Share

บทที่ 7

Author: ชวินเป่ยอี๋
“อืม ท่านพี่!”

“อย่าเรียกท่านพี่สิ เรียกเหล่ากง!”

“...ไม่ได้!”

“ทำไม?”

“ท่านพี่ เหล่ากงคือคำใช้เรียกขันที ท่านแค่ป่วย หาหมอดูอาการก็ดีขึ้นแล้ว ทำไมต้องดูถูกตัวเองแบบนี้ด้วย!”

"...เหล่ากงคือคำใช้เรียกขันที???”

"คำใช้เรียกขันทีถูกเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละราชวงศ์ที่ผ่านมา พวกเขาเรียกขันทีอย่างเป็นทางการว่าหวางเหมินและเตียวตัง บางคนได้รับเกียรติยกย่องเป็นเน่ยกว้าน เน่ยเฉิง จงกว้าน และจงกุ้ย นอกจากนี้ยังมีชื่อที่เสื่อมเสียเช่น เน่ยซู่ เหยียนเฉิน ไท่เจี้ยน เหยียนเหริน และเหล่ากง ขันทีก็เรียกว่าเหล่ากงเจ้าค่ะ"

“...ทำไมเจ้าถึงรู้เยอะนัก?”

“...ตอนเด็ก ๆ มีหมอดูผ่านบ้านข้า บอกว่าข้ามีดวงชะตานางหงส์ ท่านพ่อจึงอบรมให้ข้าเป็นกุลสตรี สอนมารยาทและธรรมเนียมในวังให้ด้วย”

“ดวงชะตานางหงส์?”

“ท่านพี่อย่าโกรธไปเลย หมอดูคนนั้นเป็นนักต้มตุ๋น ข้าจะไปมีดวงชะตานางหงส์ได้อย่างไร! หลังจากแต่งงานกับท่านแล้ว ตราบใดที่สามียังต้องการข้า ข้าก็จะรับใช้ท่านตลอดไป”

...

ในวันรุ่งขึ้น

หวังหานซานขับเกวียนล่อขนปลาลงในถังไม้ขนาดใหญ่พวกเขาทั้งห้าก็เตรียมตัวออกเดินทาง

หลี่ซื่อหานหยิบถุงผ้าสีแดงยัดใส่มือของหวังหยวน "ท่านพี่ ถ้าเงินขายปลาไม่พอ ก็ให้จำนำกำไลข้อมือวงนี้! ถ้าไม่พออีกก็ไปหาพี่ชายข้า เขาไม่มีทางทิ้งข้าไว้แน่"

“อยู่บ้านดี ๆ รอข้ากลับมา!”

หวังหยวนเก็บกำไลข้อมือไว้ที่อกเสื้อของเขา เกลี่ยนิ้วทัดผมข้างขมับของหญิงสาวให้เรียบร้อย และออกเดินทางไป

เมื่อปลายนิ้วสัมผัสแก้ม หลี่ซื่อหานก็หน้าแดงทันที

เมื่อคืนพวกเขาสองคนยังไม่เกินเลยกัน พวกเขาเพียงแค่กอด และพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึกกัน

แต่นางชอบสามีคนปัจจุบันของนางมาก

ทั้งอ่อนโยน มีน้ำใจ และอบอุ่น

มีสามีเช่นนี้ แม้ว่าจะไม่เคยเป็นแบบนี้ นางก็เต็มใจ

ต้าหู่และหวังซื่อไห่ทั้งสองเดินนำหน้าไปก่อน

หวังหานซานขับเกวียนล่ออยู่ตรงกลาง

หวังหยวนและเอ๋อหู่ตามมาอยู่หลังเกวียน

ยุคนี้ไม่สงบนัก โดยเฉพาะเวลากลางคืน มักมีโจรผู้ร้ายโผล่มาบ่อยครั้ง

ถนนลูกรังขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ ไม่ระวังล้ออาจจะติดหล่มได้

หวังหานซานคุ้นเคยกับการเดินตอนกลางคืนเป็นอย่างดี และพวกเขาทั้งห้าคนก็ไม่พบปัญหาใด ๆ ระหว่างทาง

ท้องฟ้าเริ่มสว่าง เมืองที่ปรากฏขึ้นจากระยะไกลในสายตาของทั้งห้าคน

ขณะที่พวกเขาเดินไป เอ้อหู่ก็กระซิบเบา ๆ ว่า "พี่หยวนช่วยเปลี่ยนชื่อให้ข้าได้ไหม?"

หวังหยวนมีเครื่องหมายคำถามปรากฏบนใบหน้าของเขา

เอ้อหู่พูดเสียงดังทุ้มว่า “หมู่บ้านของเราคนชื่อ ‘หู่’ เยอะเกินไปแล้ว ต้าหู่ เอ้อหู่...ชีหู่ ปาหู่ เสี่ยวหู่ เฮยหู่ พางหู่ มีตั้งสองคนที่ชื่อเหมือนข้า ข้าอยากเป็นเหมือนพ่อ เมื่อก่อนพ่อชื่อต้าซาน ตอนนี้เปลี่ยนเป็นหานซานแล้ว ช่างองอาจนัก! พี่หยวนเป็นบัณฑิตเรียนหนังสือมาก็มาก คงช่วยเปลี่ยนชื่อได้”

มี 'เสือ' มากกว่าสิบตัวในหมู่บ้านต้าหวัง หวังหยวนหัวเราะและถามว่า "เจ้าอยากทำอะไรมากที่สุด?"

"ข้า!"

เอ้อหู่แอบมองด้านหลังพ่อแล้วกระซิบว่า "พี่หยวน ข้าอยากเข้าร่วมกองทัพเพื่อฆ่าข้าศึก ไล่พวกคนเถื่อนกลับไปทางเหนือ และนำดินแดนที่เสียไปของต้าเย่กลับคืนมา"

"..."

คนเถื่อนจากทางเหนือต่อสู้กับต้าเย่มาเป็นเวลาร้อยปี กินพื้นที่หนึ่งในสามของต้าเย่ไป หวังหยวนไม่เคยคิดเลยว่าคนที่อดอยากอย่างเอ้อหู่จะกล้ามีความคิดเช่นนี้ เขานิ่งอึ้งไปแล้วพูดว่า "งั้นก็เรียก โป้ลู แล้วกัน!"

เอ้อหู่ที่ได้ยินก็กระวนกระวายใจ "โป้โหล่ว กำแพงเมืองถล่ม หอคอยเมืองตีแตกแล้ว ทันทีที่ได้ยินก็รู้สึกว่าชื่อนี้อาภัพเกินไป พี่หยวน ช่วยเปลี่ยนให้มันฟังดูดีกว่านี้สิ ข้าไม่อยากถูกเรียกว่าโป้โหล่ว!”

หวังหยวนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ลู ที่แปลว่าเชลยข้าศึก เป็นคำเรียกโดยรวมของคนเถื่อน โป้ลูก็คือทลายข้าศึก ไม่ใช่กำแพงเมืองถล่ม”

“อ่อ แบบนี้นี่เอง!”

เอ้อหู่ยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง “โป้ลู หวังโป้ลู ชื่อนี้น่าเกรงขามเหลือเกิน ขอบคุณพี่หยวน ต่อไปนี้ข้าชื่อหวังโป้ลู จะไม่เรียกหวังเอ้อหู่อีก ใครเรียกเอ้อหู่ข้าจะไม่หัน”

หวังหยวนกระพริบตาปริบ ๆ "เอ้อหู่?"

เอ้อหู่เงยหน้าขึ้น "อะไรรึ พี่หยวน?"

หวังหยวนเงยหน้าขึ้นและหัวเราะเสียงดัง "ฮ่าฮ่าฮ่า!"

“พี่หยวน ท่านหัวเราะอะไร?”

เอ้อหู่คิดไม่ออก และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็นึกขึ้นได้ จนหน้าแดงก่ำ "ยกเว้นพี่หยวน เรียกข้าว่าเอ้อหู่ได้ คนอื่นเรียกข้าจะเมินเขา"

ข้างหน้า หวังหานชานซึ่งกำลังขับเกวียนอยู่กล่าวว่า "เอ้อหู่ มานี่!"

"มาแล้ว!"

หวังเอ้อหู่ก้าวไปข้างหน้าด้วยสีหน้าขมขื่น และเพิ่มประโยคในใจของเขาอีกประโยค นอกจากพี่หยวนและพ่อแล้ว ใครก็ตามที่เรียกว่าเอ้อหู่ เขาจะไม่สนใจอย่างแน่นอน!

ต้าหู่เอ่ยว่า "เจ้าไปช่วยพ่อขับเกวียนด้วยกัน ข้าจะไปอยู่กับพี่หยวนด้านหลัง!"

“...”

เอ้อหู่กัดฟัน "เช่นนั้นเพิ่มอีกคนหนึ่ง!"

ต้าหู่มาถึงที่ด้านหลังของเกวียนและพูดว่า "พี่หยวน ข้าอยากเปลี่ยนชื่อด้วย"

หวังหยวนยิ้มและพูดว่า "เจ้าอยากทำอะไร?"

ต้าหู่พูดด้วยเสียงนุ่มทุ้ม "ข้าไม่อยากเข้าร่วมกองทัพ ข้าชอบฝึกวรยุทธ์ แต่ก่อนหน้านี้ครอบครัวของข้ายังไม่ค่อยมีอันจะกิน พ่อบอกว่าถ้าฝึกฝนอย่างหนัก เลือดลมจะมีปัญหา เวลาเหนื่อย ร่างกายจะทนไม่ไหว จึงไม่ได้ฝึกซ้อมดี ๆ!"

ดวงตาของหวังหยวนเป็นประกาย "เจ้าเคยฝึกวรยุทธ์?ใครสอนเจ้า? สู้ได้กี่คน?"

ต้าหู่ลูบท้ายทอยอย่างเขินอาย "พ่อเป็นคนสอน! เป็นวรยุทธ์ที่ใช้ในกองทัพ เคยสู้กับเอ้อหู่เท่านั้น!"

พี่ตีน้องจะนับว่าเป็นวรยุทธ์อะไรได้ หวังหยวนรู้สึกหมดอารมณ์เล็กน้อย "ถ้าชอบฝึกยุทธ์ ก็จงฝึกให้แข็งแกร่งที่สุด งั้นเรียกเจ้าว่า หวังอู่ตี้ เป็นไง?”

"อา!"

ต้าหู่ตกใจ “พี่หยวน ชื่อนี้ยิ่งใหญ่เกินไป ข้ารับไม่ไหว!”

หวังหยวนตบไหล่เขา "เชื่อมั่นในตัวเองหน่อย ตั้งเป้าหมายให้ตัวเอง และพยายามให้หนักเพื่อไปสู่เป้าหมายนั้น ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นสำหรับตัวเจ้าเองด้วย!"

“หวังอู่ตี้ อู่ตี้ อื้อ!”

ต้าหู่พึมพำอยู่สองสามคำ ก็พยักหน้าอย่างแรง จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา!

หลังจากนั้นไม่นาน หวังซื่อไห่ก็เข้ามาหาด้วยหน้าตาบูดบึ้ง "พี่หยวน ชื่อซื่อไห่ธรรมดาเกินไป เปลี่ยนให้ข้าด้วย"

หวังหยวนถอนหายใจเบา ๆ “ทั่วหล้าล้วนเต็มไปด้วยมิตรสหาย ชื่อเจ้ายังธรรมดาอีกรึ?”

หวังซื่อไห่ยิ้มแย้มหน้าบาน "พี่หยวน ท่านพูดแบบนี้ ข้าก็รู้สึกได้ทันทีว่าชื่อนี้แตกต่างออกไป และมันก็ดูมีระดับมากขึ้น! ทั่วหล้าล้วนเต็มไปด้วยมิตรสหาย ไม่เสียทีที่เป็นบัณฑิต ขอบคุณขอรับ!”

ในอดีตเจ้าของร่างเดิมเคยไปอำเภอ ล้วนแต่ใช้เกวียนเทียมวัว ไม่เคยเดินเท้าสี่สิบลี้มาก่อน

หวังหยวนเดินไปได้ครึ่งทาง ขาของเขาขยับไม่ได้อีกจนต้องนั่งเกวียนล่อ

ทางด้านหวังหานซาน ต้าหู่ เอ้อหู่ยังคงเดินได้อย่างรวดเร็ว แม้แต่หวังซื่อไห่ที่เป็นนักเลงก็เต็มไปด้วยพลังเช่นกัน ฝีเท้าคนยุคนี้อยู่นอกเหนือสามัญสำนึกของผู้คนในยุคเทคโนโลยีจริง ๆ!

คนทั้งห้ามาถึงที่อำเภอมีกำแพงดินเรียงเป็นแถวล้อมรอบด้วยหอคอยอิฐหิน มีทหารพร้อมอาวุธอยู่ด้านบน และประตูเมืองด้านล่างสูงสามเมตร

ด้านในและด้านนอกประตูมีทหารยามสองแถว และโต๊ะสองตัวเฝ้าประตู

ต้าหู่ เอ้อหู่ และหวังซื่อไห่มองไปที่หอคอยเมืองด้วยสีหน้าตกใจ แต่หวังหานซานไม่ตอบสนอง

"ขายปลาและเกวียนล่อ แล้วเข้าเมืองร้อยอีแปะ!"

ทหารยามที่ตรวสอบเกวียนพูดอย่างช้า ๆ

หวังหยวนขมวดคิ้วและยื่นเงินให้

เจ้าของร่างเดิมมักมาที่อำเภอบ่อย ๆ จึงรู้ว่าการเข้าเมืองต้องจ่ายเงินด้วย เกวียนแต่ละเล่มจ่ายราคาไม่เท่ากัน เกวียนปลาตั้งห้าสิบอีแปะ

เมื่อเดือนที่แล้วมีนายอำเภอคนใหม่เข้ารับตำแหน่ง และก็ขึ้นภาษีเข้าเมืองอีก

ทหารยามปล่อยพวกเขาเข้าไปในเมือง

หลังจากผ่านหอคอยกำแพงเมืองไปแล้ว มีบ้านอิฐทั้งหมด และตึกอาคารสองชั้นขนาดเล็กสองสามหลังที่ตั้งเรียงรายอยู่

หวังหยวนเห็นแล้วก็รู้สึกผิดหวัง เมืองในโลกนี้เทียบไม่ได้กับเมืองในชาติที่แล้วของเขาเลย

อย่างไรก็ตาม ผู้คนอยู่อาศัยในเมืองการแต่งการเสื้อผ้ามีสีสัน และรูปแบบหลากหลายกว่าชาวบ้านในหมู่บ้านต้าหวังเป็นอย่างมาก

ต้าหู่เอ้อหู่และหวังซื่อไห่มีสีหน้าตื่นเต้นมาก อยู่กับคุณยายหลิวไปเที่ยวเจออะไรใหม่ ๆ ตื่นตาตื่นใจไปหมด

ชาวบ้านจำนวนมากในชนบทไม่เคยออกจากหมู่บ้านเลยตลอดชีวิต มีแค่ไม่กี่คนที่เคยเข้าไปที่ตำบล และเข้าไปถึงอำเภอนี่ยิ่งน้อยไปใหญ่ ไปมาสักรอบก็คุยโม้ไปได้ตั้งหลายปีแล้ว

ทั้งห้าคนขับเกวียนล่อไปที่ตลาดขายเนื้อตะวันออก

เมืองต้าเย่นั้นบริหารจัดการด้วยผังเมืองแบบมีศูนย์กลางแล้วแตกแยกย่อยไป

เมือง เขตการค้าขาย ถนน ย่านที่อยู่อาศัย ซอกซอยที่แยกระหว่างเมือง และถนนคนเดิน

ในตลาดมีการก่อกำแพงอิฐ และมีเวลาซื้อขายแลกเปลี่ยน และเปิดปิดตลาดอย่างชัดเจน

ขับเกวียนล่อมาถึงด้านนอกตลาดตะวันออก

หวังหานซานเอ่ยว่า "ยังไม่รู้ราคาปลาเลยว่าเท่าไหร่ คงต้องลองสอบถามเกี่ยวกับราคา"

หวังหยวนมองไปที่สามคน

เอ้อหู่ลูบท้ายท้อยอย่างเก้อเขิน ไม่รู้ว่าจะไปถามอย่างไรดี

ต้าหู่เองก็ดูเขิน ๆ

นักเลงประจำหมู่บ้านอย่างหวังซื่อไห่เอ่ยขึ้นมาว่า “เรื่องนี้ปล่อยเป็นหน้าที่ข้าเอง”

หลังจากนั้นไม่นาน หวังซื่อไห่ก็กลับมาพร้อมราคาส่วยการค้า และราคาปลาอย่างชัดเจน

ซื้อขายจ่ายภาษีหนึ่งในสิบ

ปลาตัวเล็กครึ่งกิโลยี่สิบอีแปะ

ปลาประมาณกิโลสามสิบอีแปะ

หากขายกิโลครึ่งก็สี่สิบอีแปะ

หากขายได้กิโลครึ่งถึงสี่กิโลห้าสิบอีแปะ

หากขายได้สี่กิโลขึ้นไปก็หกสิบอีแปะ

ราคานี้เป็นปลาตาย ถ้าหากยังเป็น ๆ อยู่ก็อาจจะขายเพิ่มได้อีกยี่สิบอีแปะ

ทั้งห้าคนขับเกวียนล่อเข้าไปในตลาดตะวันออก ก็เจอแผงขาย และเริ่มขายของกันแล้ว

ก่อนที่จะเปิดแผง ก็มีดวงตาสี่คู่ที่ดูดุร้ายเข้ามาล้อมเกวียนล่อนั้น

มีคนหนึ่งก้างแขนขวางบนหน้าอกมีขนดกดำ แววตาดูดุดัน และยิ้มอย่างเหยียดหยาม “เข้าวัดก็ต้องจุดธูปไหว้เจ้าด้วย มาตลาดตะวันตกแล้วไม่มาเคารพเจ้าถิ่น คิดจะมาขายปลาที่นี่ ใครมอบความกล้าให้เจ้า ห๊ะ?”

Related chapters

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 8

    “เคารพเจ้าถิ่น?” เห็นท่าทางของคนกลุ่มนี้ หวังหยวนก็นึกขึ้นมาได้ "พวกเจ้ามาที่นี่เอาค่าคุ้มครองใช่ไหม?" ต้าหู่ เอ้อหู่กำหมัดแน่น และมายืนหลังหวังหยวน หวังหานซานขมวดคิ้วแน่น หวังซื่อไห่พูดเสียงทุ้มต่ำ “หวังหยวน ยุ่ง ๆ เลยไม่ได้บอกเจ้า นี่เป็นลูกพี่ใหญ่ค้าปลาของตลาดตะวันตก ‘น่าวซานเจียง’ มีลูกน้องตั้งสิบยี่สิบคน ไม่ว่าใครมาขายปลาต้องจ่ายส่วยให้เขาสองส่วนด้วยย” “สองส่วน?” หวังหยวนโกรธมาก “พวกเจ้าเก็บแพงกว่าทางการตั้งมากโข?” ลำบากลำบนทำงานอย่างหนักอยู่สองวันเพื่อจับปลา ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเพื่อเข้าเมือง ทางการเก็บภาษีค้าขายแค่หนึ่งในสิบ แต่พวกอันธพาลเหล่านี้กล้าที่จะเก็บตั้งสองในสิบได้ เอ้อหู่จ้องเขม็งแม้แต่ต้าหู่ที่ใจเย็นและนิ่งอยู่เสมอยังกำมือแน่น จนเส้นเลือดปูดโปนไปหมด แท้จริงแล้วพวกอันธพาลเหล่านี้มีเอาเปรียบขูดเลือดขูดเนื้อได้โหดเหี้ยมมากกว่าทางการเสียอีก หวังหานซานจ้องไปที่ลูกชายทั้งสองแล้วส่ายหน้า “อยากขายปลาที่ตลาดนี้ก็ต้องจ่ายมาสองในสิบ นี่เป็นกฎของตระกูลซาที่นี่ ไม่งั้นก็ทิ้งปลาไว้ แล้วไสหัวไปซะ” น่าวซานเจียงยกมือขึ้นข่ม ทั้งแปดขึ้นที่ก้าวเข้ามา มีทั้งก

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 9

    มีชายวัยกลางคนเดินมาจากไกล ๆ เขาสวมหมวกทรงสูงขอบแดงสีดำ เสื้อสีน้ำเงินปักขอบสีแดง มีคำว่า "จับ" ที่ตรงกลางหน้าอก พร้อมด้วยรองเท้าบูทผ้าสีดำ และเหน็บดาบยาวที่เอว เขาไม่สูงไม่เตี้ย มีแววตาที่ดูเฉลียวฉลาดอยู่บ้าง โดยรวมแล้วก็ดูธรรมดาทั่วไป อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขาปรากฏตัว ทั้งตลาดก็เงียบลง ความโกรธในดวงตาของพ่อค้าหายไปอย่างไร้ร่องรอย และรอยยิ้มที่ประจบสอพลอปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา นี่คือเจ้าหน้าที่สายตรวจในตลาดตะวันตก ใต้เท้าในสายตาทุกคน ชื่อจริงชื่อซิงซาน เจ้าหน้าที่สายตรวจคนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้ใหญ่โตในเมืองนัก แต่ก็ไม่ใช่ใครไปลบหลู่ได้ นอกจากนายอำเภอ เจ้าหน้าที่ปกครอง ที่ว่าการอำเภอยังมีอีกแปดขั้น ส่วนที่เหลือเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย สายตรวจ เจ้าหน้าที่ในสำนักงาน... ล้วนเรียกรวมกันว่า "เจ้าหน้าที่" แม้ว่า 'เจ้าหน้าที่' เหล่านี้จะไม่มียศ แต่พวกเขาได้มีบันทึกชื่อในกรมข้าราชการพลเรือน มีอาชีพที่มั่นคง เมื่อพ่อตายก็สืบต่อให้ลูกได้ เจ้าหน้าที่แต่ละคนมีผู้ช่วยหลายสิบคน เพื่อช่วยงานราชการให้งานสำเร็จเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ไม่รับค่าตอบแทน แต่เมื่อพวกเขาอยากพึ่งพาก็ต้องเอาสิน

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 10

    หวังหยวนมาที่ร้านช่างตีเหล็กของตระกูลจ้าวในเป่ยซื่อ ซึ่งเป็นบ้านของจ้าวต้าซุย ลุงของเจ้าของร่างเดิม เจ้าของร่างเดิมตอนอายุสิบขวบมาเรียนหนังสือในเมือง และอาศัยอยู่ที่บ้านของลุงของเขา ป้าสะใภ้คลอดน้องสาวออกมาได้ยากมาก ทั้งลุงและน้องจึงพึ่งพากัน และดีต่อเจ้าของร่างเดิมมาก แต่เมื่อสามปีก่อน เจ้าของร่างเดิมอยากจะแต่งงานกับหลี่ซื่อหาน และลุงได้คัดค้านในฐานะผู้อาวุโส มีข่าวลือว่าตระกูลหลี่กำลังจะถูกกำจัด และลุงก็กลัวว่าจะโดนร่างแหไปด้วย เจ้าของร่างเดิมไม่ฟังคำห้ามปราม ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างลุงกับหลานชายจึงเย็นชาขึ้น เจ้าของร่างเดิมไม่ได้เชิญลุงมางานแต่งงาน และไม่ได้ไปเยี่ยมบ้านลุงมาสามปีแล้ว เห็นร้านช่างตีเหล็กที่คุ้นเคย หวังหยวนจึงเดินเข้าไป "ใครน่ะ!" มีเสียงมาจากสวนหลังบ้าน และหญิงสาวคนหนึ่งก็ออกมา เมื่อเห็นว่าเป็นหวังหยวนก็ตกใจ นางเม้มริมฝีปากอยู่ครู่หนึ่ง “หลังแต่งงานก็ลืมลุงของเจ้าไปแล้ว คนใจร้ายอย่างเจ้ามาที่ทำไมอีก!" เด็กสาวอายุสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี ใบหน้ารูปไข่มัดผมหางม้า ตัวไม่สูงนัก มีกระบนใบหน้า ตาโต มีฟันเขี้ยวเล็ก ๆ สองซี่ นางดูสวยและดูโดดเด่น หวังหยวนไม่โ

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 11

    เมื่อจ้าวชิงเหอและลุงของเขามาถึงร้านค้า พวกเขาเห็นหวังหยวนหยิบหม้อเหล็กขึ้นมา และกำลังเทน้ำเชื่อมที่ผสมไว้กับโคลนสีเหลืองลงในกรวยที่มีฟางเรียงราย“ท่านพ่อ ดูนั่นสิ!”จ้าวชิงเหอมุ่ยหน้าลุงมองด้วยความประหลาดใจ ซู่ ซู่ว…กากน้ำตาลสีดำไหลออกมาจากด้านล่าง และน้ำเชื่อมเริ่มแยกตัวออกจากกันในกรวย ไม่นาน น้ำตาลทรายขาวก็ตกผลึกอยู่ด้านบน น้ำตาลทรายแดงอยู่ตรงกลาง และกากน้ำตาลดำอยู่ด้านล่าง“น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลทรายขาว”ดวงตาของจ้าวชิงเหอแทบจะบินออกมาด้านนอกน้ำตาลดำมีราคาถูกที่สุดคือจินละหนึ่งร้อยอีแปะ น้ำตาลทรายแดงจินละสามร้อยอีแปะ และยังไม่มีน้ำตาลทรายขาวขายในท้องตลาดเมื่อดูอัตราส่วนของน้ำตาลสามสีในกรวยจะเห็นได้ว่ามีมีน้ำตาลทรายขาวห้าสิบเปอร์เซ็นต์ น้ำตาลทรายแดง สามสิบเปอร์เซ็นต์ และกากสีดำอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ แค่น้ำตาลทรายแดงก็เกือบจะเทียบเท่าต้นทุนน้ำตาลดำแล้ว ส่วนเงินที่ขายน้ำตาลทรายขาวได้ก็ถือว่าเป็นกำไรลุง หวังหานชาน ต้าหู และหวังซื่อไห่รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พวกเขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรเอ้อหูถามออกไปตรง ๆ "พี่หยวน ทำไมน้ำตาลดำผสมกับโคลนสีเหลืองแล้วถึงกลายเป็

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 12

    คนขับรถม้าหยิบบล็อกมาวางตรงประตู จ้าวชิงเหอก้าวออกจากรถ ก่อนจะช่วยประคองหวังหยวนตามลงมา ต้าหู่ และหวังซื่อไห่หอบกล่องไม้จันทน์สีแดงลงมาจากรถม้าทันทีที่พวกเขาทั้งสี่เข้าเดินเข้าไปในร้าน เสมียนก็เอ่ยทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม "นายน้อย มีธุระอะไรเหรอขอรับ?"เมื่อเห็นปฏิกิริยาของคู่หูต้าหู่และหวังซื่อไห่ ก็เข้าใจทันทีว่าหวังหยวนพูดว่า ต้องรู้จักตัดสินคนจากการแต่งตัวก่อนอันดับแรกนั้นหมายถึงอะไรตอนเช้าพวกเขาทั้งสี่คนสวมผ้าป่านไปซื้อของ แต่ยังไม่ทันได้เปิดปากพูดก็ถูกไล่ออกมาเสียก่อน ตอนนี้เสมียนคนนี้พอเห็นเสื้อผ้าของพวกเขา ก็ยิ้มต้อนรับเพื่อเอาใจทันทีหวังหยวนแทงเข้าที่หลังมือของเขา "ข้ามาหาเจ้าของร้าน ไปเรียกเขาออกมา!"“ข้าชื่อโจวฉางฟา ไม่ทราบว่าเพื่อนตัวน้อยของข้ามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร แล้วมาที่นี่ทำไมกัน?”โจวฉางฟา ลูกชายคนที่สามของตระกูลโจว เดินลงมาจากชั้นสอง มองไปที่หวังหยวนเป็นอันดับแรก ก่อนจะมองไปที่จ้าวชิงเหอ ต้าหู่ และหวังซื่อไห่ ก่อนจะยิ้มรับทันทีสาวใช้และคนรับใช้ล้วนสวมผ้าซาติน ภูมิหลังของครอบครัวของบุคคลนี้คงไม่ด้อยไปกว่าตระกูลโจวเป็นแน่"ข้าแซ่หวัง เจ้าของร้านโ

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 13

    "เก็บไว้สิ!" หวังหยวนลุกขึ้นและโบกมือโดยไม่ดูทองและเงินเหล่านั้น "หากเงินและสินค้าตกลงกันเรียบร้อยแล้ว งั้นข้าก็ต้องขอตัวก่อน!"ต้าหู่หยิบกล่องเงิน จ้าวชิงเหอและซื่อไห่เดินตามข้างมา!“น้องหวัง เดี๋ยวก่อน!”เจ้าของร้านโจวไล่ตามมาและถามว่า "ท่านสามารถจัดหาน้ำตาลคริสตัลนี้ได้บ่อยแค่ไหน"“ขึ้นอยู่กับโชค!”หวังหยวนเลิกคิ้ว "การผลิตน้ำตาลคริสตัลมีน้อยอยู่แล้ว พ่อค้าจากภูมิภาคตะวันตกต้องข้ามดินแดนที่แห้งแล้งเพื่อไปยังพื้นที่ต้าเย่ ดินแดนที่แห้งแล้งนั้นอันตรายมาก ข้าไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะมาที่นี่ อาจจะสามเดือน หรืออาจจะเป็นปี ดังนั้นข้าไม่แน่ใจเรื่องเวลาของสินค้ารอบต่อไป”"โอ้!" โจวฉางฟาเหล่ตาของเขา และพูดอย่างประจบสอพลอ "ดูเหมือนว่าน้องหวังมีฐานะที่ไม่ธรรมดา เจ้าต้องมาจากครอบครัวใหญ่เป็นแน่ ข้าสงสัยว่าท่านเป็นลูกชายของตระกูลหวังในเมืองหลงใช่หรือไม่?" เมืองหลงเป็นเมืองหลวงแห่งหนึ่ง ห่างจากที่นี่สามร้อยไมล์ แต่ไม่มีตระกูลใหญ่ที่มีนามสกุลหวัง"ตระกูลข้าอยู่ในเมืองจิ่วซาน!"หวังหยวนโบกมืออย่างไม่สบอารมณ์ "หากเจ้าของร้านโจวนึกสงสัย เจ้าก็เอาเงินคืนไปเถิด ข้าจะหาคนอื่นมาแ

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 14

    เกวียนล่อกลับเข้าเมืองหวังหานซานขับเกวียนนำหน้า ต้าหู่ยืนอยู่ด้านหลัง ส่วนเอ้อหู่และหวังซื่อไห่เดินคุยกันตามมาหวังหยวนอยู่บนเกวียน เขาเอนหลังเพื่อจะพักผ่อน เขายังไม่นอนตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ และเขาก็ทนไม่ไหวแล้วเอ้อหู่พูดอย่างตื่นเต้น "พี่ซื่อไห่ บอกข้าอีกครั้งซิว่าพี่หยวนขายน้ำตาลได้อย่างไร"“เอ้อหู่ ข้าพูดไปแปดครั้งจนควันจะขึ้นคอแล้ว!”หวังซือไห่ก้มศีรษะลง และสัมผัสเสื้อผ้าซาตินผืนใหม่ของตนเอง“ไม่พูดก็ไม่พูด แต่โปรดอย่าลืมเรียกข้าว่าหวังโปลู นี่คือชื่อที่พี่หยวนเปลี่ยนให้ข้า”เอ้อหู่ทำหน้าตาขึงขัง หวังซือไห่ยกแขนเสื้อซาตินขึ้นมา "โปลู ทำไมเจ้าถึงไม่เปลี่ยนเสื้อซาตินตัวใหม่ของเจ้าล่ะ ผ้าซาตินสวมใส่สบายมาก สบายกว่าผ้าฝ้ายเสียอีก"หลังจากออกจากร้านน้ำตาลของโจว หวังหยวนก็ซื้อของหลายอย่าง มีเสื้อผ้าซาตินสองชุดและรองเท้าสำหรับแต่ละคนเอ้อหู่ชำเลืองมองพ่อซึ่งกำลังขับเกวียนอยู่เขาจะเก็บเสื้อผ้าใหม่ไว้สวมใส่ในช่วงเทศกาลตรุษจีน แล้วค่อยเอามาอวดหวังซือไห่ตอนนั้นชายชราที่กำลังเข็นเกวียนโยนแส้ลงทันที ก่อนจะม้วนเก็บแล้วลากเกวียนเข้าบ้าน"อา!"หวังหยวนซึ่งกำลังหลับใหลอยู่ใน

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 15

    ประตูไม่ขยับเลยสักนิด !หลิวโหย่วไฉโบกมือ "หยุด มันถูกไม้ขัดอยู่ ปีนข้ามกำแพงไปเลย"สมุนทั้งสี่หยุดถีบประตู ก่อนจะซ้อนตัวกันแล้วกระโดดลงไปที่ลานบ้าน แล้วเปิดประตูออกหลิวโหย่วไฉเดินเข้ามาในบ้านหลี่ซื่อหานตื่นตระหนก และรีบวิ่งเข้าไปในห้องด้านในหลิวโหย่วไฉเดินไปอย่างสบาย ๆ "โฉมงาม ชายผู้ล้างผลาญเงินครอบครัวหนีไปโดยไม่ใช้หนี้ เจ้ายังตั้งใจตอบแทนมันอยู่อีกหรือ มารับใช้ข้าผู้ซึ่งมีจิตใจเมตตาไม่ดีกว่ารึ"“สามีข้าไม่ได้หนี เขาจะกลับมาใช้หนี้แน่ อย่าเข้ามานะ!”หลี่ซื่อหานดึงโต๊ะมุมไปกันประตูเอาไว้ "ชายผู้ล้างผลาญเงินครอบครัวมีดีอย่างไร คุ้มค่ากับสิ่งที่เจ้าทำเพื่อมันหรือ!"หลิวโหย่วไฉขยิบตาให้สมุนปัง!สมุนสองคนกระแทกประตูปึก!ประตูกระแทกโต๊ะเลื่อนไปด้านหลัง หลี่ซื่อหานเองก็ล้มตัวลงกับพื้น"ใช้แรง!"หลิวโหย่วไฉยิ้มอย่างน่ากลัวปัง ปัง!เสียงกระแทกประตูติดต่อกันสองครั้ง ก่อนที่ประตูจะเปิดออกหลิวโหย่วไฉเดินเข้าไปหาหลี่ซื่อหานด้วยใบหน้าที่น่ากลัว "โฉมงาม ในเมื่อชายผู้ผลาญเงินครอบครัวไม่ได้อยู่ที่นี่ งั้นเราก็เข้าห้องหอกันเถอะ ตามหลักฐานการยืมเงินแล้ว เจ้าป็นคนของข้า"หลี่ซ

Latest chapter

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 2170

    หวังหยวนนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่เขารักผู้ใต้บัญชาทุกคน รวมถึงคนขององค์กรเครือข่ายผีเสื้อ แต่น่าเสียดาย...พวกเขาต้องตายเพราะเขา!“ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า!”“ไม่นึกเลยว่าเสี่ยวเต๋อจื่อจะทรยศข้า...”ไป๋อวิ๋นเฟยเดินเข้ามา อยากจะตบหน้าตัวเอง เพราะปัญหาเกิดจากเสี่ยวเต๋อจื่อ!“เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเสี่ยวเต๋อจื่อ”“ข้าสืบมาแล้ว เสี่ยวเต๋อจื่อถูกจับไปหนึ่งวัน คงถูกทรมานหนักมากจึงยอมบอกเรื่องร้านอาหารชิงเหอ...”เกาเล่ออธิบายไป๋อวิ๋นเฟยจึงเข้าใจ หากเสี่ยวเต๋อจื่อคิดทรยศจะส่งจดหมายให้เขาตั้งแต่แรกได้อย่างไร?อีกอย่างคือเรื่องนี้เพิ่งจะมาเกิดขึ้นช่างไม่สมเหตุสมผล“ดูเหมือนว่าข้าจะเข้าใจเสี่ยวเต๋อจื่อผิด...”“แต่ข้าก็ทำให้เขาเดือดร้อน ไม่เช่นนั้นเสี่ยวเต๋อจื่อคงไม่เป็นเช่นนี้”“เขาคงตายไปแล้ว”ไป๋อวิ๋นเฟยถอนหายใจทุกอย่างเกิดจากเขา ผู้ใต้บัญชาของหวังหยวนถูกซือฟางจับ เสี่ยวเต๋อจื่อก็ตาย ล้วนเกี่ยวข้องกับเขาทั้งสิ้นหากต้าเย่ไม่วุ่นวาย เรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร?ตอนนี้ยากที่จะแก้ไข“ยังไม่รู้ว่าเสี่ยวเต๋อจื่อเป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่ข้าได้ข่าวว่าเขายังอยู่ในคุก...”เกาเล่อกล

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 2169

    “ใต้เท้า! ต้องมีเรื่องเข้าใจผิด! ท่านต้องตรวจสอบให้ดี!”เสี่ยวเต๋อจื่อร้องไห้ พยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายแก้ต่างให้ตัวเอง!เขารู้ดีว่าหากยอมรับ ชีวิตเขาคงไม่รอด จึงต้องถ่วงเวลารอให้ไป๋อวิ๋นเฟยมาช่วย!เขามีบุญคุณกับไป๋อวิ๋นเฟย ตอนนี้ไป๋อวิ๋นเฟยออกจากวังไปแล้ว และร่วมมือกับหวังหยวนจึงเหมือนปลาได้น้ำ!ตอนนี้มีแต่ไป๋อวิ๋นเฟยเท่านั้นที่ช่วยเขาได้!ในใจเขามีเพียงความคิดเดียว คือกัดฟัน ไม่ยอมปริปากพูด!ซือฟางหัวเราะเยาะ รับแส้จากทหาร แล้วฟาดลงบนตัวเสี่ยวเต๋อจื่อ!เสียงร้องโหยหวนของเสี่ยวเต๋อจื่อดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่างน่าเวทนายิ่งนัก!แต่คนรอบข้างกลับมีรอยยิ้มเย็นชา มองดูด้วยความสนุกสนาน ไม่มีใครสงสารเสี่ยวเต๋อจื่อเลยแม้แต่น้อยกล้าขัดขืนซือฟางย่อมมีจุดจบเช่นนี้!เสี่ยวเต๋อจื่อถูกใช้เป็นตัวอย่าง!“ท่านขุนพลใหญ่! ข้าเป็นแค่คนไร้ค่า ต่อให้ท่านฆ่าข้า ข้าก็ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้!”“ในเมื่อท่านเชื่อว่าข้าเกี่ยวข้องก็ฆ่าข้าให้ตายเสียเถิด!”ร่างกายเสี่ยวเต๋อจื่อทนการถูกโบยไม่ไหวแล้ว!ตอนนี้ขอแค่ตายอย่างรวดเร็วเพื่อหลุดพ้น...“หึ”ซือฟางหัวเราะเยาะ เดินไปหาเสี่ยวเต๋อจื่อ แล้วกระชากผ

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 2168

    ไป๋ลั่วหลีถอนหายใจยาวนางต้องการช่วยเหลือไป๋อวิ๋นเฟยออกจากทะเลแห่งความทุกข์ยาก จะมีเวลาดูแลคนอื่นได้อย่างไร?“แล้วจะทำอย่างไรดี!”ไป๋อวิ๋นเฟยร้อนใจเหมือนมดบนกระทะร้อน“เจ้าไม่ต้องกังวล ตอนนั้นเสี่ยวเต๋อจื่อออกจากวังได้อย่างไร?”หวังหยวนถามไป๋อวิ๋นเฟยไม่กล้าปิดบัง รีบเล่าเรื่องทั้งหมดให้หวังหยวนฟัง“เช่นนั้นเอง...”“หากเป็นเช่นนี้ ข้าจะแจ้งคนของร้านอาหารชิงเหอ เมื่อเสี่ยวเต๋อจื่อมา ข้าจะให้คนพาเขาออกจากเมืองเพื่อความปลอดภัยของเขา”หวังหยวนโบกมือเรียกเกาเล่อ แล้วสั่งการทันทีร้านอาหารชิงเหอคือฐานที่มั่นสุดท้ายในเมืองหลวง และเป็นสถานที่รวบรวมข่าวสารคนที่นี่ล้วนเชื่อถือได้ หวังหยวนจึงบอกทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง“ได้!”เกาเล่อรับคำ แล้วเดินออกไป“ขอบพระคุณท่านหวัง!”“ครั้งนี้ท่านช่วยข้าไว้มาก!”“ความหวังดีของเสี่ยวเต๋อจื่อ ข้าจะจดจำไว้ตลอดไป วันหน้าจะตอบแทนเขาอย่างดี!”“แต่พวกท่านก็มีน้ำใจกับข้า ข้าจะไม่ลืมบุญคุณนี้!”ไป๋อวิ๋นเฟยกล่าวขอบคุณอีกครั้งหวังหยวนยกยิ้มพลางโบกมือ แล้วกล่าวว่า “เอาล่ะ เราไม่ต้องสุภาพกันมากเกินไปแล้ว”“พวกเราจะไปเมืองเหอเน่ย เฉินซานเตา ขุนพลแห่งเหอ

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 2167

    สีหน้าท่าทางของเกาเล่อ หลิ่วหรูเยียนและไฉจวิ้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนักแต่ที่พวกเขายังอยู่ที่นี่ก็เพราะหวังหยวนไม่เช่นนั้นพวกเขาจะสนใจรางวัลพวกนี้หรือ?หวังหยวนเข้าไปพยุงไป๋อวิ๋นเฟย ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “วางใจเถิด ในเมื่อข้ารับปากจะช่วยท่านแล้ว ข้าจะไม่ล้มเลิกกลางคัน อีกอย่าง ข้าสนิทกับเสด็จแม่ของท่าน ข้าจะปล่อยให้แผ่นดินของราชวงศ์ไป๋ตกอยู่ในมือคนอื่นได้อย่างไร...”“พวกเราไม่ต้องกังวล แต่ตอนนี้ท่านต้องคิดให้ดี...”“สถานการณ์ขอท่านเริ่มอันตรายมากขึ้นเรื่อย ๆ”หืม?ไป๋อวิ๋นเฟยเลิกคิ้วมองหวังหยวนด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าจะสื่ออะไร“ตอนที่ท่านอยู่ในวังหลวง แม้จะถูกกักบริเวณ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าฆ่าท่าน เพราะเกรงว่าจะเสียชื่อเสียง”“แต่ตอนนี้ท่านออกมาพร้อมข้า จึงเป็นโอกาสของพวกเขา”“หากพวกเขาฆ่าท่าน แล้วโยนความผิดให้ข้า นอกจากจะกำจัดท่านได้แล้ว ยังทำให้คนในต้าเย่เกลียดข้าด้วย ถือว่าได้ประโยชน์สองต่อ!”หวังหยวนรู้ทันซือฟางและเจี๋ยงโฉ่วอีสองคนนั้นเจ้าเล่ห์ คงไม่ปล่อยไป๋อวิ๋นเฟยไปง่าย ๆไม่เช่นนั้น ต่อไปไป๋อวิ๋นเฟยจะเป็นภัยต่อพวกเขา!“ท่านหวังยังไม่กลัว ข้าจะกลัวได้อย่างไร?”

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 2166

    ในเมื่อสวรรค์มอบเส้นทางใหม่ให้ เขาย่อมต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่าเพื่อตอบแทนบุญคุณของสวรรค์!“เช่นนั้นเอง...”“พี่ใหญ่ก็เป็นแค่คนธรรมดาเช่นกัน”ไฉจวิ้นหัวเราะ แล้วรีบเดินตามหวังหยวนไป ทุกคนมุ่งหน้าออกจากเมืองหลวงในวัดร้างแห่งหนึ่ง ห่างจากเมืองหลวงไปห้าสิบลี้หลังจากหวังหยวนและพรรคพวกหนีออกมาได้ เขาก็ส่งจดหมายถึงเกาเล่อให้นัดพบกันที่นี่เมืองหลวงของต้าเย่กลายเป็นสถานที่อันตราย ตอนนี้การรีบออกจากที่นี่คือทางออกที่ดีที่สุดภายในวัดร้าง ทุกคนต่างมารวมตัวกันสมาชิกขององค์กรเครือข่ายผีเสื้อกระจายกำลังกันไป บางส่วนอยู่ในเมืองหลวง บางส่วนอยู่รอบกายหวังหยวน แต่ซ่อนตัวอยู่ คอยสอดส่องสถานการณ์!เพื่อป้องกันการโจมตีกะทันหันของซือฟางตอนนี้พวกหวังหยวนไม่มีอะไรที่จะคุกคามซือฟางได้ อีกอย่างคือพวกเขายังพาไป๋อวิ๋นเฟยมาด้วย นั่นเป็นเหมือนระเบิดเวลาการดำรงอยู่ของไป๋อวิ๋นเฟยทำให้ซือฟางและเจี๋ยงโฉ่วอีรู้สึกหวาดระแวงดังนั้นช่วงนี้คงจะไม่สงบสุขเสียแล้ว...“ท่านผู้นำ ต่อไปพวกเราจะทำอย่างไรดีขอรับ?”“จะกลับไปเมืองหลิงหรือจะอยู่ที่นี่เพื่อต่อกรกับซือฟางต่อ?”เกาเล่อเอ่ยถามไป๋อวิ๋นเฟยและไป๋ลั่วห

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 2165

    ทุกคนกำลังรอคอยจังหวะที่จะหลบหนี!หวังหยวนรอให้ซือฟางยอมหลีกทาง ส่วนซือฟางก็กำลังคิดว่าจะปล่อยหวังหยวนไปหรือไม่!“ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่พวกเราก็คุกคามชีวิตหวังหยวน”“หมาจนตรอกยังกัด หวังหยวนจะยอมง่าย ๆ เชียวหรือ?”เจี๋ยงโฉ่วอีเดินไปข้างซือฟาง แล้วกระซิบว่า “ข้าเคยได้ยินว่าหวังหยวนเป็นคนรอบคอบ หากไม่มั่นใจ มันคงไม่กล้าเสี่ยง”“ตอนที่สู้กับพวกต้าเป่ยก็เห็นได้ชัดว่าหวังหยวนเป็นคนเช่นนี้จริง”“ด้วยเหตุนี้ ขุนพลใหญ่หานเทาของต้าเป่ยจึงหวาดกลัวหวังหยวน”“ดังนั้น ข้าคิดว่าพวกเราควรหลีกทางให้มันก่อนดีหรือไม่?”“ปล่อยหวังหยวนไปก็เท่ากับปล่อยพวกเราเองด้วย!”“พวกเรามีอำนาจทางการทหารของต้าเย่อยู่ในการควบคุม อนาคตสดใสรออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงเพราะหวังหยวนแค่คนเดียว!”เจี๋ยงโฉ่วอีพยายามเกลี้ยกล่อมซือฟางแม้หวังหยวนจะเป็นคนรอบคอบ แล้วเจี๋ยงโฉ่วอีจะไม่รอบคอบได้อย่างไร?อีกอย่าง เจี๋ยงโฉ่วอีเข้าใจหลักการที่ว่าตราบใดที่ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ อย่าได้กลัวไม่มีฟืนตราบใดที่ยังมีชีวิต ต่อให้พ่ายแพ้ก็ยังมีโอกาสแก้ตัว!เมื่อเจี๋ยงโฉ่วอีพูดเช่นนี้ ซือฟางจึงยอมปล่อยมือจากดาบ เดินไปด้านข้างด้ว

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 2164

    หากเป็นเช่นนั้น ต่อให้เขาขึ้นแทนที่ไป๋หมิงได้ย่อมจะถูกประชาชนติฉินนินทา!ช่างเป็นเรื่องยุ่งยาก!“หวังหยวน! เจ้าแค่บอกว่าอยากพบองค์ชาย ตอนนี้เจ้าได้พบแล้ว ข้าจะปล่อยให้เจ้าพาองค์ชายไปได้อย่างไร?”“องค์ชายเป็นถึงองค์ชายของต้าเย่! ตอนนี้บ้านเมืองกำลังวุ่นวาย ข้าจะปล่อยให้เจ้าพาองค์ชายไปไม่ได้! ต่อให้ต้องสละชีวิต ข้าก็จะขัดขวาง!”ซือฟางก้าวออกมา มือแตะที่ดาบข้างเอว เห็นได้ชัดว่าพร้อมจะลงมือได้ทุกเมื่อ!แม้หวังหยวนจะมีสัญญาณระเบิด แต่หากลงมือฆ่าหวังหยวนก่อนที่เขาจะจุดสัญญาณ แล้วให้คนไปค้นทั่วเมืองก็จะสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้!แม้จะอันตราย แต่เพื่อความมั่งคั่งย่อมต้องยอมเสี่ยง!“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา!”หวังหยวนส่ายหน้าก่อนยิ้มเยาะ ล้วงมือเข้าไปในอกหยิบสัญญาณระเบิดอีกอันออกมาแกว่งไปมาต่อหน้าซือฟางเขามองสายตาของซือฟางก็เดาความคิดได้แล้ว จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หากข้าเดาไม่ผิด ตอนนี้เจ้าคงอยากแย่งสัญญาณระเบิดจากข้าใช่หรือไม่?”“ข้ายกสัญญาณทั้งหมดให้เจ้าก็ได้!”“หากภายในครึ่งชั่วยาม ข้าไม่ได้พบกับคนของข้า พวกเขาก็จะจุดระเบิดทั้งหมดอยู่ดี!”“สุดท้ายผลลัพธ์ไม่

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 2163

    ณ ที่แห่งหนึ่งในเมืองหลวงเกาเล่อและไป๋ลั่วหลียืนอยู่ด้วยกัน สายตาจับจ้องไปยังวังหลวงเมื่อครู่หลังจากได้รับสัญญาณ พวกเขาก็จุดระเบิดที่อยู่ใกล้เคียง แต่ไม่ได้สร้างความเสียหายมากนักหากไม่จำเป็น เกาเล่อจะไม่จุดระเบิดทั้งหมด เพราะจะทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมากหวังหยวนแค่ลองเสี่ยง หากต้องสู้ตายค่อยจุดระเบิดทั้งหมดก็ไม่สาย!“ท่านเกา ท่านว่าซือฟางจะยอมปล่อยตัวองค์ชายหรือไม่?”ไป๋ลั่วหลีร้อนใจเหมือนมดบนกระทะร้อน เดินไปเดินมาไม่หยุด นางแทบจะอดทนไม่ไหวหากหวังหยวนไม่กลัวว่านางจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่คงพานางไปด้วยแล้วแต่ตอนนี้ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับหวังหยวน นางไม่อาจทำตามใจตัวเอง ไม่เช่นนั้นจะทำลายแผนการของหวังหยวน“ตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้”“แต่ซือฟางและเจี๋ยงโฉ่วอีต่างก็รักษาหน้าตา ต่อให้พวกเขาคิดว่าท่านผู้นำโกหก ทหารพวกนั้นก็คงไม่กล้าทำอะไรท่านผู้นำ”“รอดูกันเถิด สถานการณ์ที่อันตรายกว่านี้ ข้ากับท่านผู้นำก็เคยผ่านมาแล้ว”เกาเล่ออดเป็นห่วงหวังหยวนไม่ได้ แต่ไม่อาจแสดงท่าทีใด ๆ เพราะต้องทำตัวให้เป็นคนเข้มแข็งเขาและหวังหยวนคือที่พึ่งของทุกคน ในเวลาแบบนี้ต้องห้ามหวั่นไหว จึงจะควบคุมสถ

  • บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่   บทที่ 2162

    “รีบทำตามที่สามีข้าบอก!”“รีบพาองค์ชายใหญ่ออกมาพบพวกข้า ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าสามีข้าใจร้ายเพราะจุดพลุสัญญาณอีกครั้ง ข้าเตือนแล้วนะ ทั้งอาณาจักรจะหายไปในพริบตา!”“ไม่เพียงแต่พวกเจ้าจะตาย แม้แต่วังที่หรูหราแห่งนี้ก็จะพังทลายลงด้วย! นี่คืออานุภาพของดินปืน!”หลิ่วหรูเยียนตวาดหวังหยวนเคยใช้ปืนใหญ่ในสนามรบ อีกอย่างคือเขามีปืนคาบศิลา ทุกคนต่างก็รู้ถึงอานุภาพของดินปืน ใครบ้างจะกล้าต่อกรกับหวังหยวน?เหล่าทหารหยุดชะงัก ไม่มีใครกล้าก้าวเข้าไปพวกเขาล้วนกล้าหาญ แต่ก็มีครอบครัว พ่อแม่ ลูกเมีย บางคนก็อยู่ในเมืองหลวง!หากหวังหยวนพูดจริง แล้วพวกเขาลงมือ ครอบครัวของพวกเขาย่อมจะเดือดร้อน เมื่อถึงตอนนั้นคงสายเกินแก้!เมื่อเห็นทหารลังเล ซือฟางถึงกับโกรธจนกัดฟันกรอด เขาชี้ไปที่พวกทหารแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าเชื่อคำพูดของเขาหรือ?”“พวกเจ้าช่างโง่เขลา!”“พวกเจ้าไม่คิดบ้างหรือหากหวังหยวนจะระเบิดวังหลวงจริง เขาต้องใช้คนเตรียมการเยอะแค่ไหน?”“อย่าว่าแต่ไม่มีกำลังพลมากพอเลย ต่อให้มีก็ต้องใช้เวลาเตรียมการเป็นครึ่งเดือนจึงจะเสร็จสมบูรณ์!”“ข้าไม่รู้ว่าหวังหยวนกลับมาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่แน่ ๆ คื

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status