นางหูและจางอี้หมิงช่วยกันเก็บผักบุ้งมาได้พอประมาณ ทั้งสองรีบกลับไปหาหลี่อ้าย ก่อนจะพากันเดินกลับไปยังบ้านของตนเอง เพียงไม่นาน หัวหน้าครอบครัวก็เดินกลับเข้าบ้านพร้อมธัญพืชหยาบที่ได้จากการไปทำงานในวันนี้
“ท่านแม่ เข้าบ้านก่อนเถอะขอรับ แล้วข้าจะเล่าให้ฟัง”
จางอี้เทาเดินเอาห่อธัญพืชหยาบกับห่อเนื้อสัตว์วางไว้กลางบ้าน เขานั่งลงเพื่อพักผ่อนจากอาการปวดล้า จางอี้หมิงเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งไปหยิบน้ำมาให้บิดา เขาไม่ลืมเอาผ้าเช็ดหน้าพร้อมขันน้ำใบเล็กมาด้วย
“หมิงเอ๋อร์ ช่างเป็นเด็กดีเสียจริง ขอบใจเจ้ามาก”
“ไม่เป็นไรขอรับ ข้ารักท่านพ่อ ท่านพ่อทำงานเหนื่อย ข้าอยากช่วยท่านพ่อทำงานขอรับ”
“อาเทา นี่มัน....” นางหูที่เดินเข้าไปดูห่อผ้าถึงกับเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
สิ่งที่นางเห็นในตอนนี้คือเนื้อสัตว์แน่ ๆ ถึงแม้ว่าจะมีส่วนเนื้อติดประปราย ที่เหลือมีแต่ไขมันเป็นส่วนมากก็เถอะ แต่ก็มีค่ามากนัก เนื้อชินนี้หากกะด้วยสายตาก็น่าจะประมาณเกือบห้าชั่ง
“มีอะไรหรือเปล่าอาเทา”
“วันนี้ทำงานที่ไร่วันสุดท้ายแล้วขอรับ พืชผลเก็บเกี่ยวหมดแล้ว ท่านพี่เย่จ่ายค่าจ้างเป็นธัญพืชตามที่เราแจ้งไป แต่ท่านพี่เย่คงสงสารบ้านเรา จึงแบ่งเนื้อเลวมาให้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ค่อยมีเนื้อเท่าไร แต่ถ้าเราเลือกเอาหน่อย อาจจะทำน้ำแกงเนื้อได้สักมื้อน่ะขอรับ”
“อาเย่ช่างเป็นคนดีจริง ๆ ความจริงวันนี้อาเย่ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างเมียเจ้าเต็มวันก็ได้ แต่นี่นอกจากจะไม่ว่าแล้ว ยังจ่ายธัญพืชมาเต็มส่วนด้วย ส่วนเนื้อนี่ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเนื้อเลว แต่อย่างที่เจ้าว่า เราเลือกเอาสักหน่อยน่าจะได้น้ำแกงเนื้อสักมื้อ ตั้งแต่เรามาที่นี่ยังไม่เคยได้กินจานเนื้อเลย หมิงเอ๋อร์คงดีใจไม่น้อย”
“ท่านย่า เหตุใดถึงเรียกว่าเนื้อเลวล่ะขอรับ” จางอี้หมิงที่นั่งฟังอยู่นานถึงกับขมวดคิ้ว
“เพราะมันมีเนื้อนิดเดียวอย่างไรเล่า เจ้าลองมองดูสิ ที่เหลือมีแต่ไขมันทั้งนั้น ไม่มีผู้ใดกินไขมันนะหมิงเอ๋อร์ เวลาเอาไปต้มมันทั้งเลี่ยนและยังทำให้รู้สึกอยากอาเจียน รสชาติก็ไม่อร่อยเอาเสียเลย”
“ท่านแม่ พี่เย่ยังให้เครื่องเทศมาอย่างละนิดหน่อยด้วยขอรับ” จางอี้เทาพูดขึ้นเมื่อได้ยินคำว่าเลี่ยน เขานึกขึ้นได้ว่าลูกชายหัวหน้าหมู่บ้านให้เครื่องเทศมาด้วย ซุนซุเย่รู้ว่าครอบครัวของเขายากจน คงไม่มีเครื่องปรุงสำหรับทำเนื้อ จึงเมตตาสงสารแบ่งมาให้ด้วย
“ดีจริง ๆ ชาตินี้ครอบครัวเราคงตอบแทนบุญคุณครอบครัวซุนไม่หมดแน่”
นางหูยกยิ้ม ดวงตาสั่นระริกจนต้องยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา ตั้งแต่ออกจากเมืองหลวง อย่าว่าแต่อาหารจานเนื้อเลย แม้แต่เครื่องปรุง เครื่องเทศ ครอบครัวนางก็ไม่เคยได้แตะอีก
“ท่านย่า นี่ไม่ใช่เนื้อเลวแม้แต่นิดเดียว มันคืออาหารสวรรค์ มีค่าดั่งทองเชียวล่ะขอรับ” จางอี้หมิงถึงกับหัวเราะและยิ้มกว้างออกมาอย่างมีความสุขเมื่อเขามองเห็นกองไขมันที่วางอยู่ตรงหน้า
“หมิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดไปแล้ว เหตุใดจึงหัวเราะออกมาเช่นนี้” นางหูเอ่ยถาม ท่าทางของหลานชายช่างพิลึกพิลั่นชวนสงสัย
“ท่านย่า นี่คืออาหารชั้นยอดเลยนะขอรับ ท่านย่าจำได้หรือไม่ ที่ท่านเคยถามข้าว่า น้ำมันคืออันใด การผัดคืออันใด วันนี้ข้าจะแสดงให้ดูขอรับ รับรองว่ามื้อนี้ท่านย่าต้องมีความสุขมากแน่ ๆ ขอรับ”
“หมิงเอ๋อร์ อย่าบอกนะว่าท่านเทพบอกเจ้ามาอีกแล้ว”
“ท่านแม่ หมิงเอ๋อร์ กำลังคุยกันเรื่องอันใดขอรับ” จางอี้เทาถาม เขางุนงงกับบทสนทนาระหว่างมารดาและลูกชาย
“อาเทา หมิงเอ๋อร์เล่าให้แม่ฟังว่าในตอนที่สลบไป ในฝันท่านเทพมาพาหมิงเอ๋อร์ออกไปเที่ยวยังเมืองสวรรค์แล้วจึงพากลับมา ท่านเทพยังได้รักษาร่างกายของหมิงเอ๋อร์ให้แข็งแรงและสอนเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ให้ด้วย”
“วันนี้หมิงเอ๋อร์ นำผักกลับมาจากลำธารสองอย่างแล้วบอกว่ามันคืออาหาร แม่เห็นว่ามันคือหญ้าที่ขึ้นตามบึงน้ำ ไม่มีใครเอาหญ้ามากินกัน แต่หมิงเอ๋อร์ยืนยันนักหนาว่ากินได้ อ้อ อีกอย่างคือการทำอาหาร หมิงเอ๋อร์บอกว่ามีการทำอาหารมากกว่าการต้ม นึ่ง ย่างและอบ”
“หมิงเอ๋อร์ เป็นความจริงหรือ”
“ขอรับ” เด็กน้อยยิ้มสดใส
ขอขอโทษนะท่านพ่อ
“ดีจริง ๆ ขอบคุณท่านเทพที่ช่วยรักษาหมิงเอ๋อร์ของพ่อให้แข็งแรง”
จางอี้เทากอดลูกชายไว้แน่น เขาตื้นตันใจที่ลูกมีบุญวาสนา แต่ในขณะเดียวกัน ก็กลัวว่าจะเกิดอันตราย จึงเอ่ยเตือนลูกชายเอาไว้ก่อน
“หมิงเอ๋อร์ เรื่องท่านเทพ เจ้าจะพูดออกไปไม่ได้เป็นอันขาดรู้หรือไม่ ถ้าคนอื่นถาม ก็บอกว่ายาของหมอผิงรักษาเจ้า”
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ แต่ท่านพ่อขอรับ ข้าหายใจไม่ออก”
“โอ๊ะ หมิงเอ๋อร์ พ่อขอโทษ” จางอี้เทาได้ยินดังนั้นจึงรีบคลายอ้อมกอดออกจากลูกชาย เขาดีใจมากจริง ๆ จนเผลอรัดวงแขนแน่นไปหน่อย
“ข้านึกว่าจะขาดใจเสียแล้ว” จางอี้หมิงสูดหายใจเข้าเต็มปอด ท่าทางราวกับคนใกล้จะขาดอากาศ จางอี้เทาถึงกับส่ายหน้าให้กับท่าทางของบุตรชาย
“ข้าขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะขอรับ” เมื่อนึกขึ้นได้ว่าร่างกายตนชุ่มไปด้วยเหงื่อมาตลอดทั้งวันก็อยากจะไปชำระกายคลายร้อน จางอี้เทาลุกขึ้นแล้วเดินแยกตัวออกไป
“ไปเถอะ” หูไป๋หงบอกก่อนที่บุตรชายจะเดินออกไป
“ท่านย่าขอรับ พวกเราไปทำอาหารสวรรค์กันเถอะขอรับเพราะมันต้องใช้เวลาในการทำพอสมควร เมื่อท่านพ่อกลับมาจากอาบน้ำ ท่านแม่คงตื่นพอดี เย็นนี้เราจะกินให้พุงกางไปเลย”
“เจ้าตัวน้อย โอ้อวดเสียจริง ไปสิ ย่าอยากรู้เช่นกันว่าอาหารเมืองสวรรค์จะอร่อยขนาดไหนเชียว”
สองย่าหลานช่วยกันถือห่อธัญพืชและเนื้อเลวเดินเข้าไปในครัว นางหูคิดไม่ตกว่าเนื้อที่อุดมไปด้วยไขมันจะกลายมาเป็นเนื้อสวรรค์ได้อย่างไร เมื่อมาถึงที่หมาย จางอี้หมิงจึงบอกให้ท่านย่าทำตาม ด้วยขนาดตัวที่เล็กเท่าเด็กห้าขวบ จะให้มาทำอาหารก็คงจะเป็นไปไม่ได้ แค่จะจับหม้อหรือกระทะ ก็ยกไม่ขึ้นแล้ว เขายังไม่อยากตายซ้ำสองเร็ว ๆ นี้หรอกนะ“ท่านย่า เตานี้สำหรับต้มโจ๊กธัญพืช ส่วนเตานี้ทำน้ำมันนะขอรับ ท่านย่าตัดเอาส่วนเนื้อออกไว้ก่อนนะขอรับ ส่วนวิธีทำง่ายมาก ขั้นแรกคือตั้งกระทะให้ร้อน ใช้ไฟแรง ๆ ในตอนแรก แล้วใส่ไขมันทั้งหมดลงไป เติมน้ำเปล่าลงไปเล็กน้อย เสียดายที่ไม่มีเกลือ แต่ไม่ใส่ก็ไม่เป็นไรขอรับ แล้วค่อย ๆ คนให้ทั่ว ถ้าน้ำมันเริ่มออก เราจะเปลี่ยนไปใช้ไฟกลาง ต้องค่อย ๆ คน ป้องกันไม่ให้มันแตก ความร้อนจะทำให้ไขมันละลายออกมา เราจะเอาน้ำมันที่ออกมาจากไขมันนี้ไปทำอาหารขอรับ”“ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือหมิงเอ๋อร์”“ง่ายขนาดนั้นเลยขอรับท่านย่า แต่ว่าต้องใช้เวลานานมากกว่าจะเจียวน้ำมันออกมาจนหมด ท่านย่าอาจจะต้องเมื่อยมือหน่อยนะขอรับ ส่วนกากไขมันที่ได้ เราจะเอาไปใส่ในผัดผักบุ้งขอรับ” ได้ยินดังนั้น นางหูก็เริ่มทำการเจ
เช้าวันถัดมา หลังจากที่ตื่นนอนล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย จางอี้เทาซึ่งไม่ต้องไปทำงานในไร่ของหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว จึงเตรียมตัวขึ้นไปบนภูเขา เขาหวังจะได้ผักป่ามาไว้ทำอาหารและถ้าโชคดีอาจจะได้สมุนไพรมาขายเพื่อให้ครอบครัวมีเงินบ้าง“ท่านพ่อจะไปไหนขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามบิดา เขาเห็นจางอี้เทาถือมีดและแบกตะกร้าสานสะพายขึ้นหลังเตรียมตัวออกจากบ้าน“หมิงเอ๋อร์ พ่อจะขึ้นเขาไปหาผักป่า ถ้าโชคดีเราอาจจะได้สมุนไพรมาขาย” “ขึ้นเขาหรือขอรับ” จางอี้หมิงทวนคำก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าไปด้วยขอรับ”“ไม่ได้ หมิงเอ๋อร์เพิ่งหายป่วยเมื่อวาน เจ้าไปกับพ่อไม่ได้” จางอี้เทารีบห้าม ลูกของเขาตัวเท่านี้จะไปสันทัดการปีนเขาได้อย่างไร หากผลัดตกหกล้มบาดเจ็บขึ้นมาจะแย่เอา“แต่ท่านพ่อขอรับ ท่านพ่อลืมไปแล้วหรือขอรับว่าท่านเทพได้รักษาโรคให้ข้าแล้ว ตอนนี้ข้าแข็งแรงดี อีกอย่าง ข้าอาจจะเจอสมุนไพรหรืออาหารสวรรค์อีกก็ได้นะขอรับ” จางอี้หมิงรีบอธิบาย เด็กชายออดอ้อนบิดาตนเอง ในนิยายไม่ว่าจะเรื่องไหน ๆ ที่เขาหาข้อมูลมานักต่อนัก ส่วนมากแล้ว อาหารและสมุนไพรต่าง ๆ อยู่บนภูเขากันทั้งนั้น ดังนั้นจางอี้หมิงจะไม่ยอมพลาดโอกาสติดสอยหอยตามจางอี้เทาเด็ดข
“ท่านพ่อ เราสร้างบ้านได้โดยไม่ต้องใช้เงินสักอีแปะขอรับ”“เจ้าว่าอย่างไรนะหมิงเอ๋อร์ มันจะเป็นไปได้ยังไง พ่อยังไม่เคยได้ยินว่าการสร้างบ้านไม่ต้องเสียเงินมาก่อน” จางอี้เทาถามกลับด้วยความตื่นเต้นจางอี้หมิงยกยิ้ม หลังจากที่นอนคิดมาทั้งคืน เขาเห็นสมควรที่จะต้องสร้างบ้านอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ทนอากาศหนาวและหิมะที่กำลังจะมาถึง รวมทั้งเรื่องการตุนเสบียงและเชื้อเพลิงให้เพียงพอกับฤดูหนาวด้วยเขาค้นทุกรอยหยักในสมองเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้ค้นคว้ามาตลอดหลายปีในการรับจ้างหาข้อมูลให้นักเขียน จนเขาจำได้ถึงเรื่องการสร้างบ้านดินที่หลังคาทำด้วยไม้ไผ่ มันสามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ นับว่าตอบโจทย์ไม่น้อย แต่อีกปัญหานั่นคือแรงงาน ครอบครัวเขาไม่มีเงินแม้แต่อีแปะเดียว แล้วจะเอาเงินที่ไหนจ้างชาวบ้านให้มาช่วยสร้างบ้านดิน ถึงแม้ว่าวัสดุจะไม่ต้องซื้อ แต่แรงงานก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดีนอนคิดพลิกตัวไปแปดแสนล้านตลบ เขาก็หาคำตอบไม่ได้ แต่เมื่อครู่ท่านพ่อบอกว่า ถ้ายังเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ พวกเราคงไม่ลำบากเช่นนี้ ใช่แล้ว!! ท่านพ่อเคยเป็นอาจารย์ ท่านพ่อรู้หนังสือ แต่ชาวบ้านไม่รู้หนังสือ ถ้าท่านพ่อเสนอการสอนหนังสือให้ลูกหลา
“ท่านพ่อ ท่านไม่รู้จักต้นพวกนั้นหรือขอรับ” อี้หมิงถามเสียงใส มือก็ชี้ไปที่เหล่ากอหญ้าขนาดไม่ใหญ่นัก“หมิงเอ๋อร์ พวกนั้นมันต้นหญ้าทั้งนั้น ไม่ใช่สมุนไพร ไม่ใช่อาหาร ไม่ใช่ผักป่าและยังไม่ใช่ดอกไม้ด้วย ไม่มีใครกินมัน กลิ่นมันเหม็นเขียวและฉุน พ่อขึ้นเขามาก็เห็นแบบนี้ตลอด”“ท่านพ่อ มันคือต้นหญ้าหวาน มันให้รสหวานเหมือนน้ำตาลเลยขอรับ”“รสหวานเหมือนน้ำตาลเช่นนั้นหรือ”“ใช่แล้วขอรับ แต่ว่ามันต้องเอาไปตากแห้งก่อนแล้วนำไปต้มกับน้ำ มันจะกลายเป็นน้ำเชื่อม เราสามารถเอาไปทำอาหาร ทำขนม หรือชงดื่มเป็นชาได้ขอรับ ข้อดีอีกอย่างคือเก็บไว้ได้นาน” อี้หมิงเริ่มอธิบายอีกครั้ง “ท่านพ่อ น้ำตาลและเกลือในตลาดราคาเท่าไรหรือขอรับ”“ถ้าพ่อจำไม่ผิด น้ำตาลราคาจินละสี่สิบอีแปะ เกลือแพงมาก ราคาประมาณจินละหกสิบห้าอีแปะ”“แพงมากเลยขอรับ ท่านพ่อไปทำงานที่บ้านท่านลุงเย่ได้ค่าจ้างวันละยี่สิบอีแปะเท่านั้นเอง ข้าเข้าใจแล้วขอรับว่าเหตุใด บ้านเราถึงไม่มีเกลือหรือน้ำตาลกินเลย เพราะมันแพงเช่นนี้นี่เอง ถ้าข้าทำน้ำตาลผักออกมาขาย ท่านพ่อว่ามันจะขายได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเงยหน้าเอ่ยกับบิดา ดวงตามีไฟลุกวาวด้วยความตื่นเต้น “น้ำตาลผ
เมื่อกลับมาถึงบ้าน นางหูได้ทำโจ๊กธัญพืชและผัดผักบุ้งไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จางอี้หมิงบอกให้บิดานำต้นหญ้าหวานมาเด็ดเอาแต่ใบอ่อนล้างให้สะอาดก่อนจะนำไปตากแดด เสร็จแล้วทั้งครอบครัวจึงเริ่มนั่งล้อมวงกินข้าวมื้อแรกของวัน เว้นแต่หลี่อ้ายที่ไม่ได้มานั่งกินข้าวด้วย จางอี้เทาจึงนำโจ๊กไปป้อนให้ภรรยาถึงเตียงนอนหลังจากที่ตนเองกินเรียบร้อยแล้ว“เมื่อวานแม่ว่าผัดผักบุ้งอร่อยมากแล้ว วันนี้อร่อยกว่าเมื่อวานเสียอีก” นางหูเอ่ยขึ้นมาหลังจากคีบผัดผักบุ้งเข้าปาก รสชาติมันอร่อยถูกปากกว่าเดิมเป็นไหน ๆ“เพราะท่านย่ารู้จักการควบคุมไฟแล้วอย่างไรเล่าขอรับ รวมถึงรู้ว่าความสุกจะเอามากน้อยเพียงไหน ลองทำไปอีกสักสี่ห้าครั้ง ท่านย่าก็สามารถไปเป็นแม่ครัวหลวงได้สบายเลยขอรับ”“หมิงเอ๋อร์ เจ้าช่างปากหวาน ย่าแค่พอทำได้ คนที่เก่งคือหมิงเอ๋อร์ต่างหากเล่า”“ข้าเก่งเช่นท่านพ่อขอรับ” จางอี้หมิงยกความดีความชอบให้บิดาพร้อมกับชูนิ้วโป้งทั้งสองมือ หูไป๋หงและจางอี้เทาถึงกับหัวเราะออกมา นานเท่าไรแล้วที่ครอบครัวจางไม่ได้หัวเราะเสียงดังเช่นนี้ คงตั้งแต่ย้ายออกมาจากเมืองหลวงกระมัง“อาเทา แม่เห็นเจ้าตากอะไรกลางลานบ้าน เจ้าได้สมุนไพรมาเช
“ง่ายเช่นนี้เลยหรือหมิงเอ๋อร์”“ง่ายเช่นนี้เลยขอรับ เพียงแต่ว่าข้าไม่รู้ว่ารสชาติความหวานมันจะเป็นยังไง คงต้องรอหลังจากที่ต้มเสร็จแล้ว เราค่อยมาดูว่าจะปรับอัตราส่วนเช่นใดขอรับ” อี้หมิงตอบนางหู ก่อนจะหันไปบอกบิดา“ท่านพ่อขอรับ รบกวนท่านพ่อไปตัดกระบอกไม้ไผ่มาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ขอรับ ข้าจะเอามาใส่น้ำตาลผัก พรุ่งนี้เราจะเอาไปให้ท่านลุงเย่ชิม บ้านเราไม่มีไหเปล่า คงต้องใช้กระบอกไม้ไผ่แทน ท่านพ่อตัดมาเยอะ ๆ เลยนะขอรับ เพราะข้าจะเอาไปเป็นสินค้าทดลองให้เถ้าแก่ในตลาดลองชิมดูขอรับ”“ได้สิ พ่อจะไปทำให้เดี๋ยวนี้” จางอี้เทาผละออกไปทำตามที่บุตรชายต้องการ ปล่อยให้สองย่าหลานทำน้ำตาลผักกันต่อไป“หมิงเอ๋อร์ ถ้าน้ำตาลผักที่เรากำลังทำอยู่นี้มันขายได้ บ้านเราคงมีเงินเข้าบ้าน และมีเงินซื้ออาหารไว้สำหรับฤดูหนาวนี้แล้ว”“ท่านย่า ข้าว่ามันต้องขายได้อย่างแน่นอนเพราะชาวบ้านคงอยากกินน้ำตาล แต่มันแพง เลยซื้อไม่ได้ ถ้าเราทำน้ำตาลผักออกมาขาย เราไม่ต้องขายแพงมาก ให้ชาวบ้านได้กินของดี ๆ บ้าง ข้าว่ามันต้องขายได้ อีกอย่าง ท่านย่ารู้หรือไม่ เราสามารถเอาน้ำตาลผักใส่ลงไปในโจ๊กธัญพืช เพียงแค่นี้ก็ได้โจ๊กที่มีรสหวานแล้วขอร
หลังราตรีที่โอบล้อมด้วยรอยยิ้มและความสุขผ่านพ้นไป วันรุ่งขึ้นในยามซื่อ ( 09.00 – 10.59) สองพ่อลูกตระกูลจางจึงพากันออกเดินมุ่งสู่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อพบซุนถง จางอี้เทาถือกระบอกน้ำตาลผักไปสองกระบอกด้วย มันมีทั้งแบบเข้มข้นสำหรับปรุงอาหารและแบบเจือจางสำหรับใช้ดื่มแทนชาด้วยบ้านจางนั้นอยู่ท้ายหมู่บ้าน พวกเขาจึงต้องใช้เวลามากพอสมควรกว่าจะถึงบ้านครอบครัวซุน จางอี้หมิงจับมือบิดามาตลอดทาง เด็กน้อยได้โอกาสมองสำรวจโน่นนี่อย่างหนำใจ“ท่านลุงซุนถง อยู่บ้านหรือไม่ขอรับ” เมื่อมาถึงที่หมาย จางอี้เทาก็ตะโกนเรียกอยู่สองสามครั้ง“ใครมาโวยวายอยู่หน้าบ้านข้า” ซุนซูเย่เดินออกมาดู “อ้าวอาเทาเองหรือ มีอะไรหรือเปล่า” “ท่านพี่เย่ ข้าอาเทากับหมิงเอ๋อร์มีธุระอยากจะขอคุยกับท่านลุงถง ไม่ทราบท่านหัวหน้าหมู่บ้านอยู่หรือไม่ขอรับ” “เจ้ามาหาท่านพ่อหรือ เข้ามาในบ้านก่อน ท่านพ่ออยู่หลังบ้าน”“ขอบคุณขอรับ ข้าไม่ได้มาหาท่านลุงถงอย่างเดียว ข้าอยากปรึกษาบางอย่างกับท่านพี่เย่ด้วยขอรับ”“ได้ ๆ งั้นพวกเราไปหาท่านพ่อกันก่อนเถอะ” ซุนซูเย่ตอบ เขาเดินนำสองพ่อลูกตรงไปทางหลังบ้านที่มีซุนถงกำลังนั่งสานตะกร้าอยู่“ท่านพ่อ อาเทา
“ท่านพ่ออย่าลืมน้ำตาลผัก” จางอี้หมิงเมื่อเห็นว่าบิดาดีใจที่บรรลุวัตถุประสงค์แล้วจึงสะกิดเตือน“โอ้ จริงด้วย ท่านลุงถง ท่านพี่เย่ นี่เป็นน้ำตาลผักที่บ้านข้าได้คิดค้นขึ้นมา ข้านำมาให้สองกระบอก สีเข้มเอาไว้ปรุงอาหารแทนน้ำตาล ส่วนสีอ่อน เอาไว้ดื่มแทนชา มันหวานอร่อยมาก ท่านลุงถงลองชิมดูได้” จางอี้เทาแย้มยิ้ม เขายื่นน้ำตาลผักให้หัวหน้าหมู่บ้านไปทั้งสองกระบอก“อาเทา เจ้าว่าอย่างไรนะ” ซุนถงถึงกับชะงัก ชายชราลองแคะหูตัวเองเผื่อว่ามันอาจจะเพี้ยนไปแล้ว“น้ำตาลผักเช่นนั้นหรือ ใช้แทนน้ำตาลได้งั้นหรือ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”“ใช่แล้วขอรับ น้ำตาลผัก ท่านต้องการความหวานมากน้อยแค่ไหนก็ตักใส่ได้เลยขอรับ ค่อย ๆ ใส่ไปทีละน้อย ได้ความหวานตามที่ต้องการแล้วก็หยุดได้ขอรับ เมื่อคืนวานบ้านข้าต้มโจ๊กธัญพืชใส่น้ำตาลผัก อร่อยมากทีเดียว นี่ก็ใกล้ยามอู่ (11.00 – 12.59) แล้ว ท่านลองให้ท่านพี่เจียวเม่ยทำดูได้ขอรับ”จางอี้เทาแนะนำท่านหัวหน้าหมู่บ้านด้วยความคล่องแคล่วสมเป็นบัณฑิต เขาไตร่ตรองไว้แล้วว่าถ้าท่านลุงถงชอบใจในน้ำตาลผัก ชาวบ้านคนอื่น ๆ ก็คงจะพึงใจไม่ต่างกัน“อย่าลืมลองดื่มน้ำตาลผักสีอ่อนดูนะขอรับ มันสามารถดื่มไ
“ทางออกอันใดหรือเด็กน้อย” เฉินเจียเอ่ยถามด้วยความสงสัย เขามองดูเด็กน้อยตรงหน้าอย่างพินิจ“ทางออกของเรื่องทั้งหมดนี้เช่นไรเล่าขอรับ ข้าขอเสนอให้พวกท่านทั้งสิบคนแลกเปลี่ยนนิลเง็กเซียนกับสามสหายท่องหล้า แบ่งปันกันชิมคนละคำสองคำ เช่นนี้แล้วพวกท่านทั้งหมดก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชิมอาหารชนิดใหม่ด้วยวิธีการปรุงแบบใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน”“สำหรับค่าอาหารจากที่ท่านเฉินเจียกับท่านฉีหมิงต้องจ่ายคนละห้าสิบตำลึง สองจานรวมเป็นหนึ่งร้อยตำลึง เมื่อแลกเปลี่ยนอาหารกันแล้ว พวกท่านเพียงจ่ายคนละสิบตำลึงเท่านั้น เช่นนี้แล้วพวกท่านทุกคนจึงเท่าเทียมเหมือนกันแล้วขอรับ”“ในอนาคต เหลาอาหารซิ่งฝูจะมีรายการอาหารชนิดใหม่ออกมาทุกเดือน เพื่อเป็นการตอบแทนท่านทั้งสิบคน เหลาอาหารซิ่งฝูยินดีที่จะให้ท่านเป็นลูกค้าพิเศษ เมื่อมีรายการอาหารชนิดใหม่ในแต่ละครั้ง เหลาซิ่งฝูจะทำการเชิญท่านทั้งสิบมาทำการลิ้มลองอาหารก่อนเป็นกลุ่มแรก เช่นนี้แล้ว ท่านลุง ท่านตาทั้งหลายพอใจหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงอธิบายเสร็จแล้วจึงถอยหลังกลับไปยืนข้างท่านปู่ด้วยความสงบเรียบร้อย“ฮะ ฮะ ฮะ” ฉีหมิงหัวเราะออกมาและกล่าวชมเชยหลินไห่“เถ้าแก่หลิน หลานชายข
“ข้าไม่เคยได้ชิมอาหารจานผักเช่นนี้มาก่อนเลย จะว่าเป็นน้ำแกงก็มีน้ำน้อยเกินไป จะว่าเป็นผักต้มแต่กลับมีกลิ่นของกระเทียม รสชาติกลมกล่อมเกินกว่าจะเป็นผักต้มได้ เถ้าแก่หลิน สามสหายท่องหล้าคืออาหารชนิดใดกันแน่ขอรับ” ชายคนแรกที่ตั้งข้อสงสัยถามเถ้าแก่หลินขึ้นมา“เรียนลูกค้า สามสหายท่องหล้าเป็นอาหารจานผัก ส่วนวิธีการปรุงนั้นทำมาจากการผัด” เถ้าแก่หลินไห่เอ่ยตอบด้วยท่าทางสุขุม“การผัดเช่นนั้นหรือ มันคืออันใดกันเล่า ข้าอายุแก่จนปูนนี้แล้ว ยังมิเคยได้ยินว่ามีการปรุงอาหารด้วยการผัดมาก่อน พวกเจ้าเล่า เคยได้ยินมาก่อนหรือไม่” ชายชราที่อายุมากที่สุดในกลุ่มเอ่ยออกมาเสียงไม่เบานัก ก่อนจะหันไปถามผู้ที่ร่วมชิมสามสหายท่องหล้าด้วยกัน“ข้าไม่เคย”“ข้าก็ไม่เคย” ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน“ข้าคงมิสามารถตอบได้เนื่องจากว่าเป็นความลับของเหลาซิ่งฝู ขอลูกค้าอย่าได้ถามอีกเลย” หลินไห่ตอบกลับด้วยความสุภาพ“เจ้าว่าอันใดนะ สามสหายท่องหล้าของพวกเจ้า ปรุงขึ้นมาจากวิธีการปรุงอาหารแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นนั้นหรือ” ฉีหมิงเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เขายินดียิ่งนักที่ได้เป็นคนกลุ่มแรกซึ่งได้ชิมรายการอาหารชนิดใหม่ประเภทจ
หลินไห่เดินจูงมือจางอี้หมิงนำหน้าอู๋เจ๋อและอู๋หมินออกมา ที่มือของคนครัวทั้งคู่ถือถาดไม้บรรจุนิลเง็กเซียนส่งกลิ่นหอมฉุย พวกเขาเดินนำอาหารไปวางไว้บนโต๊ะของผู้ชนะการประมูลซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกันเถ้าแก่หลินเป็นผู้อธิบายถึงรายการอาหารรสเลิศตรงหน้า ทั้งกลิ่นหอมกรุ่ม ทั้งควันที่ลอยออกมาบ่งบอกว่าเพิ่งผ่านการปรุงมาใหม่ ๆ รวมถึงการตกแต่งจานอาหารให้มีสีสันน่ากิน ประกอบกับล่วงเลยเวลาอาหารมื้อแรกของวันมานานพอสมควรแล้ว ยิ่งทำให้เมนูใหม่ดูน่าเย้ายวนลูกค้าที่แพ้การประมูลทั้งหลายเกือบจะกระโดดออกไปยึดเอาถาดไม้ใส่อาหารมาเป็นของตนเองอยู่รอมร่อ เพียงแต่พอมองหน้าเถ้าแก่หลินแล้ว พวกเขาได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน รออาหารอีกชนิดหนึ่งแทน ซึ่งพวกตนก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอันใดและจะมีกลิ่นหอมเหมือนกับอาหารของผู้ชนะหรือไม่“ท่านเฉินเจียและท่านฉีหมิง อาหารชนิดใหม่ตรงหน้าท่าน เป็นอาหารจานเนื้อ เรียกว่า นิลเง็กเซียน เนื้อสัมผัสอ่อนนุ่ม หอมกลิ่นเครื่องเทศเข้มข้น ข้าขอแนะนำให้นำเนื้อจิ้มลงไปในน้ำแกงก่อนกิน แล้วตามด้วยข้าวสวยร้อน ๆ ดอกไม้ซีหงซื่อและแตงกวาที่วางอยู่บนจาน พวกท่านสามารถนำมากินแก้อาการเลี่ยนได้ เชิญท่านทั้งสองลิ้มลองอา
“พี่ชายหมิน รบกวนหยิบมะเขือเทศกับแตงกวามาให้ข้าที อย่าลืมล้างให้เรียบร้อยด้วยนะขอรับ มาทำตรงโต๊ะเตรียมวัตถุดิบนะขอรับ” จางอี้หมิงบอกแล้วจึงเดินไปรอที่โต๊ะกลางห้องอู๋หมินรีบหยิบผักออกมา เมื่อล้างแตงกวาและมะเขือเทศจนสะอาดแล้วจึงเดินมาสมทบกับอี้หมิงทันที เขาวางวัตถุดิบทั้งสองอย่างไว้บนโต๊ะ แล้วยกตัวของเด็กน้อยขึ้นนั่งบนเก้าอี้ ส่วน อู๋หมินยืนอยู่ข้าง ๆ อีกที“หมิงหมิงน้อยบอกว่าจะทำดอกไม้จากซีหงซื่อเช่นนั้นหรือ”“พี่ชายหมิน ต่อไปต้องเรียกมะเขือเทศนะขอรับ ห้ามเรียกซีหงซื่ออีก”“ดะ ได้ หมิงหมิงน้อยจะทำดอกไม้จากมะเขือเทศเช่นนั้นหรือ” อู๋หมินลนลานถามอีกครั้ง คำพวกนี้ระหว่างที่รอสองพ่อลูกบ้านจางไปขายผ้า พวกเขาก็ถูกเถ้าแก่บังคับให้ฝึกเรียกไว้ก่อนแล้วเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าเถ้าแก่จะเห่อหลานชายคนใหม่ยิ่งนัก เพียงแต่ช่วงแรก ๆ เขาก็มีหลงลืมเผลอใช้คำที่คุ้นเคยเช่นเดิมไปบ้างเท่านั้น“ขอรับ ดอกไม้จากมะเขือเทศทำง่ายมาก เพียงพี่ชาย หมินเอามีดมาปอกเปลือกมะเขือเทศให้เป็นเส้นจากบนลงล่างโดยที่ไม่ให้เปลือกมะเขือเทศขาดออกจากกัน ความกว้างของเส้นเอาสักสองข้อมือข้านี่แหละขอรับ เสร็จแล้วม้วนเปลือกเข้าหากันมันจะ
“เด็กน้อย เหลาเฟิงฟู่ทำอาหารได้เลิศรสจริงอันนี้ข้าไม่มีข้อโต้แย้ง แต่จะให้ข้า เฉินเจียผู้นี้กินอาหารแบบเดิม ๆ ทุกครั้ง เจ้าว่าข้าจะทำได้หรือไม่ นานแค่ไหนแล้วที่เหลาเฟิงฟู่ไม่มีรายการอาหารใหม่ ๆ ให้พวกข้าได้ลองชิมกัน” “วันนี้ในระหว่างที่ข้ากำลังจะมากินอาหารที่เหลาเฟิงฟู่ ระหว่างทางไปข้าเดินผ่านเหลาอาหารซิ่งฝู ข้าได้กลิ่นอาหารที่ หอมมาก หอมจนข้าอดใจไม่ไหวถึงได้เดินเข้ามาที่เหลาซิ่งฝูแห่งนี้ เสี่ยวเอ้อร์บอกเพียงว่าเขาเองก็ไม่รู้ จนเถ้าแก่หลินออกมาอธิบายให้พวกข้าฟังว่าเป็นอาหารชนิดใหม่ และสุดท้ายก็เป็นอย่างที่เจ้ารับรู้ในตอนนี้”“อ๋อ เป็นเช่นนี้นั่นเอง แล้วพวกท่านก็เป็นเช่นท่านเฉินเจียเหมือนกันหรือขอรับ” จางอี้หมิงหันหน้าไปถามบรรดาลูกค้าทั้งหลายที่ยืนออกันอยู่ตรงหน้า แล้วก็เป็นดังที่คาดไว้ในใจ พวกเขาทุกคนต่างพากันพยักหน้าถือเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดี“ข้าไม่มีสิ่งใดสงสัยแล้วขอรับ เชิญท่านปู่ทำการประมูลต่อได้เลยขอรับ” อี้หมิงหันหน้ากลับมาบอกหลินไห่“พวกท่านพอใจกับราคาเปิดประมูลหรือไม่ หากคิดว่าราคาแพงไป ดังนั้นขอเชิญสั่งอาหารตามรายการที่ทางเหลาซิ่งฝูมีอยู่แล้วได้เลย” หลินไห่ถามย้ำอีกครั้ง เ
ทันทีที่เถ้าแก่หลินเดินออกมาจากห้องครัว เหล่าคหบดีที่นั่งรออยู่ก็พากันลุกขึ้นยืนโดยพร้อมเพรียงกัน พวกเขาต่างตั้งใจรอฟังว่าเจ้าของเหลาอาหารซิ่งฝูจะแก้ปัญหานี้อย่างไร หลินไห่แย้มรอยยิ้มกว้าง เขาใช้เสียงดังป่าวประกาศออกไป“ท่านลูกค้าทั้งหลาย เหลาอาหารซิ่งฝูต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจในรายการอาหารชนิดใหม่มากถึงเพียงนี้ ตามที่ข้าได้แจ้งให้พวกท่านทราบไปก่อนหน้านี้แล้ว อาหารที่เหลาซิ่งฝูทดลองทำมีปริมาณไม่เพียงพอกับทุกคน ในตอนนี้เหลาซิ่งฝูสามารถให้พวกท่านได้ทดลองชิมเพียงสองจานเท่านั้น แต่เท่าที่ข้านับได้ พวกท่านมีประมาณสิบคน ดังนั้นข้าจึงได้มีความคิดหนึ่ง หวังว่าพวกท่านจะเห็นด้วยกับความคิดนี้”คหบดีมากมายยืนนิ่งรอฟัง มีบ้างที่เกือบชักสีหน้าเมื่อรู้ว่าอาหารมีไม่เพียงพอ แต่เถ้าแก่หลินก็รีบกล่าวเสริมต่อ“ข้าจะเปิดประมูลอาหารสองจานนี้ ใครที่ให้ราคามากที่สุดจึงจะได้อาหารทั้งสองจานนี้ไปลิ้มลอง ค่าอาหารทั้งหมดที่ได้รับในวันนี้ ข้าหลินไห่ เจ้าของเหลาอาหารซิ่งฝูจะนำไปบริจาคและช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากจน โดยแจ้งแก่พวกชาวบ้านว่าเป็นสินน้ำใจจากพวกท่านทั้งหลาย ไม่ทราบว่าพวกท่านเห็นเป็นเช่นใดบ้าง”“…”ห
“นอกจากจะแก้ปัญหาไม่ให้พวกนั้นตีกันแล้ว ยังได้เงินมาช่วยเหลือคนยากจนอีกด้วย เหล่าคหบดี ข้าราชสำนักพวกนั้นชอบให้คนยกยอตนเองอยู่แล้ว ถ้าพวกเขาอยากชิม ก็จ่ายเงินมา ถ้าไม่จ่าย ก็ไม่ได้ชิม เหลาซิ่งฝูก็ไม่ต้องมากังวลว่าพะโล้จะไม่พอให้ชิม ต้องมาทำอะไรวุ่นวายไปหมด ที่ข้าชอบที่สุดเห็นจะเป็นเหลาอาหารซิ่งฝูยังได้กระจายข่าวรายการอาหารใหม่อีกสอง รายการโดยที่ไม่ต้องทำอันใด ลูกค้าพวกนั้นจะเป็นคนกระจายข่าวให้เหลาอาหารของพวกเราเอง” หลินไห่พึมพำถึงข้อดีของการแก้ปัญหานี้กับตนเอง ก่อนที่จะหันไปถามหัวหน้าพ่อครัวถึงอาหารที่มีตอนนี้“ว่าแต่อู๋เจ๋อ เจ้าลองตักใส่จานดูสิ พะโล้ในหม้อมีจำนวนกี่จาน” “รอสักครู่ขอรับ”อู๋เจ๋อรีบเดินไปตักพะโล้แห้งใส่จาน เขามองดูแล้วว่าได้ทั้งหมดเพียงสองจานเท่านั้น เสร็จแล้วชายวัยกลางคนจึงถือจานมาวางไว้บนโต๊ะที่เถ้าแก่หลินนั่งอยู่“มีเพียงสองจานเท่านี้เองหรือ ไม่เป็นไร ยิ่งมีน้อยความต้องการยิ่งสูงราคายิ่งแพงตามไปด้วย อู๋เจ๋อ เจ้าให้พ่อครัวเตรียมวัตถุดิบทำสามสหายท่องหล้าขึ้นมาสักสิบจาน ข้าจะเอาไว้ปลอบใจให้กับคนที่ประมูลพะโล้แห้งไม่ได้” เถ้าแก่หลินเอ่ยสั่งงานหัวหน้าพ่อครัวด้วยอารมณ์ที
หลินไห่ จางอี้เทา จางอี้หมิง รวมทั้งซีฮันเข้ามายังห้องครัว เท้ายังไม่พ้นประตูดี อู๋เจ๋อที่รออยู่ข้างในครัวด้วยความกระวนกระวายถึงกับถลาเดินเข้ามาหาทั้งสองคนด้วยใบหน้าตื่นตูม“หมิงหมิงน้อย เจ้ากลับมาแล้ว เถ้าแก่เป็นเช่นไรบ้างขอรับ”ใครจะคิดว่าอาหารสูตรบ้านจางจะส่งอิทธิพลขนาดนั้น หลินไห่พยักหน้าตอบพ่อครัว เขากับจางอี้เทาเดินเลี่ยงไปนั่งตรงมุมพักผ่อนเช่นเดิม“ท่านลุงอู๋ พะโล้ได้ที่แล้วกระมังขอรับ รบกวนท่านลุงอู๋ชิมดูได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามหัวหน้าพ่อครัว “ลุงก็ไม่รู้ว่าพะโล้สุกได้ที่แล้วหรือไม่ เพราะหมิงหมิงน้อยเพียงแต่บอกให้ตุ๋นรอเจ้ากลับมา ลุงจะยกลงก็เกรงว่าจะผิดสูตร จึงได้แต่รอเจ้ากลับมานี่แหละ” อู๋เจ๋อเรียกสติของตนเองและตอบกลับ“ท่านลุงลองชิมพะโล้ดูก่อนขอรับ ถ้าเนื้อหมูนุ่ม ซอส เอ่อ น้ำแกงเหลือขลุกขลิก รสชาติใช้ได้แล้วก็ยกลงได้เลย ลองให้ท่านปู่หลินช่วยชิมดูอีกคนก็ได้ขอรับ” อู๋เจ๋อเดินไปที่เตาหม้อตุ๋นหมูพะโล้ เขาก้มลงดูอาหารด้านใน เมื่อเห็นว่าน้ำแกงแห้งขอด มีเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยตามที่เด็กชายได้เอ่ยบอกไว้ เขาจึงหยิบจานใบเล็กมาตักหมูพะโล้วางลงไป แล้วจึงปิดฝาหม้อไว้เช่นเดิม
หน้าเหลาอาหารซิ่งฝูในตอนนี้มีร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งเดินวนเวียนไปมาอย่างร้อนใจ ซีฮันชะเง้อคอมองหาสองพ่อลูกเจ้าของสูตรอาหาร และเมื่อเห็นว่าทั้งคู่เดินกลับมาแล้วจึงรีบปรี่เข้าไปหาโดยไม่รอให้จางอี้เทาและจางอี้หมิงเดินมาถึงหน้าเหลาอาหารเสียด้วยซ้ำ บุรุษบ้านจางต่างวัยขมวดคิ้วพร้อมกันด้วยความสงสัยเกิดเหตุอันใดขึ้นระหว่างที่พวกเขาสองคนพ่อลูกไปขายผ้าปักเช่นนั้นหรือ“พี่อี้เทา หมิงหมิงน้อย พวกเจ้ากลับมาแล้ว รีบขึ้นไปหาเถ้าแก่และท่านลุงอู๋โดยเร็วเถอะ” ซีฮันไม่ปล่อยให้สองพ่อลูกเอ่ยถามอันใด เขารีบบอกออกไปทันที“อาฮัน เกิดอันใดขึ้นเช่นนั้นหรือ” อี้เทาถามออกไปด้วยความข้องใจ“เถ้าแก่น่ะสิ ร้อนใจอยากให้พวกเจ้ารีบกลับมาตั้งนานแล้ว เจ้าไม่รู้อันใดเสียแล้วว่าพะโล้มันส่งกลิ่นรบกวนทุกคน ลูกค้าที่มากินอาหารที่เหลาโวยวายเสียงดังยกใหญ่” ซีฮันบอกด้วยเสียงเครียดขรึม“พะโล้ส่งกลิ่นรบกวนลูกค้าเช่นนั้นหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน” อี้หมิงพึมพำกับตนเองเบา ๆหรือว่ามีปัญหาในขั้นตอนการปรุง แต่เขาจำได้ว่าในการปรุงพะโล้ ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการหมักไปจนถึงการตุ๋น ก่อนที่เขาจะออกจากร้านไป มันไม่มีขั้นตอนไหนผิดพลาดนี่นา“พวก