Share

บุตรชายตัวน้อยของบัณฑิตจาง
บุตรชายตัวน้อยของบัณฑิตจาง
ผู้แต่ง: มายารัตติกาล

ตอนที่ 1

ภายในกระท่อมปลายนาหลังเล็กที่บัดนี้ถูกจับจองให้เป็นบ้านของตระกูลจาง เสียงสะอื้นของหญิงสาวดังออกมาจากตัวบ้านไม่ขาดสาย นางกำลังร้องไห้กอดบุตรชายไว้แนบอก ร่างกายของเด็กชายตัวน้อยในอ้อมแขนผอมแห้งจนแทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก มีเพียงลมหายใจผะแผ่วเท่านั้นที่บ่งบอกถึงการมีชีวิตอยู่ให้คนเป็นแม่ได้อุ่นใจ 

เจ้าตัวน้อยนอนหลับใหลไม่ได้สติมาร่วมเดือนแล้ว การเดินทางจากเมืองหลวงมาหลัวถงเพื่อเริ่มชีวิตใหม่ต้องผ่านแนวภูเขามากมาย เด็กชายที่ไม่มีภูมิต้านทานมากพอจึงป่วยหนักเป็นไข้ป่า 

“หมิงเอ๋อร์ ตื่นได้แล้ว เจ้านอนขี้เซาเกินไปแล้วนะ” นางร้องเรียก “รีบตื่นมาเถิด แม่ปวดใจยิ่งนัก” 

“หมิงเอ๋อร์ลูกแม่...” นางซุกหน้าลงแนบแก้มบุตรชาย อ้อนวอนเหล่าเทพเซียนให้ช่วยเหลือ 

เสียงหวานปนเศร้าที่ร้องไห้เบา ๆ ดังชัดขึ้นมาในโสตประสาท เขาได้ยินเสียงเธอร้องเรียกใครสักคนอย่างอาวรณ์ น้ำเสียงนั้นห่วงหาเสียจนชวนให้ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น อยากลืมตาขึ้นมามองดูเสียให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ยังฝืนลืมตาขึ้นมาไม่ได้ 

“น้องหญิง อย่าได้ร่ำไห้เช่นนี้ หมิงเอ๋อร์จะเสียใจเอานะ” เสียงทุ้มที่เอ่ยปลอบประโลมอย่างอ่อนโยนชวนให้อยากรู้มากกว่าเดิม 

เสียงนี้มันคืออะไร...ใครมาเปิดทีวีเสียงดังรบกวนการนอนของเขากันนะ

“ท่านพี่ ข้าปวดใจยิ่งนัก หมิงเอ๋อร์นอนไม่ได้สติมาเกือบเดือนแล้วนะเจ้าคะ ข้าสงสารลูก” 

“พี่รู้ พี่ก็เจ็บปวดมิต่างอันใดกับเจ้า” เสียงทุ้มปลอบใจ “เราออกไปข้างนอกกันเถอะ ให้หมิงเอ๋อร์ได้พักผ่อน” 

เสียงขยับเขยื้อนตัวและเสียงเสียดสีของเนื้อผ้า บวกกับฝีเท้าที่ค่อย ๆ เบาลง จนในที่สุดก็เงียบสงบ ทำให้รู้ว่าชายหญิงทั้งสองคนไม่ได้อยู่ในที่แห่งนี้แล้ว เขาขมวดคิ้วอีกครั้ง คิดเอะใจว่าละครสมัยนี้ทำเสียงต่าง ๆ ได้สมจริงขนาดนี้เชียวหรือ เปลือกตาที่หนังอึ้งพยายามเปิดขึ้นและครั้งนี้มันสำเร็จ เขาลืมตาได้แล้ว 

ชายหนุ่มลองขยับตัวเล็กน้อย ทว่าเนื้อตัวกลับหนักอึ้งไปหมดราวกับว่าถูกลูกตุ้มเหล็กถ่วงแขนขาเอาไว้ ในหัวเต็มไปด้วยความสับสน เขาจำได้ว่าตนเองนั่งหาข้อมูลนิยายอยู่ในห้องและกำลังจัดส่งไฟล์ข้อมูลนั้นให้กับผู้ว่าจ้าง แต่พอกดส่งปุ๊บ ภาพทั้งหมดก็มืดดับไป 

ที่นี่ไม่ใช่ห้องเช่าของเขาแน่นอน ถึงแม้ว่าห้องที่เขาใช้อาศัยจะไม่ได้หรูหรา ใหญ่โต แต่ก็ไม่ได้มีหลังคาที่มุงด้วยหญ้าแบบนี้ 

แล้วที่นี่มันคือที่ไหนกัน...ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ อย่างสงสัย แต่แล้วดวงตาทั้งสองก็ต้องเบิกกว้างเมื่อภาพที่เห็นตรงหน้ามันแตกต่างจากห้องเช่าลิบลับ

พุธโธ ธัมโม สังโฆ 

ฝาห้องที่ควรจะเป็นผนังปูนกลับกลายเป็นหญ้าที่นำมาสานกันเหมือนในซีรีส์ย้อนยุค แถมทั้งบ้านก็ดูเหมือนจะไม่มีห้อง มันเป็นโถงโล่ง ๆ ไม่มีอะไรเลย เขาพยายามลุกขึ้นนั่งเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่กำลังเห็นอยู่นี้ไม่ใช่ความฝัน 

“โอ้ย เจ็บโคตร” 

เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บ เมื่อลองหยิกหลังมือตนเองดูเต็มแรง 

“ไม่ได้ฝันแฮะ แต่ว่าเราอยู่ที่ไหนกันละเนี่ย” 

ชายหนุ่มพูดกับตัวเองเบา ๆ แต่ในขณะนั้นเอง ยังไม่ทันได้รับคำตอบจากใครเลยด้วยซ้ำ ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตของเด็กชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่า จางอี้หมิง ก็ค่อย ๆ ฉายขึ้นมาในหัวเหมือนกำลังนั่งดูภาพยนตร์สักเรื่อง แต่มันคงจะเป็นหนังที่ถูกกดเพิ่มความเร็วสักยี่สิบเท่า เพราะความทรงจำมากมายตั้งแต่จำความได้จนถึงปัจจุบันพรั่งพรูเข้ามาจนสมองประมวลผลไม่ทัน เขาปวดหัวจนต้องยกมือขึ้นมากุมขมับ รู้สึกเหมือนสมองจะระเบิด จวนเจียนจะรับไม่ไหว 

“อ๊า...ปวดหัว ปวด ปวด” 

เขาส่งเสียงร้องดังก้อง พยายามหยุดความคิดของตัวเองและสลัดภาพพวกนั้นออกไป แต่ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหนกลับไม่มีผลอะไรเลย ได้แต่ทนกล้ำกลืนฝืนรับความเจ็บปวดนั้นจนแทบจะลงไปนอนดิ้นบนฟูกนอนอีกครั้ง ภาพสุดท้ายที่ปรากฎขึ้นมาเป็นตอนที่ครอบครัวของจางอี้หมิงกำลังหนีจากการปล้นของกลุ่มโจร

“ม่ายยยยย” 

เขาร้องออกมาเมื่อภาพในหัวแสดงให้เห็นโจรคนหนึ่งกำลังเงื้อมมือขึ้น เตรียมฟาดดาบลงมาบนตัวเขา แต่บิดาก็มาดึงตัวเขาออกและช่วยให้รอดอย่างหวุดหวิด ทั้งสองคนเกือบเอาชีวิตไม่รอด โชคดีที่สำนักคุ้มภัยซึ่งถูกจ้างมาคุ้มกันได้เข้ามาช่วยไว้ทัน ทำให้ครอบครัวของพวกเขาหนีจากกลุ่มโจรสำเร็จ 

เพราะตกใจกลัวจนถึงขีดสุดและร่างกายที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาจากการหมดสติ แถมยังต้องมารับรู้เรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อเพิ่มอีก มันทำให้เขารู้สึกอ่อนล้าเกินกว่าจะรับไหว สุดท้ายทุกอย่างก็ดับวูบไปอีกครั้ง 

เมื่อเสียงร้องของเด็กชายที่นอนไม่ได้สติมาเกือบเดือนดังออกมา จางอี้เทาและหลี่อ้ายผู้เป็นพ่อแม่ รีบเดินเข้ามาดูอย่างมีความหวัง แม้แต่ท่านย่าอย่างหูไป๋หงยังเดินตามมาด้วย 

“ท่านพี่ ข้าได้ยินเสียงหมิงเอ๋อร์ แต่เหตุใดเขาถึงหลับไปอีกแล้ว” 

“น้องหญิง พี่ก็ได้ยินเสียงลูกร้องเช่นกัน เจ้าไม่ได้หูฝาดไปคนเดียวแน่” 

“แม่ก็ได้ยินเหมือนกัน” หูไป๋หงกล่าวสมทบ นางหันไปมองลูกชายและพูดต่อ “อี้เทา เจ้าไปตามท่านหมอผิงมาดู       หมิงเอ๋อร์ที” 

“ขอรับท่านแม่ รอข้าสักครู่” จางอี้เทาเอ่ยรับคำ เขาเตรียมตัวผละจากไป แต่ก็ต้องหยุดชะงักฝีเท้าลงเมื่อภรรยาเอ่ยเรียกไว้

“ท่านพี่ ท่านยังไม่ค่อยหายดี ท่านอยู่ที่นี่เถอะเจ้าค่ะ ข้าจะไปตามท่านหมอผิงเอง” หลี่อ้ายเอ่ยคัดค้านสามีและรีบเดินออกไปทันที 

เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งเค่อ หมอเพียงหนึ่งเดียวของหมู่บ้านหลัวถงก็ถือล่วมยาเดินเข้ามาในบ้าน หมอผิงตรวจชีพจรเป็นอย่างแรกก่อนจะตรวจร่างกาย เมื่อดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว สีหน้าก็คลายกังวล 

“อี้เทา เจ้าสบายใจได้” ท่านหมอแย้มรอยยิ้ม “อาหมิงไม่เป็นอันใดแล้ว พักผ่อนอีกสักหน่อยคงฟื้นขึ้นมา ต้มยาให้กินสักสองสามเทียบก็วิ่งปร๋อได้แล้ว” 

“จริงหรือเจ้าคะท่านหมอ ท่านไม่ได้โกหกข้านะเจ้าคะ” หลี่อ้ายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดีใจ นางยิ้มกว้าง น้ำตาแห่งความยินดีคลอเต็มดวงตาสวย 

“ข้าเป็นหมอมากี่สิบปี ข้าจะโกหกเจ้าไปทำไมเล่า สะใภ้จาง” 

“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ข้าดีใจยิ่งนัก” หลี่อ้ายเอ่ยและผงกศีรษะขึ้นลงด้วยความขอบคุณ 

“น้องหญิง เจ้าสบายใจได้แล้วนะ ท่านหมอผิงยืนยันแล้ว พี่ว่าพวกเราออกไปรอข้างนอกให้หมิงเอ๋อร์ได้พักผ่อนก่อนเถอะ”

จางอี้เทาปลอบประโลมใจภรรยาด้วยเสียงที่ไม่ดังมากนัก เขากลัวว่าจะไปรบกวนการพักผ่อนของบุตรชายเข้า 

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย หูไป๋หงจึงจ่ายค่ารักษาให้กับท่านหมอผิง นางกล่าวขอบคุณอีกเล็กน้อย เมื่อท่านหมอเดินจากไป หญิงชราจึงก้มมองถุงที่ว่างเปล่าในมือ เงินก้อนนั้นคือเงินก้อนสุดท้ายของตระกูลจาง การเดินทางไกลและวิกฤตรอบด้านทำให้เงินที่มีร่อยหรอลงไปทุกทีจนในที่สุดก็ไม่มีเหลือ แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่สนใจ

ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตของหลานชายอีกแล้ว

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status