“ท่านพ่อ เราสร้างบ้านได้โดยไม่ต้องใช้เงินสักอีแปะขอรับ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะหมิงเอ๋อร์ มันจะเป็นไปได้ยังไง พ่อยังไม่เคยได้ยินว่าการสร้างบ้านไม่ต้องเสียเงินมาก่อน” จางอี้เทาถามกลับด้วยความตื่นเต้น
จางอี้หมิงยกยิ้ม หลังจากที่นอนคิดมาทั้งคืน เขาเห็นสมควรที่จะต้องสร้างบ้านอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ทนอากาศหนาวและหิมะที่กำลังจะมาถึง รวมทั้งเรื่องการตุนเสบียงและเชื้อเพลิงให้เพียงพอกับฤดูหนาวด้วย
เขาค้นทุกรอยหยักในสมองเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้ค้นคว้ามาตลอดหลายปีในการรับจ้างหาข้อมูลให้นักเขียน จนเขาจำได้ถึงเรื่องการสร้างบ้านดินที่หลังคาทำด้วยไม้ไผ่ มันสามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ นับว่าตอบโจทย์ไม่น้อย แต่อีกปัญหานั่นคือแรงงาน ครอบครัวเขาไม่มีเงินแม้แต่อีแปะเดียว แล้วจะเอาเงินที่ไหนจ้างชาวบ้านให้มาช่วยสร้างบ้านดิน ถึงแม้ว่าวัสดุจะไม่ต้องซื้อ แต่แรงงานก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดี
นอนคิดพลิกตัวไปแปดแสนล้านตลบ เขาก็หาคำตอบไม่ได้ แต่เมื่อครู่ท่านพ่อบอกว่า ถ้ายังเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ พวกเราคงไม่ลำบากเช่นนี้ ใช่แล้ว!! ท่านพ่อเคยเป็นอาจารย์ ท่านพ่อรู้หนังสือ แต่ชาวบ้านไม่รู้หนังสือ ถ้าท่านพ่อเสนอการสอนหนังสือให้ลูกหลานของชาวบ้านแลกกับแรงงานที่จะนำมาสร้างบ้าน แบบนี้ครอบครัวจางก็สร้างบ้านได้โดยไม่ต้องเสียเงินสักอีแปะ เพียงแต่ต้องใช้ความรู้ที่มีแลกมาเท่านั้น
“จริงขอรับ ชาวสวรรค์มีการสร้างบ้านที่ทำจากดินและหลังคาทำจากไม้ไผ่ ข้าเคยเห็นมาขอรับ แต่ข้าไม่เคยได้ทำด้วยตนเอง แต่ว่าข้ารู้วิธีทำนะขอรับ” จางอี้หมิงพูด
“หมิงเอ๋อร์ ถ้าแค่ครอบครัวเราช่วยกันสร้างบ้านแบบที่ลูกว่า อีกกี่เดือนมันถึงจะเสร็จเล่า”
“ท่านพ่อ เราก็ไปขอให้ชาวบ้านมาช่วยสร้างสิขอรับ”
“แต่ว่าบ้านหลังที่เราอาศัยตอนนี้ก็เป็นชาวบ้านมาช่วยสร้างให้ ถ้าเราต้องไปขออีกครั้ง พ่อคิดว่าชาวบ้านคงไม่สะดวกมาช่วยเป็นแน่ เพราะพวกเขาต่างก็ต้องเตรียมรับมือฤดูหนาวเช่นกัน” จางอี้เทาตอบบุตรชายด้วยเสียงที่เปลี่ยนไป จากตอนแรกที่ตื่นเต้นว่าสามารถสร้างบ้านได้โดยไม่เสียเงินสักอีแปะ แต่พอมาคิดดูว่าต่อให้รู้วิธี ก็ไม่มีเงินจ้างแรงงานให้มาช่วยอยู่ดี เสียงจึงแผ่วเบาในตอนท้าย
“เราไม่มีเงินจ้างชาวบ้านมาช่วย แต่เรามีสิ่งที่ชาวบ้านต้องการขอรับ ท่านพ่อเพียงแค่ต้องนำข้อเสนอไปลองคุยกับชาวบ้านดูขอรับ”
“เรามีสิ่งที่ชาวบ้านต้องการอย่างนั้นหรือ แล้วพวกเรามีอันใดเล่าหมิงเอ๋อร์ที่พอจะเอาไปแลกกับแรงงานได้” จางอี้เทาสงสัย ในตอนนี้ครอบครัวจางแทบจะไม่มีอะไรเลยสักอย่าง
“ความรู้อย่างไรเล่าขอรับ ท่านพ่อเคยเป็นอาจารย์สอนหนังสือ ชาวบ้านไม่รู้หนังสือ ถ้าท่านพ่อเสนอว่าจะสอนหนังสือให้ลูกหลานของพวกเขาเป็นเวลาหนึ่งปีหลังจากพ้นฤดูหนาวนี้ แลกกับการที่ชาวบ้านมาช่วยเราสร้างบ้าน ท่านพ่อว่าแบบนี้ ชาวบ้านจะสนใจข้อเสนอหรือไม่ขอรับ”
“จริงด้วย ทำไมพ่อถึงไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน หมิงเอ๋อร์ เจ้าช่างดียิ่ง พ่อคิดว่าวิธีนี้อาจจะเป็นความคิดที่ดี ตอนเย็นพ่อจะลองเข้าไปคุยกับบ้านซุน ให้ท่านหัวหน้าหมู่บ้านช่วยพูด ชาวบ้านอาจจะตกลงข้อเสนอนี้”
จางอี้เทาถึงกับยีมือไปบนศีรษะของบุตรชายด้วยความรักใคร่ ตั้งแต่จางอี้หมิงฟื้นขึ้นจากการไปเที่ยวเมืองสวรรค์ก็ดูเป็นเด็กฉลาดขึ้นมาก
เดินคุยกันมาจนได้ข้อสรุปเรื่องการสร้างบ้านแล้ว สองพ่อลูกก็มาถึงภูเขา ด้วยบ้านครอบครัวจางอยู่ท้ายหมู่บ้าน ติดกับแนวเขาอยู่แล้วจึงใช้เวลาไม่นานนัก
“หมิงเอ๋อร์ อย่าเดินออกห่างไปไกลจากพ่อนะ เจ้าอาจจะหลงป่าเอาได้”
“ขอรับท่านพ่อ” จางอี้หมิงรับคำและเดินสำรวจไปรอบ ๆ
บนภูเขาก็เหมือนละครที่เคยดูทั่วไป มีต้นไม้ที่เขาไม่รู้จักเต็มไปหมด ไม่มีไม้ผลที่บ่งบอกว่ามันกินได้ ผักป่าส่วนมากตรงบริเวณนี้คงถูกชาวบ้านเก็บไปหมดแล้วเพราะอยู่แถบชายป่า ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมาแต่เช้าก็เถอะ แล้วแบบนี้ครอบครัวจางจะเอาผักป่าที่ไหนมากินกันล่ะ
“ท่านพ่อขอรับ แถวนี้ผักป่าถูกชาวบ้านเก็บไปหมดแล้ว ข้าว่าพวกเราลองเดินลึกเข้าไปอีกหน่อยดีหรือไม่ขอรับ อาจจะเจอผักป่าก็เป็นได้”
“ก็ดีเหมือนกันนะ พวกเราลองเดินเข้าไปลึกอีกสักหน่อยก็แล้วกัน”
จางอี้เทาเห็นด้วยกับบุตรชาย แต่เดินมาตั้งนานแล้วก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอผักป่าหรืออาหารสวรรค์ที่ลูกชายน่าจะรู้จักเลย
จางอี้หมิงเดินสอดส่ายสายตาไปตามทางเขาและเดินออกมาจากบิดาโดยไม่รู้ตัว เด็กน้อยมัวแต่สงสัยว่าต้นไม้ต้นนี้ทำไมถึงสูงนักหรือทำไมต้นไม้ต้นนี้ใบแปลกเหลือเกิน ทำให้เดินไปข้างหน้าโดยไม่ได้ดูเท้าที่กำลังก้าวย่างลงไปก่อนที่จะ
“เหวออออออ”
จางอี้เทาที่ได้ยินเสียงบุตรชายร้องจึงรีบเดินมาตามเสียง เขาเห็นบุตรชายนอนแอ่งแม้งอยู่บนที่ราบลุ่มไหล่เขา คาดว่า อี้หมิงคงจะลื่นไถลลงไป
“หมิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดหรือไม่ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
จางอี้เทาพยายามทรงตัวอย่างทุลักทุเลลงไปตามลาดไหล่เขาเพื่อช่วยบุตรชายที่ตอนนี้กำลังเอามือกุมศีรษะและชันตัวลุกขึ้น เมื่อเดินไปถึงตัว จางอี้เทาจึงจับบุตรชายพลิกตัวไปมาเพื่อสำรวจอาการบาดเจ็บ
“หมิงเอ๋อร์ ตอบพ่อ เจ้าบาดเจ็บหรือไม่ มีอันใดหมิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าทำให้พ่อตกใจเช่นนี้” จางอี้เทาเอ่ยถามบุตรชายอีกครั้งหลังจากที่เห็นจางอี้หมิงทำตาโตจ้องมองข้ามตัวเขาไป ไม่สนใจตอบคำถามของบิดาเลยแม้แต่น้อย พร้อมกับชี้นิ้วไปทางเบื้องหลังของเขา
จางอี้เทาเหลียวหลังไปมองตามทางที่ลูกชายกำลังชี้บอกอยู่ สิ่งที่เขาเห็นมันคือทุ่งหญ้าสีเขียวเป็นพุ่มเล็กใหญ่สลับลดหลั่นกันไป มีดอกเล็ก สีขาว ชูช่อดูสวยงาม
“หมิงเอ๋อร์ เจ้าเห็นสิ่งใด อย่าทำให้พ่อตกใจได้หรือไม่”
“ท่านพ่อ ท่านไม่รู้จักต้นพวกนั้นหรือขอรับ”
“ท่านพ่อ ท่านไม่รู้จักต้นพวกนั้นหรือขอรับ” อี้หมิงถามเสียงใส มือก็ชี้ไปที่เหล่ากอหญ้าขนาดไม่ใหญ่นัก“หมิงเอ๋อร์ พวกนั้นมันต้นหญ้าทั้งนั้น ไม่ใช่สมุนไพร ไม่ใช่อาหาร ไม่ใช่ผักป่าและยังไม่ใช่ดอกไม้ด้วย ไม่มีใครกินมัน กลิ่นมันเหม็นเขียวและฉุน พ่อขึ้นเขามาก็เห็นแบบนี้ตลอด”“ท่านพ่อ มันคือต้นหญ้าหวาน มันให้รสหวานเหมือนน้ำตาลเลยขอรับ”“รสหวานเหมือนน้ำตาลเช่นนั้นหรือ”“ใช่แล้วขอรับ แต่ว่ามันต้องเอาไปตากแห้งก่อนแล้วนำไปต้มกับน้ำ มันจะกลายเป็นน้ำเชื่อม เราสามารถเอาไปทำอาหาร ทำขนม หรือชงดื่มเป็นชาได้ขอรับ ข้อดีอีกอย่างคือเก็บไว้ได้นาน” อี้หมิงเริ่มอธิบายอีกครั้ง “ท่านพ่อ น้ำตาลและเกลือในตลาดราคาเท่าไรหรือขอรับ”“ถ้าพ่อจำไม่ผิด น้ำตาลราคาจินละสี่สิบอีแปะ เกลือแพงมาก ราคาประมาณจินละหกสิบห้าอีแปะ”“แพงมากเลยขอรับ ท่านพ่อไปทำงานที่บ้านท่านลุงเย่ได้ค่าจ้างวันละยี่สิบอีแปะเท่านั้นเอง ข้าเข้าใจแล้วขอรับว่าเหตุใด บ้านเราถึงไม่มีเกลือหรือน้ำตาลกินเลย เพราะมันแพงเช่นนี้นี่เอง ถ้าข้าทำน้ำตาลผักออกมาขาย ท่านพ่อว่ามันจะขายได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเงยหน้าเอ่ยกับบิดา ดวงตามีไฟลุกวาวด้วยความตื่นเต้น “น้ำตาลผ
เมื่อกลับมาถึงบ้าน นางหูได้ทำโจ๊กธัญพืชและผัดผักบุ้งไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จางอี้หมิงบอกให้บิดานำต้นหญ้าหวานมาเด็ดเอาแต่ใบอ่อนล้างให้สะอาดก่อนจะนำไปตากแดด เสร็จแล้วทั้งครอบครัวจึงเริ่มนั่งล้อมวงกินข้าวมื้อแรกของวัน เว้นแต่หลี่อ้ายที่ไม่ได้มานั่งกินข้าวด้วย จางอี้เทาจึงนำโจ๊กไปป้อนให้ภรรยาถึงเตียงนอนหลังจากที่ตนเองกินเรียบร้อยแล้ว“เมื่อวานแม่ว่าผัดผักบุ้งอร่อยมากแล้ว วันนี้อร่อยกว่าเมื่อวานเสียอีก” นางหูเอ่ยขึ้นมาหลังจากคีบผัดผักบุ้งเข้าปาก รสชาติมันอร่อยถูกปากกว่าเดิมเป็นไหน ๆ“เพราะท่านย่ารู้จักการควบคุมไฟแล้วอย่างไรเล่าขอรับ รวมถึงรู้ว่าความสุกจะเอามากน้อยเพียงไหน ลองทำไปอีกสักสี่ห้าครั้ง ท่านย่าก็สามารถไปเป็นแม่ครัวหลวงได้สบายเลยขอรับ”“หมิงเอ๋อร์ เจ้าช่างปากหวาน ย่าแค่พอทำได้ คนที่เก่งคือหมิงเอ๋อร์ต่างหากเล่า”“ข้าเก่งเช่นท่านพ่อขอรับ” จางอี้หมิงยกความดีความชอบให้บิดาพร้อมกับชูนิ้วโป้งทั้งสองมือ หูไป๋หงและจางอี้เทาถึงกับหัวเราะออกมา นานเท่าไรแล้วที่ครอบครัวจางไม่ได้หัวเราะเสียงดังเช่นนี้ คงตั้งแต่ย้ายออกมาจากเมืองหลวงกระมัง“อาเทา แม่เห็นเจ้าตากอะไรกลางลานบ้าน เจ้าได้สมุนไพรมาเช
“ง่ายเช่นนี้เลยหรือหมิงเอ๋อร์”“ง่ายเช่นนี้เลยขอรับ เพียงแต่ว่าข้าไม่รู้ว่ารสชาติความหวานมันจะเป็นยังไง คงต้องรอหลังจากที่ต้มเสร็จแล้ว เราค่อยมาดูว่าจะปรับอัตราส่วนเช่นใดขอรับ” อี้หมิงตอบนางหู ก่อนจะหันไปบอกบิดา“ท่านพ่อขอรับ รบกวนท่านพ่อไปตัดกระบอกไม้ไผ่มาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ขอรับ ข้าจะเอามาใส่น้ำตาลผัก พรุ่งนี้เราจะเอาไปให้ท่านลุงเย่ชิม บ้านเราไม่มีไหเปล่า คงต้องใช้กระบอกไม้ไผ่แทน ท่านพ่อตัดมาเยอะ ๆ เลยนะขอรับ เพราะข้าจะเอาไปเป็นสินค้าทดลองให้เถ้าแก่ในตลาดลองชิมดูขอรับ”“ได้สิ พ่อจะไปทำให้เดี๋ยวนี้” จางอี้เทาผละออกไปทำตามที่บุตรชายต้องการ ปล่อยให้สองย่าหลานทำน้ำตาลผักกันต่อไป“หมิงเอ๋อร์ ถ้าน้ำตาลผักที่เรากำลังทำอยู่นี้มันขายได้ บ้านเราคงมีเงินเข้าบ้าน และมีเงินซื้ออาหารไว้สำหรับฤดูหนาวนี้แล้ว”“ท่านย่า ข้าว่ามันต้องขายได้อย่างแน่นอนเพราะชาวบ้านคงอยากกินน้ำตาล แต่มันแพง เลยซื้อไม่ได้ ถ้าเราทำน้ำตาลผักออกมาขาย เราไม่ต้องขายแพงมาก ให้ชาวบ้านได้กินของดี ๆ บ้าง ข้าว่ามันต้องขายได้ อีกอย่าง ท่านย่ารู้หรือไม่ เราสามารถเอาน้ำตาลผักใส่ลงไปในโจ๊กธัญพืช เพียงแค่นี้ก็ได้โจ๊กที่มีรสหวานแล้วขอร
หลังราตรีที่โอบล้อมด้วยรอยยิ้มและความสุขผ่านพ้นไป วันรุ่งขึ้นในยามซื่อ ( 09.00 – 10.59) สองพ่อลูกตระกูลจางจึงพากันออกเดินมุ่งสู่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อพบซุนถง จางอี้เทาถือกระบอกน้ำตาลผักไปสองกระบอกด้วย มันมีทั้งแบบเข้มข้นสำหรับปรุงอาหารและแบบเจือจางสำหรับใช้ดื่มแทนชาด้วยบ้านจางนั้นอยู่ท้ายหมู่บ้าน พวกเขาจึงต้องใช้เวลามากพอสมควรกว่าจะถึงบ้านครอบครัวซุน จางอี้หมิงจับมือบิดามาตลอดทาง เด็กน้อยได้โอกาสมองสำรวจโน่นนี่อย่างหนำใจ“ท่านลุงซุนถง อยู่บ้านหรือไม่ขอรับ” เมื่อมาถึงที่หมาย จางอี้เทาก็ตะโกนเรียกอยู่สองสามครั้ง“ใครมาโวยวายอยู่หน้าบ้านข้า” ซุนซูเย่เดินออกมาดู “อ้าวอาเทาเองหรือ มีอะไรหรือเปล่า” “ท่านพี่เย่ ข้าอาเทากับหมิงเอ๋อร์มีธุระอยากจะขอคุยกับท่านลุงถง ไม่ทราบท่านหัวหน้าหมู่บ้านอยู่หรือไม่ขอรับ” “เจ้ามาหาท่านพ่อหรือ เข้ามาในบ้านก่อน ท่านพ่ออยู่หลังบ้าน”“ขอบคุณขอรับ ข้าไม่ได้มาหาท่านลุงถงอย่างเดียว ข้าอยากปรึกษาบางอย่างกับท่านพี่เย่ด้วยขอรับ”“ได้ ๆ งั้นพวกเราไปหาท่านพ่อกันก่อนเถอะ” ซุนซูเย่ตอบ เขาเดินนำสองพ่อลูกตรงไปทางหลังบ้านที่มีซุนถงกำลังนั่งสานตะกร้าอยู่“ท่านพ่อ อาเทา
“ท่านพ่ออย่าลืมน้ำตาลผัก” จางอี้หมิงเมื่อเห็นว่าบิดาดีใจที่บรรลุวัตถุประสงค์แล้วจึงสะกิดเตือน“โอ้ จริงด้วย ท่านลุงถง ท่านพี่เย่ นี่เป็นน้ำตาลผักที่บ้านข้าได้คิดค้นขึ้นมา ข้านำมาให้สองกระบอก สีเข้มเอาไว้ปรุงอาหารแทนน้ำตาล ส่วนสีอ่อน เอาไว้ดื่มแทนชา มันหวานอร่อยมาก ท่านลุงถงลองชิมดูได้” จางอี้เทาแย้มยิ้ม เขายื่นน้ำตาลผักให้หัวหน้าหมู่บ้านไปทั้งสองกระบอก“อาเทา เจ้าว่าอย่างไรนะ” ซุนถงถึงกับชะงัก ชายชราลองแคะหูตัวเองเผื่อว่ามันอาจจะเพี้ยนไปแล้ว“น้ำตาลผักเช่นนั้นหรือ ใช้แทนน้ำตาลได้งั้นหรือ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”“ใช่แล้วขอรับ น้ำตาลผัก ท่านต้องการความหวานมากน้อยแค่ไหนก็ตักใส่ได้เลยขอรับ ค่อย ๆ ใส่ไปทีละน้อย ได้ความหวานตามที่ต้องการแล้วก็หยุดได้ขอรับ เมื่อคืนวานบ้านข้าต้มโจ๊กธัญพืชใส่น้ำตาลผัก อร่อยมากทีเดียว นี่ก็ใกล้ยามอู่ (11.00 – 12.59) แล้ว ท่านลองให้ท่านพี่เจียวเม่ยทำดูได้ขอรับ”จางอี้เทาแนะนำท่านหัวหน้าหมู่บ้านด้วยความคล่องแคล่วสมเป็นบัณฑิต เขาไตร่ตรองไว้แล้วว่าถ้าท่านลุงถงชอบใจในน้ำตาลผัก ชาวบ้านคนอื่น ๆ ก็คงจะพึงใจไม่ต่างกัน“อย่าลืมลองดื่มน้ำตาลผักสีอ่อนดูนะขอรับ มันสามารถดื่มไ
ทุกคนนั่งล้อมวงนั่งกินข้าวด้วยกัน เด็ก ๆ ทั้งสามนั่งติดกันทางฝั่งซ้ายของหัวหน้าหมู่บ้าน ทางขวามือเป็นจางอี้เทาและซุนซูเย่กับสะใภ้ สำหรับภรรยาของซุนถงนั้นเสียชีวิตไปได้หลายปีแล้ว เขาไม่คิดแต่งงานใหม่ให้มากความ สมาชิกทั้งหมดจึงมีเพียงเท่านี้สำหรับอาหารวันนี้ก็เป็นดั่งที่จางอี้เทาแนะนำ โชคดีที่บ้านซุนมีฐานะดีกว่าจึงมีข้าวกิน แม้ว่ามันจะไม่ใช่ข้าวคุณภาพดีเท่าบ้านจางในเมืองหลวง แต่ก็ดีกว่าธัญพืชหยาบเป็นไหน ๆ มื้อแรกของจางอี้หมิงในวันนี้จึงมีน้ำแกงเนื้อหนึ่งอย่างไว้กินกับข้าวต้ม นับว่าเป็นอาหารชั้นดีสำหรับชาวบ้านธรรมดา“ท่านแม่ น้ำแกงเนื้อวันนี้อร่อยมากเลยขอรับ” ซุนหมิงเย่เอ่ยขึ้นมาเป็นครั้งแรกหลังจากที่ตักข้าวกินไปคำแรก เด็กน้อยรีบตักคำต่อ ๆ ไปเข้าปากตามไปติด ๆ “แม่ก็ทำเหมือนเช่นทุกวันนะเย่เอ๋อร์ แต่วันนี้แม่เติมน้ำตาลผักที่ท่านอาอี้เทาเอามาฝาก” เจียวเม่ยหันไปตอบบุตรชาย“ข้าชอบมากขอรับ ท่านแม่ทำให้ข้ากินทุกวันได้หรือไม่ขอรับ” ซุนหมิงเย่เอ่ยบอกมารดาทั้งที่ในปากยังเต็มไปด้วยข้าว “เย่เอ๋อร์ มันอร่อยมากเช่นนั้นหรือ” ซุนถงเอ่ยถามหลานชายด้วยความสนใจ ปกติแล้วหมิงเย่ไม่ค่อยกินข้าว ตัวถึงเล็กกว่
จางอี้เทาและจางอี้หมิงกลับมาถึงบ้านในช่วงบ่าย สองพ่อลูกเห็นหลี่อ้ายที่อาการค่อยยังชั่วขึ้นแล้วนั่งคุยอยู่กับนางหูซึ่งกำลังปะชุนเสื้อผ้า“น้องหญิง เจ้าตื่นแล้ว” อี้เทาเอ่ยพร้อมกับเดินเข้าไปหา“ท่านพี่ ข้าดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ พักอีกแค่วันสองวันคงหายดีแล้ว เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ท่านหัวหน้าหมู่บ้านยินดีช่วยครอบครัวเราหรือไม่” “ท่านลุงถงรับปาก พวกเขาชอบน้ำตาลผักของบ้านเรามาก หมิงเอ๋อร์แนะนำว่าควรทำไปแจกให้ชาวบ้านได้ลองชิมดู อาจจะช่วยให้พวกเขาตัดสินใจแลกเปลี่ยนแรงงานกับบ้านเราง่ายขึ้น” เขาตอบ “วันนี้ข้ากับหมิงเอ๋อร์จะขึ้นเขาไปเก็บต้นหญ้าหวานมาทำน้ำตาลผักเพิ่ม พรุ่งนี้จะเอาไปให้ท่านลุงถงแจกจ่าย และอีกสามวันท่านลุงถงนัดให้ไปฟังคำตอบจากชาวบ้าน”“อาเทา หมิงเอ๋อร์จะกินข้าวเลยหรือไม่ แม่จะไปยกมาให้” นางหูเอ่ยถามและเงยหน้าจากผ้าในมือ “แม่กับเมียเจ้ากินแล้วเรียบร้อย หลี่อ้ายยังป่วย แม่เลยไม่ได้รอลูกกับหมิงเอ๋อร์ อีกอย่างแม่ว่าจะไปเก็บผักบุ้งมาทำอาหารอีกครั้งในตอนเย็น อาเทาว่าดีหรือไม่” “ท่านแม่ ข้ากับหมิงเอ๋อร์กินมาจากบ้านท่านลุงถงแล้วขอรับ เมื่อวานข้าไม่มีผักป่ากลับบ้าน วันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะไ
เมื่อผ่านด่านตรวจเข้าเมืองมาแล้ว ลุงผินพาทุกคนไปจอดลงที่พักซึ่งห่างจากกำแพงเมืองไม่มากนัก พร้อมกับย้ำว่าถ้าต้องการกลับบ้านพร้อมเกวียนของแก ต้องมาให้ตรงเวลาในยามเซิน (15.00 – 16.59) ไม่เช่นนั้นก็ให้เดินกลับเอง“ท่านพ่อขอรับ พวกเราลองไปเดินดูกันดีไหมขอรับว่าในเมืองมีร้านขายอะไรบ้าง” จางอี้หมิงกล่าว เด็กน้อยอยากสำรวจให้ทั่ว“ไปสิ แต่พ่อว่าพวกเราเดินไปที่ร้านขายของก่อนดีหรือไม่ เพราะถ้าต้องแบกน้ำตาลผักไปตลอดทางแบบนี้มันลำบาก” “ขอรับ”จางอี้เทาสอบถามคนแถวนั้นถึงร้านขายของต่าง ๆ เมื่อได้รับคำตอบ จึงออกเดินหา เพียงครึ่งเค่อก็พบ ร้านตรงหน้าเป็นเหมือนห้องแถวสองชั้นทำด้วยไม้มีสองห้อง เสียงชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังเอ่ยสั่งงานกับผู้ที่คาดว่าเป็นผู้ช่วยขายของดังออกมาถึงข้างนอก“พี่ชาย ที่นี่รับซื้อสินค้าหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงรอจังหวะช่วงลูกค้าเดินออกไปรีบเข้ามาสอบถามเด็กหนุ่มที่กำลังยืนขายของ“น้องชายตัวน้อย ร้านนี้เป็นร้านขายของแต่ก็รับซื้อสินค้าด้วย เจ้าต้องการเอาสินค้าอันใดมาขายเช่นนั้นหรือ”“ข้ามีสินค้าใหม่มานำเสนอให้เถ้าแก่ พี่ชายได้โปรดบอกเถ้าแก่ให้ข้าได้หรือไม่”“ได้ ๆ เจ้าตามข้ามาทางนี้”
“ทางออกอันใดหรือเด็กน้อย” เฉินเจียเอ่ยถามด้วยความสงสัย เขามองดูเด็กน้อยตรงหน้าอย่างพินิจ“ทางออกของเรื่องทั้งหมดนี้เช่นไรเล่าขอรับ ข้าขอเสนอให้พวกท่านทั้งสิบคนแลกเปลี่ยนนิลเง็กเซียนกับสามสหายท่องหล้า แบ่งปันกันชิมคนละคำสองคำ เช่นนี้แล้วพวกท่านทั้งหมดก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชิมอาหารชนิดใหม่ด้วยวิธีการปรุงแบบใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน”“สำหรับค่าอาหารจากที่ท่านเฉินเจียกับท่านฉีหมิงต้องจ่ายคนละห้าสิบตำลึง สองจานรวมเป็นหนึ่งร้อยตำลึง เมื่อแลกเปลี่ยนอาหารกันแล้ว พวกท่านเพียงจ่ายคนละสิบตำลึงเท่านั้น เช่นนี้แล้วพวกท่านทุกคนจึงเท่าเทียมเหมือนกันแล้วขอรับ”“ในอนาคต เหลาอาหารซิ่งฝูจะมีรายการอาหารชนิดใหม่ออกมาทุกเดือน เพื่อเป็นการตอบแทนท่านทั้งสิบคน เหลาอาหารซิ่งฝูยินดีที่จะให้ท่านเป็นลูกค้าพิเศษ เมื่อมีรายการอาหารชนิดใหม่ในแต่ละครั้ง เหลาซิ่งฝูจะทำการเชิญท่านทั้งสิบมาทำการลิ้มลองอาหารก่อนเป็นกลุ่มแรก เช่นนี้แล้ว ท่านลุง ท่านตาทั้งหลายพอใจหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงอธิบายเสร็จแล้วจึงถอยหลังกลับไปยืนข้างท่านปู่ด้วยความสงบเรียบร้อย“ฮะ ฮะ ฮะ” ฉีหมิงหัวเราะออกมาและกล่าวชมเชยหลินไห่“เถ้าแก่หลิน หลานชายข
“ข้าไม่เคยได้ชิมอาหารจานผักเช่นนี้มาก่อนเลย จะว่าเป็นน้ำแกงก็มีน้ำน้อยเกินไป จะว่าเป็นผักต้มแต่กลับมีกลิ่นของกระเทียม รสชาติกลมกล่อมเกินกว่าจะเป็นผักต้มได้ เถ้าแก่หลิน สามสหายท่องหล้าคืออาหารชนิดใดกันแน่ขอรับ” ชายคนแรกที่ตั้งข้อสงสัยถามเถ้าแก่หลินขึ้นมา“เรียนลูกค้า สามสหายท่องหล้าเป็นอาหารจานผัก ส่วนวิธีการปรุงนั้นทำมาจากการผัด” เถ้าแก่หลินไห่เอ่ยตอบด้วยท่าทางสุขุม“การผัดเช่นนั้นหรือ มันคืออันใดกันเล่า ข้าอายุแก่จนปูนนี้แล้ว ยังมิเคยได้ยินว่ามีการปรุงอาหารด้วยการผัดมาก่อน พวกเจ้าเล่า เคยได้ยินมาก่อนหรือไม่” ชายชราที่อายุมากที่สุดในกลุ่มเอ่ยออกมาเสียงไม่เบานัก ก่อนจะหันไปถามผู้ที่ร่วมชิมสามสหายท่องหล้าด้วยกัน“ข้าไม่เคย”“ข้าก็ไม่เคย” ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน“ข้าคงมิสามารถตอบได้เนื่องจากว่าเป็นความลับของเหลาซิ่งฝู ขอลูกค้าอย่าได้ถามอีกเลย” หลินไห่ตอบกลับด้วยความสุภาพ“เจ้าว่าอันใดนะ สามสหายท่องหล้าของพวกเจ้า ปรุงขึ้นมาจากวิธีการปรุงอาหารแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นนั้นหรือ” ฉีหมิงเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เขายินดียิ่งนักที่ได้เป็นคนกลุ่มแรกซึ่งได้ชิมรายการอาหารชนิดใหม่ประเภทจ
หลินไห่เดินจูงมือจางอี้หมิงนำหน้าอู๋เจ๋อและอู๋หมินออกมา ที่มือของคนครัวทั้งคู่ถือถาดไม้บรรจุนิลเง็กเซียนส่งกลิ่นหอมฉุย พวกเขาเดินนำอาหารไปวางไว้บนโต๊ะของผู้ชนะการประมูลซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกันเถ้าแก่หลินเป็นผู้อธิบายถึงรายการอาหารรสเลิศตรงหน้า ทั้งกลิ่นหอมกรุ่ม ทั้งควันที่ลอยออกมาบ่งบอกว่าเพิ่งผ่านการปรุงมาใหม่ ๆ รวมถึงการตกแต่งจานอาหารให้มีสีสันน่ากิน ประกอบกับล่วงเลยเวลาอาหารมื้อแรกของวันมานานพอสมควรแล้ว ยิ่งทำให้เมนูใหม่ดูน่าเย้ายวนลูกค้าที่แพ้การประมูลทั้งหลายเกือบจะกระโดดออกไปยึดเอาถาดไม้ใส่อาหารมาเป็นของตนเองอยู่รอมร่อ เพียงแต่พอมองหน้าเถ้าแก่หลินแล้ว พวกเขาได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน รออาหารอีกชนิดหนึ่งแทน ซึ่งพวกตนก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอันใดและจะมีกลิ่นหอมเหมือนกับอาหารของผู้ชนะหรือไม่“ท่านเฉินเจียและท่านฉีหมิง อาหารชนิดใหม่ตรงหน้าท่าน เป็นอาหารจานเนื้อ เรียกว่า นิลเง็กเซียน เนื้อสัมผัสอ่อนนุ่ม หอมกลิ่นเครื่องเทศเข้มข้น ข้าขอแนะนำให้นำเนื้อจิ้มลงไปในน้ำแกงก่อนกิน แล้วตามด้วยข้าวสวยร้อน ๆ ดอกไม้ซีหงซื่อและแตงกวาที่วางอยู่บนจาน พวกท่านสามารถนำมากินแก้อาการเลี่ยนได้ เชิญท่านทั้งสองลิ้มลองอา
“พี่ชายหมิน รบกวนหยิบมะเขือเทศกับแตงกวามาให้ข้าที อย่าลืมล้างให้เรียบร้อยด้วยนะขอรับ มาทำตรงโต๊ะเตรียมวัตถุดิบนะขอรับ” จางอี้หมิงบอกแล้วจึงเดินไปรอที่โต๊ะกลางห้องอู๋หมินรีบหยิบผักออกมา เมื่อล้างแตงกวาและมะเขือเทศจนสะอาดแล้วจึงเดินมาสมทบกับอี้หมิงทันที เขาวางวัตถุดิบทั้งสองอย่างไว้บนโต๊ะ แล้วยกตัวของเด็กน้อยขึ้นนั่งบนเก้าอี้ ส่วน อู๋หมินยืนอยู่ข้าง ๆ อีกที“หมิงหมิงน้อยบอกว่าจะทำดอกไม้จากซีหงซื่อเช่นนั้นหรือ”“พี่ชายหมิน ต่อไปต้องเรียกมะเขือเทศนะขอรับ ห้ามเรียกซีหงซื่ออีก”“ดะ ได้ หมิงหมิงน้อยจะทำดอกไม้จากมะเขือเทศเช่นนั้นหรือ” อู๋หมินลนลานถามอีกครั้ง คำพวกนี้ระหว่างที่รอสองพ่อลูกบ้านจางไปขายผ้า พวกเขาก็ถูกเถ้าแก่บังคับให้ฝึกเรียกไว้ก่อนแล้วเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าเถ้าแก่จะเห่อหลานชายคนใหม่ยิ่งนัก เพียงแต่ช่วงแรก ๆ เขาก็มีหลงลืมเผลอใช้คำที่คุ้นเคยเช่นเดิมไปบ้างเท่านั้น“ขอรับ ดอกไม้จากมะเขือเทศทำง่ายมาก เพียงพี่ชาย หมินเอามีดมาปอกเปลือกมะเขือเทศให้เป็นเส้นจากบนลงล่างโดยที่ไม่ให้เปลือกมะเขือเทศขาดออกจากกัน ความกว้างของเส้นเอาสักสองข้อมือข้านี่แหละขอรับ เสร็จแล้วม้วนเปลือกเข้าหากันมันจะ
“เด็กน้อย เหลาเฟิงฟู่ทำอาหารได้เลิศรสจริงอันนี้ข้าไม่มีข้อโต้แย้ง แต่จะให้ข้า เฉินเจียผู้นี้กินอาหารแบบเดิม ๆ ทุกครั้ง เจ้าว่าข้าจะทำได้หรือไม่ นานแค่ไหนแล้วที่เหลาเฟิงฟู่ไม่มีรายการอาหารใหม่ ๆ ให้พวกข้าได้ลองชิมกัน” “วันนี้ในระหว่างที่ข้ากำลังจะมากินอาหารที่เหลาเฟิงฟู่ ระหว่างทางไปข้าเดินผ่านเหลาอาหารซิ่งฝู ข้าได้กลิ่นอาหารที่ หอมมาก หอมจนข้าอดใจไม่ไหวถึงได้เดินเข้ามาที่เหลาซิ่งฝูแห่งนี้ เสี่ยวเอ้อร์บอกเพียงว่าเขาเองก็ไม่รู้ จนเถ้าแก่หลินออกมาอธิบายให้พวกข้าฟังว่าเป็นอาหารชนิดใหม่ และสุดท้ายก็เป็นอย่างที่เจ้ารับรู้ในตอนนี้”“อ๋อ เป็นเช่นนี้นั่นเอง แล้วพวกท่านก็เป็นเช่นท่านเฉินเจียเหมือนกันหรือขอรับ” จางอี้หมิงหันหน้าไปถามบรรดาลูกค้าทั้งหลายที่ยืนออกันอยู่ตรงหน้า แล้วก็เป็นดังที่คาดไว้ในใจ พวกเขาทุกคนต่างพากันพยักหน้าถือเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดี“ข้าไม่มีสิ่งใดสงสัยแล้วขอรับ เชิญท่านปู่ทำการประมูลต่อได้เลยขอรับ” อี้หมิงหันหน้ากลับมาบอกหลินไห่“พวกท่านพอใจกับราคาเปิดประมูลหรือไม่ หากคิดว่าราคาแพงไป ดังนั้นขอเชิญสั่งอาหารตามรายการที่ทางเหลาซิ่งฝูมีอยู่แล้วได้เลย” หลินไห่ถามย้ำอีกครั้ง เ
ทันทีที่เถ้าแก่หลินเดินออกมาจากห้องครัว เหล่าคหบดีที่นั่งรออยู่ก็พากันลุกขึ้นยืนโดยพร้อมเพรียงกัน พวกเขาต่างตั้งใจรอฟังว่าเจ้าของเหลาอาหารซิ่งฝูจะแก้ปัญหานี้อย่างไร หลินไห่แย้มรอยยิ้มกว้าง เขาใช้เสียงดังป่าวประกาศออกไป“ท่านลูกค้าทั้งหลาย เหลาอาหารซิ่งฝูต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจในรายการอาหารชนิดใหม่มากถึงเพียงนี้ ตามที่ข้าได้แจ้งให้พวกท่านทราบไปก่อนหน้านี้แล้ว อาหารที่เหลาซิ่งฝูทดลองทำมีปริมาณไม่เพียงพอกับทุกคน ในตอนนี้เหลาซิ่งฝูสามารถให้พวกท่านได้ทดลองชิมเพียงสองจานเท่านั้น แต่เท่าที่ข้านับได้ พวกท่านมีประมาณสิบคน ดังนั้นข้าจึงได้มีความคิดหนึ่ง หวังว่าพวกท่านจะเห็นด้วยกับความคิดนี้”คหบดีมากมายยืนนิ่งรอฟัง มีบ้างที่เกือบชักสีหน้าเมื่อรู้ว่าอาหารมีไม่เพียงพอ แต่เถ้าแก่หลินก็รีบกล่าวเสริมต่อ“ข้าจะเปิดประมูลอาหารสองจานนี้ ใครที่ให้ราคามากที่สุดจึงจะได้อาหารทั้งสองจานนี้ไปลิ้มลอง ค่าอาหารทั้งหมดที่ได้รับในวันนี้ ข้าหลินไห่ เจ้าของเหลาอาหารซิ่งฝูจะนำไปบริจาคและช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากจน โดยแจ้งแก่พวกชาวบ้านว่าเป็นสินน้ำใจจากพวกท่านทั้งหลาย ไม่ทราบว่าพวกท่านเห็นเป็นเช่นใดบ้าง”“…”ห
“นอกจากจะแก้ปัญหาไม่ให้พวกนั้นตีกันแล้ว ยังได้เงินมาช่วยเหลือคนยากจนอีกด้วย เหล่าคหบดี ข้าราชสำนักพวกนั้นชอบให้คนยกยอตนเองอยู่แล้ว ถ้าพวกเขาอยากชิม ก็จ่ายเงินมา ถ้าไม่จ่าย ก็ไม่ได้ชิม เหลาซิ่งฝูก็ไม่ต้องมากังวลว่าพะโล้จะไม่พอให้ชิม ต้องมาทำอะไรวุ่นวายไปหมด ที่ข้าชอบที่สุดเห็นจะเป็นเหลาอาหารซิ่งฝูยังได้กระจายข่าวรายการอาหารใหม่อีกสอง รายการโดยที่ไม่ต้องทำอันใด ลูกค้าพวกนั้นจะเป็นคนกระจายข่าวให้เหลาอาหารของพวกเราเอง” หลินไห่พึมพำถึงข้อดีของการแก้ปัญหานี้กับตนเอง ก่อนที่จะหันไปถามหัวหน้าพ่อครัวถึงอาหารที่มีตอนนี้“ว่าแต่อู๋เจ๋อ เจ้าลองตักใส่จานดูสิ พะโล้ในหม้อมีจำนวนกี่จาน” “รอสักครู่ขอรับ”อู๋เจ๋อรีบเดินไปตักพะโล้แห้งใส่จาน เขามองดูแล้วว่าได้ทั้งหมดเพียงสองจานเท่านั้น เสร็จแล้วชายวัยกลางคนจึงถือจานมาวางไว้บนโต๊ะที่เถ้าแก่หลินนั่งอยู่“มีเพียงสองจานเท่านี้เองหรือ ไม่เป็นไร ยิ่งมีน้อยความต้องการยิ่งสูงราคายิ่งแพงตามไปด้วย อู๋เจ๋อ เจ้าให้พ่อครัวเตรียมวัตถุดิบทำสามสหายท่องหล้าขึ้นมาสักสิบจาน ข้าจะเอาไว้ปลอบใจให้กับคนที่ประมูลพะโล้แห้งไม่ได้” เถ้าแก่หลินเอ่ยสั่งงานหัวหน้าพ่อครัวด้วยอารมณ์ที
หลินไห่ จางอี้เทา จางอี้หมิง รวมทั้งซีฮันเข้ามายังห้องครัว เท้ายังไม่พ้นประตูดี อู๋เจ๋อที่รออยู่ข้างในครัวด้วยความกระวนกระวายถึงกับถลาเดินเข้ามาหาทั้งสองคนด้วยใบหน้าตื่นตูม“หมิงหมิงน้อย เจ้ากลับมาแล้ว เถ้าแก่เป็นเช่นไรบ้างขอรับ”ใครจะคิดว่าอาหารสูตรบ้านจางจะส่งอิทธิพลขนาดนั้น หลินไห่พยักหน้าตอบพ่อครัว เขากับจางอี้เทาเดินเลี่ยงไปนั่งตรงมุมพักผ่อนเช่นเดิม“ท่านลุงอู๋ พะโล้ได้ที่แล้วกระมังขอรับ รบกวนท่านลุงอู๋ชิมดูได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามหัวหน้าพ่อครัว “ลุงก็ไม่รู้ว่าพะโล้สุกได้ที่แล้วหรือไม่ เพราะหมิงหมิงน้อยเพียงแต่บอกให้ตุ๋นรอเจ้ากลับมา ลุงจะยกลงก็เกรงว่าจะผิดสูตร จึงได้แต่รอเจ้ากลับมานี่แหละ” อู๋เจ๋อเรียกสติของตนเองและตอบกลับ“ท่านลุงลองชิมพะโล้ดูก่อนขอรับ ถ้าเนื้อหมูนุ่ม ซอส เอ่อ น้ำแกงเหลือขลุกขลิก รสชาติใช้ได้แล้วก็ยกลงได้เลย ลองให้ท่านปู่หลินช่วยชิมดูอีกคนก็ได้ขอรับ” อู๋เจ๋อเดินไปที่เตาหม้อตุ๋นหมูพะโล้ เขาก้มลงดูอาหารด้านใน เมื่อเห็นว่าน้ำแกงแห้งขอด มีเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยตามที่เด็กชายได้เอ่ยบอกไว้ เขาจึงหยิบจานใบเล็กมาตักหมูพะโล้วางลงไป แล้วจึงปิดฝาหม้อไว้เช่นเดิม
หน้าเหลาอาหารซิ่งฝูในตอนนี้มีร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งเดินวนเวียนไปมาอย่างร้อนใจ ซีฮันชะเง้อคอมองหาสองพ่อลูกเจ้าของสูตรอาหาร และเมื่อเห็นว่าทั้งคู่เดินกลับมาแล้วจึงรีบปรี่เข้าไปหาโดยไม่รอให้จางอี้เทาและจางอี้หมิงเดินมาถึงหน้าเหลาอาหารเสียด้วยซ้ำ บุรุษบ้านจางต่างวัยขมวดคิ้วพร้อมกันด้วยความสงสัยเกิดเหตุอันใดขึ้นระหว่างที่พวกเขาสองคนพ่อลูกไปขายผ้าปักเช่นนั้นหรือ“พี่อี้เทา หมิงหมิงน้อย พวกเจ้ากลับมาแล้ว รีบขึ้นไปหาเถ้าแก่และท่านลุงอู๋โดยเร็วเถอะ” ซีฮันไม่ปล่อยให้สองพ่อลูกเอ่ยถามอันใด เขารีบบอกออกไปทันที“อาฮัน เกิดอันใดขึ้นเช่นนั้นหรือ” อี้เทาถามออกไปด้วยความข้องใจ“เถ้าแก่น่ะสิ ร้อนใจอยากให้พวกเจ้ารีบกลับมาตั้งนานแล้ว เจ้าไม่รู้อันใดเสียแล้วว่าพะโล้มันส่งกลิ่นรบกวนทุกคน ลูกค้าที่มากินอาหารที่เหลาโวยวายเสียงดังยกใหญ่” ซีฮันบอกด้วยเสียงเครียดขรึม“พะโล้ส่งกลิ่นรบกวนลูกค้าเช่นนั้นหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน” อี้หมิงพึมพำกับตนเองเบา ๆหรือว่ามีปัญหาในขั้นตอนการปรุง แต่เขาจำได้ว่าในการปรุงพะโล้ ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการหมักไปจนถึงการตุ๋น ก่อนที่เขาจะออกจากร้านไป มันไม่มีขั้นตอนไหนผิดพลาดนี่นา“พวก