Share

บทที่ 6

Author: ชวินเป่ยอี๋
หวังหยวนยิ้มและพูดว่า "ท่านหัวหน้า ข้าแบ่งปลาให้ท่านได้ไม่มีปัญหา และข้านั้นจะแบ่งหนี้สี่สิบกว้านของข้าให้ท่านด้วย! ถ้าหากท่านไม่อยากใช้หนี้ ก็แบ่งที่ดินสองร้อยแปดสิบหมู่ของบ้านท่านให้ข้าสักสิบหมู่ ที่ดินของบ้านข้าติดจำนองอยู่"

“ไอเด็กเจ้าเล่ห์!”

หวังปี่จงเดินจากไปอย่างหงุดหงิด

ข้าแค่อยากได้ปลาเจ้าตัวเดียว เจ้าจะให้ข้าแบกหนี้ไปด้วย และยังให้ข้าแบ่งที่ให้อีกหลายสิบหมู่อีก

ไอคนเสเพลพรรค์นั้น ยังมีหน้าพูดออกมาได้อีก

“ท่านหัวหน้า อย่างเพิ่งไปสิ ข้าแค่ล้อท่านเล่นเท่านั้น อย่าโมโหไปเลย!”

หวังหยวนตะโกนไล่หลังมา

จับปลาได้มากมาย หากมีใครขอแค่สักตัวสองตัว เขาย่อมให้ได้อยู่แล้ว

แต่นี่มาใช้ศีลธรรมบีบบังคับเขาให้แบ่งปลาให้คนทั้งหมู่บ้าน แล้วตัวเองได้ความดีความชอบไป แบบนี้มันไม่ได้

หวังปี่จงโมโหกระฟัดกระเฟียดไม่หันกลับมา

เมื่อเห็นแผนการของหวังหยวนแล้ว ชาวบ้านต่างโห่ร้องและหัวเราะออกมา

เจ้าอยากได้ของของข้า ข้าก็อยากได้ของของเจ้า เจ้าไม่ให้ข้า ข้าจะให้เจ้าไปทำไม

หวังหยวนยกมือแสดงความคารวะ "พ่อแม่ พี่น้อง ลุงป้า น้าอาทุกท่าน ตอนนี้ทุกคนต่างรู้เรื่องของข้า ปลาเหล่านี้ต้องนำไปขายเพื่อใช้หนี้ ดังนั้นวันนี้ข้าจึงต้องเสียมารยาทกับพวกท่านแล้ว หลังจากอุปสรรคในครั้งนี้จบลง ทุกบ้านจะได้ปลาด้วย"

ชาวบ้านยิ้มแย้มและแยกย้ายกันไป

แม้ว่าชีวิตของทุกคนจะไม่ดี แต่ก็ยังดีกว่าหวังหยวนที่เป็นหนี้ถึงสี่สิบกว้าน

ยกเว้นคนใจดำไปถึงแก่น ที่เอาเปรียบเขาได้ในเวลานี้

หวังหานซานพยักหน้าข้าง ๆ เขา

ความสัมพันธ์กับหัวหน้าเป็นเรื่องสำคัญมาก และหวังหยวนจัดการมันได้ดีมาก ไม่มีการแบ่งปลา และไม่ได้ระรานใคร

หวังหยวนพาพวกเขาทั้งสี่กลับบ้าน

"ปลาเยอะมาก!"

มองไปที่ถังปลาหลายสิบถัง หลี่ซื่อหานตกใจ และหันไปมองหวังหยวนด้วยแววตาที่รื้นไปด้วยน้ำตา

เคล็ดลับจับปลาที่สามีบอกเป็นความจริง และเขาสามารถใช้หนี้ได้จริง

“เด็กโง่ ร้องไห้ทำไม!”

หวังหยวนเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของนาง และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเบา ๆ ว่า “ไปเตรียมเซาปิ่งเถอะ คืนนี้พวกเรามีปลากินกัน”

“อื้อ!”

หลี่ซื่อหานพูดรับคำเสียงเบาเหมือนยุง ด้วยใบหน้าร้อนผ่าว และรีบวิ่งไปที่ห้องครัวทันที

ต้าหู่ เอ้อหู่ และหวังซื่อไห่มองด้วยสีหน้าอิจฉา ในเมืองฝู ภรรยาของหวังหยวนนั้นงดงามที่สุด ภรรยาบ้านอื่นก็สู้ไม่ได้

“เสี่ยวหยวน เมื่อเช้าเรากินข้าวบ้านเจ้าแล้ว เย็นนี้คงกินข้าวที่นี่ไม่ได้แล้ว!”

หวังหานซานเทปลาลงในถังน้ำ และกวักมือเรียกลูกชายทั้งสองของเขา

แม้ว่าต้าหู่ เอ้อหู่ อยากจะกินปลา แต่พวกเขาก็กลับไปอย่างไม่ลังเล

เมื่อเช้ากินข้าวไปมื้อหนึ่งแล้ว พวกเขาก็พอใจแล้ว

อย่าโลภมาก!

“ใช่ ไม่กินแล้ว จะกลับบ้านไปกินข้าว!”

หวังซื่อไห่กลืนน้ำลาย ทั้งสามคนจะไปแล้ว เขาอยู่ต่อก็คงเสียมารยาท

หวังหยวนเรียกหยุดพวกเขาทั้งสี่ไว้ "อย่าเพิ่งไป นอกจากกินแล้ว ยังมีงานอื่นอีก!"

หวังหานซานหยุดฝีเท้า "งานอะไรรึ?"

หวังหยวนเดินไปที่ถังปลาของเมื่อวาน "มัดปลาแบบนี้!"

เมื่อมองไปที่ถังปลา ทั้งสี่คนต่างก็ตกใจ

ในถังปลา มีปลาที่ถูกมัดหัวและหางจนตัวโค้งงอเหมือนคันธนู และเหงือกปลาก็อยู่ในถังน้ำ

แล้วปลาทั้งหมดก็ยังมีชีวิตอยู่

ปลาเมื่อนำขึ้นจากแม่น้ำ หากไม่เก็บให้ดี อยู่ได้ไม่กี่ชั่วยามก็ตายแล้ว

หวังหยวนจับมัดไว้แบบนี้ ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ ปลาก็ยังมีชีวิตอยู่

หลี่ซื่อหานที่อยู่ในครัวก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกัน

”หวังหยวนจึงอธิบายว่า "นี่คือ ‘เทคนิคมัดปลาแบบคันธนู’ ผูกหัวและหางของปลา เพื่อให้เหงือกของปลาสามารถหายใจเอาออกซิเจนได้มากขึ้น ตราบใดที่มีน้ำเพียงเล็กน้อย ปลาจะไม่ตายเพราะขาดออกซิเจนในน้ำ!"

"ออกซิเจน? ขาดออกซิเจน?"

ถึงทั้งสี่คนจะงุนงง แต่ก็มีความดีใจมากเช่นกัน

พวกเขาไม่เข้าใจว่าออกซิเจนคืออะไร แต่พวกเขารู้ว่าปลาที่ยังเป็น และปลาตายแล้วมีสองราคา

หวังหานซานกวักมือ "งั้นมามัดมันกันเถอะ ทำงานกันสักพัก แล้วค่อยกินอะไรกัน!"

หวังหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม "การมัดปลาแบบคันธนูต้องมัดสองครั้ง หนึ่งต้องมัดหางปลา หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม สิ่งสกปรกในตัวปลาจะถูกขับออกทางรูทวาร จากนั้นก็คลายที่หางออกและมัดอีกรอบ ปลาที่มัดด้วยวิธีนี้ ปลาจะสดและเนื้อนุ่มขึ้นด้วย"

ทั้งสี่คนมองไปที่หางปลา มีรอยผูกมัดอยู่สองรอยจริง ๆด้วย

ใบหน้าของเอ้อหู่เต็มไปด้วยความเลื่อมใส “พี่หยวน ท่านทำไมถึงรู้เคล็ดลับตกปลาได้ มัดปลาแบบคันธนูอีก ท่านรู้เยอะมาก!”

"ยังต้องถามอีกรึ?”

หวังซื่อไห่ทำสีหน้าเหมือนมองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง "หวังหยวนเป็นบัณฑิตที่ผ่านการสอบถงเซิง เขาน่าจะได้เรียนรู้เคล็ดลับการตกปลา และมัดปลาแบบคันธนูจากหนังสือ ถูกต้องไหม หวังหยวน!"

”หวังหยวนยิ้มและยกนิ้วโป้งขึ้น "เจ้าฉลาดจริง ๆ!"

“แหะ แหะ!”

หวังซื่อไห่หัวเราะอย่างเฝื่อน ๆ บัณฑิตถงเซินชมเขาว่าฉลาด

เมื่อผูกปลาเสร็จแล้ว อาหารก็พร้อมแล้ว

เซาปิ่งร้อน ๆ และปลาที่ทอดด้วยน้ำมันหมูได้ยกมาวางไว้ที่ห้องโถง

หลี่ซื่อหานไปหลบที่ห้องครัว ในยุคนี้ผู้หญิงไม่ร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกัน!

ยุ่งมาทั้งวัน ทั้งห้าคนต่างกินอย่างตะกละตะกลาม

หวังหานซาน ต้าหู่ และเอ้อหู่กินปลาสามมื้อ ทั้งสองวันแบบมีอันจะกิน!

หวังซื่อไห่ที่หิวโหยมาสองวันแล้ว คว้าเซาปิ่งด้วยมือข้างหนึ่ง และคีบปลาด้วยตะเกียบอีกข้างหนึ่ง เขานั่งกินไปตัวสั่นสะอื้นร้องไห้น้ำตาอาบแก้มออกมา

“พี่หยวน ไม่เป็นไร!”

เอ้อหู่ยิ้มและพูดว่า "เมื่อวานข้า พี่ชาย และพ่อกับแม่กินปลา ตอนที่เรากิน เราร้องไห้ออกมาด้วย นานมากแล้วที่พวกเราไม่ได้กินเนื้อ"

หวังหานซานถลึงตามอง

เอ้อหู่รีบก้มหน้าหุบปากเงียบกินปลา

"ข้าคิดถึงพ่อแม่!"

หวังซื่อไห่เช็ดน้ำตา "ก่อนที่พวกเขาจะจากไป ข้าถามพวกเขาว่าต้องการอะไรอีกไหม พวกเขาบอกว่าอยากกินเนื้อ พวกเขาไม่เคยกินเนื้อดี ๆ เลยสักครั้งในชีวิต พวกเขาอยากรู้ว่าการกินเนื้อจนอิ่มมันเป็นอย่างไร! ข้าคิดว่าจนตาย ข้าก็คงเป็นเหมือนพ่อแม่ ไม่มีโอกาสได้กินเนื้อดี ๆ สักมื้อ ไม่คิดว่าจะได้กินวันนี้...ฮือ ๆ!"

เขากัดเซาปิ่งคำโต แล้วเคี้ยวเนื้อปลาเต็มปาก เขากินไปร้องไห้ไปเหมือนคนบ้าไม่มีผิด

หวังหานซานและลูกสองคนไม่มีใครหัวเราะเยาะ แววตาเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย

ชาวบ้านมีที่ดินไม่มาก เก็บภาษีก็หนัก ไม่ต้องพูดถึงการกินเนื้อที่กินจนอิ่มได้เลย ชาวบ้านมากมายไม่เคยได้กินอิ่มตั้งแต่เกิดจนตาย

แต่ด้วยเคล็ดลับการตกปลานี้ ชะตากรรมของพวกเขาได้เปลี่ยนไปจากวันนี้เป็นต้นไป

"เกือบจะชั่วยามหนึ่งแล้ว ข้าจะมัดปลาอีกครั้ง!"

หวังหานซานไปผูกปลา และต้าหู่ก็ตามไปอย่างเงียบ ๆ

“ขายหน้าแล้ว!”

หวังซื่อไห่ล้างจานทั้งน้ำตา และเอ้อหู่ก็ช่วยล้างด้วย

เมื่อมองไปที่คนสี่คนที่กำลังยุ่งอยู่ หวังหยวนรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก

ในยุคนี้ นี่คือกลุ่มคนที่ขยันขันแข็งที่สุด แต่ก็เป็นกลุ่มคนที่ยากจนที่สุดด้วยเช่นกัน พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำงานหนักที่สุดในโลก แต่พวกเขายังทำไม่สามารถเข้าถึงปัจจัยสี่ในการมีชีวิตได้ แม้แต่สิ่งพื้นฐานที่สุดก็ตาม!

ทั้งสี่คนแยกย้ายกลับไปแล้ว

หวังซื่อไห่ไปเคาะประตูบ้านพี่สาม

พี่สะใภ้สามเปิดประตูพร้อมไม้กวาดในมือ "เจ้าคนเลี้ยงเสียข้าวสุก เจ้าขโมยไข่ของแม่แล้วยังกล้ากลับ...อา!"

“หึ!”

หวังซื่อไห่ที่ไม่เคยเงยหน้าขึ้นได้เสมอพี่สะใภ้ ตอนนี้ได้เงยหน้าขึ้น และโยนปลาตัวเล็กทั้งสองตัวออกไป!

แปะ ๆ! ปลาเป็นสองตัว แต่ละตัวหนักเกือบหนึ่งกิโลกำลังดิ้นอยู่บนพื้น

พี่สะใภ้สามเปลี่ยนสีหน้า และรีบคว้าปลาขึ้นมาทันที “อาซื่อไห่ ทำไมกลับดึกจัง กินข้าวรึยัง พี่สะใภ้จะให้เซาปิ่งเจ้านะ”

“ไม่กินแล้ว เพิ่งกินเนื้ออิ่มมา!”

หวังซื่อไห่เอามือไพล่หลังเดินไปที่คอกวัว และพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนว่า “เอาเสื้อและรองเท้าใหม่ของพี่ให้ข้าด้วย พรุ่งนี้ข้าจะไปเมือง จากนี้ไป ข้า หวังซื่อไห่ จะอยู่บ้านสักวันหนึ่ง ครอบครัวเราจะได้อยู่เย็นเป็นสุข มีเนื้อกินไม่มีขาด"

"อะไรนะ?”

พี่สะใภ้สามตกใจ ตานี่พูดเหลวไหลอะไร มีเนื้อกินไม่ขาด ขนาดเจ้าเมืองยังกินเนื้อทุกวันไม่ได้เลย

เขานอนอยู่ในคอกวัวห่มผ้านวมขาด ๆ มองดูดวงดาวบนท้องฟ้า และวัวแก่กำลังเคี้ยวเอื้องอยู่ข้าง ๆ หวังซื่อไห่หลับตาและพูดพึมพำ "พ่อแม่ ลูกชายของท่านจะยืนหยัดขึ้นแล้ว และจะประสบความสำเร็จให้พวกท่านที่อยู่บนสวรรค์ได้เห็น ตรุษจีนลูกจะเซ่นหัวหมูให้พวกท่าน!"

หลังจากล้างหน้าเช็ดตัวแล้ว หวังหยวนและหลี่ซื่อหานก็เข้านอนอยู่ใต้ผ้านวมทั้งสองผืน

หวังหยวนนอนไม่หลับ คิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย และเหม่อมองเพดานสีดำ

หลี่ซื่อหานพูดอย่างระมัดระวัง "ท่านพี่ไม่สบายใจหรือ?"

“นิดหน่อย!”

หวังหยวนหรี่ตาลง "ซื่อหาน เจ้าคิดว่าโลกนี้จะกลายเป็นสถานที่ที่ทุกคนมีอาหารกิน มีเสื้อผ้าสวมใส่ และไม่ต้องอดอยากเนื้อสัตว์อีกต่อไป เด็ก ๆ ได้เรียนหนังสือและคนชราไม่สบายหาหมอได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องราววุ่นวายแบบนี้อีก!"

"...คงไม่ได้!”

หลี่ซื่อหานเงียบไปครู่หนึ่ง "ท่านพี่กำลังพูดถึงสังคมอุดมคติตามความเชื่อของลัทธิขงจื๊อของโลกใบนี้ ที่ไม่เคยปรากฏขึ้นจริงในทุกยุคของราชวงศ์!"

หวังหยวนยิ้มอย่างขมขื่น “ก็ใช่ ยุคนี้ไม่มีเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มกำลังการผลิต แล้วจะเกิดสังคมนิยมได้อย่างไร!”

“เทคโนโลยี?”

หลี่ซื่อหานรู้สึกงงงวย นางอึ้งไปชั่วขณะ และพูดเสียงเบา "ท่านพี่ ดูเหมือนท่านจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน!"

หวังหยวนตกใจในผ้าห่ม “เปลี่ยนที่ไหน?”

หลี่ซื่อหานพูดเสียงเบา "เมื่อก่อนท่านไม่เคยสนใจกลุ่มพี่น้องอย่างลุงหานซาน ต้าหู่ เอ้อหู่ และซื่อไห่ แต่ตอนนี้ท่านปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดี ขนาดอย่างหลิวโหย่วไฉ่ท่านยังดูถูกเลย แต่ในใจท่านก็กลัวพวกเขาเหมือนกัน ตอนนี้ไม่เห็นของพวกนี้สักนิดในแววตาท่าน เหมือนที่ตำราว่าไว้ เมตตากับคนดี ร้ายกับคนชั่ว และหลอกลวงคนเจ้าเล่ห์

จิตใจละเอียดอ่อนจริง ๆ หวังหยวนถามอย่างเลื่อนลอย “เปลี่ยนเป็นแบบนี้เจ้าชอบไหม?”

"อืม!"

“มาที่เตียงข้าสิ!”

Related chapters

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 7

    “อืม ท่านพี่!” “อย่าเรียกท่านพี่สิ เรียกเหล่ากง!” “...ไม่ได้!” “ทำไม?” “ท่านพี่ เหล่ากงคือคำใช้เรียกขันที ท่านแค่ป่วย หาหมอดูอาการก็ดีขึ้นแล้ว ทำไมต้องดูถูกตัวเองแบบนี้ด้วย!” "...เหล่ากงคือคำใช้เรียกขันที???” "คำใช้เรียกขันทีถูกเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละราชวงศ์ที่ผ่านมา พวกเขาเรียกขันทีอย่างเป็นทางการว่าหวางเหมินและเตียวตัง บางคนได้รับเกียรติยกย่องเป็นเน่ยกว้าน เน่ยเฉิง จงกว้าน และจงกุ้ย นอกจากนี้ยังมีชื่อที่เสื่อมเสียเช่น เน่ยซู่ เหยียนเฉิน ไท่เจี้ยน เหยียนเหริน และเหล่ากง ขันทีก็เรียกว่าเหล่ากงเจ้าค่ะ" “...ทำไมเจ้าถึงรู้เยอะนัก?” “...ตอนเด็ก ๆ มีหมอดูผ่านบ้านข้า บอกว่าข้ามีดวงชะตานางหงส์ ท่านพ่อจึงอบรมให้ข้าเป็นกุลสตรี สอนมารยาทและธรรมเนียมในวังให้ด้วย” “ดวงชะตานางหงส์?” “ท่านพี่อย่าโกรธไปเลย หมอดูคนนั้นเป็นนักต้มตุ๋น ข้าจะไปมีดวงชะตานางหงส์ได้อย่างไร! หลังจากแต่งงานกับท่านแล้ว ตราบใดที่สามียังต้องการข้า ข้าก็จะรับใช้ท่านตลอดไป” ...ในวันรุ่งขึ้น หวังหานซานขับเกวียนล่อขนปลาลงในถังไม้ขนาดใหญ่พวกเขาทั้งห้าก็เตรียมตัวออกเดินทาง หลี่ซื่อหานหยิบถุงผ้าสีแดงยัดใส่มื

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 8

    “เคารพเจ้าถิ่น?” เห็นท่าทางของคนกลุ่มนี้ หวังหยวนก็นึกขึ้นมาได้ "พวกเจ้ามาที่นี่เอาค่าคุ้มครองใช่ไหม?" ต้าหู่ เอ้อหู่กำหมัดแน่น และมายืนหลังหวังหยวน หวังหานซานขมวดคิ้วแน่น หวังซื่อไห่พูดเสียงทุ้มต่ำ “หวังหยวน ยุ่ง ๆ เลยไม่ได้บอกเจ้า นี่เป็นลูกพี่ใหญ่ค้าปลาของตลาดตะวันตก ‘น่าวซานเจียง’ มีลูกน้องตั้งสิบยี่สิบคน ไม่ว่าใครมาขายปลาต้องจ่ายส่วยให้เขาสองส่วนด้วยย” “สองส่วน?” หวังหยวนโกรธมาก “พวกเจ้าเก็บแพงกว่าทางการตั้งมากโข?” ลำบากลำบนทำงานอย่างหนักอยู่สองวันเพื่อจับปลา ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเพื่อเข้าเมือง ทางการเก็บภาษีค้าขายแค่หนึ่งในสิบ แต่พวกอันธพาลเหล่านี้กล้าที่จะเก็บตั้งสองในสิบได้ เอ้อหู่จ้องเขม็งแม้แต่ต้าหู่ที่ใจเย็นและนิ่งอยู่เสมอยังกำมือแน่น จนเส้นเลือดปูดโปนไปหมด แท้จริงแล้วพวกอันธพาลเหล่านี้มีเอาเปรียบขูดเลือดขูดเนื้อได้โหดเหี้ยมมากกว่าทางการเสียอีก หวังหานซานจ้องไปที่ลูกชายทั้งสองแล้วส่ายหน้า “อยากขายปลาที่ตลาดนี้ก็ต้องจ่ายมาสองในสิบ นี่เป็นกฎของตระกูลซาที่นี่ ไม่งั้นก็ทิ้งปลาไว้ แล้วไสหัวไปซะ” น่าวซานเจียงยกมือขึ้นข่ม ทั้งแปดขึ้นที่ก้าวเข้ามา มีทั้งก

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 9

    มีชายวัยกลางคนเดินมาจากไกล ๆ เขาสวมหมวกทรงสูงขอบแดงสีดำ เสื้อสีน้ำเงินปักขอบสีแดง มีคำว่า "จับ" ที่ตรงกลางหน้าอก พร้อมด้วยรองเท้าบูทผ้าสีดำ และเหน็บดาบยาวที่เอว เขาไม่สูงไม่เตี้ย มีแววตาที่ดูเฉลียวฉลาดอยู่บ้าง โดยรวมแล้วก็ดูธรรมดาทั่วไป อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขาปรากฏตัว ทั้งตลาดก็เงียบลง ความโกรธในดวงตาของพ่อค้าหายไปอย่างไร้ร่องรอย และรอยยิ้มที่ประจบสอพลอปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา นี่คือเจ้าหน้าที่สายตรวจในตลาดตะวันตก ใต้เท้าในสายตาทุกคน ชื่อจริงชื่อซิงซาน เจ้าหน้าที่สายตรวจคนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้ใหญ่โตในเมืองนัก แต่ก็ไม่ใช่ใครไปลบหลู่ได้ นอกจากนายอำเภอ เจ้าหน้าที่ปกครอง ที่ว่าการอำเภอยังมีอีกแปดขั้น ส่วนที่เหลือเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย สายตรวจ เจ้าหน้าที่ในสำนักงาน... ล้วนเรียกรวมกันว่า "เจ้าหน้าที่" แม้ว่า 'เจ้าหน้าที่' เหล่านี้จะไม่มียศ แต่พวกเขาได้มีบันทึกชื่อในกรมข้าราชการพลเรือน มีอาชีพที่มั่นคง เมื่อพ่อตายก็สืบต่อให้ลูกได้ เจ้าหน้าที่แต่ละคนมีผู้ช่วยหลายสิบคน เพื่อช่วยงานราชการให้งานสำเร็จเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ไม่รับค่าตอบแทน แต่เมื่อพวกเขาอยากพึ่งพาก็ต้องเอาสิน

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 10

    หวังหยวนมาที่ร้านช่างตีเหล็กของตระกูลจ้าวในเป่ยซื่อ ซึ่งเป็นบ้านของจ้าวต้าซุย ลุงของเจ้าของร่างเดิม เจ้าของร่างเดิมตอนอายุสิบขวบมาเรียนหนังสือในเมือง และอาศัยอยู่ที่บ้านของลุงของเขา ป้าสะใภ้คลอดน้องสาวออกมาได้ยากมาก ทั้งลุงและน้องจึงพึ่งพากัน และดีต่อเจ้าของร่างเดิมมาก แต่เมื่อสามปีก่อน เจ้าของร่างเดิมอยากจะแต่งงานกับหลี่ซื่อหาน และลุงได้คัดค้านในฐานะผู้อาวุโส มีข่าวลือว่าตระกูลหลี่กำลังจะถูกกำจัด และลุงก็กลัวว่าจะโดนร่างแหไปด้วย เจ้าของร่างเดิมไม่ฟังคำห้ามปราม ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างลุงกับหลานชายจึงเย็นชาขึ้น เจ้าของร่างเดิมไม่ได้เชิญลุงมางานแต่งงาน และไม่ได้ไปเยี่ยมบ้านลุงมาสามปีแล้ว เห็นร้านช่างตีเหล็กที่คุ้นเคย หวังหยวนจึงเดินเข้าไป "ใครน่ะ!" มีเสียงมาจากสวนหลังบ้าน และหญิงสาวคนหนึ่งก็ออกมา เมื่อเห็นว่าเป็นหวังหยวนก็ตกใจ นางเม้มริมฝีปากอยู่ครู่หนึ่ง “หลังแต่งงานก็ลืมลุงของเจ้าไปแล้ว คนใจร้ายอย่างเจ้ามาที่ทำไมอีก!" เด็กสาวอายุสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี ใบหน้ารูปไข่มัดผมหางม้า ตัวไม่สูงนัก มีกระบนใบหน้า ตาโต มีฟันเขี้ยวเล็ก ๆ สองซี่ นางดูสวยและดูโดดเด่น หวังหยวนไม่โ

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 11

    เมื่อจ้าวชิงเหอและลุงของเขามาถึงร้านค้า พวกเขาเห็นหวังหยวนหยิบหม้อเหล็กขึ้นมา และกำลังเทน้ำเชื่อมที่ผสมไว้กับโคลนสีเหลืองลงในกรวยที่มีฟางเรียงราย“ท่านพ่อ ดูนั่นสิ!”จ้าวชิงเหอมุ่ยหน้าลุงมองด้วยความประหลาดใจ ซู่ ซู่ว…กากน้ำตาลสีดำไหลออกมาจากด้านล่าง และน้ำเชื่อมเริ่มแยกตัวออกจากกันในกรวย ไม่นาน น้ำตาลทรายขาวก็ตกผลึกอยู่ด้านบน น้ำตาลทรายแดงอยู่ตรงกลาง และกากน้ำตาลดำอยู่ด้านล่าง“น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลทรายขาว”ดวงตาของจ้าวชิงเหอแทบจะบินออกมาด้านนอกน้ำตาลดำมีราคาถูกที่สุดคือจินละหนึ่งร้อยอีแปะ น้ำตาลทรายแดงจินละสามร้อยอีแปะ และยังไม่มีน้ำตาลทรายขาวขายในท้องตลาดเมื่อดูอัตราส่วนของน้ำตาลสามสีในกรวยจะเห็นได้ว่ามีมีน้ำตาลทรายขาวห้าสิบเปอร์เซ็นต์ น้ำตาลทรายแดง สามสิบเปอร์เซ็นต์ และกากสีดำอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ แค่น้ำตาลทรายแดงก็เกือบจะเทียบเท่าต้นทุนน้ำตาลดำแล้ว ส่วนเงินที่ขายน้ำตาลทรายขาวได้ก็ถือว่าเป็นกำไรลุง หวังหานชาน ต้าหู และหวังซื่อไห่รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พวกเขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรเอ้อหูถามออกไปตรง ๆ "พี่หยวน ทำไมน้ำตาลดำผสมกับโคลนสีเหลืองแล้วถึงกลายเป็

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 12

    คนขับรถม้าหยิบบล็อกมาวางตรงประตู จ้าวชิงเหอก้าวออกจากรถ ก่อนจะช่วยประคองหวังหยวนตามลงมา ต้าหู่ และหวังซื่อไห่หอบกล่องไม้จันทน์สีแดงลงมาจากรถม้าทันทีที่พวกเขาทั้งสี่เข้าเดินเข้าไปในร้าน เสมียนก็เอ่ยทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม "นายน้อย มีธุระอะไรเหรอขอรับ?"เมื่อเห็นปฏิกิริยาของคู่หูต้าหู่และหวังซื่อไห่ ก็เข้าใจทันทีว่าหวังหยวนพูดว่า ต้องรู้จักตัดสินคนจากการแต่งตัวก่อนอันดับแรกนั้นหมายถึงอะไรตอนเช้าพวกเขาทั้งสี่คนสวมผ้าป่านไปซื้อของ แต่ยังไม่ทันได้เปิดปากพูดก็ถูกไล่ออกมาเสียก่อน ตอนนี้เสมียนคนนี้พอเห็นเสื้อผ้าของพวกเขา ก็ยิ้มต้อนรับเพื่อเอาใจทันทีหวังหยวนแทงเข้าที่หลังมือของเขา "ข้ามาหาเจ้าของร้าน ไปเรียกเขาออกมา!"“ข้าชื่อโจวฉางฟา ไม่ทราบว่าเพื่อนตัวน้อยของข้ามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร แล้วมาที่นี่ทำไมกัน?”โจวฉางฟา ลูกชายคนที่สามของตระกูลโจว เดินลงมาจากชั้นสอง มองไปที่หวังหยวนเป็นอันดับแรก ก่อนจะมองไปที่จ้าวชิงเหอ ต้าหู่ และหวังซื่อไห่ ก่อนจะยิ้มรับทันทีสาวใช้และคนรับใช้ล้วนสวมผ้าซาติน ภูมิหลังของครอบครัวของบุคคลนี้คงไม่ด้อยไปกว่าตระกูลโจวเป็นแน่"ข้าแซ่หวัง เจ้าของร้านโ

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 13

    "เก็บไว้สิ!" หวังหยวนลุกขึ้นและโบกมือโดยไม่ดูทองและเงินเหล่านั้น "หากเงินและสินค้าตกลงกันเรียบร้อยแล้ว งั้นข้าก็ต้องขอตัวก่อน!"ต้าหู่หยิบกล่องเงิน จ้าวชิงเหอและซื่อไห่เดินตามข้างมา!“น้องหวัง เดี๋ยวก่อน!”เจ้าของร้านโจวไล่ตามมาและถามว่า "ท่านสามารถจัดหาน้ำตาลคริสตัลนี้ได้บ่อยแค่ไหน"“ขึ้นอยู่กับโชค!”หวังหยวนเลิกคิ้ว "การผลิตน้ำตาลคริสตัลมีน้อยอยู่แล้ว พ่อค้าจากภูมิภาคตะวันตกต้องข้ามดินแดนที่แห้งแล้งเพื่อไปยังพื้นที่ต้าเย่ ดินแดนที่แห้งแล้งนั้นอันตรายมาก ข้าไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะมาที่นี่ อาจจะสามเดือน หรืออาจจะเป็นปี ดังนั้นข้าไม่แน่ใจเรื่องเวลาของสินค้ารอบต่อไป”"โอ้!" โจวฉางฟาเหล่ตาของเขา และพูดอย่างประจบสอพลอ "ดูเหมือนว่าน้องหวังมีฐานะที่ไม่ธรรมดา เจ้าต้องมาจากครอบครัวใหญ่เป็นแน่ ข้าสงสัยว่าท่านเป็นลูกชายของตระกูลหวังในเมืองหลงใช่หรือไม่?" เมืองหลงเป็นเมืองหลวงแห่งหนึ่ง ห่างจากที่นี่สามร้อยไมล์ แต่ไม่มีตระกูลใหญ่ที่มีนามสกุลหวัง"ตระกูลข้าอยู่ในเมืองจิ่วซาน!"หวังหยวนโบกมืออย่างไม่สบอารมณ์ "หากเจ้าของร้านโจวนึกสงสัย เจ้าก็เอาเงินคืนไปเถิด ข้าจะหาคนอื่นมาแ

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 14

    เกวียนล่อกลับเข้าเมืองหวังหานซานขับเกวียนนำหน้า ต้าหู่ยืนอยู่ด้านหลัง ส่วนเอ้อหู่และหวังซื่อไห่เดินคุยกันตามมาหวังหยวนอยู่บนเกวียน เขาเอนหลังเพื่อจะพักผ่อน เขายังไม่นอนตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ และเขาก็ทนไม่ไหวแล้วเอ้อหู่พูดอย่างตื่นเต้น "พี่ซื่อไห่ บอกข้าอีกครั้งซิว่าพี่หยวนขายน้ำตาลได้อย่างไร"“เอ้อหู่ ข้าพูดไปแปดครั้งจนควันจะขึ้นคอแล้ว!”หวังซือไห่ก้มศีรษะลง และสัมผัสเสื้อผ้าซาตินผืนใหม่ของตนเอง“ไม่พูดก็ไม่พูด แต่โปรดอย่าลืมเรียกข้าว่าหวังโปลู นี่คือชื่อที่พี่หยวนเปลี่ยนให้ข้า”เอ้อหู่ทำหน้าตาขึงขัง หวังซือไห่ยกแขนเสื้อซาตินขึ้นมา "โปลู ทำไมเจ้าถึงไม่เปลี่ยนเสื้อซาตินตัวใหม่ของเจ้าล่ะ ผ้าซาตินสวมใส่สบายมาก สบายกว่าผ้าฝ้ายเสียอีก"หลังจากออกจากร้านน้ำตาลของโจว หวังหยวนก็ซื้อของหลายอย่าง มีเสื้อผ้าซาตินสองชุดและรองเท้าสำหรับแต่ละคนเอ้อหู่ชำเลืองมองพ่อซึ่งกำลังขับเกวียนอยู่เขาจะเก็บเสื้อผ้าใหม่ไว้สวมใส่ในช่วงเทศกาลตรุษจีน แล้วค่อยเอามาอวดหวังซือไห่ตอนนั้นชายชราที่กำลังเข็นเกวียนโยนแส้ลงทันที ก่อนจะม้วนเก็บแล้วลากเกวียนเข้าบ้าน"อา!"หวังหยวนซึ่งกำลังหลับใหลอยู่ใน

Latest chapter

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 2170

    หวังหยวนนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่เขารักผู้ใต้บัญชาทุกคน รวมถึงคนขององค์กรเครือข่ายผีเสื้อ แต่น่าเสียดาย...พวกเขาต้องตายเพราะเขา!“ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า!”“ไม่นึกเลยว่าเสี่ยวเต๋อจื่อจะทรยศข้า...”ไป๋อวิ๋นเฟยเดินเข้ามา อยากจะตบหน้าตัวเอง เพราะปัญหาเกิดจากเสี่ยวเต๋อจื่อ!“เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเสี่ยวเต๋อจื่อ”“ข้าสืบมาแล้ว เสี่ยวเต๋อจื่อถูกจับไปหนึ่งวัน คงถูกทรมานหนักมากจึงยอมบอกเรื่องร้านอาหารชิงเหอ...”เกาเล่ออธิบายไป๋อวิ๋นเฟยจึงเข้าใจ หากเสี่ยวเต๋อจื่อคิดทรยศจะส่งจดหมายให้เขาตั้งแต่แรกได้อย่างไร?อีกอย่างคือเรื่องนี้เพิ่งจะมาเกิดขึ้นช่างไม่สมเหตุสมผล“ดูเหมือนว่าข้าจะเข้าใจเสี่ยวเต๋อจื่อผิด...”“แต่ข้าก็ทำให้เขาเดือดร้อน ไม่เช่นนั้นเสี่ยวเต๋อจื่อคงไม่เป็นเช่นนี้”“เขาคงตายไปแล้ว”ไป๋อวิ๋นเฟยถอนหายใจทุกอย่างเกิดจากเขา ผู้ใต้บัญชาของหวังหยวนถูกซือฟางจับ เสี่ยวเต๋อจื่อก็ตาย ล้วนเกี่ยวข้องกับเขาทั้งสิ้นหากต้าเย่ไม่วุ่นวาย เรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร?ตอนนี้ยากที่จะแก้ไข“ยังไม่รู้ว่าเสี่ยวเต๋อจื่อเป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่ข้าได้ข่าวว่าเขายังอยู่ในคุก...”เกาเล่อกล

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 2169

    “ใต้เท้า! ต้องมีเรื่องเข้าใจผิด! ท่านต้องตรวจสอบให้ดี!”เสี่ยวเต๋อจื่อร้องไห้ พยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายแก้ต่างให้ตัวเอง!เขารู้ดีว่าหากยอมรับ ชีวิตเขาคงไม่รอด จึงต้องถ่วงเวลารอให้ไป๋อวิ๋นเฟยมาช่วย!เขามีบุญคุณกับไป๋อวิ๋นเฟย ตอนนี้ไป๋อวิ๋นเฟยออกจากวังไปแล้ว และร่วมมือกับหวังหยวนจึงเหมือนปลาได้น้ำ!ตอนนี้มีแต่ไป๋อวิ๋นเฟยเท่านั้นที่ช่วยเขาได้!ในใจเขามีเพียงความคิดเดียว คือกัดฟัน ไม่ยอมปริปากพูด!ซือฟางหัวเราะเยาะ รับแส้จากทหาร แล้วฟาดลงบนตัวเสี่ยวเต๋อจื่อ!เสียงร้องโหยหวนของเสี่ยวเต๋อจื่อดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่างน่าเวทนายิ่งนัก!แต่คนรอบข้างกลับมีรอยยิ้มเย็นชา มองดูด้วยความสนุกสนาน ไม่มีใครสงสารเสี่ยวเต๋อจื่อเลยแม้แต่น้อยกล้าขัดขืนซือฟางย่อมมีจุดจบเช่นนี้!เสี่ยวเต๋อจื่อถูกใช้เป็นตัวอย่าง!“ท่านขุนพลใหญ่! ข้าเป็นแค่คนไร้ค่า ต่อให้ท่านฆ่าข้า ข้าก็ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้!”“ในเมื่อท่านเชื่อว่าข้าเกี่ยวข้องก็ฆ่าข้าให้ตายเสียเถิด!”ร่างกายเสี่ยวเต๋อจื่อทนการถูกโบยไม่ไหวแล้ว!ตอนนี้ขอแค่ตายอย่างรวดเร็วเพื่อหลุดพ้น...“หึ”ซือฟางหัวเราะเยาะ เดินไปหาเสี่ยวเต๋อจื่อ แล้วกระชากผ

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 2168

    ไป๋ลั่วหลีถอนหายใจยาวนางต้องการช่วยเหลือไป๋อวิ๋นเฟยออกจากทะเลแห่งความทุกข์ยาก จะมีเวลาดูแลคนอื่นได้อย่างไร?“แล้วจะทำอย่างไรดี!”ไป๋อวิ๋นเฟยร้อนใจเหมือนมดบนกระทะร้อน“เจ้าไม่ต้องกังวล ตอนนั้นเสี่ยวเต๋อจื่อออกจากวังได้อย่างไร?”หวังหยวนถามไป๋อวิ๋นเฟยไม่กล้าปิดบัง รีบเล่าเรื่องทั้งหมดให้หวังหยวนฟัง“เช่นนั้นเอง...”“หากเป็นเช่นนี้ ข้าจะแจ้งคนของร้านอาหารชิงเหอ เมื่อเสี่ยวเต๋อจื่อมา ข้าจะให้คนพาเขาออกจากเมืองเพื่อความปลอดภัยของเขา”หวังหยวนโบกมือเรียกเกาเล่อ แล้วสั่งการทันทีร้านอาหารชิงเหอคือฐานที่มั่นสุดท้ายในเมืองหลวง และเป็นสถานที่รวบรวมข่าวสารคนที่นี่ล้วนเชื่อถือได้ หวังหยวนจึงบอกทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง“ได้!”เกาเล่อรับคำ แล้วเดินออกไป“ขอบพระคุณท่านหวัง!”“ครั้งนี้ท่านช่วยข้าไว้มาก!”“ความหวังดีของเสี่ยวเต๋อจื่อ ข้าจะจดจำไว้ตลอดไป วันหน้าจะตอบแทนเขาอย่างดี!”“แต่พวกท่านก็มีน้ำใจกับข้า ข้าจะไม่ลืมบุญคุณนี้!”ไป๋อวิ๋นเฟยกล่าวขอบคุณอีกครั้งหวังหยวนยกยิ้มพลางโบกมือ แล้วกล่าวว่า “เอาล่ะ เราไม่ต้องสุภาพกันมากเกินไปแล้ว”“พวกเราจะไปเมืองเหอเน่ย เฉินซานเตา ขุนพลแห่งเหอ

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 2167

    สีหน้าท่าทางของเกาเล่อ หลิ่วหรูเยียนและไฉจวิ้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนักแต่ที่พวกเขายังอยู่ที่นี่ก็เพราะหวังหยวนไม่เช่นนั้นพวกเขาจะสนใจรางวัลพวกนี้หรือ?หวังหยวนเข้าไปพยุงไป๋อวิ๋นเฟย ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “วางใจเถิด ในเมื่อข้ารับปากจะช่วยท่านแล้ว ข้าจะไม่ล้มเลิกกลางคัน อีกอย่าง ข้าสนิทกับเสด็จแม่ของท่าน ข้าจะปล่อยให้แผ่นดินของราชวงศ์ไป๋ตกอยู่ในมือคนอื่นได้อย่างไร...”“พวกเราไม่ต้องกังวล แต่ตอนนี้ท่านต้องคิดให้ดี...”“สถานการณ์ขอท่านเริ่มอันตรายมากขึ้นเรื่อย ๆ”หืม?ไป๋อวิ๋นเฟยเลิกคิ้วมองหวังหยวนด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าจะสื่ออะไร“ตอนที่ท่านอยู่ในวังหลวง แม้จะถูกกักบริเวณ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าฆ่าท่าน เพราะเกรงว่าจะเสียชื่อเสียง”“แต่ตอนนี้ท่านออกมาพร้อมข้า จึงเป็นโอกาสของพวกเขา”“หากพวกเขาฆ่าท่าน แล้วโยนความผิดให้ข้า นอกจากจะกำจัดท่านได้แล้ว ยังทำให้คนในต้าเย่เกลียดข้าด้วย ถือว่าได้ประโยชน์สองต่อ!”หวังหยวนรู้ทันซือฟางและเจี๋ยงโฉ่วอีสองคนนั้นเจ้าเล่ห์ คงไม่ปล่อยไป๋อวิ๋นเฟยไปง่าย ๆไม่เช่นนั้น ต่อไปไป๋อวิ๋นเฟยจะเป็นภัยต่อพวกเขา!“ท่านหวังยังไม่กลัว ข้าจะกลัวได้อย่างไร?”

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 2166

    ในเมื่อสวรรค์มอบเส้นทางใหม่ให้ เขาย่อมต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่าเพื่อตอบแทนบุญคุณของสวรรค์!“เช่นนั้นเอง...”“พี่ใหญ่ก็เป็นแค่คนธรรมดาเช่นกัน”ไฉจวิ้นหัวเราะ แล้วรีบเดินตามหวังหยวนไป ทุกคนมุ่งหน้าออกจากเมืองหลวงในวัดร้างแห่งหนึ่ง ห่างจากเมืองหลวงไปห้าสิบลี้หลังจากหวังหยวนและพรรคพวกหนีออกมาได้ เขาก็ส่งจดหมายถึงเกาเล่อให้นัดพบกันที่นี่เมืองหลวงของต้าเย่กลายเป็นสถานที่อันตราย ตอนนี้การรีบออกจากที่นี่คือทางออกที่ดีที่สุดภายในวัดร้าง ทุกคนต่างมารวมตัวกันสมาชิกขององค์กรเครือข่ายผีเสื้อกระจายกำลังกันไป บางส่วนอยู่ในเมืองหลวง บางส่วนอยู่รอบกายหวังหยวน แต่ซ่อนตัวอยู่ คอยสอดส่องสถานการณ์!เพื่อป้องกันการโจมตีกะทันหันของซือฟางตอนนี้พวกหวังหยวนไม่มีอะไรที่จะคุกคามซือฟางได้ อีกอย่างคือพวกเขายังพาไป๋อวิ๋นเฟยมาด้วย นั่นเป็นเหมือนระเบิดเวลาการดำรงอยู่ของไป๋อวิ๋นเฟยทำให้ซือฟางและเจี๋ยงโฉ่วอีรู้สึกหวาดระแวงดังนั้นช่วงนี้คงจะไม่สงบสุขเสียแล้ว...“ท่านผู้นำ ต่อไปพวกเราจะทำอย่างไรดีขอรับ?”“จะกลับไปเมืองหลิงหรือจะอยู่ที่นี่เพื่อต่อกรกับซือฟางต่อ?”เกาเล่อเอ่ยถามไป๋อวิ๋นเฟยและไป๋ลั่วห

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 2165

    ทุกคนกำลังรอคอยจังหวะที่จะหลบหนี!หวังหยวนรอให้ซือฟางยอมหลีกทาง ส่วนซือฟางก็กำลังคิดว่าจะปล่อยหวังหยวนไปหรือไม่!“ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่พวกเราก็คุกคามชีวิตหวังหยวน”“หมาจนตรอกยังกัด หวังหยวนจะยอมง่าย ๆ เชียวหรือ?”เจี๋ยงโฉ่วอีเดินไปข้างซือฟาง แล้วกระซิบว่า “ข้าเคยได้ยินว่าหวังหยวนเป็นคนรอบคอบ หากไม่มั่นใจ มันคงไม่กล้าเสี่ยง”“ตอนที่สู้กับพวกต้าเป่ยก็เห็นได้ชัดว่าหวังหยวนเป็นคนเช่นนี้จริง”“ด้วยเหตุนี้ ขุนพลใหญ่หานเทาของต้าเป่ยจึงหวาดกลัวหวังหยวน”“ดังนั้น ข้าคิดว่าพวกเราควรหลีกทางให้มันก่อนดีหรือไม่?”“ปล่อยหวังหยวนไปก็เท่ากับปล่อยพวกเราเองด้วย!”“พวกเรามีอำนาจทางการทหารของต้าเย่อยู่ในการควบคุม อนาคตสดใสรออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงเพราะหวังหยวนแค่คนเดียว!”เจี๋ยงโฉ่วอีพยายามเกลี้ยกล่อมซือฟางแม้หวังหยวนจะเป็นคนรอบคอบ แล้วเจี๋ยงโฉ่วอีจะไม่รอบคอบได้อย่างไร?อีกอย่าง เจี๋ยงโฉ่วอีเข้าใจหลักการที่ว่าตราบใดที่ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ อย่าได้กลัวไม่มีฟืนตราบใดที่ยังมีชีวิต ต่อให้พ่ายแพ้ก็ยังมีโอกาสแก้ตัว!เมื่อเจี๋ยงโฉ่วอีพูดเช่นนี้ ซือฟางจึงยอมปล่อยมือจากดาบ เดินไปด้านข้างด้ว

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 2164

    หากเป็นเช่นนั้น ต่อให้เขาขึ้นแทนที่ไป๋หมิงได้ย่อมจะถูกประชาชนติฉินนินทา!ช่างเป็นเรื่องยุ่งยาก!“หวังหยวน! เจ้าแค่บอกว่าอยากพบองค์ชาย ตอนนี้เจ้าได้พบแล้ว ข้าจะปล่อยให้เจ้าพาองค์ชายไปได้อย่างไร?”“องค์ชายเป็นถึงองค์ชายของต้าเย่! ตอนนี้บ้านเมืองกำลังวุ่นวาย ข้าจะปล่อยให้เจ้าพาองค์ชายไปไม่ได้! ต่อให้ต้องสละชีวิต ข้าก็จะขัดขวาง!”ซือฟางก้าวออกมา มือแตะที่ดาบข้างเอว เห็นได้ชัดว่าพร้อมจะลงมือได้ทุกเมื่อ!แม้หวังหยวนจะมีสัญญาณระเบิด แต่หากลงมือฆ่าหวังหยวนก่อนที่เขาจะจุดสัญญาณ แล้วให้คนไปค้นทั่วเมืองก็จะสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้!แม้จะอันตราย แต่เพื่อความมั่งคั่งย่อมต้องยอมเสี่ยง!“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา!”หวังหยวนส่ายหน้าก่อนยิ้มเยาะ ล้วงมือเข้าไปในอกหยิบสัญญาณระเบิดอีกอันออกมาแกว่งไปมาต่อหน้าซือฟางเขามองสายตาของซือฟางก็เดาความคิดได้แล้ว จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หากข้าเดาไม่ผิด ตอนนี้เจ้าคงอยากแย่งสัญญาณระเบิดจากข้าใช่หรือไม่?”“ข้ายกสัญญาณทั้งหมดให้เจ้าก็ได้!”“หากภายในครึ่งชั่วยาม ข้าไม่ได้พบกับคนของข้า พวกเขาก็จะจุดระเบิดทั้งหมดอยู่ดี!”“สุดท้ายผลลัพธ์ไม่

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 2163

    ณ ที่แห่งหนึ่งในเมืองหลวงเกาเล่อและไป๋ลั่วหลียืนอยู่ด้วยกัน สายตาจับจ้องไปยังวังหลวงเมื่อครู่หลังจากได้รับสัญญาณ พวกเขาก็จุดระเบิดที่อยู่ใกล้เคียง แต่ไม่ได้สร้างความเสียหายมากนักหากไม่จำเป็น เกาเล่อจะไม่จุดระเบิดทั้งหมด เพราะจะทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมากหวังหยวนแค่ลองเสี่ยง หากต้องสู้ตายค่อยจุดระเบิดทั้งหมดก็ไม่สาย!“ท่านเกา ท่านว่าซือฟางจะยอมปล่อยตัวองค์ชายหรือไม่?”ไป๋ลั่วหลีร้อนใจเหมือนมดบนกระทะร้อน เดินไปเดินมาไม่หยุด นางแทบจะอดทนไม่ไหวหากหวังหยวนไม่กลัวว่านางจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่คงพานางไปด้วยแล้วแต่ตอนนี้ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับหวังหยวน นางไม่อาจทำตามใจตัวเอง ไม่เช่นนั้นจะทำลายแผนการของหวังหยวน“ตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้”“แต่ซือฟางและเจี๋ยงโฉ่วอีต่างก็รักษาหน้าตา ต่อให้พวกเขาคิดว่าท่านผู้นำโกหก ทหารพวกนั้นก็คงไม่กล้าทำอะไรท่านผู้นำ”“รอดูกันเถิด สถานการณ์ที่อันตรายกว่านี้ ข้ากับท่านผู้นำก็เคยผ่านมาแล้ว”เกาเล่ออดเป็นห่วงหวังหยวนไม่ได้ แต่ไม่อาจแสดงท่าทีใด ๆ เพราะต้องทำตัวให้เป็นคนเข้มแข็งเขาและหวังหยวนคือที่พึ่งของทุกคน ในเวลาแบบนี้ต้องห้ามหวั่นไหว จึงจะควบคุมสถ

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 2162

    “รีบทำตามที่สามีข้าบอก!”“รีบพาองค์ชายใหญ่ออกมาพบพวกข้า ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าสามีข้าใจร้ายเพราะจุดพลุสัญญาณอีกครั้ง ข้าเตือนแล้วนะ ทั้งอาณาจักรจะหายไปในพริบตา!”“ไม่เพียงแต่พวกเจ้าจะตาย แม้แต่วังที่หรูหราแห่งนี้ก็จะพังทลายลงด้วย! นี่คืออานุภาพของดินปืน!”หลิ่วหรูเยียนตวาดหวังหยวนเคยใช้ปืนใหญ่ในสนามรบ อีกอย่างคือเขามีปืนคาบศิลา ทุกคนต่างก็รู้ถึงอานุภาพของดินปืน ใครบ้างจะกล้าต่อกรกับหวังหยวน?เหล่าทหารหยุดชะงัก ไม่มีใครกล้าก้าวเข้าไปพวกเขาล้วนกล้าหาญ แต่ก็มีครอบครัว พ่อแม่ ลูกเมีย บางคนก็อยู่ในเมืองหลวง!หากหวังหยวนพูดจริง แล้วพวกเขาลงมือ ครอบครัวของพวกเขาย่อมจะเดือดร้อน เมื่อถึงตอนนั้นคงสายเกินแก้!เมื่อเห็นทหารลังเล ซือฟางถึงกับโกรธจนกัดฟันกรอด เขาชี้ไปที่พวกทหารแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าเชื่อคำพูดของเขาหรือ?”“พวกเจ้าช่างโง่เขลา!”“พวกเจ้าไม่คิดบ้างหรือหากหวังหยวนจะระเบิดวังหลวงจริง เขาต้องใช้คนเตรียมการเยอะแค่ไหน?”“อย่าว่าแต่ไม่มีกำลังพลมากพอเลย ต่อให้มีก็ต้องใช้เวลาเตรียมการเป็นครึ่งเดือนจึงจะเสร็จสมบูรณ์!”“ข้าไม่รู้ว่าหวังหยวนกลับมาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่แน่ ๆ คื

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status