ขอรับ”จางอี้เทาแนะนำท่านหัวหน้าหมู่บ้านด้วยความคล่องแคล่วสมเป็นบัณฑิต เขาไตร่ตรองไว้แล้วว่าถ้าท่านลุงถงชอบใจในน้ำตาลผัก ชาวบ้านคนอื่น ๆ ก็คงจะพึงใจไม่ต่างกัน“อย่าลืมลองดื่มน้ำตาลผักสีอ่อนดูนะขอรับ มันสามารถดื่มไ
ทุกคนนั่งล้อมวงนั่งกินข้าวด้วยกัน เด็ก ๆ ทั้งสามนั่งติดกันทางฝั่งซ้ายของหัวหน้าหมู่บ้าน ทางขวามือเป็นจางอี้เทาและซุนซูเย่กับสะใภ้ สำหรับภรรยาของซุนถงนั้นเสียชีวิตไปได้หลายปีแล้ว เขาไม่คิดแต่งงานใหม่ให้มากความ สมาชิกทั้งหมดจึงมีเพียงเท่านี้สำหรับอาหารวันนี้ก็เป็นดั่งที่จางอี้เทาแนะนำ โชคดีที่บ้านซุนมีฐานะดีกว่าจึงมีข้าวกิน แม้ว่ามันจะไม่ใช่ข้าวคุณภาพดีเท่าบ้านจางในเมืองหลวง แต่ก็ดีกว่าธัญพืชหยาบเป็นไหน ๆ มื้อแรกของจางอี้หมิงในวันนี้จึงมีน้ำแกงเนื้อหนึ่งอย่างไว้กินกับข้าวต้ม นับว่าเป็นอาหารชั้นดีสำหรับชาวบ้านธรรมดา“ท่านแม่ น้ำแกงเนื้อวันนี้อร่อยมากเลยขอรับ” ซุนหมิงเย่เอ่ยขึ้นมาเป็นครั้งแรกหลังจากที่ตักข้าวกินไปคำแรก เด็กน้อยรีบตักคำต่อ ๆ ไปเข้าปากตามไปติด ๆ “แม่ก็ทำเหมือนเช่นทุกวันนะเย่เอ๋อร์ แต่วันนี้แม่เติมน้ำตาลผักที่ท่านอาอี้เทาเอามาฝาก” เจียวเม่ยหันไปตอบบุตรชาย“ข้าชอบมากขอรับ ท่านแม่ทำให้ข้ากินทุกวันได้หรือไม่ขอรับ” ซุนหมิงเย่เอ่ยบอกมารดาทั้งที่ในปากยังเต็มไปด้วยข้าว “เย่เอ๋อร์ มันอร่อยมากเช่นนั้นหรือ” ซุนถงเอ่ยถามหลานชายด้วยความสนใจ ปกติแล้วหมิงเย่ไม่ค่อยกินข้าว ตัวถึงเล็กกว่
“ทางออกอันใดหรือเด็กน้อย” เฉินเจียเอ่ยถามด้วยความสงสัย เขามองดูเด็กน้อยตรงหน้าอย่างพินิจ“ทางออกของเรื่องทั้งหมดนี้เช่นไรเล่าขอรับ ข้าขอเสนอให้พวกท่านทั้งสิบคนแลกเปลี่ยนนิลเง็กเซียนกับสามสหายท่องหล้า แบ่งปันกันชิมคนละคำสองคำ เช่นนี้แล้วพวกท่านทั้งหมดก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชิมอาหารชนิดใหม่ด้วยวิธีการปรุงแบบใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน”“สำหรับค่าอาหารจากที่ท่านเฉินเจียกับท่านฉีหมิงต้องจ่ายคนละห้าสิบตำลึง สองจานรวมเป็นหนึ่งร้อยตำลึง เมื่อแลกเปลี่ยนอาหารกันแล้ว พวกท่านเพียงจ่ายคนละสิบตำลึงเท่านั้น เช่นนี้แล้วพวกท่านทุกคนจึงเท่าเทียมเหมือนกันแล้วขอรับ”“ในอนาคต เหลาอาหารซิ่งฝูจะมีรายการอาหารชนิดใหม่ออกมาทุกเดือน เพื่อเป็นการตอบแทนท่านทั้งสิบคน เหลาอาหารซิ่งฝูยินดีที่จะให้ท่านเป็นลูกค้าพิเศษ เมื่อมีรายการอาหารชนิดใหม่ในแต่ละครั้ง เหลาซิ่งฝูจะทำการเชิญท่านทั้งสิบมาทำการลิ้มลองอาหารก่อนเป็นกลุ่มแรก เช่นนี้แล้ว ท่านลุง ท่านตาทั้งหลายพอใจหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงอธิบายเสร็จแล้วจึงถอยหลังกลับไปยืนข้างท่านปู่ด้วยความสงบเรียบร้อย“ฮะ ฮะ ฮะ” ฉีหมิงหัวเราะออกมาและกล่าวชมเชยหลินไห่“เถ้าแก่หลิน หลานชายข
“ข้าไม่เคยได้ชิมอาหารจานผักเช่นนี้มาก่อนเลย จะว่าเป็นน้ำแกงก็มีน้ำน้อยเกินไป จะว่าเป็นผักต้มแต่กลับมีกลิ่นของกระเทียม รสชาติกลมกล่อมเกินกว่าจะเป็นผักต้มได้ เถ้าแก่หลิน สามสหายท่องหล้าคืออาหารชนิดใดกันแน่ขอรับ” ชายคนแรกที่ตั้งข้อสงสัยถามเถ้าแก่หลินขึ้นมา“เรียนลูกค้า สามสหายท่องหล้าเป็นอาหารจานผัก ส่วนวิธีการปรุงนั้นทำมาจากการผัด” เถ้าแก่หลินไห่เอ่ยตอบด้วยท่าทางสุขุม“การผัดเช่นนั้นหรือ มันคืออันใดกันเล่า ข้าอายุแก่จนปูนนี้แล้ว ยังมิเคยได้ยินว่ามีการปรุงอาหารด้วยการผัดมาก่อน พวกเจ้าเล่า เคยได้ยินมาก่อนหรือไม่” ชายชราที่อายุมากที่สุดในกลุ่มเอ่ยออกมาเสียงไม่เบานัก ก่อนจะหันไปถามผู้ที่ร่วมชิมสามสหายท่องหล้าด้วยกัน“ข้าไม่เคย”“ข้าก็ไม่เคย” ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน“ข้าคงมิสามารถตอบได้เนื่องจากว่าเป็นความลับของเหลาซิ่งฝู ขอลูกค้าอย่าได้ถามอีกเลย” หลินไห่ตอบกลับด้วยความสุภาพ“เจ้าว่าอันใดนะ สามสหายท่องหล้าของพวกเจ้า ปรุงขึ้นมาจากวิธีการปรุงอาหารแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นนั้นหรือ” ฉีหมิงเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เขายินดียิ่งนักที่ได้เป็นคนกลุ่มแรกซึ่งได้ชิมรายการอาหารชนิดใหม่ประเภทจ
หลินไห่เดินจูงมือจางอี้หมิงนำหน้าอู๋เจ๋อและอู๋หมินออกมา ที่มือของคนครัวทั้งคู่ถือถาดไม้บรรจุนิลเง็กเซียนส่งกลิ่นหอมฉุย พวกเขาเดินนำอาหารไปวางไว้บนโต๊ะของผู้ชนะการประมูลซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกันเถ้าแก่หลินเป็นผู้อธิบายถึงรายการอาหารรสเลิศตรงหน้า ทั้งกลิ่นหอมกรุ่ม ทั้งควันที่ลอยออกมาบ่งบอกว่าเพิ่งผ่านการปรุงมาใหม่ ๆ รวมถึงการตกแต่งจานอาหารให้มีสีสันน่ากิน ประกอบกับล่วงเลยเวลาอาหารมื้อแรกของวันมานานพอสมควรแล้ว ยิ่งทำให้เมนูใหม่ดูน่าเย้ายวนลูกค้าที่แพ้การประมูลทั้งหลายเกือบจะกระโดดออกไปยึดเอาถาดไม้ใส่อาหารมาเป็นของตนเองอยู่รอมร่อ เพียงแต่พอมองหน้าเถ้าแก่หลินแล้ว พวกเขาได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน รออาหารอีกชนิดหนึ่งแทน ซึ่งพวกตนก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอันใดและจะมีกลิ่นหอมเหมือนกับอาหารของผู้ชนะหรือไม่“ท่านเฉินเจียและท่านฉีหมิง อาหารชนิดใหม่ตรงหน้าท่าน เป็นอาหารจานเนื้อ เรียกว่า นิลเง็กเซียน เนื้อสัมผัสอ่อนนุ่ม หอมกลิ่นเครื่องเทศเข้มข้น ข้าขอแนะนำให้นำเนื้อจิ้มลงไปในน้ำแกงก่อนกิน แล้วตามด้วยข้าวสวยร้อน ๆ ดอกไม้ซีหงซื่อและแตงกวาที่วางอยู่บนจาน พวกท่านสามารถนำมากินแก้อาการเลี่ยนได้ เชิญท่านทั้งสองลิ้มลองอา
“พี่ชายหมิน รบกวนหยิบมะเขือเทศกับแตงกวามาให้ข้าที อย่าลืมล้างให้เรียบร้อยด้วยนะขอรับ มาทำตรงโต๊ะเตรียมวัตถุดิบนะขอรับ” จางอี้หมิงบอกแล้วจึงเดินไปรอที่โต๊ะกลางห้องอู๋หมินรีบหยิบผักออกมา เมื่อล้างแตงกวาและมะเขือเทศจนสะอาดแล้วจึงเดินมาสมทบกับอี้หมิงทันที เขาวางวัตถุดิบทั้งสองอย่างไว้บนโต๊ะ แล้วยกตัวของเด็กน้อยขึ้นนั่งบนเก้าอี้ ส่วน อู๋หมินยืนอยู่ข้าง ๆ อีกที“หมิงหมิงน้อยบอกว่าจะทำดอกไม้จากซีหงซื่อเช่นนั้นหรือ”“พี่ชายหมิน ต่อไปต้องเรียกมะเขือเทศนะขอรับ ห้ามเรียกซีหงซื่ออีก”“ดะ ได้ หมิงหมิงน้อยจะทำดอกไม้จากมะเขือเทศเช่นนั้นหรือ” อู๋หมินลนลานถามอีกครั้ง คำพวกนี้ระหว่างที่รอสองพ่อลูกบ้านจางไปขายผ้า พวกเขาก็ถูกเถ้าแก่บังคับให้ฝึกเรียกไว้ก่อนแล้วเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าเถ้าแก่จะเห่อหลานชายคนใหม่ยิ่งนัก เพียงแต่ช่วงแรก ๆ เขาก็มีหลงลืมเผลอใช้คำที่คุ้นเคยเช่นเดิมไปบ้างเท่านั้น“ขอรับ ดอกไม้จากมะเขือเทศทำง่ายมาก เพียงพี่ชาย หมินเอามีดมาปอกเปลือกมะเขือเทศให้เป็นเส้นจากบนลงล่างโดยที่ไม่ให้เปลือกมะเขือเทศขาดออกจากกัน ความกว้างของเส้นเอาสักสองข้อมือข้านี่แหละขอรับ เสร็จแล้วม้วนเปลือกเข้าหากันมันจะ
“เด็กน้อย เหลาเฟิงฟู่ทำอาหารได้เลิศรสจริงอันนี้ข้าไม่มีข้อโต้แย้ง แต่จะให้ข้า เฉินเจียผู้นี้กินอาหารแบบเดิม ๆ ทุกครั้ง เจ้าว่าข้าจะทำได้หรือไม่ นานแค่ไหนแล้วที่เหลาเฟิงฟู่ไม่มีรายการอาหารใหม่ ๆ ให้พวกข้าได้ลองชิมกัน” “วันนี้ในระหว่างที่ข้ากำลังจะมากินอาหารที่เหลาเฟิงฟู่ ระหว่างทางไปข้าเดินผ่านเหลาอาหารซิ่งฝู ข้าได้กลิ่นอาหารที่ หอมมาก หอมจนข้าอดใจไม่ไหวถึงได้เดินเข้ามาที่เหลาซิ่งฝูแห่งนี้ เสี่ยวเอ้อร์บอกเพียงว่าเขาเองก็ไม่รู้ จนเถ้าแก่หลินออกมาอธิบายให้พวกข้าฟังว่าเป็นอาหารชนิดใหม่ และสุดท้ายก็เป็นอย่างที่เจ้ารับรู้ในตอนนี้”“อ๋อ เป็นเช่นนี้นั่นเอง แล้วพวกท่านก็เป็นเช่นท่านเฉินเจียเหมือนกันหรือขอรับ” จางอี้หมิงหันหน้าไปถามบรรดาลูกค้าทั้งหลายที่ยืนออกันอยู่ตรงหน้า แล้วก็เป็นดังที่คาดไว้ในใจ พวกเขาทุกคนต่างพากันพยักหน้าถือเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดี“ข้าไม่มีสิ่งใดสงสัยแล้วขอรับ เชิญท่านปู่ทำการประมูลต่อได้เลยขอรับ” อี้หมิงหันหน้ากลับมาบอกหลินไห่“พวกท่านพอใจกับราคาเปิดประมูลหรือไม่ หากคิดว่าราคาแพงไป ดังนั้นขอเชิญสั่งอาหารตามรายการที่ทางเหลาซิ่งฝูมีอยู่แล้วได้เลย” หลินไห่ถามย้ำอีกครั้ง เ
ทันทีที่เถ้าแก่หลินเดินออกมาจากห้องครัว เหล่าคหบดีที่นั่งรออยู่ก็พากันลุกขึ้นยืนโดยพร้อมเพรียงกัน พวกเขาต่างตั้งใจรอฟังว่าเจ้าของเหลาอาหารซิ่งฝูจะแก้ปัญหานี้อย่างไร หลินไห่แย้มรอยยิ้มกว้าง เขาใช้เสียงดังป่าวประกาศออกไป“ท่านลูกค้าทั้งหลาย เหลาอาหารซิ่งฝูต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจในรายการอาหารชนิดใหม่มากถึงเพียงนี้ ตามที่ข้าได้แจ้งให้พวกท่านทราบไปก่อนหน้านี้แล้ว อาหารที่เหลาซิ่งฝูทดลองทำมีปริมาณไม่เพียงพอกับทุกคน ในตอนนี้เหลาซิ่งฝูสามารถให้พวกท่านได้ทดลองชิมเพียงสองจานเท่านั้น แต่เท่าที่ข้านับได้ พวกท่านมีประมาณสิบคน ดังนั้นข้าจึงได้มีความคิดหนึ่ง หวังว่าพวกท่านจะเห็นด้วยกับความคิดนี้”คหบดีมากมายยืนนิ่งรอฟัง มีบ้างที่เกือบชักสีหน้าเมื่อรู้ว่าอาหารมีไม่เพียงพอ แต่เถ้าแก่หลินก็รีบกล่าวเสริมต่อ“ข้าจะเปิดประมูลอาหารสองจานนี้ ใครที่ให้ราคามากที่สุดจึงจะได้อาหารทั้งสองจานนี้ไปลิ้มลอง ค่าอาหารทั้งหมดที่ได้รับในวันนี้ ข้าหลินไห่ เจ้าของเหลาอาหารซิ่งฝูจะนำไปบริจาคและช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากจน โดยแจ้งแก่พวกชาวบ้านว่าเป็นสินน้ำใจจากพวกท่านทั้งหลาย ไม่ทราบว่าพวกท่านเห็นเป็นเช่นใดบ้าง”“…”ห
“นอกจากจะแก้ปัญหาไม่ให้พวกนั้นตีกันแล้ว ยังได้เงินมาช่วยเหลือคนยากจนอีกด้วย เหล่าคหบดี ข้าราชสำนักพวกนั้นชอบให้คนยกยอตนเองอยู่แล้ว ถ้าพวกเขาอยากชิม ก็จ่ายเงินมา ถ้าไม่จ่าย ก็ไม่ได้ชิม เหลาซิ่งฝูก็ไม่ต้องมากังวลว่าพะโล้จะไม่พอให้ชิม ต้องมาทำอะไรวุ่นวายไปหมด ที่ข้าชอบที่สุดเห็นจะเป็นเหลาอาหารซิ่งฝูยังได้กระจายข่าวรายการอาหารใหม่อีกสอง รายการโดยที่ไม่ต้องทำอันใด ลูกค้าพวกนั้นจะเป็นคนกระจายข่าวให้เหลาอาหารของพวกเราเอง” หลินไห่พึมพำถึงข้อดีของการแก้ปัญหานี้กับตนเอง ก่อนที่จะหันไปถามหัวหน้าพ่อครัวถึงอาหารที่มีตอนนี้“ว่าแต่อู๋เจ๋อ เจ้าลองตักใส่จานดูสิ พะโล้ในหม้อมีจำนวนกี่จาน” “รอสักครู่ขอรับ”อู๋เจ๋อรีบเดินไปตักพะโล้แห้งใส่จาน เขามองดูแล้วว่าได้ทั้งหมดเพียงสองจานเท่านั้น เสร็จแล้วชายวัยกลางคนจึงถือจานมาวางไว้บนโต๊ะที่เถ้าแก่หลินนั่งอยู่“มีเพียงสองจานเท่านี้เองหรือ ไม่เป็นไร ยิ่งมีน้อยความต้องการยิ่งสูงราคายิ่งแพงตามไปด้วย อู๋เจ๋อ เจ้าให้พ่อครัวเตรียมวัตถุดิบทำสามสหายท่องหล้าขึ้นมาสักสิบจาน ข้าจะเอาไว้ปลอบใจให้กับคนที่ประมูลพะโล้แห้งไม่ได้” เถ้าแก่หลินเอ่ยสั่งงานหัวหน้าพ่อครัวด้วยอารมณ์ที
หลินไห่ จางอี้เทา จางอี้หมิง รวมทั้งซีฮันเข้ามายังห้องครัว เท้ายังไม่พ้นประตูดี อู๋เจ๋อที่รออยู่ข้างในครัวด้วยความกระวนกระวายถึงกับถลาเดินเข้ามาหาทั้งสองคนด้วยใบหน้าตื่นตูม“หมิงหมิงน้อย เจ้ากลับมาแล้ว เถ้าแก่เป็นเช่นไรบ้างขอรับ”ใครจะคิดว่าอาหารสูตรบ้านจางจะส่งอิทธิพลขนาดนั้น หลินไห่พยักหน้าตอบพ่อครัว เขากับจางอี้เทาเดินเลี่ยงไปนั่งตรงมุมพักผ่อนเช่นเดิม“ท่านลุงอู๋ พะโล้ได้ที่แล้วกระมังขอรับ รบกวนท่านลุงอู๋ชิมดูได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามหัวหน้าพ่อครัว “ลุงก็ไม่รู้ว่าพะโล้สุกได้ที่แล้วหรือไม่ เพราะหมิงหมิงน้อยเพียงแต่บอกให้ตุ๋นรอเจ้ากลับมา ลุงจะยกลงก็เกรงว่าจะผิดสูตร จึงได้แต่รอเจ้ากลับมานี่แหละ” อู๋เจ๋อเรียกสติของตนเองและตอบกลับ“ท่านลุงลองชิมพะโล้ดูก่อนขอรับ ถ้าเนื้อหมูนุ่ม ซอส เอ่อ น้ำแกงเหลือขลุกขลิก รสชาติใช้ได้แล้วก็ยกลงได้เลย ลองให้ท่านปู่หลินช่วยชิมดูอีกคนก็ได้ขอรับ” อู๋เจ๋อเดินไปที่เตาหม้อตุ๋นหมูพะโล้ เขาก้มลงดูอาหารด้านใน เมื่อเห็นว่าน้ำแกงแห้งขอด มีเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยตามที่เด็กชายได้เอ่ยบอกไว้ เขาจึงหยิบจานใบเล็กมาตักหมูพะโล้วางลงไป แล้วจึงปิดฝาหม้อไว้เช่นเดิม
หน้าเหลาอาหารซิ่งฝูในตอนนี้มีร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งเดินวนเวียนไปมาอย่างร้อนใจ ซีฮันชะเง้อคอมองหาสองพ่อลูกเจ้าของสูตรอาหาร และเมื่อเห็นว่าทั้งคู่เดินกลับมาแล้วจึงรีบปรี่เข้าไปหาโดยไม่รอให้จางอี้เทาและจางอี้หมิงเดินมาถึงหน้าเหลาอาหารเสียด้วยซ้ำ บุรุษบ้านจางต่างวัยขมวดคิ้วพร้อมกันด้วยความสงสัยเกิดเหตุอันใดขึ้นระหว่างที่พวกเขาสองคนพ่อลูกไปขายผ้าปักเช่นนั้นหรือ“พี่อี้เทา หมิงหมิงน้อย พวกเจ้ากลับมาแล้ว รีบขึ้นไปหาเถ้าแก่และท่านลุงอู๋โดยเร็วเถอะ” ซีฮันไม่ปล่อยให้สองพ่อลูกเอ่ยถามอันใด เขารีบบอกออกไปทันที“อาฮัน เกิดอันใดขึ้นเช่นนั้นหรือ” อี้เทาถามออกไปด้วยความข้องใจ“เถ้าแก่น่ะสิ ร้อนใจอยากให้พวกเจ้ารีบกลับมาตั้งนานแล้ว เจ้าไม่รู้อันใดเสียแล้วว่าพะโล้มันส่งกลิ่นรบกวนทุกคน ลูกค้าที่มากินอาหารที่เหลาโวยวายเสียงดังยกใหญ่” ซีฮันบอกด้วยเสียงเครียดขรึม“พะโล้ส่งกลิ่นรบกวนลูกค้าเช่นนั้นหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน” อี้หมิงพึมพำกับตนเองเบา ๆหรือว่ามีปัญหาในขั้นตอนการปรุง แต่เขาจำได้ว่าในการปรุงพะโล้ ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการหมักไปจนถึงการตุ๋น ก่อนที่เขาจะออกจากร้านไป มันไม่มีขั้นตอนไหนผิดพลาดนี่นา“พวก