“ขุนพลทั้งสามกองเตรียมตัวให้พร้อม ประเดี๋ยวตามข้าไปบุกโจมตีเมือง!”“ตราบใดที่ตีด่านจวี้เป่ยแตก เราก็จะบังคับให้ไป๋ฝูซานยอมจำนน!”เหล่าขุนพลต่างตะโกนเสียงดังกึกก้อง“ศึกนี้ต้องชนะ!”เลี้ยงทหารไว้เป็นพันวัน ใช้ทหารในยามจำเป็น บัดนี้พวกเขารอคอยมานานแล้ว ย่อมอยากจะระบายความโกรธในใจ!บัดนี้โอกาสนั้นมาถึงแล้ว!บ่ายวันนั้น หวังหยวนนั่งอยู่ที่ค่ายทหาร ส่วนเหล่าขุนพลก็ต่างก็เคลื่อนทัพออกไปจัดทัพเตรียมพร้อม!บรรยากาศกำลังคุกรุ่น!หลังจากเพิ่งจะรบกันได้เพียงชั่วยาม กองทัพของอาณาจักรต้าเป่ยก็เริ่มต้านทานไม่ไหว ภายใต้การโจมตีของปืนใหญ่ของตระกูลหวัง ทหารของไป๋ฝูซานต่างก็ถอยหนีอย่างต่อเนื่อง!บัดนี้พวกเขาไม่กล้าโจมตีด้วยซ้ำ ได้แต่ตั้งรับอยู่ในด่านจวี้เป่ยเท่านั้น!“กองทัพของเรามีทหารถึงห้าแสนนาย!”“บัดนี้ทั้งหมดอยู่ในด่านจวี้เป่ย!”“คนของหวังหยวนรวมกันแล้วมีเพียงสองแสนคนเท่านั้นหรืออาจจะน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำ!”“ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเพิ่งจะเริ่มรบ แต่เหตุใดพวกเจ้าถึงได้พ่ายแพ้ย่อยยับเช่นนี้?”ไป๋ฝูซานเดินไปเดินมาในกระโจม สีหน้าแดงก่ำเพราะความโกรธเกรี้ยวพวกเศษสวะไร้ประโยชน์!“ท่านขุนพลใ
ไป๋ฝูซานไม่ได้เอ่ยคำใด สายตาจ้องมองไปที่สนามรบตลอดเวลาเห็นได้ชัดว่ากำลังคิดหาวิธีถอยทัพ“เรื่องราวไม่ได้น่ากลัวอย่างที่พวกเจ้าพูดกันหรอก!”“และสถานการณ์ของเราก็ไม่ได้แย่อย่างที่พวกเจ้าบอกเช่นกัน!”ทันใดนั้น ไป๋ฝูซานกชี้ไปที่กองทัพปืนใหญ่ตระกูลหวังที่อยู่ไกลออกไป แล้วพูดว่า “พวกเจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ว่าระยะการโจมตีของสิ่งนี้มีจำกัด มันไม่มีพลังทำลายล้างใด ๆ ต่อศัตรูที่อยู่ใกล้!”“สามารถโจมตีได้เฉพาะศัตรูที่อยู่ไกลเท่านั้น!”“ตราบใดที่เราส่งทหารม้าออกไป จากนั้นก็ไปโจมตีกองทัพของพวกเขา ทำให้เกิดความโกลาหล เราก็จะหาโอกาสได้!”“ฝ่ายเรามีจำนวนที่เหนือกว่าอย่างแน่นอน ตราบใดที่สามารถหลุดพ้นจากสถานการณ์การยิงระเบิดนี้ได้ เราก็จะสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้!”“ขุนพลทั้งหลายฟังคำสั่ง แบ่งทหารม้าออกเป็นสามกองทันที โจมตีค่ายปืนใหญ่จากทิศทางที่ต่างกัน!”สมแล้วที่ไป๋ฝูซานเป็นขุนพลผู้ยิ่งใหญ่เพิ่งมาถึงสนามรบก็คิดหาวิธีจัดการกับปืนใหญ่ตระกูลหวังได้แล้ว!ดวงตาของขุนพลนายพลหลายคนก็สว่างขึ้นเมื่อครู่พวกเขามัวแต่กลัว มัวแต่หนีจนลืมคิดหาหนทางรับมือ!แต่ตอนนี้คำพูดของไป๋ฝูซานเป็นดั่งน้ำทิพย์ชโ
ในตอนแรก เอ้อหู่ก็เป็นคนอาสาที่จะเป็นขุนพลแนวหน้าเอง ในการบุกโจมตีเมืองเซี่ยวก่อนหน้านี้เป็นเพียงการอุ่นเครื่องเท่านั้นตอนนี้ถึงจะถือว่าเป็นการรบครั้งแรกของพวกเขา!เอ้อหู่จะต้องแสดงให้เห็นถึงความสามารถของตัวเองให้เต็มที่!“พี่หยวน จำนวนคนของฝ่ายตรงข้ามมากกว่าเรา และตอนนี้ได้ออกจากเมืองมาปะทะกับกองทัพของเราแล้ว การต่อสู้บนที่ราบไม่เป็นผลดีต่อกองทัพของเรา ข้ากลัวว่าจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นขอรับ”“ไม่ทราบว่าท่านมีแผนสำรองหรือไม่?”ต้าหู่ถามด้วยความไม่มั่นใจในการออกรบนั้น นอกจากจะมีขุนพลและทหารที่เก่งกาจแล้ว ยังต้องมีที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญอีกด้วยการวางแผนอย่างรอบคอบจะสามาาถทำให้ลดความเสี่ยงได้ แต่คนรอบข้างหวังหยวนไม่ใช่เช่นนั้น ทุกคนล้วนเป็นนักรบที่เก่งกาจ แต่ไม่มีใครสามารถวางแผนได้ ทุกคนล้วนฟังแต่คำสั่งของหวังหยวนเพียงคนเดียวแม้ว่าในฐานะขุนพลใหญ่ หวังหยวนควรจะมีอำนาจสั่งการสูงสุด แต่หากว่าเป็นเช่นนี้ ก็อาจมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นได้ นี่ก็เป็นสิ่งที่ต้าหู่กังวลมากที่สุดหวังหยวนรินชาให้ตัวเองอย่างไม่รีบร้อน เขายังคงมีสีหน้าผ่อนคลาย จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ข
“ท่านขุนพลใหญ่ ท่าไม่ดีแล้วขอรับ!”ทหารที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดวิ่งมาหาไป๋ฝูซานอย่างรวดเร็ว“เพิ่งได้รับรายงานสงครามล่าสุด กองทัพของเราที่กำลังจะบุกเข้าไปยังกองทัพปืนใหญ่ตระกูลหวังได้ถูกซุ่มโจมตี ขณะนี้ทหารม้ากว่าแสนนายได้กลายเป็นเถ้าถ่านอยู่ในกองเพลิงเกือบทั้งหมดแล้วขอรับ!”อะไรนะ?ไป๋ฝูซานเบิกตากว้างราวกับจะกระอักเลือดออกมานี่มันเรื่องล้อเล่นอะไรกัน?ทหารม้าหนึ่งแสนนาย!กลับถูกคนสังหารได้เกือบหมดในเวลาอันสั้นเช่นนี้?หรือว่าหวังหยวนเป็นเทพเซียน?“เป็นไปไม่ได้! เจ้าคงเป็นสายลับของศัตรูเป็นแน่ จึงได้มาสร้างความโกลาหลในกองทัพ!”“ข้าจะฆ่าเจ้าเสียเดี๋ยวนี้!”ไป๋ฝูซานชักกระบี่ในมือออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว เตรียมจะฟันทหารผู้นั้น!ทหารผู้นั้นตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบพูดขึ้นอีกครั้งว่า “ท่านขุนพลใหญ่! สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง หากท่านไม่เชื่อ ก็ให้ส่งคนไปตรวจสอบได้เลยขอรับ!”“หุบเขาด้านโน้นกลายเป็นทะเลเพลิงไปหมดแล้ว และทหารม้าของเราก็ถูกเผาทั้งเป็นอยู่ในกองเพลิงนั้น...”เหล่าขุนพลที่ติดตามไป๋ฝูซานต่างส่ายหน้าถอนหายใจการรบครั้งแรกกลับต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยินเช่นนี้ ย่อมทำให้ขวัญ
พวกเขามองเห็นแสงรุ่งอรุณแห่งชัยชนะอยู่ร่ำไรหวังหยวนส่ายหน้าเบา ๆ จากนั้นจึงพูดขึ้นช้า ๆ ว่า “เราได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด แต่เรายังต้องทำทีละขั้นตอน อย่าได้บุ่มบ่ามผลีผลามเด็ดขาด”“เมื่อเจ้ายึดเมืองได้ เจ้าต้องรักษาความมั่นคงด้านหลังด้วย”“และเราต้องอุทิศกองกำลังบางส่วนเพื่อคอยปกป้องเมือง”“เมื่อเราต่อสู้ต่อไป จำนวนไพร่พลของเราจะน้อยลงเรื่อย ๆ”“ดังนั้นเราต้องพักฟื้นกำลังที่นี่สักระยะก่อน”ทุกคนพยักหน้า สิ่งที่หวังหยวนพูดนั้นสมเหตุสมผล ถ้าผลักดันอย่างแข็งขันต่อไปไม่หยุด อาจจะเกิดผลเสียตามมาได้!อีกด้านหนึ่งขณะที่หวังหยวนและคนอื่น ๆ กำลังเร่งซ่อมแซมด่านจวี้เป่ย ไป๋ชิงชางในวังหลวงก็ได้รับข่าวเช่นกัน“ไป๋ฝูซานมัวทำอะไรอยู่?”“ถึงได้เสียด่านจวี้เป่ยไป?”“นั่นคือประตูเมืองของอาณาจักรต้าเป่ยของเรา! หากสูญเสียด่านจวี้เป่ยไป ศัตรูก็จะสามารถบุกเข้ามาได้โดยตรง แล้วบุกเข้ามาถึงเชิงกำแพงเมืองหลวงได้!”“เมื่อถึงเวลานั้นจะทำอย่างไร?”ไป๋ชิงชางมองจดหมายรายงานศึกในมือแล้วโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมากเหล่าขุนนางในที่นั้นต่างรีบลุกขึ้นยืนด้วยความหวาดกลัว แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใดตลอดเวลาที่ผ่า
“ฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”“หรือว่าจะมีผู้ใดนำคำใส่ร้ายมาทูลฝ่าบาท?”“กระหม่อมซื่อสัตย์จงรักภักดี มีแต่ความคิดที่จะปกป้องชาติบ้านเมือง!”“หากมีผู้ใดนำคำใส่ร้ายกระหม่อมไปทูลฝ่าบาท ผู้นั้นย่อมจิตใจชั่วช้าสิ้นดี!”ไป๋ฝูซานกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวบัดนี้เขาเป็นขุนพลใหญ่ผู้ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม หากเขาได้รู้ว่าผู้ใดกล้ากระทำการลับหลัง เขาจะไม่ละเว้นอย่างแน่นอน!ยิ่งไปกว่านั้น บัดนี้เขาถือว่ามีอำนาจเหนือกว่าฮ่องเต้แล้วด้วยซ้ำ แม้แต่ไป๋ชิงชางเองก็ยังไม่กล้ากระทำการใดที่เกินเลยต่อหน้าเขา“ขุนพลใหญ่กล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร!”“ข้าเพียงแต่ทราบเรื่องราวที่แนวหน้า จึงได้เรียกท่านมาเพื่อสอบถาม”“แต่ตามที่ข้าทราบ ท่านได้ถอนทัพออกจากด่านจวี้เป่ยแล้วและแนวชายแดนก็กำลังวิกฤต สถานการณ์เร่งด่วนเช่นนี้ ข้อเท็จจริงทั้งปวงนี้ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้นใช่หรือไม่?”ไป๋ฝูซานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างช้า ๆแต่ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายแม้ว่าเขาจะไม่ยอมรับ แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความจริงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า!“หากเป็นเช่นนั้น ท่านมีหนทางใดที่จะรับมือกับหวังหยวน?”ไป๋ชิงชา
“ฝ่าบาท โปรดระงับโทสะก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”“ขุนพลใหญ่คือเสาหลักของชาติ บัดนี้มีศึกหลายด้าน เราจำเป็นต้องพึ่งพาขุนพลใหญ่!”“ในยามคับขันเช่นนี้ โปรดอย่ามีปากเสียงกับขุนพลใหญ่เลยพ่ะย่ะค่ะ”ไป๋ชิงชางกำมือแน่น สายตาจ้องไปที่แผ่นหลังของไป๋ฝูซานที่กำลังจากไป“บัดนี้ข้ารู้สึกราวกับว่าอาณาจักรนี้กลายเป็นของขุนพลใหญ่ไปแล้ว!”“ข้าไม่มีกองทัพในมือ แต่ขุนพลใหญ่กลับควบคุมกองทัพ เจ้าดูสิว่าเมื่อครู่เขาพูดกับข้าอย่างไร มีความเคารพข้าสักนิดหรือไม่?”บัดนี้ไป๋ชิงชางเริ่มรู้สึกเสียใจไปบ้างแล้วแต่เดิมไม่ควรยกกองทัพทั้งหมดให้แก่ขุนพลใหญ่ไป๋ฝูซาน!ไม่เช่นนั้น เขาก็คงจะไม่พัฒนามาจนถึงขั้นนี้!ขันทีไม่กล้าเอ่ยคำใดต่อ ทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นผู้ที่เขาไม่สามารถล่วงเกินได้!เขาก็เพียงแต่ต้องการปกป้องตนเองเท่านั้นนอกเมืองหลวงหลังจากที่ไป๋ฝูซานเข้าเฝ้าไป๋ชิงชาง เขาก็กลับมายังค่ายของตนแม้ว่าเขาจะไม่มีความคิดที่จะกบฏ แต่ก็ได้ให้กองทัพหลายหมื่นนายประจำการอยู่บริเวณนอกเมืองหลวง!เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายพลเรือนและทหารทั้งหลายต่างก็หวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง!ภายในค่าย“ท่านขุนพลใหญ่! ท่านเจรจากับฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง
“ไม่อร่อยเลยสักนิด”เมื่อได้เคี้ยวข้าวสาลีผสมถั่ว หวังหยวนวางชามดินเผาลง รู้สึกเหมือนกินแกลบไม่มีผิด ตอนนี้ใครมาบอกว่าการข้ามกาลเวลามันดี เขาก็พร้อมที่จะบอกความในใจให้พวกเขา ข้ามกาลเวลามาถึงช่วงราชวงศ์ต้าเย่ คล้ายช่วงยุคสมัยโบราณของจีน เจ้าของร่างเดิมเป็นเป็นเจ้าของที่ดินเล็ก ๆ ตอนที่พ่อแม่ยังอยู่ ตอนเช้าได้กินข้าวต้มข้าวฟ่าง เที่ยงได้กินข้าวผสมข้าวฟ่าง ตอนเย็นได้กินเซาปิ่งพร้อมธัญพืชผสม ทุก ๆ สิบวันหลังจากกลับมาจากโรงเรียนในเมือง ถึงจะได้กลับมากินให้หายอยากได้สำหรับคนทั่วไป แต่ละวันกินข้าวต้มข้าวฟ่าง หรือข้าวสาลีผสมถั่ว ส่วนเนื้อนั้นในช่วงปกติอย่าไปคิดถึงมันเลย คงมีแค่ช่วงฉลองตรุษจีนเท่านั้นถึงจะได้กินเนื้อบ้าง ส่วนแป้งและข้าวสารนั้นเป็นที่นิยมของเจ้าของที่ดิน คหบดีและขุนนาง นึกถึงพวกไข่ เนื้อหมู ไก่ ปลา บนโลกที่ถูกทิ้ง หวังหยวนอดที่จะตีตัวเองไม่ได้ น้ำเสียงที่ฟังดูขลาดกลัวของคน ๆ หนึ่งดังขึ้น “ท่านพี่ ขอโทษนะ ในบ้านไม่มีข้าวฟ่างแล้ว ให้ท่านที่เป็นบัณฑิตเพิ่งหายป่วยกินข้าวสาลีผสมถั่วเช่นนี้?” แววตาของหวังหยวนมีประกายขึ้นมา สาวน้อยคนสวยที่ท่าทางขี้ขลาดยืนอยู่หน้าห้องโ