“ข้าจะเตรียมตัวออกเดินทางเดี๋ยวนี้”“เจ้าไปรอข้าที่หน้าแนวรบก่อน”หวังหยวนตบไหล่ของเอ้อหู่เบา ๆ จากนั้นก็กล่าวอำลากับเหล่าภรรยาที่อยู่ข้างกายอีกครั้งบัดนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมัวแต่คร่ำครวญถึงความรัก เมื่อได้เตรียมยกทัพแล้ว ก็ไม่ควรทำให้เหล่าทหารกล้าผิดหวัง!เพียงชั่วพริบตา หวังหยวนก็เดินออกจากประตูไป ทันใดนั้น ด้านหลังก็มีเสียงร้องไห้คร่ำครวญของเหล่าหญิงสาวดังตามมาแน่นอนว่าพวกนางล้วนไม่ปรารถนาให้หวังหยวนจากไป...ทว่าพวกนางก็รู้ดีว่านี่คือสิ่งที่หวังหยวนต้องทำ และในฐานะภรรยาของหวังหยวน พวกนางก็ต้องรู้สึกภูมิใจในตัวเขา!หวังหยวนเพิ่งเดินมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้านก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังตามมา หันไปมองจึงเห็นเสวี่ยเชียนหลงวิ่งตามมาอย่างรวดเร็วหวังหยวนกระแอมด้วยความลำบากใจ จากนั้นก็ค่อย ๆ กล่าวว่า “เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าอยากจะพาเจ้าไปร่วมกองทัพด้วยกันจริง ๆ และข้าก็รู้ว่าเจ้ามีความสามารถ”“ในยามคับขัน เจ้าสามารถปกป้องตัวเองได้ แม้แต่ในเรื่องฝีมือ ข้าก็ยังด้อยกว่าเจ้ามาก”“แต่หมู่บ้านต้าหวังก็ต้องการคนปกป้องเช่นกัน หากเจ้ากับเจียวเจียวอยู่ที่หมู่บ้านต้าหวัง ข้าก็จะหมดห่วง”“ข้าเชื่อว่าเสวี่ยเ
เสวี่ยเชียนหลงเป็นคนดื้อรั้นเป็นครั้งคราวหวังหยวนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ บัดนี้เหล่าทหารกล้ากำลังรอคอยเขาอยู่จึงไม่ควรเสียเวลาไปมากกว่านี้ในที่สุดเขาก็รับของขวัญชิ้นนี้ไว้ชุดเกราะไหมทองคำตัวนี้บางเฉียบราวกับปีกแมลง เมื่อสวมใส่แล้วก็ให้ความรู้สึกเย็นสบาย เรียกได้ว่าเป็นสิ่งล้ำค่าจริง ๆ!เมื่อเห็นว่าหวังหยวนสวมชุดเกราะไหมทองคำแล้ว เสวี่ยเชียนหลงก็ไม่รอช้าอีกต่อไป แม้ว่าในใจจะรู้สึกไม่เต็มใจ แต่นางก็เดินกลับไปที่บ้านของตนเองบัดนี้เวลาไม่คอยท่าแล้วหวังหยวนเพิ่งจะสั่งการกองทัพ แม้ว่าหวังหยวนจะมีบารมีอย่างมากในกองทัพ แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้ขวัญกำลังใจของทหารหมดลงได้การที่ต้องเสียเวลาไปกับความรักใคร่จนทำให้การเคลื่อนทัพล่าช้า จะทำให้เหล่าทหารสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวหวังหยวนเสวี่ยเชียนหลงเข้าใจเรื่องนี้ดีในพริบตาเดียว หวังหยวนก็มาถึงด้านหน้าแนวรบ เขาขี่ม้าศึก สวมชุดเกราะเงินวาววับ ท่าทางสง่าผ่าเผยราวกับเทพเจ้าแห่งสงครามขณะนี้เขาถือหอกยาวในมือไว้แน่น แล้วตะโกนสั่งเหล่าทหารกล้า“วันนี้ เราจะลุกขึ้นสู้!”“ไม่ใช่เพื่อความร่ำรวยและเกียรติยศของเรา แต่เพื่อปกป้องแผ่นดินและประชาชน
“จริงขอรับ!”ทหารคนนั้นเช็ดเหงื่อเย็นที่หน้าผาก และรีบรายงานอย่างตรงไปตรงมา“หวังหยวนไม่ได้ซ่อนร่องรอยของตนเอง ขณะนี้กำลังตรงมาหาพวกเราอย่างรวดเร็วแล้วขอรับ!”“ขณะนี้ได้ออกจากดินแดนเมืองหลิงแล้ว ข่าวไม่มีผิดพลาดอย่างแน่นอนขอรับ!”“ท่านขุนพล! คงจะเป็นเพราะเขาได้ทราบเรื่องที่พวกเราปล้นเสบียงแล้ว พวกเราควรออกเดินทางโดยเร็วจะดีกว่านะขอรับ!”“ได้ยินมาว่าหวังหยวนมีทหารกล้าอยู่ในมือถึงสองแสนนาย ครั้งนี้ยกทัพมาอย่างยิ่งใหญ่ มีไพร่พลมากมาย แม้จะไม่ได้ยกทัพมาทั้งหมด แต่ก็เกรงว่าจะมีทหารมากกว่าหนึ่งแสนนาย!”“ที่นี่เรามีเพียงไพร่พลไม่ถึงหมื่นคน ย่อมต้านทานการโจมตีของหวังหยวนไม่ได้ขอรับ!”ทหารคนอื่น ๆ ต่างก็พูดตามกันมาอย่างต่อเนื่องเห็นได้ชัดว่าพวกเขากลัวกับสถานการณ์นี้ไม่น้อยด้วยความแตกต่างที่มากมายขนาดนี้ เกรงว่าเมื่อเริ่มการรบคงใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เมืองก็อาจแตกแล้วพวกเขาก็ต้องพินาศ!ซึ่งชะตากรรมของพวกเขาก็คงไม่ดีแน่นอน!หลี่เหยียนผลักทหารคนนั้นลงไปที่พื้นในทันที พร้อมกับพูดอย่างเย็นชาว่า “พวกเจ้าจะตื่นตระหนกอะไรกัน?”“แม้ว่าหวังหยวนจะยกทัพมาถึงสองแสนนายจริง ๆ แต่จะกล้าสู้รบกั
ตอนนี้ทุกคนลนลานไม่ต่างจากมดบนกระทะร้อนใบหน้าของหลี่เหยียนก็อดหม่นหมองลงไม่ได้ จากนั้นเขาก็กำหมัดพูดว่า “พวกเจ้าอย่ามาพูดจาใส่ร้ายป้ายสีที่นี่!”“กล่าวหาว่าข้าปล้นเสบียงของพวกเจ้า พวกเจ้ามีหลักฐานอะไร?”“จับขโมยต้องมีหลักฐาน! พวกเจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล!”“อาณาจักรต้าเป่ยของพวกข้ามีทหารม้าที่แข็งแกร่ง หากเจ้าตั้งใจจะเปิดฉากรบ ข้าก็ไม่กลัวพวกเจ้าหรอก!”หลี่เหยียนยังคงมีท่าทางหยิ่งยโสแม้ตนจะเป็นฝ่ายผิด แต่กลับทำตัวโอหัง ทำให้ดูเหมือนเป็นความผิดของวังหยวนและพวกเสียเองเอ้อหู่โกรธจนควันแทบออกหู เขาโยนดาบในมือให้กับรองขุนพล จากนั้นก็หยิบธนูขึ้นมาเล็งไปที่หลี่เหยียนบนกำแพงเมือง แล้วยิงธนูออกไป!ส่วนหลี่เหยียนหลบได้อย่างเฉียดฉิว!“ฝีมือแค่นี้ยังกล้าลอบกัดหรือ?”“เจ้าควรกลับบ้านไปฝึกยิงธนูดีกว่า!”เหล่าขุนพลข้าง ๆ หลี่เหยียนต่างก็หัวเราะเยาะเอ้อหู่โกรธจนกัดฟันแน่นแทบหักเดิมทีเขาก็ไม่ได้เก่งเรื่องการยิงธนูอยู่แล้ว คราวนี้กลับยิ่งทำให้ตัวเองขายหน้า...ทันใดนั้นก็เห็นขุนพลหนุ่มคนหนึ่งขี่ม้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็มาถึงข้างกายหวังหยวน ทันใดนั้นเขาก็หยิบธนูในมือขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เล็งไ
บนกำแพงเมือง รองขุนพลรีบหันไปหาหลี่เหยียนแล้วรีบกล่าวว่า “ท่านขุนพล! ท่านควรหลบซ่อนตัวเสียเถิดขอรับ!”“ทหารหนุ่มผู้นั้นเก่งกล้ายิ่งนัก! ทักษะการยิงธนูของเขาเป็นเลิศ!”“ท่านคือขุนพลรักษาเมือง หากท่านเป็นอันตรายขึ้นมา พวกเราจะทำอย่างไรขอรับ!”แท้จริงแล้วหลี่เหยียนนั้นหวาดกลัวมานานแล้วเมื่อสักครู่นี้เขาเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด จะกล้าอยู่ที่นี่ต่อไปได้อย่างไร?เมื่อมีคนเสนอทางออกแก่เขา เขาจึงรีบกระแอมสองสามครั้ง ก่อนจะถอยลงจากกำแพงเมืองทันทีแต่ก็ยังคงยืนอยู่ด้านหลังประตูที่ปิดสนิท“ดูเหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามจะไม่มีเจตนาเปิดประตูเมือง”“หากเป็นเช่นนั้น ลองอานุภาพปืนใหญ่ตระกูลหวังดูสิ!”หวังหยวนที่อยู่นอกกำแพงเมืองโบกมือให้ทหารปืนใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นถอยไปทางหนึ่ง และปืนใหญ่ตระกูลหวังก็เตรียมพร้อม เมื่อเสียงปืนดังขึ้นเป็นระลอก เสียงกรีดร้องโหยหวนราวกับเสียงผีปีศาจก็ดังระงมในเมืองเซี่ยว!เห็นได้ชัดว่าอานุภาพของปืนใหญ่นั้นรุนแรงมาก! “ปืนใหญ่ตระกูลหวังนี้ทรงพลังจริง ๆ!”“ต่อจากนี้ไปหากมีปืนใหญ่ตระกูลหวังคอยเปิดทางให้เรา ทุกหนแห่งที่ไปถึงจะสามารถตีเมืองได้ในทันที จะช่วยลดการสูญเสีย
“ให้คนอื่นอย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง!”เมื่อได้ถามทุกสิ่งที่ควรถามแล้ว หวังหยวนก็โบกมือทันที สั่งให้ทหารสองนายมาลากตัวหลี่เหยียนออกไป“ท่านขุนพล! ข้าได้บอกเรื่องทั้งหมดให้ท่านทราบแล้ว ท่านไม่สามารถฆ่าข้าได้!”แต่หวังหยวนไม่แม้แต่จะสนใจเสียงร้องตะโกนของเขาเลยในขณะที่ทำการขโมยเสบียงเป็นครั้งแรก เขาก็ควรจะตระหนักถึงเรื่องนี้แล้ว!ยิ่งไปกว่านั้น คนผู้นี้ยังทรยศต่อขุนพลของตนเองอย่างไป๋ฝูซานอีกด้วย คนแบบนี้ยิ่งไม่สมควรมีชีวิตอยู่!หลังจากหลี่เหยียนถูกตัดหัวเสียบประจานแล้ว สายตาของต้าหู่ก็จับจ้องไปที่หวังหยวนแล้วถามตรงประเด็น“พี่หยวน เราจะไปตีด่านจวี้เป่ยกันเมื่อใดขอรับ?”พวกเขาได้เตรียมตัวมาหลายเดือน บัดนี้ถึงเวลาที่จะได้แสดงฝีมือแล้ว ไม่มีใครอยากนั่งรอโชคชะตา ทุกคนต่างต้องการเข้าสนามรบ เพื่อสร้างชื่อเสียงและเกียรติยศ!นี่แหละคือสิ่งที่บุรุษผู้ยิ่งใหญ่พึงกระทำ!หวังหยวนหันกลับไปมองแผนที่ภูมิประเทศด้านหลัง แล้วค่อย ๆ กล่าวว่า “ยากที่จะคาดเดาว่าด่านจวี้เป่ยนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เพราะมีไป๋ฝูซานคอยประจำการอยู่ด้วยตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสี่ด้านล้วนเป็นภูเขา เราจึงยากที่จะตีด่านจวี้เป่ยไ
เหล่าขุนพลต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย“ได้ยินมาว่าหวังหยวนมีทหารสองแสนนาย ฉะนั้นเราจึงมีข้อได้เปรียบในเรื่องจำนวน แต่หากเราไปพัวพันกับหวังหยวน เราจะฉวยโอกาสนี้จัดการกับอาณาจักรต้าเย่ให้สิ้นซากได้อย่างไร?”“หากปล่อยให้อาณาจักรต้าเย่ได้พักหายใจ ก็เท่ากับเลี้ยงเสือไว้ข้างกาย”ไป๋ฝูซานไม่ใช่คนอ่อนแอ เขารับฟังความคิดเห็นของทุกคน แต่เขากลับมีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป ทันใดนั้น เขาก็ตบโต๊ะอย่างแรง พร้อมกับกล่าวออกมาว่า “ทำตามที่ข้าบอกก่อน จัดการอาณาจักรต้าเย่ให้ได้ก่อน ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง!”บัดนี้ไป๋ฝูซานไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว บัดนี้เขาคือขุนพลใหญ่แห่งอาณาจักรต้าเป่ยอยู่ใต้คนคนเดียว อยู่เหนือคนนับหมื่นควบคุมอำนาจทางทหารทั้งหมดของอาณาจักรต้าเป่ยเมื่อเขาได้กล่าวเช่นนี้ แม้ว่าทุกคนจะไม่พอใจนัก แต่ก็ไม่กล้าที่จะโต้แย้งต่อหน้าขณะที่ทุกคนกำลังจะแยกย้ายกันไป ก็มีทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว“มีรายงานด่วน”สายตาของขุนพลทุกคนต่างก็จับจ้องไปที่ทหารนายนั้น“เพิ่งได้รับรายงานขอรับ”“กองทัพของหวังหยวนได้ตีเมืองเซี่ยวแตกแล้ว และยังบุกทะลวงแนวป้องกันของเราหลายแห่งแล้ว ปัจ
“ไป๋ฝูซานเคลื่อนทัพแล้วหรือ?”“ดูเหมือนว่าการที่ข้าตีเมืองเซี่ยวได้จะทำให้เขาเริ่มอยู่เฉยไม่ได้”“น่าเสียดายที่พวกเขาขโมยเสบียงของเราไป เราจึงทำทุกอย่างอย่างมีเหตุผล ไม่อาจโทษคนอื่นได้”หวังหยวนขี่ม้าศึก สวมชุดเกราะเงินแวววาว พลางกล่าวด้วยเสียงเรียบเดิมทีไม่ต้องการเป็นศัตรูกับอาณาจักรต้าเป่ยในเวลานี้ แต่ข้าศึกกลับมารังแกเขาถึงที่ จึงเป็นโอกาสดีสำหรับเขา!หากต้องการปราบปรามแผ่นดินทั้งเก้าก็ต้องเริ่มจากอาณาจักรต้าเป่ย“เรามีปืนใหญ่ตระกูลหวัง ไป๋ฝูซานเคลื่อนทัพแล้วจะอย่างไร?”“พวกเขานำทหารมาเท่าไหร่ เราก็จะกลืนกินทหารของพวกเขาให้หมดสิ้น!”ต้าหู่ใจร้อนอยากปะทะตอนนี้เขาอยากประจันหน้ากับทัพของไป๋ฝูซานโดยเร็วที่สุด แล้วสร้างความดีความชอบในสนามรบ!“ปืนใหญ่ตระกูลหวังนั้นทรงพลังยิ่ง แต่ก็มีข้อเสียใหญ่อยู่ประการหนึ่ง”“นั่นคือการเคลื่อนย้ายที่สิ้นเปลืองเวลาและแรงงาน และไม่ดีในการต่อสู้ระยะประชิด”“ยิ่งไปกว่านั้น ยังต้องมีกองกำลังชั้นยอดคอยคุ้มกันอยู่ตลอดเวลา”“หากเราเป็นฝ่ายบุกเมือง ปืนใหญ่ตระกูลหวังจะเป็นไพ่ตายของเราได้ แต่หากเป็นการรบในที่ราบ เราก็ต้องหาหนทางอื่น”หวังหยวนไม่ได้