เหล่าขุนพลต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย“ได้ยินมาว่าหวังหยวนมีทหารสองแสนนาย ฉะนั้นเราจึงมีข้อได้เปรียบในเรื่องจำนวน แต่หากเราไปพัวพันกับหวังหยวน เราจะฉวยโอกาสนี้จัดการกับอาณาจักรต้าเย่ให้สิ้นซากได้อย่างไร?”“หากปล่อยให้อาณาจักรต้าเย่ได้พักหายใจ ก็เท่ากับเลี้ยงเสือไว้ข้างกาย”ไป๋ฝูซานไม่ใช่คนอ่อนแอ เขารับฟังความคิดเห็นของทุกคน แต่เขากลับมีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป ทันใดนั้น เขาก็ตบโต๊ะอย่างแรง พร้อมกับกล่าวออกมาว่า “ทำตามที่ข้าบอกก่อน จัดการอาณาจักรต้าเย่ให้ได้ก่อน ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง!”บัดนี้ไป๋ฝูซานไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว บัดนี้เขาคือขุนพลใหญ่แห่งอาณาจักรต้าเป่ยอยู่ใต้คนคนเดียว อยู่เหนือคนนับหมื่นควบคุมอำนาจทางทหารทั้งหมดของอาณาจักรต้าเป่ยเมื่อเขาได้กล่าวเช่นนี้ แม้ว่าทุกคนจะไม่พอใจนัก แต่ก็ไม่กล้าที่จะโต้แย้งต่อหน้าขณะที่ทุกคนกำลังจะแยกย้ายกันไป ก็มีทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว“มีรายงานด่วน”สายตาของขุนพลทุกคนต่างก็จับจ้องไปที่ทหารนายนั้น“เพิ่งได้รับรายงานขอรับ”“กองทัพของหวังหยวนได้ตีเมืองเซี่ยวแตกแล้ว และยังบุกทะลวงแนวป้องกันของเราหลายแห่งแล้ว ปัจ
“ไป๋ฝูซานเคลื่อนทัพแล้วหรือ?”“ดูเหมือนว่าการที่ข้าตีเมืองเซี่ยวได้จะทำให้เขาเริ่มอยู่เฉยไม่ได้”“น่าเสียดายที่พวกเขาขโมยเสบียงของเราไป เราจึงทำทุกอย่างอย่างมีเหตุผล ไม่อาจโทษคนอื่นได้”หวังหยวนขี่ม้าศึก สวมชุดเกราะเงินแวววาว พลางกล่าวด้วยเสียงเรียบเดิมทีไม่ต้องการเป็นศัตรูกับอาณาจักรต้าเป่ยในเวลานี้ แต่ข้าศึกกลับมารังแกเขาถึงที่ จึงเป็นโอกาสดีสำหรับเขา!หากต้องการปราบปรามแผ่นดินทั้งเก้าก็ต้องเริ่มจากอาณาจักรต้าเป่ย“เรามีปืนใหญ่ตระกูลหวัง ไป๋ฝูซานเคลื่อนทัพแล้วจะอย่างไร?”“พวกเขานำทหารมาเท่าไหร่ เราก็จะกลืนกินทหารของพวกเขาให้หมดสิ้น!”ต้าหู่ใจร้อนอยากปะทะตอนนี้เขาอยากประจันหน้ากับทัพของไป๋ฝูซานโดยเร็วที่สุด แล้วสร้างความดีความชอบในสนามรบ!“ปืนใหญ่ตระกูลหวังนั้นทรงพลังยิ่ง แต่ก็มีข้อเสียใหญ่อยู่ประการหนึ่ง”“นั่นคือการเคลื่อนย้ายที่สิ้นเปลืองเวลาและแรงงาน และไม่ดีในการต่อสู้ระยะประชิด”“ยิ่งไปกว่านั้น ยังต้องมีกองกำลังชั้นยอดคอยคุ้มกันอยู่ตลอดเวลา”“หากเราเป็นฝ่ายบุกเมือง ปืนใหญ่ตระกูลหวังจะเป็นไพ่ตายของเราได้ แต่หากเป็นการรบในที่ราบ เราก็ต้องหาหนทางอื่น”หวังหยวนไม่ได้
“ดี!”“เช่นนั้นต่อไปนี้ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”“ทั้งต้องตามข้าไปทำศึก พร้อมกับฝึกกองทัพธนูเทพไปด้วย!”“หากภายภาคหน้าพวกเขาสามารถสร้างวีรกรรมในสนามรบได้ เจ้าก็จะมีความดีความชอบไม่น้อย และข้าจะเลื่อนยศให้เจ้าแน่นอน!”หวังหยวนตบไหล่ต่งอวี่ด้วยความพอใจแม้ต่งอวี่จะยังเยาว์วัย แต่ก็มีความสามารถที่แท้จริง นี่คือคนที่เขาต้องการมากที่สุด!“ข้าจะไม่ทำให้ท่านขุนพลผิดหวังขอรับ!”ต่งอวี่ให้คำมั่นอีกครั้งหวังหยวนยิ้มด้วยความพอใจ จากนั้นก็พาคนมุ่งหน้าไปยังด่านจวี้เป่ยต่อไปนอกด่านจวี้เป่ยเมื่อหวังหยวนและเหล่าทหารมาถึง ไป๋ฝูซานก็ได้นำทหารม้ามาประจำที่ทุ่งราบหน้าด่านจวี้เป่ยแล้วทั้งสองฝ่ายต่างตั้งค่ายของตนเองและเผชิญหน้ากัน“ท่านขุนพล! ไป๋ฝูซานส่งทูตนำจดหมายมาส่งขอรับ”หวังหยวนเพิ่งคุมทหารตั้งค่ายเสร็จ ต้าหู่ก็ถือจดหมายฉบับหนึ่งเข้ามาวางไว้บนโต๊ะของหวังหยวนอย่างเคารพ“น่าสนใจ เป็นฝ่ายเริ่มส่งจดหมายมาหาข้าเชียวรึ?”“ไม่รู้ว่าเขาคิดจะใช้กลอุบายอะไรอยู่”หวังหยวนพูดพร้อมกับเปิดจดหมายออกอ่านอย่างรวดเร็ว“เป็นเช่นนี้เอง”เนื้อหาในจดหมายระบุว่าไป๋ฝูซานไม่ต้องการเปิดศึก และยังเสนอว่าหากหวังหย
“ข้าไม่รู้เลยว่าคนของข้าไปปล้นเสบียงของท่าน”“คงจะมีความเข้าใจผิดกันกระมัง?”ไป๋ฝูซานยังคงปฏิเสธอย่างหนักแน่นหากหวังหยวนเปิดศึกโดยตรง นั่นก็คือการยกทัพมาโดยไร้เหตุผล และเมื่อพวกเขาต่อสู้กับหวังหยวนก็จะสามารถแก้ตัวได้!แต่หากหวังหยวนหาเหตุผลอันสมควรมาได้ การทำศึกในครั้งนี้พวกเขาก็จะแก้ตัวไม่ได้แม้ตอนนี้จะยังไม่แตกหักกับหวังหยวน แต่ก็ใกล้ถึงจุดนั้นแล้ว ทั้งสองฝ่ายคงต้องเปิดศึกกันในไม่ช้าหากต้องการครองดินแดนทั้งเก้า คงไม่สามารถปล่อยเมืองหลิงของหวังหยวนให้เหลือรอดไปได้!“ขุนพลไป๋ อย่ามาแสร้งทำเป็นโง่เขลาที่นี่เลย”“ขุนพลของท่าน หลี่เหยียน ได้สารภาพทุกอย่างแล้ว”“สิ่งที่เขาทำล้วนได้รับคำสั่งจากท่าน”“ดังนั้นท่านไม่ต้องปิดบังอีกต่อไป ในฐานะขุนพลใหญ่ ท่านคงรู้ดีว่าผู้ใต้บัญชาของท่านทำอะไรบ้างใช่หรือไม่?”“ครั้งแรกที่ปล้นเสบียงของพวกข้า ข้าไม่คิดจะเอาเรื่อง แต่พวกท่านกลับทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”“นี่ก็พิสูจน์แล้วว่า ท่านยอมให้ลูกน้องของท่านมาละเมิดผลประโยชน์ของข้า”“แม้ข้าจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ครั้งเก่า จึงไม่อยากคิดบัญชีกับพวกท่าน แต่เบื้องหลังข้ายังมีพี่น้องอีกมากมาย พวกเขาไม่
“ไม่อร่อยเลยสักนิด”เมื่อได้เคี้ยวข้าวสาลีผสมถั่ว หวังหยวนวางชามดินเผาลง รู้สึกเหมือนกินแกลบไม่มีผิด ตอนนี้ใครมาบอกว่าการข้ามกาลเวลามันดี เขาก็พร้อมที่จะบอกความในใจให้พวกเขา ข้ามกาลเวลามาถึงช่วงราชวงศ์ต้าเย่ คล้ายช่วงยุคสมัยโบราณของจีน เจ้าของร่างเดิมเป็นเป็นเจ้าของที่ดินเล็ก ๆ ตอนที่พ่อแม่ยังอยู่ ตอนเช้าได้กินข้าวต้มข้าวฟ่าง เที่ยงได้กินข้าวผสมข้าวฟ่าง ตอนเย็นได้กินเซาปิ่งพร้อมธัญพืชผสม ทุก ๆ สิบวันหลังจากกลับมาจากโรงเรียนในเมือง ถึงจะได้กลับมากินให้หายอยากได้สำหรับคนทั่วไป แต่ละวันกินข้าวต้มข้าวฟ่าง หรือข้าวสาลีผสมถั่ว ส่วนเนื้อนั้นในช่วงปกติอย่าไปคิดถึงมันเลย คงมีแค่ช่วงฉลองตรุษจีนเท่านั้นถึงจะได้กินเนื้อบ้าง ส่วนแป้งและข้าวสารนั้นเป็นที่นิยมของเจ้าของที่ดิน คหบดีและขุนนาง นึกถึงพวกไข่ เนื้อหมู ไก่ ปลา บนโลกที่ถูกทิ้ง หวังหยวนอดที่จะตีตัวเองไม่ได้ น้ำเสียงที่ฟังดูขลาดกลัวของคน ๆ หนึ่งดังขึ้น “ท่านพี่ ขอโทษนะ ในบ้านไม่มีข้าวฟ่างแล้ว ให้ท่านที่เป็นบัณฑิตเพิ่งหายป่วยกินข้าวสาลีผสมถั่วเช่นนี้?” แววตาของหวังหยวนมีประกายขึ้นมา สาวน้อยคนสวยที่ท่าทางขี้ขลาดยืนอยู่หน้าห้องโ
หวังหยวนเลิกคิ้ว "ถ้าข้าทำได้ล่ะ?" หลิวโย่วไฉเผยสีหน้าเจ้าเล่ห์ "ถ้าเจ้าทำได้ ข้าจะไม่คิดดอกเบี้ย! แต่ถ้าทำไม่ได้ เจ้าจะต้องขายตัวเองเป็นคนรับใช้นายของข้า ว่าอย่างไรบ้าง?" หลี่ซื่อหานหน้าถอดสี “ท่านพี่ อย่ารับปากนะ!” เจ้าของที่ใจดำคนนี้ต้องการให้เขาขายตัวเองเป็นทาส หวังหยวนโกรธมาก แต่เขาเดินไปเขียนสัญญาสองฉบับและหยิบแผ่นหมึกสีแดงออกมา "เขียนชื่อและประทับนิ้วซะ!" “ได้!” หลังจากเขียนชื่อด้วยลายมือน่าเกลียด และประทับลายนิ้วมือสีแดงแล้ว หลิวโย่วไฉก็เดินจากไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ คนเสเพลเช่นนี้ เขาไม่มีหาเงินสี่สิบกว้านได้ภายในสามวันอย่างแน่นอน แม้ว่าครอบครัวของสาวน้อยจะร่ำรวย แต่พวกเขาก็อยากให้นางทิ้งคนเสเพลพรรค์นี้อยู่เสมอ ดังนั้นการยืมเงินคงจะเป็นไปไม่ได้แน่ การเดิมพันครั้งนี้ จะได้ทาสมาฟรี ๆ และสามารถขายได้ต่อในราคาหลายสิบกว้านด้วย! เข้าใกล้เป้าหมายที่ตระกูลหลิวจะครอบครองที่ดินพันหมู่ไปอีกหนึ่งเก้า 'สามีภรรยา' ยืนอยู่ตรงข้ามกันในลานบ้าน “ซื่อหาน” หวังหยวนอยากจะปลอบนาง หลี่ซื่อหานเช็ดน้ำตา และรีบวิ่งเข้าไปในห้องนอน หวังหยวนเข้าใจว่านี่เป็นทำร้าย
งานที่เหลือใช้แรงออกน้อยกว่ามาก แค่ล้างรากหญ้าแล้วบดในครกหิน หลังจากทำงานยุ่งมานาน หวังหยวนรู้สึกเหนื่อยมากจนปวดหลังไปหมด เขาจึงเอารากหญ้าที่ตำใส่ถังน้ำ จึงค่อย ๆ เดินทอดน่องไปที่ริมแม่น้ำ หวังหยวนเห็นพวกปลาแหวกว่ายอยู่ใต้น้ำ เขาจึงโรยแป้งหมี่ถั่วเหลืองและน้ำลงไป ด้วยเหยื่อที่วางลงไป จำนวนปลาที่รุมเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ หวังหยวนค่อย ๆ เทของเหลวที่ได้จากการตำรากหญ้าลงไปอย่างระมัดระวัง เมื่อน้ำที่ได้จากการตำรากหญ้านั้นกระจายตัว ปลาที่ค่อย ๆ ลอยหงายท้องขึ้นมาจากน้ำ หนึ่งตัว! สองตัว! ... หลังจากนั้นสักพัก หวังหยวนก็จับปลาตัวใหญ่ได้แปดตัว และตัวเล็กอีกสิบห้าตัว ปลาตัวใหญ่หนักประมาณสองกิโลครึ่ง ตัวเล็กหนักประมาณสองร้อยห้าสิบกรัม ปลาที่เล็กกว่านี้ก็ปล่อยมันไป เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน หวังหยวนก็กลับบ้านด้วยของที่เต็มตะกร้า ผ่านกระท่อมมุงหลังคาจากสี่หลัง คอกวัวและลานเล็ก ๆ ที่ล้อมรั้วทางด้านตะวันออกของหมู่บ้าน “ลุงหานซาน!” หวังหยวนตะโกนเรียกเขา เด็กน้อยน่ารักที่เหมือนตุ๊กตาตัวน้อยสวมเสื้อคลุมยัดนุ่นวิ่งออกมาจากเรือน ไปมองดูหวังหยวนในชุดคลุมตัวอย่างสงสัยและเขินอาย "หวั
ในโลกนี้มีการตกปลา ตกเบ็ด จับปลา แต่ยังไม่มีใครวางยาปลา หวังหยวนยิ้มและพูดว่า "ข้าค้นพบเคล็ดลับการตกปลาและก็จับปลากลับมาได้ตั้งเยอะ รีบกินเร็วเข้า ระวังถูกก้างทิ่มเอาล่ะ!" “เคล็ดลับการตกปลา!” หลี่ซื่อหานที่สงสัยอยู่แล้วนั้น ยิ่งเจอความเป็นห่วงเอาใจใส่ของหวังหยวน ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงราวกับกวางที่ตกใจอีกครั้ง ทั้งสองคนก็กินปลาต่อไป ไม่รู้ว่าเจ้าของร่างเดิมไม่ค่อยได้กินปลาหรือเปล่า หรือเป็นเพราะปลาสดใหม่ หวังหยวนพบว่าปลาที่ทอดในน้ำมันหมูสักพัก และใส่เกลืออบรอสักสิบห้านาที และโรยด้วยผักป่า มันจะอร่อยมากซะกินจนหมดเกลี้ยง มาดูทางหลี่ซื่อหาน นางกินเหมือนแมวดมไม่มีผิด กินไปเพียงแค่ครึ่งชิ้นเท่านั้น “ท่านพี่ ข้าอิ่มแล้ว อีกครึ่งตัวนี้ข้ายังไม่ได้แตะมัน!” เห็นหวังหยวนมองมาที่นาง หลี่ซื่อหานก็วางตะเกียบลงแล้วผลักจานปลานั้นมา “ข้ากินอิ่มแล้ว แค่มองเจ้ากินปลาแบบนี้ก็น่ามองแล้ว รีบกินเถอะ!” หวังหยวนลุกขึ้นและออกจากห้องโถง เมื่อใดก็ตามที่มีเนื้ออยู่ในบ้าน หลี่ซื่อหานลังเลไม่กล้ากินมัน ปล่อยให้เจ้าของร่างเดิมกินก่อนเสมอ นี่จึงทำให้นางผอมลงจนผอมซูบ จนความงามแต่เดิมของนางก็หายไ